ชายปริศนาที่อยู่เบื้องหน้ายังยืนนิ่งแสดงอำนาจต้านปรากฏการณ์ธรรมชาติ ฝนถาโถมหนักหน่วงไม่สามารถสัมผัสถึงตัวเขาได้แม้เพียงเสี้ยวละออง ผมจนด้วยเกล้า ไม่สามารถอ่านความคิดได้เลยว่าเขาต้องการอะไร และทำแบบนี้เพื่ออะไร ข่มขวัญ? หยั่งเชิง? หรือคิดแบบกำปั้นทุบดินคือจำเป็นต้องทำเพราะไม่อยากเปียกฝน? “ผมอยู่ระดับเดียวกับคุณ อย่าพยายามเล่นกับความคิดผมเลย เหนื่อยเปล่า” แม้แต่รอยยิ้มยังยากที่จะประเมินว่าเสแสร้งแกล้งทำหรือไม่ ที่แน่นอนคือเจ้านี่คงต้องการบางสิ่งบางอย่างจากผม และมันคงไม่ใช่เรื่องผิวเผินเช่นคนแปลกหน้าถามทางหรือชวนทำขายตรง ผมรู้สึกถูกคุกคามเช่นเดียวกับครั้งที่ได้รับจดหมายแบล็คเมล์ แต่คราวนี้สถานการณ์กดดันมากกว่านั้นเป็นทวีคูณ มีลางสังหรณ์ว่าชีวิตของผมนับแต่นี้จะต้องเปลี่ยนไป. . .มากทีเดียว “ต้องการอะไร?” ผมตัดสินใจเข้าประเด็น ทำทีใจดีสู้เสือ “ไม่ต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นก็ได้ ฮะ ๆ เราเป็นพี่เป็นน้องกันนะ” “โทษทีนะ เป็นลูกคนเดียว” ผมตอบเสียงแข็ง “มีอีกหลายเรื่องที่คุณยังไม่รู้ และผมเชื่อว่าคุณต้องอยากรู้ จะไม่หาที่เงียบ ๆ นั่งคุยกันสักหน่อยหรือ” เขาเชื้อเชิญอย่างกันเอง แต่ใครจะกล้าไว้ใจ ใบหน้าหมอนี่ไม่ต่างจากยิ้มซ่อนดาบ “ผม ไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้น ถ้าเราเป็นเหมือนกันก็ตัวใครตัวมันเถอะ” ทางออกที่ผมคิดได้คือ ถอยไปตั้งหลักก่อน รีบปลดล็อคประตูรถยนต์อย่างไม่รอช้า...ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนไล่หลังตามมา “เต๋อ ๆ ลืมโฟมล้างหน้าน่ะ!!” หมดกัน ทำไมเจ้าภูมิต้องทะเล่อทะล่าโผล่มาตอนนี้นะ โฟมหลอดละไม่กี่สิบบาทเก็บไว้ใช้เองเถอะเจ้าบ้าเอ้ย “เต๋อ! อย่าเพิ่งไป อ๊อก!” ร่างของภูมิถูกยกขึ้นเหนือพื้น ลำตัวบีบเกร็งเหมือนมีงูเหลือมล่องหนโอบรัดกลางอากาศ “ภูมิ!!” ผมก้าวขาจะวิ่งเข้าไปหา แต่อีกฝ่ายยกมือเสมออกขึ้นปรามเหมือนจะพูดว่าจงตั้งใจฟัง “คนฉลาดอย่างคุณคงรู้สินะว่าควรทำยังไง ผมไม่ได้ลงทุนพลิกแผ่นดินตามหาคุณเพื่อรอให้เมินใส่อย่างนี้หรอกนะ” “ปล่อยเพื่อนผมก่อน!” “เปิดประตูรถซะ ผมจะเข้าไปนั่งคอยบอกทาง ส่วนคุณเป็นคนขับ” เขาเดินฉับ ๆ ตรงยังประตูด้านข้างคนขับ เหมือนกับอ่านออกว่ายังไงผมก็ต้องเป็นฝ่ายจำยอม ขณะมือขวายังคงยื่นไปทางภูมิเพื่อควบคุมร่าง ผมไม่มีทางอื่นใดนอกจากรักษาชีวิตเพื่อนไว้ ท้ายที่สุดเจ้าตัวอันตรายก็นั่งอยู่ข้างผมจนได้ เขากดใช้โทรศัพท์หาใครสักคนซึ่งอนุมานได้ว่าคงเป็นพวกเดียวกัน“ผมอยู่กับเขาแล้วมีน ขับตามหลังมาเลย บีเอ็มสีดำที่เห็นนี่ละ” ช่วยไม่ได้จริง ๆ ลองงัดกระแสจิตหลายประเภทออกมาใช้แล้วก็ยังไม่ได้ผล ทั้งควบคุม กดกระแสจิตตรึงร่าง อ่านใจ ทำให้ง่วง ทำให้หลงลืม ลบความทรงจำ เมื่อใช้กับเจ้านี่ทุกอย่างมีค่าเป็นศูนย์ พูดอีกอย่างคือเมื่ออยู่ต่อหน้ามันผมก็ไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดา อย่างไรก็ตาม ผมควรนึกถึงความปลอดภัยของภูมิก่อนอื่นใด “ปล่อยเพื่อนผมได้รึยัง?” ผมพยายามระงับอารมณ์พูดกับมันดี ๆ “อ้อ ลืมไป” เขาลดมือลง ภูมิหล่นแอ้กลงพื้นไม่ปรานีปราศรัย “แก!!” “ใจเย็นน่า ฮะ ๆ ล้อเล่นนิดหน่อยเอง” หมอนี่หัวเราะได้หน้าตาเฉย ต่อให้ไม่มีใครบอก ผมก็เดาได้ว่าที่ผ่านมามันคงใช้พลังประจำตัวทำร้ายคนเคยมือเหมือนบี้มดแมลง “ไปกันได้รึยังครับหนุ่มน้อย?” รอยยิ้มที่มันมอบให้ทำผมอยากตบฟันร่วงชะมัด บ้าชิบ! ผมชินอยู่แต่การเล่นสนุกคอยควบคุมชีวิตคนอื่น วันนี้เกิดพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกอะไรขึ้นมาถึงต้องกลายเป็นฝ่ายถูกควบคุมซะเอง ซ้ำร้ายยังนึกไม่ออกจริง ๆ ว่ามีวิธีไหนที่จะตอบโต้หมอนี่ได้ผลบ้าง ตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้นอกจากตามน้ำไปก่อน รถของผมออกตัวสู่ท้องถนนโดยมีชายลึกลับเป็นผู้กำกับเส้นทาง ด้านหลังมีรถเก๋งสีบรอนซ์อีกคันขับตามมา คงเป็นรถที่หมอนี่ใช้สะกดรอยจนเข้าถึงตัวผม เมื่อพบแล้วก็คงแยกตัวมานั่งคุมเชิงคันเดียวกัน จากนั้นจึงให้พรรคพวกที่เหลือขับตาม...ผมแอบดูกระจกคนขับมองภูมิด้วยความเป็นห่วง เขาค่อย ๆ โกยร่างเปียกโชกของตัวเองลุกขึ้นท่ามกลางฝนตกหนัก ...