แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2024-12-24 15:03
4
ออกปล้น
การออกปล้นในครั้งนี้เป้าหมายเป็นบ้านของเจ้าพนักงานชั่วที่ทุจริตรับสินบนและรับส่วยจากชาวบ้าน มียศในระดับหนึ่ง พวกเสือสมานต้องใช้เวลาเดินทางตั้งแต่เช้าเพื่อให้ทันการปล้นในช่วงกลางคืน กลุ่มของพวกเขามีทั้งหมดประมาณ 10 คน แต่ละคนมีฝีมือเก่งกาจทั้งในด้านอาคมและยังมีร่างกายที่แข็งแรงกำยำ ตามลำตัวมีร่องรอยบาดแผลที่ได้มาจากการต่อสู้จากการออกปล้นครั้งก่อนๆเปรียบเสมือนร่องรอยแห่งความภูมิใจ
เจ้าทัพแม้จะฝึกฝนมาอย่างหนัก แต่ก็ยังอ่อนประสบการณ์อีกทั้งเขาไม่มีวิชาอาคมป้องกันตัว จึงต้องระวังตัวมากกว่าคนอื่นๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นตัวถ่วง
เสือสมานจึงเรียกทุกคนมาประชุมก่อนออกปล้น เพื่อทบทวนแผนการอีกครั้งและให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด ทุกคำสั่งถูกถ่ายทอดด้วยความชัดเจนและเคร่งครัด เสือสมานให้ความสำคัญกับทุกๆ รายละเอียด ตั้งแต่เส้นทางที่ต้องเดินทาง ไปจนถึงการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการปล้น
โดยทุกครั้งที่เขาออกปล้น สิ่งหนึ่งที่เขาจะไม่เคยลืมคือหลักการที่ยึดมั่น "ปล้นคนชั่วช่วยเหลือคนจน" เสือสมานยืนอยู่กลางวงล้อมของกลุ่มคนในแสงไฟจากตะเกียงที่สั่นไหวเสียงลมพัดเย็นผ่านไปมา แต่ไม่มีใครขยับหรือทำเสียงใดๆ พวกเขาทุกคนตั้งใจฟังคำพูดของผู้นำอย่างเงียบๆ
“คืนนี้เราจะไปปล้นบ้านของไอ้เจ้าพนักงานชั่วที่กดขี่ชาวบ้าน รับสินบนและรับส่วยมาตลอด” เสือสมานเริ่มกล่าวเสียงเข้ม เขาจ้องไปที่ใบหน้าของทุกคนในกลุ่ม “มันมีอำนาจและทรัพย์สมบัติมากมาย แต่มันคิดว่ามันจะปลอดภัยจากเรา ไม่รู้จักกลัวคนอย่างพวกเรา”
เจ้าทัพยืนนิ่งอยู่ข้างๆหูเขาคอยฟังเสียงของเสือสมานอย่างตั้งใจ แม้จะมีความกลัวอยู่ในใจ แต่เขารู้ดีว่านี่คือโอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเอง และทำตามคำสัญญาที่เขามีต่อพี่ชายและคนอื่นๆในกลุ่ม
เสือสมานยิ้มขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นทุกคนเงียบสงบและตั้งใจฟัง“คืนนี้เราจะไม่ปล่อยให้พวกมันหนีไปได้ เราจะทำให้พวกมันเจ็บปวดเหมือนที่มันทำกับคนอื่นๆ แต่เราจะไม่ลืมว่าเราปล้นเพื่ออะไร เราปล้นคนชั่ว และช่วยเหลือคนจนนั่นคือสิ่งที่เราทำมาตลอด และคืนนี้เราจะทำอีกครั้ง”เขาพูดต่อไปด้วยเสียงที่หนักแน่น
เจ้าทัพยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขารู้ว่าเสือสมานพูดความจริง พวกเขากำลังทำในสิ่งที่ยุติธรรมแม้จะต้องใช้วิธีที่รุนแรงก็ตาม
“ทุกคนต้องเตรียมตัวให้พร้อมคืนนี้ เราจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว” เสือสมานพูดเสียงต่ำและเด็ดขาด “อย่าให้ใครรู้ตัวตนของเรา อย่าทิ้งร่องรอยที่ติดตามได้ นี่ไม่ใช่แค่การปล้นแต่มันคือการสร้างความยุติธรรมให้กับชาวบ้านที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากพวกที่มีอำนาจ”
เจ้าทัพพยักหน้าเบาๆเขารู้ดีว่าเสือสมานพูดถูก ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่ยุติธรรม เขาคิดว่าเขาควรทำอะไรสักอย่างเพื่อให้มันดีขึ้น แม้จะเสี่ยงแค่ไหนก็ตาม
“ขอให้พวกเรามีโชคในคืนนี้ ทุกคน!”เสือสมานกล่าวและมองไปที่ทุกคนในกลุ่มอย่างมั่นใจ
เสียงตอบรับดังขึ้นพร้อมกันจากทุกคน “พวกเรารวมพลังกัน สู้โว้ยย!”
