I
ตามทฤษฎีแล้วคนที่มาทีหลังมักจะถูกมองว่าเป็นฝ่ายผิด มักจะถูกคนอื่นประณามว่าเข้ามาแทรกแซงความรักของคนอื่นอย่างนั้น ถูกรังเกียจต่อต้านว่าหน้าไม่อายเอาเสียเลยอย่างนี้ แต่ดูเหมือนว่าทฤษฎีนั้นจะใช้ไม่ได้กับเรา “นี่ๆ ทำไมวิวถึงมากับเจเจอร์ได้ล่ะ?” “เจเจอร์เขี่ยหมอนั่นทิ้งแล้วอย่างนั้นเหรอ?” “ทำไมถึงเป็นวิวล่ะ?” “โธ่! นางฟ้ากูถูกไอ้นักล่านั่นสอยไปซะแล้วหรือเนี้ย” อีกสารพัดมากมายคำพูดแต่เราไม่ได้ใส่ใจอะไรนักหรอก ในโลกสมัยนี้เงินทองมักมีอำนาจเหนือคนหลายกลุ่ม แน่นอนความเหมาะสมเมื่อเห็นอยู่ตำตาก็เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกัน ไม่ได้หลงตัวเองแต่ได้ยินจากหลายคนว่าเราเหมาะกับเจเจอร์มากกว่า.... ใครนะ? อืม จำชื่อไม่ได้แล้วล่ะ ขอเรียกว่า‘ของเก่า’ของเจเจอร์ก็แล้วกันนะ เจเจอร์เป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ น่าจะใหญ่กว่าเราหลายเท่าตัว ใบหน้าคมเข้มกับดวงตาเรียวดุจพญาเหยี่ยวสะกดสายตาเราให้หยุดอยู่ที่เขาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน บอกตามตรงว่าเจเจอร์ตรงสเปคของเราหลายอย่าง ลุคแบดบอยกับเสน่ห์อันแพรวพราวถูกใจเราส่วนหนึ่ง และอีกส่วนที่เป็นส่วนใหญ่เลยคือ... ลีลาของเจเจอร์นอกจากจะเร้าใจแล้วบทรักของเขามันทั้งเร่าร้อน ดุดัน ที่สำคัญ....เขาอึดกว่าที่จิตนาการไว้มาก กับบางคนเจอเราเข้าไปหน่อยแจวไม่กี่ครั้งก็จอดสนิทแล้ว แบบนั้นมันน่าเบื่อ เราอยากสนุกนานๆและแน่นอนว่าเจเจอร์ตอบโจทย์เราได้ดี ถ้าเป็นการให้คะแนนในชั้นเรียนเราคงให้เขา 8 เต็ม 10 อีก 2 คะแนนที่หายไปเป็นเพราะ..... “อื้อออ” เรียวลิ้นร้อนสอดเข้ามากวาดต้อนลิ้นเราโลมรันอย่างร้อนแรงจนช่วงท้องน้อยของเราเสียววูบด้วยความรู้สึกวาบหวาม เอวของเราถูกโอบรัดจนลำตัวเราแนบชิดสนิทกันกับลำตัวล่ำสันของเจเจอร์ สัมผัสได้ถึงไอระอุอุ่นของกันและกันและมัดกล้ามภายใต้เสื้อนักศึกษาที่คงจะมีแต่ร่องรอยจิกข่วนอยู่เต็มไปหมด หลายนาทีทีเดียวกว่าเจเจอร์จะยอมละปากออก นิ้วโป้งของคนตัวใหญ่กว่าปาดเช็ดหยาดน้ำเชื่อมตรงมุมปากเรา แววตาคมส่อประกายวาววับสื่อความหมายยามจดจ้องมาที่เรา ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะขัดเขินหรืออ่อนระทวยจนยากจะต้านทานต่อสายตาส่อความปรารถนาแบบนั้นของเขาแต่สำหรับเราแล้ว “อย่าทำแบบนี้อีก เราไม่ชอบ” เราดันตัวออกจากกายใหญ่แล้วเดินแยกขึ้นตึกเรียนทันที