“เต๋อ . . . มีเรื่องปิดบังภูมิหรือเปล่า เต๋อทำอะไรอยู่. . .” เสียงความคิดภูมิก้องเข้ามาในหัวผม และแผ่วจางลงเมื่อลับสายตา.....ภายในรถอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความอึดอัด แม้เจ้าบุคคลปริศนาจะไม่ถืออาวุธในมือ แต่ระดับพลังที่มันมีติดตัวก็ไม่ต่างอะไรกับใช้ปืนจ่อขมับผม ผมได้แต่ขับรถไปตามคำบอกของเจ้านี่ “เต๋อสินะ” เป็นประโยคแรกที่อีกฝ่ายพูดขึ้นโดยไม่ข้องเกี่ยวกับคำสั่ง แต่ผมไม่ตอบซะอย่าง ใครจะทำไม “ผมชื่อธนิก ตอนนี้ยี่สิบหกแล้วล่ะ ส่วนคุณน่าจะยี่สิบต้น ๆ สินะ” เขายังคงพูดต่อ ส่วนผมได้แต่นั่งเงียบ “ธนิก คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่” ผมถามขึ้นบ้าง และถึงแม้จะทราบอายุแล้ว กับไอ้หมอนี่ก็ไม่ขอเรียกพี่ให้เป็นเสนียดปาก “เดี๋ยวไว้คุยกันที่สวนสาธารณะ เรื่องมันยาวทีเดียว คงไม่จบแค่คืนนี้หรอก” เขาบ่ายเบี่ยงอย่างนิ่งเรียบ “จริงสิ ในฐานะที่เป็นญาติกัน ขอแสดงความเสียใจเรื่องคุณแม่ด้วยนะ” “แม่เสียนานแล้วละ แล้วงานศพแม่ผมก็ไม่เห็นมีใครไปสักคน เพิ่งมานับญาติอะไรกันป่านนี้” ผมประชด “เรื่องนั้นมีเหตุผล แม่นายก็ทำกับพวกเราไว้เยอะ” เขายิ้มอย่างมีเลศนัย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าปมหลังความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวผมและครอบครัวหมอนี่คงซับซ้อนเกินกว่าที่ผมรู้อยู่ในตอนนี้ “เอาเถอะ เต๋อ ผมขอถามอะไรคุณสักอย่างได้ไหม. . .” ดูเหมือนเขาจะเกริ่นตามมารยาทมากกว่าเป็นการขออนุญาต “ไม่อยากใช้ความสามารถที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ต่อโลกกว่าการเที่ยวแก้แค้นเพื่อนสมัยเรียนบ้างรึ?” ผมกลืนน้ำลายแต่กลับรู้สึกเหมือนกลืนเข็มลงคอ เจ้านี่รู้ทุกอย่าง? “เป็นประโยชน์?. . . ยังไง?” ผมถามต่อ “เป็นต้นว่า. . .” เขาพเยิดหน้าไปทางรถยนต์อีกคันที่แล่นขนานมากับผม คนขับกำลังเลื่อนกระจกรถแล้วทิ้งกระป๋องเบียร์ลงพื้นถนน...ธนิกเลื่อนกระจกยื่นมือออกไปด้านข้าง เขาหงายฝ่ามือและพลิกกลับอย่างรวดเร็ว รถยนต์คันข้าง ๆ ก็เสียการทรงตัว หมุนคะมำตกลงข้างทาง ราวกับว่ามือของเขามีเส้นใยโยงยึดวัตถุให้เคลื่อนไหวตามปลายนิ้ว ส่วนผมอ้าปากหวอ “แกมันบ้าไปแล้ว!?” ผมตวาด “ไม่ต้องตกใจ ขับต่อไป” เขาพูดอย่างกับว่าน้ำหนักเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มีค่าไม่ต่างจากปัดแมลงที่บินเกาะหน้ารถ สองมือที่กุมพวงมาลัยของผมเริ่มชุ่มเหงื่อ นี่กำลังนั่งอยู่กับผีบ้าอะไรกันเนี่ย!? ผมรีบเลียบรถเข้าข้างทาง “เป็นอะไรมากรึเปล่าเนี่ย! ต้องจอดรถลงไปดู!” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เท้าของผมกดลงไปให้ถึงเบรคไม่ได้เหมือนกับมีแรงบางอย่างต้านอยู่ใต้ฝ่าเท้า ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นฝีมือธนิก รถจึงยังเคลื่อนตัวต่อไป ผ่านจุดรถคว่ำมาไกลเสียจนเกินจะหวนกลับ “เป็นห่วงมันทำไม? คนอย่างมันสมควรถูกกระทำเยี่ยงขยะ เหมือนขยะที่มันทิ้งอย่างมักง่าย” ธนิกให้เหตุผลด้วยรอยยิ้มผยอง “โลกเราทุกวันนี้ คนขาดจิตสำนึกกันเยอะ” เขาพูด ซึ่งผมคิดว่าธนิกควรจะรวมตัวเองเข้าไปในคำกล่าวนั้นด้วย โชคดีที่หมอนี่อ่านใจคนไม่ได้ “คนอย่างผมก็ได้แต่กวาดล้างพวกมันไปเรื่อย แต่ยิ่งกำจัดก็ยิ่งโผล่มาใหม่เรื่อย ๆ เหมือนฝูงแมลงที่ฆ่าเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด ทั้งนักการเมือง ผู้มีอิทธิพล พวกขายชาติ อาชญากร เดนสังคมต่าง ๆ” แววตาของเขาฉายด้วยประกายแห่งอุดมการณ์. . .ที่ผมคิดว่ามีจุดยืนออกไปทางเผด็จการเสียมากกว่า “แต่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหลังจากที่ผมได้พบคุณไงละครับ คุณเต๋อ” . . . มันก็ต้องเปลี่ยนแน่นอนอยู่แล้วล่ะไอ้คนหัวรุนแรง ผมใช้ชีวิตอยู่ของผมดี ๆ จู่ ๆ มันก็เป็นคนดึงผมเข้ามามีเอี่ยวกับอะไรสักอย่างซึ่งผมคิดว่าคงไม่สมัครใจทำแน่ ๆ . . . .