ณ หมู่บ้านชุมโจร
ขวัญข้าวที่นอนไม่หลับพลิกตัวไปมา ไม่อาจหลับได้แม้ข้างๆจะมีน้องและน้าวิไลนอนอยู่ แต่ความกังวลที่หมุนวนอยู่ในใจทำให้เขานอนไม่ได้ เขาค่อยๆลุกขึ้นจากที่นอนอย่างเงียบๆก่อนจะเดินไปที่ระเบียงด้านนอกของบ้านเพื่อสูดลมหายใจเบาๆเพราะกลัวว่าจะทำให้คนในบ้านตื่นขึ้นมา
คืนนี้เป็นคืนเดือนดับ แสงจากพระจันทร์ถูกบดบังและเลือนหายไปในความมืด ลมหนาวพัดมาเบาๆ กระทบผิวกายชวนให้ขวัญข้าวคิดถึงเจ้าทัพ ที่ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง
“เฮ้ออ..” ขวัญข้าวถอนหายใจออกมาเบาๆ มองไปในความมืดจนสายตาพร่ามัว เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากไปกว่าการกังวล เขารู้ดีว่าเจ้าทัพต้องการให้เขามีความเชื่อมั่น แต่ทำไมมันถึงยากเย็นนักที่จะวางใจในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น
เขาคิดถึงคำพูดของเจ้าทัพในครั้งก่อนจะจากกัน ‘ไม่ต้องห่วง พี่จะกลับมา’ แต่ในคืนนี้ที่ทุกอย่างเงียบสงบจนเกินไป ขวัญข้าวกลับยิ่งรู้สึกว่าคำพูดนั้นไม่สามารถทำให้ความกังวลของเขาคลายลงได้เลยแม้แต่น้อย
ผ่านไปไม่กี่วันข่าวคราวเรื่องการปล้นก็ถูกลือไปทั่วหมู่บ้าน แม้จะไม่ถึงขั้นล้มเหลวแต่ก็มีคนได้รับบาดเจ็บ ขวัญข้าวได้ยินเรื่องนี้จากปากชาวบ้านและหัวใจดวงน้อยก็หล่นวูบลง พลางนึกไปว่าหากเป็นเจ้าทัพหรือพ่อของเขา จะเป็นยังไงถ้าทั้งสองได้รับบาดเจ็บขึ้นมาจริงๆ ล่ะ เขาจะทำยังไงต่อไป?
