Djpark โพสต์ 2016-10-30 21:03:12

ยอมแล้วทูลหัว ขอมีผัวเป็นตากล้อง (EP3) แค่มองตา….แต่ไม่รู้ใจ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Djpark เมื่อ 2020-6-2 02:26

EP3 แค่มองตา….แต่ไม่รู้ใจ


ผมขอขอบคุณอาจารย์เชี่ยว ที่สอนเรื่องการจัดวางองค์ประกอบภาพให้ผมตอนปี1 ทำให้ภาพที่ออกมาวันนี้มันค่อนข้างจะเป็นที่พอใจกับพี่แพรวและอ.ไม้เมืองแขกรับเชิญประจำคอลัมน์เฉพาะกิจของผม อ.ไม้เมืองถึงกับชื่นชมเองเลยว่ารูปออกมาเป็นธรรมชาติมากๆ



หลังจากที่ผมต้องยอมทำใจออกมากับพี่แพรวเพื่อมาหา อ.ไม้เมือง จิตรกรด้านการวาดภาพแหล่งท่องเที่ยวที่จะออกท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ และนั่งวาดรูปวิว ทิวทัศน์ อิริยาบถชุมชนต่างๆจนเป็นที่โด่งดังและได้รับการขนานนามว่า “จิตรกรพเนจร”ผมยอมรับนะครับว่าตอนแรกเกร็งมาก เพราะไม่รู้ว่าโจทย์นั้นจะเป็นอย่างไรเพราะพี่แพรวบอกแค่ว่าเราจะมาเจอจิตรกรชื่อดังคนนี้เท่านั้น และยิ่งเกร็งเข้าไปอีกเมื่อได้ยินว่า อ.ไม้เมืองเป็นศิลปินที่ไม่ค่อยยิ้มแย้ม และมักจะมาอารมณ์ร้ายหากมีอะไรไปกวนใจหรือไม่เป็นตามที่ใจแก

แต่พอได้มาสัมผัสจริงๆกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่ได้ยินมานะครับ อ. แกเป็นคนที่ดุจริงแต่จะดุเฉพาะในการทำงานเท่านั้น เวลาการคุยเรื่องจิปาถะนอกเหนือจากการทำงาน ยอมรับว่าอ.ไม้เมือง เป็นผู้ใหญ่ที่อบอุ่นคนนึงเลยก็ว่าได้ ประกอบกับโจทย์ว่านี้คือสัมภาษณ์แรงบันดาลใจในการพเนจรและให้อาจารย์ วาดรูปไปเรื่อยๆ โชว์ส่วนผมนั้นก็แค่ลั่นชัตเตอร์ตามการสัมภาษณ์ไปเรื่อยๆโดยพี่แพรวเป็นผู้นั่งสัมภาษณ์ ใช้เวลาเพียงไม่นานครับ ไม่ถึงชั่วโมงก็ปิดจ๊อบงานรอบเช้าตรู่ในวันนี้ อ.ไม้เมืองกับพี่แพรวเห็นผลงานผมแล้วก็ชื่นชมกันใหญ่ อาจเพราะเป็นแนวถนัดผมและภาพจำหลักการวางภาพตอนปี 1 ด้วยละมั้งทำให้การถ่ายวันนี้ออกมาด้วยดี

รูปส่วนใหญ่ก็จะเป็นรูปที่ อ.ไม้เมืองพูดคุยชูไม้ชูมือ ยิ้มแย้มและมีความสุข ในตอนที่วาดรูป ซึ่งตอนวาดพี่แพรวก็คอยคุยนั่นนี่ให้อาจารย์หัวเราะตลอดภาพที่ได้ออกมาเลยอิ่มเอมไปด้วยมวลความสุขจากการวาดภาพของศิลปินท่านนี้ซึ่งอาจารย์บอกว่า ปกติแล้วผมไม่ค่อยได้ยิ้มเท่าไหร่ เพราะการสัมภาษณ์ที่อื่นค่อนข้างซีเรียจแต่เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับพี่แพรวแหละครับพี่แกเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ตัวจริง ต่างกับตอนเช้าลิบลับ