โธ่เว้ย!! ฝากหนึ่งในสวนสาธารณะ ยามค่ำคืนเช่นนี้ย่อมมีผู้คนเพียงบางตาเนื่องด้วยใกล้ถึงเวลาปิดให้บริการ จะมีก็แต่กลุ่มคนที่ยังอยู่เพื่อออกกำลังกาย คู่รักที่นั่งตามจุดต่าง ๆ และอันธพาลมิจฉาชีพที่กลุ่มกระจายตัวกันเป็นหย่อม ๆ แม้คนกลุ่มนี้จะไม่ห้อยป้ายบอกไว้ว่าเป็นคนไม่น่าไว้วางใจแต่หากประเมินด้วยสายตาคร่าว ๆ ก็พอจะมองออกว่าไม่ควรเข้าใกล้ บรรยากาศโดยรวมของสวนแห่งนี้เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างหลากหลาย อาทิ อนุเสาวรีย์บุคคลสำคัญ สระน้ำ รูปปั้น น้ำพุ สนามบาส สนามตะกร้อ ดูเผิน ๆ อาจจะเป็นที่น่าพักผ่อนหย่อนใจ ทว่าอีกด้านในยามวิกาล พุ่มไม้รก ต้นไม้ใหญ่ และมุมอับสายตามากมายก็เป็นเครื่องบงบัดอาณาเขตต่าง ๆ ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดเหตุไม่เหมาะสมและอาชญากรรม อย่างไรก็ตาม มีนักเรียนมัธยมต้นในเครื่องแบบโรงเรียนเซนต์แมธธิวสองคนที่ดูเหมือนจะไม่หวาดระแวงสภาพแวดล้อมดังกล่าวแม้แต่น้อย พวกเขานั่งคุยกันบนม้านั่งยาวหน้าลานน้ำพุเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีคนผ่านไปมาได้สักชั่วโมงเศษแล้ว “กูต้องกลับบ้านแล้วล่ะไอ้เอฟ ขอโทษว่ะ” “ต๊ะ. . . มึงคิดดีแล้วใช่ไหม” “อย่าให้กูพูดซ้ำอีกรอบเลยไอ้เอฟ กูว่าเราควรจะเป็นแค่เพื่อนกัน” “เพราะกูกับมึงเรียนต่อคนละที่งั้นเหรอ” เอฟกำหมัดแน่น “อืม. . .โรงเรียนช่างที่กูจะไปอยู่คงรับเรื่องเกย์ไม่ได้ ที่สำคัญ กูอยากกลับไปเป็นผู้ชายธรรมดา” ต๊ะลุกขึ้นปัดแข้งขาและคว้าเป้ขึ้นสะพายหลัง “รอเดี๋ยว! ไอ้ต๊ะ!” เอฟลุกขึ้นคว้ามือต๊ะไว้ กลุ่มวัยรุ่นที่นั่งอยู่ตรงข้ามมองมาพลางกระซิบกระซาบ คงตีความได้ว่าเด็กทั้งสองเป็นคู่เกย์กำลังมีปัญหากัน “พอเถอะเอฟ ทำอย่างนี้ดูไม่ดีเลยว่ะ” ต๊ะสะบัดข้อมือออก ยิ่งรู้ว่ามีคนมองอยู่ยิ่งอยากจะหนีออกไปไกล ๆ “อย่าลืมสิ มึงเป็นเมียกูแล้วนะ!” เอฟพูดเสียงดังโดยไม่ทันคิด และสิ่งที่ตามมาคือกำปั้นจากอีกฝ่ายพุ่งใส่หน้าดังผั้วะ “ถ้ามึงรักกูจริง ปล่อยกูไปตามทางของกูเถอะ” ต๊ะทิ้งคำพูดสุดท้ายให้เอฟที่ยืนนิ่ง ก่อนจะเดินลับไป.....อีกด้านของสวนสาธารณะ บริเวณศาลาริมน้ำ ผมนั่งอยู่กับชายสองและหญิงอีกหนึ่ง ได้แก่ ธนิก หนุ่มสูงใหญ่วัยยี่สิบหกสวมแว่นกรอบดำหนา ท่าทางอบอุ่นแต่แฝงไว้ซึ่งพลังอำนาจจิตเหลือประมาณ อีกคนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มวัยมัธยมปลายผิวพรรณดูสดใสแต่รูปร่างบอบบางเหมือนจะอ่อนแอ ท่าทางแหยๆ ไม่ชอบสบตาคน และคนสุดท้ายเป็นหญิงสาวหุ่นเซ็กซี่รุ่นราวคราวเดียวกับธนิก เธอสวมเชิ้ตและกางเกงขายาวเข้ารูปดูทะมัดทะแมง “สาวสวยคนนี้ชื่อพี่มีน เป็นพี่คนโตที่สุดในกลุ่ม ส่วนน้องคนนี้ชื่อณัฐ” ธนิกแนะนำให้ต่างฝ่ายได้รู้จักกัน ซึ่งผมยังมองไม่เห็นความสำคัญที่จะต้องรู้จักคนแปลกหน้าที่อาจมีพลังพิลึกกึกกือพร้อมกันถึงสามสี่คนเช่นนี้ “พวกเราทุกคนเป็นญาติกัน มีสายเลือดแห่งอนาคตอยู่ร่วมกัน อำนาจของทายาทจากตระกูลเราสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ได้” ธนิกอธิบายต่อว่าเดิมทีบรรพบุรุษตระกูลผู้มีพลังจิตเป็นชนกลุ่มน้อยซึ่งอาศัยอยู่บริเวณผืนป่าขนาดใหญ่ในภาคตะวันตก มีการสืบทอดภูมิปัญญาการใช้อำนาจจิตแต่ละประเภทส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่นผ่านผู้ที่มีความสามารถจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำโดยถ่ายทอดผ่านบันทึกข้อความหรือโทรจิต จนมาถึงยุคของสยามประเทศ คนรุ่นใหม่เริ่มละทิ้งวิถีชีวิตในป่า หันมาเอาดีกับการใช้พลังพิเศษสร้างชีวิตใหม่ที่รุ่งเรืองกว่าในสังคมเมือง หลายคนเคยเป็นถึงมหาอำมาตย์ ราชองค์รักษ์ ปุโรหิต ปราชญ์หลวงประจำราชสำนัก รวมถึงชนชั้นกระฎุมพีอันมีชีวิตความเป็นอยู่แสนมั่งคั่ง หากจะเปรียบกับยุคสมัยนี้ ก็คงเหมือนกับที่เต๋อใช้อำนาจจิตโน้มน้าวผู้คนให้ช่วยซื้อผลิตภัณฑ์จนยอดขาดทะลุเป้า เติบโตในอาชีพอย่างก้าวกระโดด สกุลที่ใช้ในปัจจุบันคือ “พิทักษ์มณเฑียร” หากแต่ข้อจำกัดของคนในตระกูลคือ การรักษาคุณลักษณะของผู้มีพลังจิตให้กับทายาทเป็นไปได้ยาก ถ้าผู้มีสายเลือดพลังจิตแต่งงานกับคนปกติ บุตรที่เกิดมาก็ย่อมมีโอกาสเป็นได้ทั้งผู้มีพลังจิตและคนธรรมดา พูดให้กระชับก็คือ พันธุกรรมเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาเผ่าพันธุ์ให้ดำรงอยู่ ยิ่งให้อิสระต่อการแต่งงานข้ามสายเลือดเท่าไหร่ จำนวนทายาทผู้มีพลังจิตก็ยิ่งลดลงเป็นเงาตามตัว ดังนั้นวิธีหนึ่งที่ผู้ใหญ่และหัวหน้าตระกูลนิยมใช้กันทุกยุคสมัยก็คือ การรักษาสายเลือดพิเศษโดยบังคับให้แต่งงานกันเองระหว่างพี่น้อง หรือลูกพี่ลูกน้องที่เป็นผู้มีพลังจิตเหมือนกัน ...