ไม่รอฟังคำแก้ตัวของเจเจอร์หรือคำวิพากษ์วิจารณ์ของใครทั้งนั้น เจเจอร์จูบเราต่อหน้าคนอื่น แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเราจนออกนอกหน้านอกตานั้นคือสิ่งที่เราไม่ชอบ เพราะเราไม่ใช่ของของใคร ก็คิดว่าคุยกันรู้เรื่องตั้งแต่แรกแล้วนะ แต่ดูเหมือนว่าคนที่รู้เรื่องจะมีแค่เรา ปึก “อ้ะ ขอโทษ” “เพราตา....” เราหันกลับไปมองตามเสียงเรียกชื่อ คนที่เราเดินชนเมื่อกี้เป็นคนเรียกเราเอาไว้ เอียงคอน้อยๆอย่างนึกสงสัย ในคณะนี้มีคนรู้จักเราไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ที่ทำให้เราแปลกใจก็คือทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ใส่เราอย่างนั้น? แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อจู่ๆน้ำตาเม็ดโตก็ร่วงเผาะลงจากดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อนของคนที่ยืนเม้มปากแน่นอยู่ตรงหน้า... ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะนะ “ขอโทษนะ เราเดินไม่ระวังเอง รับไปสิ”เรายื่นผ้าเช็ดหน้าให้เขาแต่เขากลับเอาแต่ยืนนิ่งไม่รับมันไปปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มอยู่อย่างนั้น ตัวเราเองไม่ได้สนใจสายตาหรือความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นหรอก แต่ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะไม่ได้เป็นแบบเรา ซึ่งเราก็ไม่แปลกใจสักเท่าไหร่ ปะป๊าเคยบอกว่าเด็กแบบเรามีคนเดียวในโลกก็ทำให้คนรอบข้างเขาปวดประสาทจนอยากจะฆ่าตัวตายวันละหลายๆรอบก็พอแล้ว อย่าให้มีใครอื่นที่เหมือนเราอีกเลย เราเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันล่ะนะ “ถ้าอยากร้องไห้นักก็ตามเรามานี่” เราคว้าข้อมือเขาแล้วออกแรงดึงให้เขาเดินตาม ตอนแรกก็มีขัดขืนนิดหน่อยแต่พอเริ่มรู้ตัวว่ากำลังตกเป็นขี้ปากของนักศึกษาคนอื่นในบริเวณก็ยอมก้มหน้าเดินตามเรามาแต่โดยดี ไม่รู้หรอกว่าจะไปที่ไหนดีรู้แต่ว่าตอนนี้เราเองก็ไม่อยากจะเข้าเรียนสักเท่าไหร่ เราเบื่ออาจารย์ เบื่อวิชาที่เรียน เบื่องานที่อาจารย์สั่ง มันน่ารำคาญตรงที่หากเป็นงานคู่ทุกคนในเซคชั่นจะพยายามเสนอหน้าเข้ามาขอมีส่วนร่วมขอทำงานนั้นกับเรา พอเราอยู่ของเราเงียบๆพวกนั้นก็จะทะเลาะกันเอง พวกหว่านพืชหวังผล ใช่ว่าเราจะไม่รู้ว่าคนพวกนั้นต้องการอะไรจากเรา ไม่ว่าจะหน้าตาฐานะทางสังคมเพื่อยกหางให้ตัวเองหรือหวังโกยผลประโยชน์ให้พ่อแม่พี่น้องจากการสนิทสนมกับเราก็ตาม สุดท้ายเลยต้องขออาจารย์ทำเองคนเดียวเพื่อตัดปัญหาไร้สาระเหล่านี้ พองานเสร็จส่งเมลล์ให้อาจารย์เรียบร้อย วิชานี้ก็ไม่น่าสนใจอะไรสำหรับเราอีก “จะ ..