เสร็จจาก อ.ไม้เมืองพี่แพรวก็พาผมมากินข้าวที่ห้างด้วยเหตุผลที่ว่าถือเป็นการรอพี่ตากล้องมือโปรตื่นสายคนนั้นมา
“ถ่ายเก่งนะเราอ.ไม้เมืองชื่นชมใหญ่เลย” พี่แพรวเปิดการสนทนาหลังจากที่สั่งอาหารเซ็ตใหญ่ไปนี่คงกะไม่กินข้าวเย็นเลย ส่วนผมเอาแค่ชุดเล็กๆ พออิ่มก็พอไม่ใช่ว่ากลัวอ้วนนะครับ เกรงใจพี่แพรว เพราะพี่แกบอกจะเลี้ยงผม
“ก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ แหะๆ”ผมแกล้งเช็คไฟล์รูปแก้เขินไปอันที่จริงผมไม่ค่อยชินกับการที่คนอื่นมาชมเท่าไหร่
“พี่ไม่กลัวว่าผมจะถ่ายพลาดบ้างหรอครับ”ผมถามกลับหลังจากที่เก็บกล้องลงกระเป๋าเป้พร้อมกับน้ำดื่มมาเสริฟพอดี
“ไม่นะพี่พอจะรู้ว่าเราเก่งอยู่บ้างในเรื่องของการถ่ายภาพคน”
“อ้าว ทำไมพี่รู้ล่ะครับ”ผมขมวดคิ้วให้กับความสงสัยทันทีเพราะวันนี้ถือเป็นวันแรกเลยที่เราเจอกัน แล้วพี่แพรวจะรู้ได้อย่างไรว่าผมถ่ายรูปคนเก่ง
“Facebook ไงจ๊ะตอนมาขอฝึกงานเราเขียนชื่อเฟชมาด้วยพี่ก็ต้องเข้าไปดูอยู่แล้ว เพื่อเช็คสกิลน้อง และภาวะอารมณ์”
“ภาวะอารมณ์ ?”เอาล่ะ ยิ่งงงเข้าไปอีกเรื่องเข้าไปดูเฟชพอเข้าใจได้เพราะผมเองก็ลงรูปที่ถ่ายในเฟชบ่อยๆแต่เรื่องภาวะอารมณ์อันนี้ไม่เก๊ตเลย พี่แกจะรู้จักเราได้ไง หรือถามเพื่อนในเฟชเรา
“เอ้า ก็แบบตั้งสเตตัสอะไรใช้คำแบบไหน อย่างถ้าเป็นพร่ำเพ้อ คร่ำครวญ โมโหร้ายด่ากูมึง เหี้ยสัตว์ ก็คงจะพิจารณาไปอีกแบบเพราะสเตตัสมันบอกลักษณะพฤติกรรมและวุฒิภาวะทางอารมณ์เราด้วยมันบอกเลยว่าเราเป็นคนแบบไหน”
อ๋อ เข้าใจแล้ว ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าที่ฝึกงานก็จะมีระบบวิธีการรีเช็คคนเข้าฝึกงานแบบนี้ด้วยก็จริงของพี่เขานะครับ เราไม่ค่อยได้สนใจในจุดนี้เท่าไหร่ หลายคนเองก็เช่นกันผมเชื่ออย่างนั้นเวลาเราเล่น Facebookเราอยากจะโพสอะไรก็โพสลงไปเพียงเพราะคิดว่ามันเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเรา (แต่คนอื่นรับรู้นะ)อยากด่าใครหรือระบายเรื่องอะไรก็ลงไปหมดในนั้น พอผมมาสังเกตจริงๆ มันก็ใช่ครับเพื่อนเราที่เป็นคนอารมณ์ดี สร้างเสียงเฮฮา หน้าวอลมันก็จะมีแต่อะไรไม่รู้ตลกๆไม่ก็โพสอะไรแบบขำๆ ส่วนคนที่มันชอบสร้างปมให้กับตัวเองก็มักจะโพสอะไรที่คนไม่ค่อยอยากจะเข้ามาอ่านเท่าไรหรือถ้าจะอ่านก็จะเป็นคนประเภทเดียวกัน เขาถึงบอกไงครับว่า คนแบบเดียวกันจะดึงดูดกันมาเป็นเพื่อนในโลกออนไลน์