“ไปกันใหญ่แล้ว ผมเพิ่งมีพลังตอนอายุสิบห้าสิบหก ไม่ได้ติดตัวตั้งแต่เกิดเหมือนพวกคุณ” ผมแทรกกลางคัน หญิงสาวชื่อมีนป้องปากกระแอมหัวเราะเบา ๆ “ยังมีเรื่องที่เธอไม่รู้อีกเยอะ น้องเต๋อ” “สายเลือดผู้มีพลังจิตทุกคนล้วนได้อำนาจพิเศษติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่มีหรอกที่จู่ ๆ จะได้มาเองทีหลังเหมือนชิงโชคสอยดาว” ธนิกเสริม “เป็นไปได้ว่า. . . แม่เธอไม่อยากให้เธอรู้ว่าตนเองมีอำนาจจิตเหนือมนุษย์ จึงใช้วิธี. . .” มีนพูดไม่ทันจบประโยค ธนิกก็รีบโพล่งขึ้นมาฉับพลัน “พูดมากไปหน่อยแล้วครับพี่มีน” เขาแย้งตาขวาง “จะยังไงก็เถอะ ผมเพิ่งใช้โทรจิตได้หลังเรียนจบ ม. ต้น ลงแรงฝึกฝนอยู่สองสามปีกว่าจะใช้พลังได้คล่องแคล่ว จากนั้นจึงตามล้างแค้นเพื่อนสมัยเรียนเงียบ ๆ ปกปิดตัวเองจากสังคม แล้วพวกคุณรู้ได้อย่างไรว่าผมก็เป็นหนึ่งในผู้มีพลังพิเศษ” ผมถามบ้าง “ไม่ยากหรอก” ธนิกหยิบสมุดโน้ตปกดำเล่มหนึ่งชูขึ้น “นี่คือสมุดบันทึกประวัติศาสตร์พลังจิตทุกประเภทที่เคยจากสายเลือดตระกูลเรา รวมทั้งจุดอ่อนจุดแข็งของพลังจิตแต่ละประเภท ผมรวบรวมจากคำบอกเล่าผู้อาวุโสในตระกูลส่วนหนึ่ง และจากเอกสารเก่าแก่ส่วนหนึ่ง. . .” ความอยากรู้ทำให้ผมจ้องสมุดเล่มนั้นอย่างไม่สำรวม “แต่มันไม่ใช่ของที่จะให้ดูกันง่าย ๆ หรือพิมพ์แจกได้เหมือนชีทถูก ๆ ตามโรงเรียนกวดวิชาหรอกนะ” ธนิกพูดขึ้นมาอย่างรู้ทัน “ที่ผมพูดขึ้นมาก็เพื่อจะบอกว่า. . . จากสมุดบันทึกเล่มในมือผมนี้ ทำให้รู้ว่า การใช้โทรจิตควบคุมพฤติกรรมคู่อริหรือคู่แข่งให้ประจานตัวเองจนอยู่ในสังคมไม่ได้ เคยมีคนทำมาแล้ว” เขายิ้ม “ไม่รู้สึกตัวบ้างเหรอคะน้องเต๋อ ช่วงปีที่ผ่านมานี้มีข่าวคนทำอนาจารในที่สาธารณะถี่จนผิดสังเกต และแต่ละรายกระทำไปด้วยอาการขาดสติเกินวิสัยคนปกติ ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันก็ข่าวนักเรียนคณะศิลปกรรม ม.ดังคลั่งยา แก้ผ้าวิ่งล่อนจ้อนไปทั่ว” มีนช่วยใบ้ทางอ้อม “จุดที่น่าสังเกตคือ คนเหล่านั้นล้วนอยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน” ธนิกกระชับรายละเอียดให้ลงลึกยิ่งขึ้น มาถึงตรงนี้ ผมรู้สึกหน้าชาเหมือนขโมยของในห้างแล้วถูกยามจับได้คาหนังคาเขา “และเมื่อพวกเราแกะรอยประวัติย้อนหลัง ก็พบลักษณะร่วมของเหยื่อแต่ละราย ทุกคนจบม.ต้น จากโรงเรียนเดียวกันหมด จึงนำไปสู่ข้อสันนิษฐานว่า เป็นไปได้ว่าคนกลุ่มนี้อาจมีความบาดหมางกับผู้มีพลังพิเศษ แน่นอน หากเป็นผม. . . คนพวกนี้คงถูกเอาคืนด้วยการฉีกแขนขาออกเป็นชิ้น ๆ แต่จากสภาพที่เป็นอยู่ ทำให้มองออกได้ว่า พลังของคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ น่าจะเป็นสายโทรจิตควบคุมความคิด” คำพูดของธนิกเชื่อมโยงทุกอย่างได้แม่นยำจนผมขนลุก “แล้วก็ไม่ผิดหวัง ยิ่งเราปะติดปะต่อข้อมูลหลายส่วนเข้าด้วยกัน ก็ยิ่งแน่ใจว่าน้องต้องเป็นคนสายเลือดเดียวกับพวกพี่ ไม่ว่าจะเป็นถิ่นที่อยู่ล่าสุดซึ่งแม่ของน้องหนีการตามล่าจากคนในตระกูล มันก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงเรียนที่น้องจบมา ที่เห็นได้ชัดมากคือการที่น้องประสบความสำเร็จสูงเกินวัย เชื่อไหมว่าไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ในอดีตผู้พลังพิเศษคนอื่น ๆ ก็เคยสร้างตัวแบบนี้เช่นกัน” มีนช่วยธนิกเสริมต่อพลางเสยผมอย่างสบายอารมณ์ “นี่แค่เรียกน้ำย่อย เมื่อใดที่พวกเราไว้ใจคุณได้ เราจะให้คุณรู้เท่า ๆ กับที่พวกเรารู้” ธนิกชูสมุดปกดำเล่มนั้นขึ้นอีกครั้งให้ผมเห็นชัด ๆ แทนโฆษณาเชิญชวน ...จากประสบการณ์ที่ผมทำธุรกิจขายตรงทำให้พบสัจธรรมข้อหนึ่งว่า โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี หากผมอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับชาติกำเนิดตัวเอง ก็อาจต้องให้สิ่งแลกเปลี่ยนในระดับที่พวกเขาคิดว่าคุ้มค่า และจากภาพรวมทั้งหมด ผมพอประเมินได้ว่าพวกเขาตั้งความหวังกับผมไว้สูงทีเดียว...