ฮึก จะไปไหน?” “เราก็ไม่รู้” หันไปมองคนที่ถูกดึงให้เดินตามก็ต้องยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้ ใบหน้าขาวจนค่อนไปทางซีดของเขานั้นบึ้งตึงขึ้นเล็กน้อยก่อนที่ปากบางๆไร้สีสันเหมือนหน้าตาจะคว่ำเบะ ให้เด็กอนุบาลดูยังรู้ว่าคงไม่พอใจในคำตอบนั้นของเราสักเท่าไหร่ แต่เราก็ไม่รู้จริงๆนี่ว่าจะไปไหน “แล้วคุณมีที่ที่จะแนะนำให้เราไปไหมล่ะ?” “ทีหลังไม่รู้จะไปไหนก็อย่าดึงคนอื่นเค้าให้ตามมาสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้สิ” ฝ่ามือเรียวปาดเช็ดคราบน้ำตาที่เกาะอยู่บนพวงแก้มเนียน เราหยุดเดินทันที เรายกมือข้างที่ว่างซึ่งกำผ้าเช็ดหน้าที่ถูกปล่อยให้เป็นหมันตอนยื่นให้ในเขาตอนแรกขึ้นเช็ดคราบน้ำตาให้อีกคน ร่างโปร่งที่สูงกว่าเราอยู่ประมาณ 7 - 8 เซนชะงัก ดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองเราอย่างอึ้งๆแต่เราไม่สนใจ พอเช็ดจนไม่เหลือคราบน้ำตาบนดวงหน้าขาวเนียนนั้นอีกเราก็จูงมือเขาให้เดินตามต่อ “นี่ ดะ...เดี๋ยวสิ!” “เรารู้แล้วล่ะว่าจะไปไหนกันดี” . . “ห้องสมุด?” “อื้อ เราชอบ ไม่วุ่นวายดี” เราดันหลังร่างโปร่งให้เดินเข้าห้องสื่อที่มีไว้ให้นักศึกษาเลือกหนังเข้ามาดูเพื่อศึกษาเนื้อหาของหนังแต่ละเรื่องตามงานที่ได้รับมอบหมายจากอาจารย์แล้วเดินตามเข้าไปโดยไม่ลืมที่จะปิดล็อคประตู ความจริงแล้วห้องสื่อนี้จะเข้าใช้ได้ต้องมีนักศึกษา 5 คน ไม่มากกว่านี้และไม่น้อยกว่านี้ ถ้าจะบอกว่าเราเส้นใหญ่ก็คงจะไม่ผิดนัก ไม่ได้ภูมิใจหรอกแต่บางทีมันก็สร้างความสะดวกสบายให้เราดีเหมือนกัน ก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธที่จะใช้เส้นที่มีบ้างสักนิดสักหน่อยไปทำไม ใช่ว่าเราจะใช้มันบ่อยๆเสียเมื่อไหร่ “พามาทำไม?” “พามาให้คุณร้องไห้จนกว่าจะพอใจไง” เขาเม้มปากอีกแล้ว อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นกดนิ้วโป้งลงบนกลีบปากบางสีซีดนั้นเบาๆ ไม่รู้ว่าเขาเผลอไปหรือเปล่าแต่ที่แน่ๆเราไม่ได้ตั้งใจจะให้ปากที่พอสัมผัสแล้วกลับรู้สึกนุ่มนิ้วดีกว่าที่คิดนี้เผยออ้าออกเล็กน้อยเลยสักนิด ดวงตากลมโตฉ่ำน้ำตาน้อยๆขึงมองเราอย่างไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ปัดมือเราออก