ความคิดมากมายพรั่งพรูเข้ามาในหัว ขณะที่เขาหลบไปร้องไห้เงียบๆเพียงลำพัง เสียงน้ำไหลเอื่อยจากริมลำธารใกล้ๆ เป็นเสียงที่คุ้นเคย กลับกลายเป็นเสียงที่แผ่วเบาจนรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนรอบตัวเขาขวัญข้าวปล่อยให้น้ำตาไหลไม่ขาดสาย ก้มหน้างุดลงที่วงแขนเล็กๆ ของตัวเองพยายามปกปิดรอยน้ำตา แต่ก็ไม่อาจปิดความเจ็บปวดที่อยู่ภายในใจได้เลย . . . “ขวัญ ทำไมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้แล้วนั่นร้องไห้?” เสียงของใครบางคนปลุกให้ขวัญได้สติอีกครั้ง แต่ก็ยังมีเสียงสะอื้นที่ขัดขวางไม่ให้เขาหยุดร้องไห้ ขวัญสะอื้นตอบออกไปด้วยเสียงสั่นเครือ
“ใครมันทำขวัญของพี่ร้องไห้ บอกพี่มาพี่จะไปจัดการมัน” เสียงทัพเต็มไปด้วยความกังวลและโกรธอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“พี่ทัพ ฮื้ออออออออออออ คนบ้า!”ขวัญร้องออกมาพร้อมกับน้ำตาที่รินไหลอีกครั้ง เขารีบเข้าไปสวมกอดเจ้าตัวทันทีเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคือคนที่เขาเฝ้ารอมาโดยตลอด คนที่ทำให้หัวใจของเขายังคงเต้นอย่างมีความหวังแม้ในยามที่เขารู้สึกอ่อนแอที่สุด
เขากอดทัพแน่นราวกับว่าไม่อยากให้เขาหายไปไหนอีกแล้ว ขวัญทุบหน้าอกทัพเบาๆเพื่อระบายความอัดอั้นและความเจ็บปวดในใจที่พยายามเก็บซ่อนไว้เป็นเวลานาน รู้สึกถึงความอบอุ่นจากทัพที่ไม่เคยหายไป แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดในชีวิตของเขา
“อะ โอ้ย... เบาๆ หน่อยสิ ขวัญ”รอยช้ำที่อกทำให้ทัพรู้สึกเจ็บเล็กน้อย เมื่อมือเล็กๆของขวัญทุบลงมามันเป็นบาดแผลที่ได้มาจากการต่อสู้กับลูกสมุนของบ้านที่เขาไปปล้นนั่นเอง
“ฮึก ขะ ขวัญ...ขอโทษ ฮึก ฮึก”ขวัญพูดไปสะอื้นไป น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ขวัญมองไปที่ใบหน้าของเจ้าทัพ แม้เขาจะพยายามกลั้นน้ำตาแต่ก็ยังทำไม่สำเร็จ ทัพยิ้มอ่อนโยนและใช้มือปาดน้ำตาที่ขวัญยังคงทิ้งไว้บนใบหน้า
“โอ๋ๆ คนดีของพี่...”ทัพพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมกับดึงขวัญเข้ามากอดอย่างอบอุ่น “ไม่ร้องนะพี่อยู่ตรงนี้แล้ว จะไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมารังแกเจ้าแน่นอน”
ขวัญหลับตาลงแล้วซุกใบหน้าลงบนอกของทัพ รู้สึกถึงอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความมั่นคงและปลอดภัย เจ้าทัพพูดประโยคนี้ซ้ำๆแต่ก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
“พี่ทัพ... ขวัญกลัว...”ขวัญกระซิบเสียงเบา น้ำเสียงของเขามีทั้งความหวาดกลัวและความไม่แน่ใจ