“ขอโทษเถอะนะครับ ผมไม่มีเกียรติพอที่จะให้พวกคุณนับร่วมวงศาคณาญาติด้วยหรอก ผมพอใจที่จะใช้ชีวิตโดดเดี่ยวอย่างนี้ ใช้พลังกับเรื่องที่ผมอยากจะใช้” “นั่นคือการล้างแค้นสินะ” ธนิกพูดต่อให้ “คุณรู้ไหมว่าปัจจุบันมีผู้มีพลังพิเศษเหลือเพียงสี่คนที่นั่งหน้าสลอนอยู่ที่นี่เท่านั้น” เขาพูดต่อ ผมมองกวาดไปที่หน้าทุกคนที่อยู่ในที่นี้ ก็มีเพียงเจ้าแว่นเก็บกดหัวรุนแรง สาวมั่นจัดจ้าน เด็กผู้ชายอ้อนแอ้นท่าทางไม่ค่อยเต็ม กับไอ้โรคจิตชอบบงการชีวิตคนอื่นเท่านั้น ไม่เห็นว่ามันจะสลักสำคัญอะไรจนถึงกับต้องเน้นว่า “เหลือเพียงสี่คน” “ตอนนี้ผมรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูล กำลังทำโครงการสำคัญอยู่สองเรื่อง” เขาพูดอย่างจริงจัง “โครงการแรกเป็นการฟื้นฟูสถานภาพของตระกูล โดยการเพิ่มจำนวนผู้มีพลังพิเศษให้เพิ่มขึ้นมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่นั่นไว้คุยกันทีหลัง ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญกับคุณนัก” “แต่โครงการที่สองจะลุล่วงไปไม่ได้เลยถ้าขาดคุณ ผมไม่คิดฝันจริง ๆ ว่าจะพบผู้ใช้โทรจิตสายควบคุมความคิดในรุ่นของเรา ในประวัติศาสตร์หลายร้อยปีบันทึกไว้ว่ามีผู้มีความสามารถนั้นแค่สามคนเอง” เขาพูดอย่างตื่นเต้น “มันคืออะไรว่ามา. . .” ผมเร่งให้เขาพูดจบเร็ว ๆ ชักเบื่อหน่ายขึ้นทุกที ถ้าล่องหนหนีหายไปได้คงทำไปแล้ว “อย่างที่ผมพูดในรถ คุณไม่คิดจะใช้พลังที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ต่อโลกมากกว่าการล้างแค้นหรือ ผมไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเลิกล้างแค้น เพียงแต่อยากให้เข้าร่วมกลุ่มกับเราเพื่อขับเคลื่อนโลก” “ผมขอตัวก่อนนะครับ” เริ่มรู้สึกทนไม่ได้กับความเพ้อเจ้อที่ทวีคูณขึ้นทุกที “ขอเวลาอีกสักหน่อย ฟังให้จบก่อนเถอะค่ะน้องเต๋อ ธนิกความมีความตั้งใจจริงนะ” มีนพูดยื้อไว้ เธอดูเป็นมิตรและอาวุโสที่สุดในกลุ่มจึงทำให้ผมเกรงใจอยู่ในที ผมหลับตาทนฟังต่ออย่างเสียมิได้ ส่วนเด็กชื่อณัฐนั่งเงียบหลบมุมเหมือนเบื่อหน่ายเรื่องที่กำลังคุยกันอยู่ “ขณะนี้โลกของเรากำลังเริ่มก้าวสู่ยุควิกฤต การขยายตัวของประชากรโลกและโลกาภิวัฒน์ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ นานา ตั้งแต่ปัญหาการเมือง การคอรัปชั่นภายในประเทศ ไปจนถึงความขัดแย้ง เหลื่อมล้ำ เอารัดเอาเปรียบกันระหว่างนานาประเทศและกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ นำไปสู่ภาวะสงคราม ความไม่สงบ รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ขยะมูลฝอยสร้างมลพิษไปทุกหย่อมหญ้า ผืนน้ำ ผืนป่า สัตว์น้อยใหญ่มากมายกำลังถูกเบียดเบียนทั้งถิ่นอาศัยและสิทธิ์ในชีวิต” ธนิกหลับตาสาธยายราวกับกล่าวสุนทรพจน์ออกอากาศในรายการที่ไม่ค่อยมีคนอยากจะดู “ผมเคยพูดกับคุณว่า ยิ่งผมกำจัดบุคคลที่เป็นต้นตอของปัญหาเท่าไหร่ก็ดูเหมือนว่าพวกมันยิ่งผุดงอดขึ้นมาเรื่อย ๆ เหมือนดอกเห็ด เพราะสิ่งที่ผมทำได้คือการ “ลบทิ้ง” ไม่ใช่ “แก้ไข” ” “แต่คุณต่างจากผม คุณเต๋อ คุณสามารถควบคุมมนุษย์เราให้อยู่กับร่องกับรอยได้ พฤติกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น” “หมายความว่าจะให้ผมเที่ยวสะกดจิตคนทั้งโลกงั้นหรือ ความคิดเข้าท่า” ผมกระทบกระเทียบ “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก. . . คุณคงยังไม่รู้ว่าผู้ใช้โทรจิตสามารถควบคุมคนโดยใช้สื่อเป็นตัวกลางได้” ธนิกยิ้มอย่างมีเลิศนัยและกล่าวต่อไป “ผมอยากให้คุณไปศึกษาต่อต่างประเทศ ผมจะออกทุนให้เอง เมื่อคุณประสบความสำเร็จสูงแล้วก็ลงมาเล่นการเมือง ด้วยความสามารถพิเศษของคุณ คงไม่ไกลเกินเอื้อมที่จะก้าวตำแหน่งผู้นำความคิดที่มีอิทธิพลต่อประชาคมโลกได้ วันใดที่ทุกคนบนโลกได้เห็นคุณผ่านหน้าจอ วันนั้น. . .” เขาหยุดชะงักลงเหมือนกำลังนึกคำพูดต่อ...“เธอก็จะสามารถควบคุมผู้นำประเทศต่าง ๆ รวมถึงผู้คนบนโลกให้เคลื่อนคล้อยตามอุดมการณ์ของพวกเราได้ยังไงล่ะ” มีนสรุปให้...“เราต้องกำจัดต้นตอของปัญหาทั้งปวง โดยเฉพาะความโลภและบริโภคนิยมให้ลบเลือนออกไปจากจิตใจมนุษย์” ธนิกพูดทิ้งท้าย ก่อนจะเปิดโอกาสให้ผมเป็นฝ่ายพูด“ทีนี้ เราอยากฟังความเห็นจากคุณบ้าง”...