ก็ไม่รู้ทำไมแต่เรารู้สึกได้ใจนิดๆ ขอลองเล่นด้วยสักหน่อยแล้วกัน เราออกแรงกดนิ้วโป้งลงบนริมฝีปากล่างของเขาจนปากบางอุ่นเผยอมากขึ้นกว่าเดิม เราปาดนิ้วไปตามแนวกลีบปากกดคลึงเล่นเบาๆด้วยความหยามใจ “อ๊ะ” เราไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงแบบนั้นจากเขาแต่มันก็ทำให้เรารู้สึกวูบวาบแปลกๆ อยาก... สอดนิ้วเข้าไปสัมผัสกับความอุ่นร้อนในโพลงปากนั้นจัง............ เพี๊ยะ! “จ..จะทำอะไรของนาย!” “ทำไมต้องตีกันด้วย เราเจ็บนะ” เราเม้มปากช้อนตามองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ เราเห็นเขาชะงักไป ปากอุ่นนุ่มที่เราใช้นิ้วโป้งสัมผัสไปเมื่อครู่เม้มบ้าง ดวงหน้าขาวเนียนเบนหน้าหนีไปอีกทาง “...ขอโทษ ก็มันตกใจนี่ จู่ๆก็......” “ช่างเถอะๆ”เราปัดมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ แค่ได้ยินคำว่าขอโทษชดเชยกับความผิดที่ตีเราไปเมื่อกี้ก็พอแล้วล่ะ ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความเพราะเราขี้เกียจฟังอะไรยาวๆ เราทิ้งตัวนั่งลงบนเบาะทรงกลม เอนตัวลงน้อยๆ ความจริงก็อยากจะนอนลงไปเลยแต่เดี๋ยวเสื้อนักศึกษายับ อ่า...จริงสิ เรายืดตัวนั่งตรงก่อนที่จะถอดเสื้อนักศึกษาออกแล้วพาดมันไว้กับโซฟายาวพอ 2 คนนั่งที่ถูกจัดวางไว้ชิดมุมห้อง ทิ้งตัวลงนอนลงบนเบาะนุ่มอย่างสบายใจขึ้นกว่าเดิม “มีอะไรจะพูดกับเราล่ะ?” “หะ เอ๋?” “ก็ที่มาหาเราถึงคณะ ไม่ใช่เพราะมีเรื่องจะคุยกับเราหรอกเหรอ?”เราเอียงคอมองร่างโปร่งของเขาที่ยังคงยืนอยู่ “นายรู้เหรอว่าผมเป็นใคร?”ใบหน้าเหรอหราของเขาไม่ได้ทำให้เรายิ้มได้อย่างในตอนแรก เราถอนหายใจ เริ่มรู้สึกเหนื่อยหน่ายขึ้นมานิดๆกับท่าทางที่ดูซื่อใสไม่ทันใครแบบนั้น “ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอก แต่ตอนคุณเป่าปี่ที่ตึกเรียนตอนเราเดินชน บังเอิญได้ยินชื่อคุณจากคนอื่นที่อยู่ในบริเวณตอนนั้นพอดีน่ะ” “...” “สรุปแล้ว เราเข้าใจถูกหรือเปล่าล่ะ?” “ใช่ แต่ผมแค่อยากจะมาดูให้แน่ใจ ..แค่อยากรู้ว่าตอนนี้คนที่เจร์คบอยู่คือเพราตาคนดังของมหาลัยจริงๆหรือเปล่า .....