แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2024-12-24 11:31
5
ใครกันแน่ที่เปลี่ยนไป
หลายวันผ่านไปนับวันขวัญข้าวก็ยิ่งทำตัวแปลกขึ้น เริ่มทำตัวห่างเหินไม่ยอมให้เจ้าทัพเข้าใกล้ได้ง่ายๆ แถมยังหลบหน้าหลบตาอยู่บ่อยครั้งเมื่อเจ้าทัพพยายามเข้าหา ขวัญก็หาข้ออ้างเลี่ยงไปเสียทุกครั้ง
“ขวัญ ทำไมพักนี้ถึงชอบหลบพี่ตลอดล่ะ?”เจ้าทัพถามด้วยน้ำเสียงติดจะงงปนกังวลขณะพยายามดักหน้าขวัญที่กำลังจะเดินหนีไปอีกครั้ง
“เปล่าสักหน่อย...” ขวัญตอบเบาๆพลางก้มหน้าหลบสายตา
“ไม่จริง ขวัญกำลังหลบพี่ มีอะไรหรือเปล่า?”เขาเอื้อมมือไปจับไหล่น้องชาย แต่ขวัญรีบถอยห่าง
“พี่ไม่ต้องมายุ่ง ขวัญไม่ได้เป็นอะไร”ขวัญตอบห้วนๆ ก่อนจะรีบก้าวหนีไป ทิ้งให้เจ้าทัพยืนมองตามด้วยความรู้สึกสับสน
เจ้าทัพขมวดคิ้วรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็เลือกที่จะไม่เร่งรัดน้องชายในตอนนี้หวังว่าอีกไม่นานขวัญจะเปิดใจบอกเขาเองว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่
นานวันเข้าทั้งสองก็ยิ่งห่างเหินกันมากขึ้นไปอีกเพราะเจ้าทัพต้องไปร่ำเรียนวิชาอาคมกับพ่อครูที่อยู่ต่างหมู่บ้าน ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เนื่องจากเป็นคำสั่งของเสือสมานผู้เป็นพ่อ
ครั้นจะร่ำลากัน ขวัญก็เอาแต่หลบหน้าเขาบางครั้งก็เดินหนีไปเสียดื้อๆ “เจ้าเด็กคนนี้นี่นะ” เขาได้แต่คิดในใจแต่ในที่สุดเมื่อจวนตัวเจ้าทัพก็ได้ไปดักทางเอาไว้ ก่อนจะอุ้มคนตัวเล็กขึ้นพาดบ่าแล้วหามุมเงียบๆเพื่อพูดคุยกันสองคนโดยไม่มีใครมารบกวน
เจ้าทัพอุ้มขวัญข้าวที่ไม่ยอมพูดอะไรออกจากหมู่บ้านไปไกลพอสมควรจนแน่ใจว่าไม่มีใครเห็นแล้วจึงค่อยๆ วางขวัญลงอย่างเบามือใบหน้าของเขาแสดงความจริงจังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ขวัญ…” เจ้าทัพเรียกเสียงเบาสายตาของเขาจับจ้องไปที่น้องชายที่ยังคงหลบหน้าอยู่ “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?เจ้าเป็นอะไรไป? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
ขวัญไม่ตอบคำถาม แต่ก็ไม่ได้หนีไปไหนเขายังคงยืนนิ่ง หัวใจของเขามีแต่ความอัดอั้นจนไม่รู้จะพูดอะไรออกไปเจ้าทัพยืนรอดูอาการของเขาสักพักก่อนจะย่อตัวลงนั่งข้างๆ แล้วยิ้มให้กับขวัญ
“ขวัญ… พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดใช่ไหม?”เสียงของเจ้าทัพแฝงความอ่อนโยนที่ทำให้ขวัญรู้สึกอ่อนลง
ขวัญเงยหน้าขึ้นสบกับสายตาอ่อนโยนของเจ้าทัพน้ำตาของเขาไหลออกมาอีกครั้งอย่างไม่อาจห้ามได้ ราวกับไม่เคยหยุดไหลหัวใจของเขายังคงเจ็บปวดจากภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นที่ยังคงตามหลอกหลอน
“เป็นอะไรไป? ร้องไห้อีกแล้วนะ...เจ้าเด็กขี้แง”
เจ้าทัพพูดเสียงนุ่มๆพร้อมกับก้มมองขวัญที่ยังคงเงียบงัน น้ำตาที่ไหลลงมากลายเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบขวัญไม่พูดอะไรออกไป เขาเพียงแค่หลบตาราวกับจะไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอที่เขากำลังซ่อนอยู่แต่ท่าทางของเขากลับทำให้เจ้าทัพรู้สึกกังวลยิ่งกว่าเดิม
“ครั้งนี้พี่คงต้องจากเจ้าไปนานหน่อยนะ...พี่ไม่อยากไปโดยที่เราไม่ได้ร่ำลากัน” เจ้าทัพพูดเสียงแผ่วเบา ขวัญยังคงเงียบแต่มือเล็กๆ ของเขากำแน่นจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่บีบรัดอยู่ในใจก่อนที่เขาจะพยักหน้าเบาๆ อย่างไม่เต็มใจ