“สั้น ๆ คำเดียว “เพ้อเจ้อ” ” ผมพูดขึ้นแทงกลางความรู้สึกทุกคน “ขอถามกลับว่านิยามของบริโภคนิยมคืออะไร? ” ผมถามต่อ แต่ไม่มีใครตอบ “บริโภคนิยมไม่ใช่หมายถึงความฟุ้งเฟ้อสุรุ่ยสุร่าย แต่หมายถึงการที่เราไม่สามารถผลิตปัจจัยต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง จึงต้องอาศัยเงินเป็นสื่อกลางซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนกันระหว่างหน่วยต่าง ๆ ในสังคม เช่นเดียวกับรถที่พวกคุณซื้อมาขับ เสื้อผ้าที่คุณใส่อยู่ นั่นแหละคือการบริโภคทั้งนั้น” “ถ้าอยากให้โลกมีแต่ความสวยงามเหมือนอยู่ในสวนอีเดน ทุกคนคงต้องออกจากเมืองไปอยู่ในถ้ำในป่า ทอเสื้อใส่เอง เลี้ยงไก่เลี้ยงหมูกินเอง เจ็บป่วยก็หาสมุนไพรรักษากันเอง ยังไม่ต้องริอ่านไปคิดแทนคนอื่นหรอก แน่ใจรึเปล่าว่าตัวเองสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้นได้” ผมเริ่มวิพากษ์โต้กลับความคิดของฝ่ายตรงข้าม ทุกคนถึงกับนิ่งเงียบราวตกอยู่ในมนต์สะกด “อีกอย่าง มนุษย์ไม่ใช่สิ่งบริสุทธิ์ คนเราย่อมอยากมีสภาพชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ ผ่านการบริโภคของที่ดีที่สุดเท่าที่จะมีกำลังจ่าย และการบริโภคย่อมมากับชนชั้นเสมอ เพราะรสนิยมในการบริโภคเกิดจากตัวเลือกที่ต่างกันตั้งแต่สองทางขึ้นไป มันจึงมีการเปรียบเทียบกันว่าอย่างไหนดีกว่า ด้อยกว่า ระบบชนชั้นจึงเกิดขึ้นตามธรรมชาติโดยวัดกันที่ความสามารถในการบริโภค พวกคุณรับได้ไหมถ้าทุกคนต้องใส่เสื้อผ้าคุณภาพกลาง ๆ เหมือนกันหมด ขับรถเหมือนกันทั้งเมือง เท่าเทียมกันแบบนั้นไม่ต่างจากคุกหรือค่ายทหารเลยนะ” เพื่อไม่ให้เสียเวลากับคนเหล่านี้ไปมากกว่านี้ ผมจึงรีบสรุปให้ได้สำนึกกันถ้วนหน้า “อุดมการณ์มักผูกขาดโดยคนที่มีอำนาจในสังคม ซึ่งในอนาคตอาจจะเป็นพวกคุณที่มีพลังพิเศษ แต่ภาพที่ผมเห็นในตอนนี้เป็นแค่ความละเมอเพ้อพกของคนไม่กี่คน ที่เหิมเกริมทึกทักเอาเองไปคิดแทนคนทั้งโลก แม้แต่ฮิตเลอร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นทรราชยังทำการบ้านมาลึกซึ้งกว่าพวกคุณหลายขุม” ผมสังเกตว่ามีนแอบป้องปากเหมือนจะข่มหัวเราะพลางมองไปที่ธนิกซึ่งหน้าแดงด้วยโทสะ เขาคงไม่เคยเจอใครตอกหน้าแรงขนาดนี้มาก่อน “ถ้าจะให้พูดตรง ๆ ไอเดียของคุณตื้นเขินไม่ต่างจากอีดี้ อามินสักเท่าไหร่หรอกนะคุณธนิก นอกจากนี้ คุณมีแนวโน้มที่จะมีอาการทางจิตเข้าข่ายเมกาโลมาเนีย (Megalomania) หรือพวกสร้างจินตนาการเป็นตุเป็นตะว่าตัวเองทรงอำนาจ มีพลังเหนือความเป็นไปใด ๆ บนโลก เสียดายที่ผมมีความรู้เพียงจิตวิทยาทั่วไป ถ้าเป็นแพทย์จิตเวชล่ะก็จะพาคุณไปบำบัดโดยไม่คิดค่ารักษาเลยล่ะ” ผมยิ้มเยาะแถมท้าย.....“คุณอาจจะมองว่าผมประสาท. . .จนไม่อยากร่วมสังฆกรรมใด ๆ ด้วย” ธนิกเริ่มเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง...“แต่. . .”...“น้าทิพย์! แม่ของคุณเป็นคนทำลายจนตระกูลเราถึงขั้นวิบัติ! คุณต้องเดินตามทางที่ผมวางไว้ให้เป็นการชดใช้ความผิดที่แม่คุณก่อขึ้น!” ธนิกตะเบ็งเสียงขึ้น พุ่มไม้เล็ก ๆ รอบศาลาริมน้ำหักดังเป๊าะขยายวงไล่ตาม ๆ กัน มีนเห็นท่าไม่ดี รีบเข้าไปป้องตัวณัฐที่นั่งสั่นอยู่ตรงมุมศาลา “น่าสมเพช! นี่เหรอคนที่จะควบคุมมนุษยชาติ! ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ก่อนเถอะ!” ผมยอกย้อนคืน คิดเผื่อไว้ก่อนแล้วว่าอาจเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ระหว่างสนทนาผมจึงใช้ตาทิพย์ค้นหาและใช้โทรจิตสะกดคนรอบตัวภายในรัศมีสามร้อยเมตรให้อยู่ใต้อาณัติ ขณะนี้ทุกคนกำลังมุ่งตรงมายังศาลาริมน้ำ “พูดกันดี ๆ ไม่ได้รึไง! ทั้งสองคนแหละ!” มีนพูดขึ้น สองมือกอดณัฐที่กำลังกลัวจนเนื้อตัวสั่น แต่ดูเหมือนทั้งผมและธนิกจะไม่สนใจคำเตือนดังกล่าว ต่างฝ่ายยืนประชันสายตากันอย่างไม่สะทกสะท้าน เราสองคนต่างเริ่มอารมณ์เย็นลงแล้ว แต่บรรยากาศแห่งการท้าทายยังคงคุกรุ่น ไม่ถึงอึดใจรอ กลุ่มคนรอบบริเวณเกือบยี่สิบชีวิตก็เข้ามาล้อมศาลาไว้ ปะปนไปทั้งนักกีฬารูปร่างแข็งแรง เด็กวัยรุ่นหญิงชาย อันธพาล และเจ้าหน้าที่ในสวนสาธารณะ “โฮ่. . .คิดจะหมาหมู่ เรียกคนมารุมกระทืบผมรึไง” ธนิกกวาดตามองรอบอย่างใจเย็น “ถ้ามันเป็นวิธีที่ทำให้คุณหายไปจากชีวิตผมได้ ก็คุ้มนะ” ผมยักไหล่ทำหน้ากวน “ทั้งที่ผมเป็นคนช่วยชีวิตคุณนี่นะ. . .