ทัพกอดขวัญแน่นขึ้นอีกนิดก่อนจะตอบเสียงหนักแน่น “พี่เข้าใจ... แต่ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว พี่อยู่ตรงนี้แล้วไม่ทิ้งขวัญไปไหนแน่นอน” เขาพูดพร้อมกับลูบหลังขวัญเบาๆ เพื่อให้เขารู้สึกว่าพี่ชายยังคงอยู่เคียงข้างเสมอ
ขวัญพยักหน้าช้าๆโดยไม่พูดอะไรอีก เขารู้สึกเหมือนโลกนี้มีแค่เขากับทัพที่อยู่กันสองคนในตอนนี้ เมื่อปลอบขวัญจนหายตกใจแล้วเวลาก็ล่วงเลยมาจนก็เกือบพลบค่ำ เจ้าทัพได้เล่าถึงเรื่องราวต่างๆที่เขาออกปล้นให้ขวัญฟังก่อนจะเล่าถึงข่าวลือที่ขวัญได้ยินมา
“พี่รู้ว่าขวัญคงได้ยินข่าวลือมา...”ทัพเริ่มพูดเสียงนิ่ง มือยังคงลูบหัวขวัญเบาๆ ราวกับจะให้เขารู้สึกมั่นคงขึ้น “แม้ว่าการออกปล้นในครั้งนี้จะถูกเตรียมการมาอย่างดี แต่ก็ยังมีข้อผิดพลาด แต่ทว่าด้วยความสามารถของทุกคนถึงได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เพียงแต่บาดเจ็บกันแค่เล็กๆน้อยๆเท่านั้น ไม่มีใครเป็นอันตรายถึงชีวิต”
ขวัญเงียบไปครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความหนักใจในคำพูดของทัพ แต่เขาก็ไม่กล้าถามอะไรออกไป เพราะรู้ว่าเจ้าทัพต้องการจะเล่าเองเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
“ที่ร้องไห้เมื่อครู่คงจะเป็นเพราะพี่ใช่ไหม? หืม... เจ้าเด็กขี้แง” ทัพแกล้งหยอกขวัญด้วยรอยยิ้มขี้เล่น
ขวัญนึกไปถึงคำพูดของทัพก่อนหน้านี้ ความรู้สึกในใจมันร้อนรุ่มขึ้นมาจนไม่สามารถทนได้ เขามองไปที่ทัพแล้วพูดเสียงเบา“อืม.. ถ้าพี่ตายแล้ว ขวัญจะอยู่กับใครล่ะ”
ทัพหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก้มลงมองขวัญที่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะยื่นมือไปเกลี่ยผมขวัญเบาๆ และตอบเสียงอ่อนโยน “พี่จะไม่ตายหรอกขวัญ...พี่ไม่มีทางทิ้งขวัญให้อยู่คนเดียวแน่นอน พี่ให้สัญญาเลย”
ขวัญได้ยินแล้วหัวใจเต้นแรง เขายิ้มบางๆขึ้นมา แต่ก็แกล้งทำเป็นหยิกแขนทัพเบาๆ “ก็รู้หรอกน่าว่าพี่มันไม่ตายง่ายๆหรอก...ขวัญก็แค่...กลัวจะเสียพี่ไป”
ทัพหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะดึงขวัญไปกอดเบาๆแล้วกระซิบ “ไม่ต้องห่วงหรอก พี่จะอยู่กับขวัญเสมอ ไม่ไปไหนหรอกนะ”
หลังจากที่ทัพได้รับบาดเจ็บในวันนั้น แม้ว่าจะเป็นแค่บาดแผลเล็กน้อย แต่มันก็ย้ำเตือนเขาว่าความอ่อนแอ แม้ในรายละเอียดเล็กๆก็อาจกลายเป็นอันตรายได้ เขาต้องทุ่มเทฝึกซ้อมร่างกายอย่างหนัก เพื่อเตรียมพร้อมในการออกปล้นครั้งต่อไป และเพื่อไม่ให้เสียความไว้วางใจจากเสือสมาน ที่ตั้งความหวังให้เขาทำงานใหญ่ในอนาคต