แค่อยากให้แน่ใจเท่านั้น” ดวงตาคู่กลมไหววูบมันเจือไปด้วยความปวดร้าว ใช่ว่าเราไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร แต่จะให้เราทำยังไงได้ล่ะ? ให้พูดปลอบแล้วบอกว่าที่ได้ยินมามันไม่จริงอย่างนั้นหรือ? ตลกหน่าใครๆก็รู้ว่าเรื่องของเรากับเจเจอร์มันมีมูลของความจริงอยู่ แต่เขาคนนี้จะรู้ไหมนะว่าคำว่า‘คบ’ของเรากับคำว่า‘คบ’ของคนอื่นมันมีข้อแตกต่างกันอยู่นิดหน่อย “ผมแค่อยากรู้.. นายรักเจเจอร์หรือเปล่า?” อืม ถามให้ตรงจุดแบบนี้สิถึงจะน่าคุยต่อ เรายิ้มแล้วรอยยิ้มนั้นของเราทำให้เขาหน้าเสียไป “ถ้าเราบอกว่ารัก คุณจะตัดใจจากเจเจอร์แล้วปล่อยเขามาให้เราง่ายๆงั้นเหรอ?” เขาเม้มปากอีกครั้ง คราวนี้เงียบไปหลายอึดใจก่อนที่จะตอบเสียงดังฟังชัด แววตาที่เคยสั่นไหวเมื่อกี้เปลี่ยนเป็นมั่นคงแน่วแน่ “ไม่มีทาง!” ต้องแบบนี้สิ หึ น่าสนุกจัง.... “แล้วยังไง คุณจะแย่งเขากลับไปงั้นเหรอ?” “ผมรักเจเจอร์แล้วผมก็ค่อนข้างจะมั่นใจมากด้วยว่าผมรักเขามากกว่านาย เพราะเรารักกันมาก...ก่อนที่นายจะเข้ามาแทรกกลางระหว่างเราแล้วแย่งเขาไปจากผม!” ยอมรับว่าเราอึ้งไปเล็กน้อย เนื้อในอกข้างซ้ายมันเต้นผิดจังหวะไปหนึ่งจังหวะเห็นจะได้ แววตาเด็ดเดี่ยวอย่างคนที่ไม่คิดจะยอมแพ้อะไรง่ายๆสะกดเราได้มากกว่าดวงตาดุจเหยี่ยวจอมเจ้าเล่ห์ของบุคคลในหัวข้อสนทนาซะอีก “เราไม่ได้แย่งเขามาจากคุณ แต่เป็นเขาเองต่างหากที่ทิ้งคุณมาหาเรา” เรายิ้ม รู้ดีว่ามันเป็นรอยยิ้มปั้นแต่ง ไร้ความจริงใจและเสแสร้งสิ้นดี แต่เราอยากรู้ปฏิกิริยาโต้ตอบของคนคนนี้ อยากรู้ว่าเขาจะโต้ตอบเรามาว่ายังไง “ฮึก...ก็ถ้าไม่มีนายสักคน .....ถ้าไม่มีนาย อ้ะ!” ร่างโปร่งล้มทับตัวเราทันทีที่เราดึงขาเขาให้ลงมาหา ไม่ได้ดึงแรงอะไรมากหรอกเป็นเขาที่เสียหลักเอง สองแขนเราโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้ ใบหน้าของเรากับเขาห่างกันเพียงลมหายใจกลั้นเท่านั้น พอได้มาอยู่ใกล้ๆกันอย่างนี้เราถึงได้รู้ว่าตาของเขามันเชื่อมหวานมากขนาดไหน ภายใต้ใบหน้าที่จะดูให้น่ารักมันก็น่ารักอยู่แต่ก็ค่อนไปทางจืดชืดไร้สีสันมากกว่าซะหลายส่วน ดวงตาของเขากลับโดดเด่นขึ้นมาจนดูแปลกแยกไม่เข้าพวก กับคนคนนี้หากให้มองผ่านๆแบบไม่ใส่ใจไม่มีส่วนไหนเลยที่น่าสนใจหรือดึงดูดใจพวกนักล่าได้ อย่าว่าแต่พวกนักล่าเลยขนาดคนธรรมดาคงจะมองผ่านเลยไปเสียด้วยซ้ำ ไม่แปลกใจที่จะได้ยินใครหลายคนบอกว่าเราเหมาะสมกับเจเจอร์มากกว่า แต่ที่เรานึกแปลกใจก็คือ... ทำไมคนอย่างเจเจอร์ถึงได้คบกับคนที่ดูจืดชืดแบบนี้มาได้เป็นเดือนๆกันนะ? ในความแปลกใจของเรามันมีความอยากรู้แทรกอยู่.... และอดจะยอมรับไม่ได้ว่าตอนนี้เราเองก็ค่อนข้างจะมีความ‘สนใจ’ในตัวเขาคนนี้อยู่ไม่น้อย “ปะ.....