“แต่พี่เชื่อนะว่าเราเก่งและน่าจะมีอนาคต” พี่แพรวยิ้มแล้วผมก็ยิ้มตอบพร้อมกับอาหารที่มาเสริฟพอดี เราสองคนจึงจบบทสนทนาและนั่งกินเงียบๆ จนกินหมดนั่นแหละครับพี่แพรวถึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง จะว่าไปแล้วพี่แพรวเนี้ยพูดเก่งเหมือนกันนะครับผมแทบตามไม่ทัน ได้แต่ตอบคำถามแกอย่างเดียว จนผมเห็นว่ามีช่องว่างจะถามได้พอดีผมถึงได้กล้าถามแก
“เอ่อ พี่แพรวครับ”
“จ๊ะ ว่าไง”
“พี่ผู้ชายคนนั้น เมื่อไรจะมาครับ”   สิ้นคำ เหมือนพี่แพรวจะนึกอะไรขึ้นมาได้เลยหยิบมือถือขึ้นมาโทรทันที พอปลายสายรับพี่แพรวก็ตวาดด้วยความรุนแรงแบบไม่เกรงใจโต๊ะข้างๆเลยจริงๆ
“ยังหายใจอยู่ใช่มั้ย ? โดนปล้นหรือโดนฆ่าแล้ว??.....” และอีกสารพัดคำทักทายที่ผมฟังไม่ทันผมไม่ได้ยินหรอกครับว่าปลายสายเขาตอบมายังไง เลยได้แต่ปล่อยให้พี่แพรวคุยไปผมเลยเฉมองออกไปนอกร้อนที่มีกระจกใสๆ กั้นอยู่มันทำให้คิดนะครับว่าไม่บ่อยนักที่ผมจะมาเดินห้างและมองดูคนมีความสุขกับการใช้จ่ายสิ่งของ ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่ง ทำงานหน้าดำหน้าแดงเพื่อหาเงินจุนเจือครอบครัวให้ได้ จนไม่มีโอกาสมาเดินห้างตากแอร์อะไรแบบนี้ผมเองก็ไม่ใช่คนรวยมากนักหรอกครับแต่มีเงินเข้ากระเป๋าตลอดเวลาประกอบกับหารายได้เลี้ยงตัวเองตั้งแต่เด็กเลยพอมีเงินเก็บอะไรอยู่บ้าง อยากได้อะไรก็ไม่ขัดสนนัก บางครั้งเวลาไปเที่ยวคนเดียวตามที่ต่างๆผมก็ตอบแทนเจ้าของบ้านบ้าง ถือเป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆที่เขาให้ผมนอนค้างคืนแถมมีข้าวเช้าให้ผมด้วย แม้เขาจะไม่อยากรับเงินจากผมก็ตามผมก็หาทางเลี่ยงด้วยการมอบให้ทางศาสนาแทน

คือผมไม่ได้ว่าคนที่มาเดินห้างนี่ผิดอะไรนะครับเขาทำงานหนักหาเงิน จะใช้จ่ายเพื่อความสุขให้ตัวเองก็คงไม่แปลกต่างคนต่างมีวิธีทำให้ตัวเองมีความสุขต่างกัน แต่ผมคิดว่าความสุขของผมไม่ใช่การมาเดินห้างมั้ง ความสุขของผมคือมองความสุขคนอื่นผ่านเลนส์มองดูอาจจะไม่ลงทุนมากใช่มั้ยครับ คุณคิดผิดแล้วครับ กล้องตัวเนี้ยที่ผมซื้อจากน้ำพักน้ำแรงตัวเองรวมๆแล้วแทบจะซื้อรถยนต์ได้เลย กล้องว่าแพงแล้ว เลนส์และอุปกรณ์อื่นๆ แพงยิ่งกว่าเพราะงั้นเวลาจ้างรับปริญญาอย่าว่าเขาเลยครับ ว่าเขาคิดแพง 5000 6000 ของคุณผมยังซื้อเลนส์ไม่ได้เลย ใจเขาใจเรา

ผมมองกลับมาที่พี่แพรวซึ่งยังตวาดอย่างน่ากลัวโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด บางครั้งก็สงสัยนะครับทำไมเวลาคุยกันกับพี่ตากล้องคนนี้ แกจะต้องโมโหร้ายด้วย ก็จริงอยู่ที่เขามาช้าแต่ทุกรอบที่ผมเห็นคุยกันต้องขึ้นเสียงใส่กันตลอดเวลาอาจจะเพราะความสนิทมานานหลายปีมั้ง ที่ทำให้เขาสองคนคุยกันถึงพริกถึงขิงขนาดนี้