“พลาดครั้งเดียวไม่ได้...”ทัพพูดกับตัวเองในระหว่างการฝึกซ้อม สายตาของเขาจดจ่อกับการฝึกต่อสู้ในทุกท่วงท่าด้วยความมุ่งมั่น
เมื่อฝึกเสร็จ เขายืนหอบอยู่กลางสนามฝึก ก่อนจะทิ้งคำพูดทิ้งท้ายให้กับตัวเอง “ถ้ายังอ่อนแออีก...ก็ไม่มีวันทำงานใหญ่ให้สำเร็จได้”เขาหายใจเข้าลึก ก่อนจะเดินออกไปเพื่อต่อสู้กับความเหนื่อยล้าและไม่ยอมให้ตัวเองยอมแพ้
. . . เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับมันเป็นเรื่องโกหก บัดนี้ขวัญข้าวได้เติบใหญ่ขึ้นตามรอยของเจ้าทัพผู้เป็นพี่ชายที่คอยชี้แนะทุกอย่างให้กับเขา ในยามนี้เจ้าทัพกลับกลายเป็นจอมโจรที่มีเชื่อเสียงเลื่องลือกระฉ่อนไปทั่วทุกสารทิศ จากฝีมือการปล้นที่แยบยลราวกับสายลมที่พัดผ่านมาแล้วผ่านไป เพียงครู่เดียวก็ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า
เขาไม่เพียงแต่กลายเป็นบุคคลที่น่าเกรงขาม แต่ยังได้รับการยอมรับจากทุกคนในกลุ่ม ที่ยกย่องให้เขาเป็นลูกพี่ใหญ่และมองเขาเป็นแบบอย่าง ทั้งในด้านความกล้าหาญและความสามารถที่โดดเด่น
หญิงสาวมากมายต่างหมายปองในตัวเขา หลายคนถึงขั้นยอมมอบตัวเองให้เขาโดยไม่มีเงื่อนไข ด้วยสัญชาตญาณของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์เขาไม่ได้ปฏิเสธความสัมพันธ์เหล่านั้น แต่ก็ไม่ได้ผูกพันเช่นกัน หลังจากที่ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน ความสัมพันธ์เหล่านั้นก็มักจบลงอย่างเรียบง่ายต่างคนต่างแยกย้าย แม้ว่าบางคนจะพยายามกลับมาตามตื๊อหรือหาทางใกล้ชิดอีกครั้ง เขาก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ขวัญข้าวแอบตามพี่ชายไปอย่างเงียบๆ เจ้าทัพดูเหมือนจะไม่ได้ระวังตัวอะไรเป็นพิเศษ ขวัญเฝ้าสังเกตจนเห็นพี่ชายเดินหายเข้าไปในกระท่อมของใครบางคน ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ขวัญตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ๆ
เมื่อมาถึงกระท่อม ขวัญค่อยๆแง้มบานหน้าต่างอย่างเบามือ เพื่อไม่ให้เกิดเสียงรบกวนใครก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปมองด้านในอย่างช้าๆ สิ่งที่เขาเห็นทำให้ขวัญรู้สึกสับสนมากขึ้น อาจเพราะเขายังไร้เดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจเรื่องราวที่อยู่ตรงหน้า
เสียงครวญครางระงมไปทั่วห้อง พร้อมด้วยร่างกายของคนทั้งสองที่บดเบียดกัน เรือนร่างเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่เกาะพราวบนผิว เสียงกระแทกกระทั้นดังเป็นจังหวะ เดี๋ยวเร่งเร้ากระชั้น เดี๋ยวผ่อนช้าลง เสียงเนื้อกระทบกันสะท้อนก้องไปทั่ว บรรยากาศอันอึดอัดและร้อนแรงในห้องนั้น
“อ๊ะ..อ๊า!..ฮื่อ..”
ปึ่ก!ปึ่ก!ปึ่ก!