เต๋อ” คำพูดของธนิกทำให้ผมเอะใจขึ้น “นิมิตของณัฐเห็นคุณถูกแก๊งค์มิจฉาชีพปาหินใส่กระจกรถจนบาดเจ็บสาหัส วันนั้นผมจึงไปยืนดักรอที่จุดเกิดเหตุเป็นชั่วโมง ยุงกัดก็ไม่บ่นสักคำ” ธนิกบ่นด้วยน้ำเสียงตัดพ้อน้อยใจ แต่ใบหน้าส่อว่าต้องการทวงบุญคุณ “หมายความว่าไง!?” ผมถาม และเริ่มจะสับสน “ณัฐมีพลังหยั่งรู้ภาพเหตุการณ์ในอนาคต! เชื่อพี่เถอะเต๋อ พวกเราไม่ได้คิดร้ายกับเธอเลย หยุดคุยกันดี ๆ ก่อน!” มีนพยายามช่วยไกล่เกลี่ยด้วยการตอบแทนแทรกเข้ามา “ถ้างั้น. . . เด็กสองคนนั้น. . .” ความรู้สึกของผมในตอนนี้ ยากที่จะกลั่นกรองเป็นคำพูดออกมาได้ “ใช่. . .ผมเป็นคนฆ่าพวกมันเอง” รอยยิ้มมุมปากของธนิกทำเอาผมใจหล่นไปกองอยู่กับพื้น “ไม่ใช่แค่นั้น ตอนผมสะกดรอยติดตามคุณ ยังช่วยไม่ให้ลูกเพื่อนคุณบาดเจ็บด้วย ส่วนผู้หญิงขี้โวยวายในร้านนั่นผมก็จัดการให้แล้ว” “. . . จัดการยังไง” น้ำเสียงผมเริ่มจางลงทุกขณะ ไม่คิดว่าผู้มีพลังพิเศษที่อยู่เบื้องหน้าจะกล้าถึงขนาดทำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต “ฮะ ๆ แค่จับถอนฟันเกลี้ยงปากเท่านั้นแหละ ไม่ถึงกับตายหรอก” หมอนี่อันตรายกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มาก เห็นทีผมคงต้องชิงลงมือก่อนเสียแล้ว ผมออกคำสั่งให้คนรอบศาลาตั้งท่าเตรียมต่อสู้ ทุกคนต่างคว้าวัตถุรอบตัวที่ใช้เป็นอาวุธได้ขึ้นมาถือในมือ ทั้งขวดแก้ว ท่อนไม้ แป๊ปเหล็ก ต่อให้เจ้านี่มีพลังน่ากลัว แต่จะรับมือคนเกือบยี่สิบได้พร้อมกันเชียวหรือ “พะ. . .พอเถอะครับพี่ กลับเถอะ ผะ. . .ผมไม่อยากให้ใครบาดเจ็บ” เด็กชื่อณัฐอ้าปากพูดเป็นครั้งแรก น้ำเสียงสั่นเครือดูไม่เหมือนเด็กผู้ชายสักเท่าไหร่ “คุณควรจะฟังน้องบ้างนะ” ผมพูดให้อีกฝ่ายคิด ถ้าเลิกแล้วต่อกันได้ด้วยดีก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลัง ณัฐมองไปทางธนิกที่กำลังขยับกรอบแว่น เด็กหนุ่มทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ไม่. . . ไม่ใช่ . . .ผะ ผมเห็น. . .ภาพพี่ธนิกเป็นฝ่ายชนะ” เด็กคนนั้นพูดต่อจนจบ และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าลึก ๆ แล้วผมแอบใจเสีย “ถ้าธนิกขยับแว่นเมื่อไหร่แสดงว่าจะเอาให้เจ็บปางตาย! เธอกำลังใช้ชีวิตคนอื่นเป็นโล่กำบังนะเต๋อ! พี่ขอเถอะ! พอได้แล้ว!” มีนก้มหน้ากอดณัฐไว้แน่น ท่าทางเหมือนแม่ลูกลี้ภัยสงครามซ่อนตัวใต้หลบหลุมภัย “เสียใจด้วยนะ ผมไม่ค่อยเชื่อหมอดูหมอเดาเท่าไหร่” ผมออกคำสั่งให้หุ่นเชิดทุกชีวิตพุ่งเข้าใส่ธนิกพร้อมกัน...หลังจากนั้น ผมจึงเพิ่งตระหนักว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิด...ร่างของผมถูกดีดกระเด็นลอยแหวกผ่านห้วงอากาศ และสิ้นสุดลงตรงเสาไฟหน้าศาลา แผ่นหลังชนกลางเสาเข้าอย่างจัง....ผมค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นและสะบัดความบอบช้ำให้ลืมหายไปจากความรู้สึกชั่วคราว นาทีนี้ต้องรีบจัดการธนิกก่อนเป็นอันดับแรก โชคดีที่หุ่นเชิดของผมไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ พวกเขาแค่นิ่งชะงักแต่ยังคงพร้อมเตรียมรับคำสั่งต่อไป อาการบาดเจ็บทำให้ผมต้องใช้เวลารวบรวมกระแสจิตชั่วครู่กว่าจะถ่ายทอดไปยังหุ่นเชิดครบทุกตัวอีกครั้งได้ “ขอบคุณนะเต๋อ วันนี้คุณสอนผมไปเยอะทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับบริโภคนิยมอะไรนั่น” ธนิกยังคงยืนนิ่ง ทอดสายตามองผมที่กึ่งนั่งกึ่งยืนเพราะอาการจุกท้องจากมุมสูงกว่าอย่างดูแคลน “แต่คราวนี้ ผมจะเป็นฝ่ายสั่งสอนคุณบ้าง” เขาโบกสมุดปกดำไปมาเหมือนกับจะเยาะเย้ย ข้างในนั้นคงมีข้อมูลเกี่ยวกับจุดอ่อนของผู้มีพลังจิตทุกประเภท น่าขัน แม้แต่ผมยังไม่มีปัญญารู้จุดอ่อนตัวเอง “ข้อแรก พวกใช้โทรจิตรุกล้ำกลไกความคิดของผู้อื่น ไม่สามารถใช้กับพวกเดียวกันเองได้ เพราะกระแสจิตมีความเข้มแข็งไล่เลี่ยกันหมด. . .ข้อนี้คุณคงทราบดีตั้งแต่ที่เราพบกันครั้งแรก” ธนิกจ้องไปยังสระน้ำ ส่วนผมกำลังรีดเร้นกระแสจิตควบคุมคน อีกนิดเดียวก็จะทำสำเร็จแล้ว “ข้อสอง ถ้าต้องเจอพวกใช้โทรจิตควบคุมมนุษย์ทีละหลาย ๆ คน วิธีรับมือที่ดีที่สุดคือ. . .”...ผมสังเกตเห็นน้ำส่วนหนึ่งในสระคลึงตัวเป็นลูกบอลกลมใสลอยขึ้นมา.... “เล่นงานเครื่องส่งสัญญาณซะ เมื่อมันพัง เครื่องรับทั้งหมดก็ไร้ความหมาย” ....