ความเงียบกัดกินหัวใจของคนทั้งสองเมื่อถึงเวลาออกเดินทาง เจ้าทัพควบม้าออกไปไกลลับตา ขวัญข้าวแอบลอบมองไปตามก่อนจะทรุดตัวลง พลางคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามา ใครกันแน่นะที่เปลี่ยนไป?ตัวเขาเองหรือพี่ชายคนที่เขารักและเทิดทูนเสมอมา
ณ หมู่บ้านพลายอาคม
เจ้าทัพใช้เวลาเดินทางถึงสองวันสองคืนเต็มๆจนในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ลักษณะของหมู่บ้านค่อนข้างแตกต่างจากที่เขาคุ้นเคยเพราะบ้านแต่ละหลังห่างกันพอสมควรและท่าทางของคนในหมู่บ้านก็ไม่ค่อยสุงสิงกันมากนักบรรยากาศโดยรวมดูเงียบเหงาและวังเวง จนทำให้รู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งตัว
เขาเดินเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งที่อยู่บนเนินเขาด้านหลังของบ้านติดกับป่าตามคำแนะนำของเสือสมานที่บอกว่าพ่อครูของที่นี่เก่งกาจเป็นอย่างมากครั้นจะฝากตัวเป็นศิษย์ก็ต้องได้รับการยอมรับจากพ่อครูเสียก่อน
ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในบ้านหลังเล็กๆ ที่มองจากภายนอกแล้วไม่ต่างจากบ้านของชาวบ้านทั่วไปแต่บรรยากาศภายในกลับไม่เหมือนที่เขาคาดหวัง แม้ภายในจะมืดและสงบแต่กลิ่นของสมุนไพรและกลิ่นไม้หอมทำให้รู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ลอยอยู่ในอากาศ
เสียงฝีเท้าของเขาก็ดังขึ้นจนลั่นพื้นไม้เก่าก่อนที่สายตาของเขาจะจับจ้องไปยังร่างของชายชราผู้หนึ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางห้องพ่อครูที่เขากำลังตามหานั่นเอง
“ท่านพ่อครู... ข้าคือเจ้าทัพ...”เจ้าทัพพูดเสียงหนัก พร้อมก้มศีรษะลงเล็กน้อย เพื่อแสดงความเคารพ
ชายชราลืมตาขึ้นมองด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ ราวกับรู้ทุกอย่างก่อนที่จะถามขึ้นมา“เจ้าเดินทางมาจากที่ใด และมาที่นี่เพื่อสิ่งใด?”
เจ้าทัพไม่รีรอที่จะตอบ “ข้ามาจากหมู่บ้านชุมโจรตามคำแนะนำของเสือสมานข้ามาที่นี่เพื่อเรียนรู้วิชาอาคมและฝึกฝนตัวเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นหากท่านพ่อครูจะยอมรับข้า”
พ่อครูมองเจ้าทัพเงียบๆราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นช้าๆ พร้อมกับพูดเสียงแหบพร่า“การฝึกฝนไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องแลกด้วยเลือดและความเจ็บปวดการเป็นศิษย์ของข้าไม่ได้หมายความแค่การเรียนรู้จากข้าแต่ยังหมายถึงการต้องเข้าใจความหมายของความทุกข์”
เจ้าทัพไม่ลังเล “ข้าเข้าใจขอรับข้าพร้อมที่จะรับการทดสอบทุกอย่าง”
เจ้าทัพยืนฟังคำของพ่อครูอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ชายชราจะยิ้มแห้งๆ และเริ่มพูดด้วยเสียงที่นุ่มลึกและเข้มข้น “เจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับความกลัวในจิตใจของเจ้าเองสิ่งที่เจ้าต้องการมันไม่ได้มาโดยง่าย... มันอยู่ที่ใจของเจ้าถ้าเจ้าสามารถเอาชนะความกลัวได้ เจ้าจะสามารถฝึกวิชาอาคมได้สำเร็จ”
เจ้าทัพมองไปที่พ่อครูด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย“ข้าต้องทำอย่างไรขอรับ พ่อครู?”