ปล่อย” เสียงหัวใจที่เต้นรัวอยู่บนอกขวาของเราขัดกับคำพูดนั้นของเขาจนเราต้องหัวเราะออกมาเบาๆ “ขอกอดหน่อย เราหนาว” “ถ้าหนาวก็ไปใส่เสื้อสิ!” “ถ้าใส่เสื้อก็ไม่ได้กอดคุณสิ เราอยากกอดคุณมากกว่านะ” เห็นพวงแก้มเนียนขึ้นสีปลั่งเราก็รับรู้ได้ในทันทีว่าทำให้เขาไขว้เขวออกจากบทสนทนาเมื่อครู่ได้แล้ว อ่า...ผู้ชายคนนี้น่ารักจัง ดูก็รู้ว่าเขาคงเป็นรับเหมือนกันกับเรา ไม่ใช่สเปคหรอกยิ่งเป็นฝ่ายถูกกระทำเหมือนกันยิ่งไม่ใช่.... แต่ก็อยากลอง “นี่ โตยธาร อยากให้เราเลิกยุ่งกับเจเจอร์อย่างนั้นเหรอ?” ไม่เคยมีความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนายพรานมาก่อน จนกระทั่งตอนนี้ ลองหย่อน 'บ่วง' ลงไป ที่เหลือก็แค่รอดูว่า 'เหยื่อ' ตัวนี้จะกระโจนเข้าใส่หรือเปล่า ทั้งๆที่ก็น่าจะรู้อยู่ว่ามันเป็นกับดักนั่นแหละ ปากบางเม้มเข้าหากันอีกแล้ว ดวงตากลมไหววูบแต่ก็ไม่ละสายตาไปจากตาของเรา เราเองก็ไม่ได้รีบจะเอาคำตอบอะไร อยู่อย่างนี้ก็สบายดีถึงจะโดนทับอยู่ก็เถอะ เราใช้มือที่คล้องรอบคออีกคนไล้ลูบเบาๆตรงบริเวณต้นคอที่เริ่มชื้นเหงื่อน้อยๆ ขยับตัวบดเบียดกายอีกคนเล็กน้อยพอให้สัดส่วนของเราเสียดสีกันไปมาจนเกิดไอระอุอุ่นกรุ่นๆเท่านั้น ยอมรับว่าจงใจทำลายสมาธิในการขบคิดของเขาและต้องการเร่งเพื่อให้เขาตอบในสิ่งที่เราต้องการออกมา ถึงจะไม่รีบแต่ยิ่งใช้เวลาคิดน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี “แล้ว...ต้องทำยังไง?” อยากจะยิ้มอย่างสมใจออกมาแต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้ เราขยับยกหน้าขึ้นแลบลิ้นสีสดแตะเลียไปตามกลีบปากอีกคนช้าๆ เขาจะผงะถอยแต่เราไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นหรอก เราจับยึดต้นคอของเขาเอาไว้ก่อนที่จะดุนลิ้นเลียจนริมฝีปากนุ่มชุ่มฉ่ำด้วยหยาดน้ำใส ตาของเราสบกับตาของเขา ใกล้กันเสียจนเห็นใบหน้าที่กำลังขึ้นสีระเรื่อกับดวงตากลมที่เริ่มจะฉ่ำเยิ้มของเราผ่านนัยน์ตาคู่นั้นชัดเจน ... “ทำให้เราพึงพอใจมากกว่าเจเจอร์สิ” . . "...เพื่ออะไร?" เรายิ้มอีกครั้งคาดว่าครั้งนี้น่าจะมาจากใจนะ ไม่รู้สิรู้แค่เราอยากยิ้ม... เห็นหน้าเขาตอนนี้แล้วมันตลกดี เขาถามเราว่าเพื่ออะไรอย่างนั้นเหรอ? อ่า....ความจริงมันก็ตอบไม่ยากหรอก คำตอบนั้นเรามีให้ตัวเองตั้งแต่เอ่ยคำพูดประโยคบนไปแล้วล่ะ . . “เราอยากลอง”
|