ลูกบอลน้ำพุ่งเข้ากระแทกหน้าผมอย่างจัง เจ็บกว่ากระบอกฉีดน้ำสงกรานต์นิดหน่อย ทำได้แค่นี้เองเรอะ ถึงทีผมบ้างละ หุ่นเชิดทุกตัวพร้อมใช้งานอีกครั้งแล้ว แต่. . . คนที่ผมควบคุมอยู่ มีอาการแปลกไป ล้ม ๆ ลุก ๆ ทำท่าติดขัด ที่แท้ กระแสจิตที่เชื่อมโยงระหว่างผมกับหุ่นเชิดเริ่มถูกตัดขาดจากกันด้วยอาการหายใจไม่ออก ลูกบอลน้ำที่กระทบหน้าแตกตัวแล้ว แต่ไม่ได้หายไปไหน มวลน้ำยังเกาะยึดติดใบหน้าของผม เข้าอุดทั้งโพรงจมูกและปาก ธนิกไม่หวั่นเกรงต่อหุ่นเชิดที่กรูเข้าหาเขาแม้แต่น้อย เพราะแต่ละคนเริ่มเคลื่อนไหวช้าลงจนหยุดไปเองเหมือนของเล่นหมดลาน “พลังของเราเป็นขั้วตรงข้ามกัน ในโลกแห่งจิตคุณอาจเป็นใหญ่ แต่บนโลกแห่งสสารที่มนุษย์เราใช้ชีวิตอยู่นี้. . .” ...“ทุกอย่าง. . .คืออาวุธของผม” เขายิ้ม...“อ๊ออก!” ผมปาดหน้าตัวเองไล่น้ำออกนับครั้งไม่ถ้วน แต่มันก็กลับมาห่อหุ้มใบหน้าใหม่ทุกครั้งราวกับเป็นของเหลวที่ถูกเสกให้มีชีวิต อาการสำลักน้ำทำให้ผมทุรนทุรายขาดสติ หุ่นเชิดบางคนเริ่มหลุดพ้นจากการควบคุม “จะให้ผมฆ่าคนทั้งหมดนี่ก็ไม่ยากหรอกนะ แต่เดี๋ยวพี่มีนกับณัฐจะนอนไม่หลับ ก็เลยใช้วิธีนี้แทน” ธนิกนั่งดูผมนอนกลิ้งสำลักน้ำบนบกอย่างเย็นชา “พอเถอะธนิก!” มีนลุกขึ้นปราม ธนิกยังคงนั่งยิ้มไม่รู้ร้อนรู้หนาว... สติของผมกำลังจะลือนหายไป ทุกอย่างขาวโพลนไปหมด.... “อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!!!” จู่ ๆ ณัฐก็ตะโกนลั่น ทำให้ทั้งธนิกและมีนหันไปทางเดียวกัน “ตาย! ตายแน่! ตาย ๆ ๆ ๆ พี่คนนี้ตายแน่!!” เด็กหนุ่มกุมขมับร้องคลั่ง ใบหน้าของมีนซีดเผือดลงทันที “เธอก็รู้ว่านิมิตของณัฐไม่เคยพลาด! นอกจากเขาจะบอกให้รู้ล่วงหน้าแล้วมีคนเข้าไปแก้ไขเพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคต! หยุดเสียตอนนี้ก่อนเต๋อจะตายไปจริง ๆ !! ยังไงเค้าก็เป็นญาติเรานะ!!” มีนเขย่าบ่าธนิก เธอเริ่มเสียงสั่นจนแทบจะร้องไห้ ธนิกหยุดชั่งใจชั่วครู่ “ฮึ!” เพียงเขาโบกมือเบา ๆ สายน้ำที่ไหลวนทั่วหน้าเต๋อก็ตกลงสู่พื้นดินเหมือนวิญญาณร้ายสิ้นฤทธิ์...บรรดาคนที่ถูกผมควบคุมร่างต่างเริ่มกลับคืนสู่สภาวะปกติ พวกเขามองมือเท้าตัวเองด้วยความสงสัยว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรและตั้งแต่เมื่อไหร่ ส่วนตัวผมในตอนนี้ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าขอนอนสูดลมหายใจต่อชีวิต ไม่เคยรู้สึกว่าอากาศบริสุทธิ์เป็นสิ่งมีค่าขนาดนี้มาก่อนเลยจริง ๆ มีนตั้งท่าจะเข้ามาช่วยประคองเต๋อให้ลุกขึ้น แต่ธนิกจูงมือณัฐเดินแซงเข้ามาขวางไว้ก่อน เขาหยิบอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนเป็นแผ่นกระดาษพับสามสี่ทบแล้วยัดเข้ากระเป๋ากางเกงผม “ตามที่ณัฐเคยบอกพี่ไว้ อีกประมาณสองเดือน เขาจะเป็นฝ่ายกลับมาหาเราเองใช่ไหมครับ” ธนิกถามณัฐซึ่งได้แต่มองพื้นหลบสายตาเหล่าคนที่เพิ่งหลุดพ้นจากการบงการของเต๋อ ท่าทางเขาจะประหม่าเมื่ออยู่ในที่ที่มีคนเยอะ “พี่ถามณัฐนะครับ. . .ตอบด้วย” ธนิกบีบแขนณัฐและใช้เสียงแข็ง “ช. . .ใช่ครับ” ณัฐก้มหน้าตอบ “ฟังนะเต๋อ วันนี้ผมแค่มาทักทายแนะนำพวกพ้อง อาจจะรุนแรงไปหน่อยคงไม่ว่ากัน แต่ถ้าวันใดพลังของคุณขัดข้องขึ้นมาและจนหนทางที่จะแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง ขอให้นึกถึงผมเป็นคนแรก เพราะบนโลกนี้ไม่มีใครรู้เรื่องของผู้พลังพิเศษไปมากกว่าผมอีกแล้ว” “แล้วจะปล่อยให้เขานอนอยู่อย่างนี้เหรอ ทำไมไม่มีใครคิดจะช่วยเลย” มีนท้วง “แค่ไม่ถึงตายก็น่าจะดีใจแล้วนะพี่มีน กลับกันเถอะ พวกคนที่เจ้านี่ลากมาก็เริ่มได้สติทีละคนแล้ว อีกอย่างณัฐก็ไม่ชอบอยู่กับคนเยอะแยะ” ธนิกจูงมือทั้งณัฐและมีนออกมาจากบริเวณนั้น ดูเหมือนเขาจะมีอิทธิพลเหนือความเห็นผู้อื่นสมกับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลที่อ้างถึง มีนได้แต่เหลียวมองเต๋อด้วยความกังวล เธอรู้สึกไม่สบายใจเพราะมิตรภาพที่เกิดขึ้นครั้งแรกควรจะเปี่ยมด้วยไมตรีจิตร ไม่ใช่กลายเป็นเหตุปะทะดั่งที่ผ่านมานี้.....“พี่ครับ พี่ครับ เป็นอะไรครับ เมาหรือเปล่าพี่” ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าผมเริ่มคมชัดขึ้นเมื่อได้หายใจทั่วท้อง เด็กหนุ่มคนหนึ่งค่อย ๆ ช้อนตัวผมลุกขึ้นจากพื้นดิน ที่กระเป๋าเสื้อปักตราสัญลักษณ์ที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี...เขาเป็นนักเรียนจากโรงเรียนเซนต์แมธธิวนั่นเอง 2 t& d' K1 L0 V) A" \0 t: z+ w4 X$ f
|