พ่อครูยกมือขึ้นมาทำท่าชี้ไปที่ห้องมืดด้านในบ้าน“ไปที่นั่น... เข้าไปในห้องมืดนั้น และนั่งขัดสมาธิที่นั่นจนกว่าความกลัวในจิตใจของเจ้าจะหายไป เจ้าจะได้เรียนรู้จากความเงียบ... บางที...ความกลัวที่มากมายในใจจะพาเจ้าไปถึงแสงสว่างที่แท้จริง”
เจ้าทัพมองไปที่ห้องมืดนั้นเขารู้สึกถึงความหนาวเย็นของอากาศ และบรรยากาศที่เงียบสงัดยิ่งทำให้จิตใจเขายิ่งขุ่นมัวไปกับความสงสัยและความกังวล
พ่อครูหัวเราะเบาๆ และพูดเสียงทุ้ม“ความกลัว... มันอยู่ในใจเจ้าเอง ทุกอย่างที่เจ้ารู้สึก มันเกิดจากจิตใจของเจ้าเองเจ้ากลัวเพราะคิดว่าจะไม่สามารถทำได้ แต่เจ้าจะต้องทำให้ใจของเจ้าสงบลงและพบกับความกลัวของตัวเองเสียก่อน”
เจ้าทัพลุกขึ้นและเดินไปที่ห้องมืดเขากำมือแน่น และตั้งใจว่าจะไม่ยอมแพ้ต่อความกลัวที่มันกัดกินจิตใจเขานั่งลงขัดสมาธิ ท่ามกลางความมืดและความเงียบสงัด เสียงหายใจของเขาค่อยๆ เงียบลง
ภายในห้องนั้นไม่มีอะไรนอกจากความมืดสนิทและความรู้สึกของความกลัวที่มันท่วมท้นจิตใจเจ้าทัพสิ่งที่เขาไม่อาจเห็นคือภาพที่เกิดขึ้นในใจของเขาเอง ภาพของตัวเองที่ถูกล้อมรอบไปด้วยภูติผีปีศาจภาพของการล้มเหลว และภาพของคนที่เขารักถูกทำร้าย
เจ้าทัพหลับตาและพยายามดึงสติกลับมาที่ลมหายใจของตัวเองเขาพยายามหยุดคิดถึงภาพเหล่านั้น มันเหมือนกับการต่อสู้กับเงาของตัวเองเขาคิดถึงสิ่งที่พ่อครูบอก ความกลัวมันเป็นแค่ภาพลวงตา เขาต้องเผชิญหน้ากับมัน
“ข้าไม่กลัว...” เจ้าทัพพูดเสียงเบาๆ ภายในใจเขาพยายามลมหายใจให้ช้าลง ลึกขึ้น และเริ่มปล่อยให้ภาพทั้งหมดค่อยๆ หายไป
ในใจของเขา ความกลัวเริ่มเบาบางลงทีละนิดเขาพบว่าความกลัวมันไม่ใช่สิ่งที่เป็นรูปธรรม มันแค่ความคิดที่อยู่ในใจและเมื่อเขาไม่ให้มันมีอำนาจ ก็สามารถทำให้มันสลายหายไปได้
จนในที่สุด เมื่อความกลัวในใจของเขาสงบลงเขารู้สึกถึงแสงที่เริ่มส่องเข้ามาภายในห้องมืดเสียงของลมหายใจเริ่มคลายความตึงเครียด และใจของเขากลับสงบ
เจ้าทัพลืมตาขึ้นและเห็นแสงจากภายนอกห้องค่อยๆส่องเข้ามา มันเหมือนกับการได้พ้นจากการถูกล้อมกรอบในจิตใจ เขาลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องมืดด้วยความรู้สึกที่เบาขึ้น
พ่อครูยืนรออยู่ตรงประตู“เจ้าได้เรียนรู้แล้วใช่ไหม? ความกลัวมันเป็นแค่ภาพลวงตาเมื่อเจ้าสามารถปล่อยวางมันได้ เจ้าก็จะพบกับความสงบในจิตใจ”
เจ้าทัพยิ้มบางๆ และพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้วขอรับขอบพระคุณท่านพ่อครูมากขอรับ”