ผมมองออกไปที่หน้าร้านอีกรอบกะว่าจะหาร้านหนังสือ ผมเองบางครั้งก็ต้องหาแรงบันดาลใจให้ตัวเองอยู่บ่อยๆไหนๆก็มาห้างทั้งทีซื้อติดไปศึกษาสักเล่มสองเล่มก็ยังดี ในจังหวะที่ผมเหลือบหันไปมองบังเอิ๊ญ บังเอิญ ไปสะดุดกับผู้ชายคนนึงที่เดินมองมาทางผมพอดีเราสองคนจ้องตากันแว่บ ประดุจว่าเคยรู้จักกันมาก่อน ทั้งทีจริงมันไม่ใช่หรอกครับไม่คุ้นเลยด้วยซ้ำ เขาเป็นผู้ชายร่างสูงกว่าผมนิดๆ อกผายไหล่ผึ่ง หน้าตาคมๆสายตาดุๆ สวมเสื้อยืดสีดำธรรมดาที่มีตรานาซีไว้กลางอก และสวมแจ๊กเก็ตยีนสีกรมทับอีกทีบวกกับกางเกงยีนที่ขาดๆ ตรงเข่า มือนึงถือโทรศัพท์ มือนึงแบกกระเป๋ายาวๆเหมือนมีปืนไรเฟิลอยู่ในนั้น โดยรวมเหมือนศิลปินเซอร์ๆสักคนต่างแค่ว่าเขาตัดผมสั้น ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่เซอร์แล้วจะต้องผมยาวรุงรัง

เขาจ้องผมยังไม่วางตานะครับ และเดินตรงเข้ามาหาผมในขณะที่พี่แพรวนั่งหันหลังให้ผู้ชายคนนั้นพี่แพรวก็ยังคงบ่นอะไรใส่ปลายสายเรื่อยเปื่อยผมเองไม่ได้ใส่ใจว่าพี่แกพูดว่าอะไรบ้าง เพราะตอนนี้ผมจ้องไปที่ตาดุๆของพี่ผู้ชายคนนั้น ที่เขาเดินเข้ามาเรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่หลังพี่แพรวเพียงก้าวเดียวตอนไหนก็ไม่รู้รู้แต่ว่าเราสองคนจ้องกันนานมากโดยไม่สนใจเสียงพี่แพรว ถึงตอนนั้นผมเลยกระพริบตาและก้มเล่นกับกล้องตัวเองพอจะรู้แล้วล่ะว่า คนๆนี้เป็นใคร พี่ผู้ชายตากล้องที่ผมอยากเห็นหน้ามานานนี่เองพอเจอเข้าจริงๆ อารมณ์โมโหตอนนั้นไม่รู้หายไปไหนหมดเหมือนกัน

“มาแล้วๆ อยู่ข้างหลังเนี้ยจะบ่นไปถึงไหน”พี่ผู้ชายคนนั้นพูดใส่โทรศัพท์แต่ก็ดังพอให้พี่แพรวได้ยินจากข้างหลังพอพี่แพรวหันไปก็ตกใจนิดๆ แล้วก็วางสายไป เพื่อด่าต่อหน้าอีกครั้ง
“มาก็ดีแล้ว โปรแกรมต่อไปไปไหนงานชั้นเสร็จแล้ว ไม่ยอมบอกโปรแกรมสักที รอเป็นชาติแล้วเนี้ย”
“เออๆ ให้นั่งพักก่อนได้มั้ย คนเพิ่งมาถึงเนี้ย”พี่ผู้ชายคนนั้นพูดแบบขอไปทีแล้วก็นั่งลงข้างๆผม วางกระเป๋าสะพายหลังกั้นผมไว้ จากนั้นก็วางซองกระบอกปืนไรเฟิลลงอีกทางนึงผมมาคิดได้เมื่อพี่เขาสั่งน้ำอัดลมกับพนักงานไป ว่าจริงๆแล้วไม่ใช่ซองใส่ปืนหรอกมันคือขาตั้งกล้องนั่นเอง แต่ปกติที่มหาลัยผมไม่ค่อยได้ใช้อันใหญ่ขนาดนี้ พอมองไล่ขึ้นไปที่หน้าพี่เขาอีกครั้งพี่เขาไว้หนวดนะ ไว้เคราด้วย เพียงแต่ว่าตัดแต่งหนวดและเคราให้เข้ากับโครงหน้าเขาพอดีส่วนผมเองก็ตัดสั้นเซ็ตผมไปทางซ้าย ยิ่งมาพิจารณากางเกงขาดๆของพี่เขา ทำให้รู้เลยว่าจริงๆแล้วเหมือนจะเซอร์ๆทั่วไป แต่ไม่ใช่เลย พี่เขาเซอร์จริง แต่เซอร์แบบตั้งใจ เซอร์แบบดูแลตัวเองรู้ว่าจะเซอร์แบบไหนให้เหมาะกับตัวเอง