ขวัญข้าวหัวใจเต้นระรัวราวกับมันจะหลุดออกมาจากอก เขารีบก้าวถอยหลังอย่างลนลาน ก่อนจะหันหลังวิ่งออกมาจากกระท่อมนั้นทันที เสียงฝีเท้าของเขาดังสะท้อนในความเงียบของค่ำคืน แต่ในหัวกลับยุ่งเหยิงไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งตกใจ สับสน และหวาดหวั่น
"พี่ทัพทำอะไร...ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ขวัญพึมพำกับตัวเอง พลางเร่งฝีเท้าหนีจากภาพที่เพิ่งเห็น
เมื่อมาถึงริมลำธารที่เป็นที่หลบภัยส่วนตัวของเขา ขวัญทรุดตัวลงนั่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อจากทั้งความเหนื่อยล้าและความตื่นเต้น เขาเอามือปิดหน้าพลางหอบหายใจอย่างหนักรู้สึกเหมือนภาพที่เห็นยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดไม่จางหาย
เสียงลมพัดใบไม้ดังแผ่วเบาในความมืด เหมือนจะปลอบประโลมจิตใจแต่ขวัญกลับยิ่งรู้สึกสับสน "นี่มันเรื่องปกติของผู้ใหญ่...หรือว่าพี่ทัพ?..มันคงถึงเวลาแล้วสินะ ที่พี่จะปล่อยมือจากขวัญไป..."
ความคิดนั้นทิ่มแทงจิตใจเขา เขาพยายามหาคำตอบให้ตัวเอง แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเขาก็ยังรู้สึกเหมือนกำลังเสียอะไรบางอย่างที่สำคัญไป...
. . . เช้าวันรุ่งขึ้นขวัญข้าวตื่นสายกว่าปกติเล็กน้อย เพราะเพิ่งจะข่มตาหลับลงได้ตอนใกล้รุ่ง เสียงฝีเท้าของเจ้าทัพดังขึ้นตามบันไดบ้าน ก่อนจะปรากฏตัวพร้อมใบหน้าที่ดูสดใสและอิ่มเอิบผิดปกติ รอยยิ้มระรื่นที่ประดับบนหน้า ทำให้ดูเหมือนเขาไม่มีเรื่องอะไรให้กังวล
เจ้าทัพเดินเข้ามาหาขวัญข้าวตามความเคยชิน พลางโน้มตัวลงไปหอมแก้มน้องชายอย่างที่ทำเป็นประจำทุกเช้า แต่ทันทีที่ขวัญข้าวรู้สึกตัวและลืมตาขึ้น เขากลับยกมือขึ้นปัดป้องอย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่แสดงออกถึงความไม่สบายใจและอาการต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด
"อะไรของเจ้า หืม?ทำไมถึงไม่ให้พี่เข้าใกล้ล่ะ?" ทัพถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ พลางชะงักมองน้องชายที่ดูท่าทางผิดปกติ
"ขะ...ขวัญยังไม่ตื่นดีพี่ไปเถอะ..." ขวัญพูดตะกุกตะกัก หันหน้าหนีพลางขยับถอยหนีไปอีกทาง แม้คำพูดจะดูเหมือนปกติ แต่แววตาที่หลบเลี่ยงและท่าทางอึดอัดนั้นไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของเจ้าทัพ เขามองน้องชายอย่างพินิจแต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ
"ก็ได้ งั้นพี่ไม่กวนแล้ว เดี๋ยวพี่เตรียมข้าวไว้ให้ที่ลานหน้าเรือนนะ จะได้รีบกินแล้วไปช่วยงานกัน"เจ้าทัพยิ้มบางๆก่อนจะลุกออกไป แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัย
ขวัญข้าวนั่งนิ่งเมื่ออีกฝ่ายลับสายตา พลางถอนหายใจยาว ความรู้สึกจากเมื่อคืนยังหลอกหลอนอยู่ในใจ ความไม่เข้าใจและความรู้สึกที่แปลกประหลาดทำให้เขาไม่อาจมองเจ้าทัพเหมือนเดิมได้ในตอนนี้...
------------------------------------------------------ อัพพิเศษให้อีกตอนหวังว่าจะชอบกันนะ ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยน้าาา หวังว่าจะหายคิดถึงกันนะงุ้ยยย
|