“นี่หรอ เด็กฝึกงาน”พี่แกหันมามองหน้าผมแล้วหันกลับไปพูดกับพี่แพรวผมเองก็ได้สติแล้วว่าจ้องพี่แกมาเกินไป เลยลดสายตาลงมาที่กล้องตัวเองอีกรอบชีวิตคงทำได้เพียงเท่านี้
“อ๋อ ใช่ๆ ลืมไป แมก นี่พี่มิคนะตากล้องประจำคอลัมน์ท่องเที่ยว ส่วนดีคือถ่ายภาพเก่ง ส่วนเสียคือไม่ตรงต่อเวลาตื่นสาย ขี้เกียจ เจ้าชู้ ขี้เหล้า… ”
“เออ พอแล้วน่า ไม่ต้องอธิบายเพิ่ม”พี่ตากล้องหรือพี่มิคคนที่ผมเพิ่งรู้จักชื่อเมื่อกี้ ยกมือห้ามก่อนพี่แพรวจะพูดจบพี่แพรวหัวเราะนิดนึงก่อนผมยกมือไหว้พี่มิคอย่างนอบน้อม
“เออๆ” พี่มิคแกรับไหว้ผมอย่างลวกๆก่อนดูดกินน้ำอัดลมที่สั่งไปตอนเข้ามาในร้าน
“แล้วนี่ น้องแมกน้องฝึกงานรอบปลายปี ที่แกจะต้องเป็นพี่เลี้ยง” จบประโยคพี่มิคถึงกับสำลักน้ำอย่างรวดเร็ว เดือดร้อนพี่แพรวหาทิชชู่โยนให้ทั้งที่อยู่ตรงข้ามกันเอง
“อ้าว เฮ้ย คนอื่นไม่ได้หรอวะพี่แบงค์ พี่เจต งี้ไม่ว่างรึไง” พีมิครีบพูดแบบกลัวว่าตัวเองจะได้ไปรบยังไงไม่รู้ผมเองก็ไม่ได้เกี่ยงนะว่าใครจะมาเป็นพี่เลี้ยงเพราะยังไงซะเราก็เลือกไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก็แอบตกใจอยู่นิดหน่อยที่กลายมาเป็นพี่มิคที่จะมาเป็นพี่เลี้ยงมีลางสังหรณ์ว่าจะไม่ผ่านฝึกงาน เพราะคนๆนี้
“โน พี่ลูกหนูสั่งมาว่าต้องเป็นแกเพราะแกผลัดการเป็นพี่เลี้ยงมา 2 ปีแล้ว” พี่แพรวยกนิ้วชี้ส่ายไปมาเป็นเชิงว่าปฏิเสธไม่ได้
“เฮ้ออ ก็มันน่าเบื่อนี่หว่าเอาเด็กมาเป็นตัวถ่วง เสียเวลาต้องสอนอีก” อ้าว ทำไมพี่เป็นคนใจแคบแบบนี้ละครับ ตอนแรกกะจะปรับทัศนคติดีๆด้วยแล้วนะเนี้ย คงต้องเปลี่ยนใหม่แล้ว
“แต่คนนี้ รับรองไม่มาถ่วงชีวิตแกหรอก แมกเอางานวันนี้ให้พี่เขาดูดิ”ประโยคหลังพี่แพรวเน้นเสียงเหมือนจะพราวลี่พรีเซ้นการถ่ายรูปวันนี้ของผมเป็นอย่างมาก เอาแล้วไงกูจากตอนแรกที่ชื่นชมผลงานตัวเอง พอจะเอามาให้ปรมาจารย์ดูมือมันก็อดสั่นไม่ได้

ผมหยิบกล้องขึ้นมาแล้วกดเลื่อนรูปให้พี่มิคดูทีละรูปเหมือนจะไม่ทันใจ พี่มิคเลยยกกล้องไปนั่งดูเองเลย แกเลื่อนรูปอยู่นานพร้อมเป็นระยะว่าได้ลบรูปอื่นไปมั้ย ผมก็บอกว่าไม่ได้ลบเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ดีถ้าถ่ายแล้วลบในกล้อง นอกจากเสียเวลาแล้วมันจะดูเหมือนว่าตัวเองไม่มั่นใจรูปที่ตัวเองกดถ่ายถึงแม้ปัจจุบันนี้จะเป็นกล้องดิจิตอลหมดแล้วไม่เหมือนกล้องฟิล์มสมัยก่อนที่จะถ่ายแต่ละครั้งต้องคิดแล้วคิดอีกเพราะค่าล้างฟิล์มมันแพงมากในสมัยนั้น พอผมชอบให้ผมเล่นกล้องผมเลยติดมาตั้งแต่ตอนนั้น ว่าถ้าจะถ่ายอะไรต้องมั่นใจ ไม่ใช่ว่ายกๆกล้องขึ้นมาแล้วก็ถ่ายไปเรื่อย เหมือนคนเล่นกล้องไม่เป็น พี่มิคเลื่อนรูปไปจนหมดจากนั้นก็ส่งคืนให้ผม
“เป็นไง ฝีมือเด็กใหม่” พี่แพรวที่นั่งดูผมสองคนอยู่นานจึงถามขึ้น
“ก็…ไม่เลวร้าย” พี่มิคยักไหล่ขึ้นก่อนจะดูดน้ำให้หมดแล้วพายกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางต่อ “ไปเถอะ อ่ะถือขาตั้งกล้องไปงานวันนี้” พี่มิคหันมาโยนขาตั้งกล้องให้ผม

“ชื่อ แมก ใช่มะ”
“ครับ”
“จำไว้นะ ถึงจะถ่ายพอใช้ได้ยังไงก็ตามแต่กูก็ไม่รับเป็นพี่เลี้ยงฝึกงานมึงหรอกนะ ไอ้หนู”พูดจบพี่แกก็เดินออกไปนอกร้านแบบสบายๆผมหันกลับมามองพี่แพรว พี่แกยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยตามหลังพี่มิคไปเบาๆ
“หึ เดี๋ยวก็รู้”

ผมเองก็เอาแต่คิดในใจ รู้เชี้ยไรครับบบบผมไม่รู้อยู่คนเดียวเนี้ย

ddavp โพสต์ 2016-10-30 21:34:38

ขอบคุนครับ

Darmmek โพสต์ 2016-10-30 21:43:59

ขอบคุณคับ สนุกๆ รอติดตามตอนต่อไป

pdingdong โพสต์ 2016-10-30 22:11:06

ขอบคุณครับ

minone โพสต์ 2016-10-30 22:12:52

ขอบคุณครับผม{:5_130:}

pipi1 โพสต์ 2016-10-30 22:36:08

{:5_119:}ขอบคุนครับ{:5_119:}

pander โพสต์ 2016-10-30 23:00:49

รอตอนใหม่
ขอบคุณครับ

sugarxxx โพสต์ 2016-10-30 23:17:59

เห็นไหมละ ฝีมือเยี่ยม ภาพออกมาดีมีแต่คนชม

gaybin โพสต์ 2016-10-30 23:24:50

สนุกมากครับ

thine โพสต์ 2016-10-30 23:27:25

ขอบคุณ​มาก​ครับ​

xoman โพสต์ 2016-10-30 23:30:40

ขอบคุณ​มาก​ครับ​

freezz โพสต์ 2016-10-31 00:12:51

งานเข้าอีกแล้ว 555

616161 โพสต์ 2016-10-31 05:21:07

เมื่อไหร่จะได้คับ

Djpark โพสต์ 2016-10-31 17:37:30

เอ่อ เรื่องนี้คงจะอีกสักพักครับ เพราะผมกะให้เป็นนิยายยาว แต่ถ้าสนใจบทอัศจรรย์ ผมแนะนำเรื่องของคุณพงศ์ดนัย เลยครับ ^^

leotero โพสต์ 2016-10-31 19:01:18

เมือ่ไหร่จะได้กันสักที

pearl9845 โพสต์ 2016-11-6 08:11:34

ขอบคุณฮะ{:5_126:}

zxzxcc โพสต์ 2016-11-6 18:06:44

ขอบคุณครับ

tahanchai โพสต์ 2016-11-11 19:45:50

ขอบคุณมากครับ

iamcutez โพสต์ 2016-11-11 20:33:43

ขอบคุณคับ{:5_118:}

tarot2526 โพสต์ 2016-11-22 13:06:09

ขอบคุณครับ
หน้า: [1] 2 3 4 5
ดูในรูปแบบกติ: ยอมแล้วทูลหัว ขอมีผัวเป็นตากล้อง (EP3) แค่มองตา….แต่ไม่รู้ใจ