พ่อครูพยักหน้าและพูดเสียงหนักแน่น“นี่แหละ... วิธีที่เจ้าจะสามารถพัฒนาไปได้ในเส้นทางแห่งการฝึกวิชาอาคมการเอาชนะความกลัวในจิตใจ เป็นสิ่งแรกที่เจ้าต้องทำให้สำเร็จ”
หลายปีที่ผ่านมา เจ้าทัพทุ่มเททั้งร่างกายและจิตใจในการฝึกฝนและเรียนรู้จากพ่อครูทุกคำสอนแม้ว่าเวลาและความเหน็ดเหนื่อยจะกัดกินเขาไปมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้วันแล้ววันเล่าเขาฝึกจนร่างกายระบมไปทั้งตัวจากการถูกสักอักขระยันต์ที่พ่อครูบรรจงวาดไว้บนผิวหนังของเขาทีละตัว ทีละเส้น จนแทบไม่เหลือที่ว่างให้ร่างกายพักฟื้นความเจ็บปวดจากการถูกสักนั้นเจ็บแสบจนเขาต้องกัดฟันอดทนจนรู้สึกว่ามันกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเองไปแล้ว
ทุกๆ วันเจ้าทัพต้องท่องบทคาถาอาคมซ้ำไปซ้ำมาจนมันฝังลึกในหัวใจเขาท่องจนคำพูดเหล่านั้นกลายเป็นเสียงที่ไม่ต่างจากการหายใจราวกับว่ามันคือส่วนหนึ่งของเขาไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเวลานั่งสมาธิหรือเวลาผ่านการทดสอบหนักหน่วงจากพ่อครูเขาต้องจำทุกคำทุกประโยคให้ขึ้นใจไม่ให้คลาดเคลื่อน
“เหนื่อยเหลือเกินป่านนี้เจ้าจะเป็นอย่างไรบ้างนะ จะยังคงคิดถึงพี่อยู่หรือเปล่า”
ทุกครั้งที่หลับตาเจ้าทัพมักคิดถึงขวัญเหมือนดั่งน้องชายที่เขาเฝ้าถนอมมาเสมอภาพของขวัญในหัวใจของเขาคือเด็กหนุ่มผู้เปราะบางที่ยิ้มสดใส แม้โลกจะไม่ปรานีแต่ขวัญกลับเป็นเหมือนแสงเล็กๆ ที่ยังคงอบอุ่นในชีวิตอันโดดเดี่ยวของเขา
“เจ้าขวัญ...”เสียงเรียกนั้นหลุดออกมาด้วยความห่วงใยแม้เจ้าทัพจะพยายามซ่อนความเหน็ดเหนื่อยจากภารกิจที่หนักหนาแต่ความคิดถึงกลับทำให้เขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองขาดบางสิ่งบางอย่างไป
เขาไม่เคยคิดเลยว่าสายใยระหว่างเขากับขวัญจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นสำหรับเจ้าทัพ ขวัญคือคนสำคัญที่เขาต้องปกป้องในฐานะพี่ชายไม่ใช่ด้วยความรักแบบอื่น ความสัมพันธ์ที่เขามีกับขวัญชัดเจนในใจ มันคือความผูกพันของคนที่เกิดมาเพื่อเกื้อกูลกัน
“เจ้าจะสบายดีไหมนะ...”เจ้าทัพพึมพำกับตัวเองขณะมองดาวดวงเดิมที่พวกเขาเคยเฝ้าดูด้วยกันเขาอดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่ขวัญคอยตามเขาไปทุกหนแห่ง เอาแต่พูดคุยไม่หยุดจนเขาเองต้องทำเสียงดุแต่ในใจกลับรู้สึกเอ็นดู
ทว่าในตอนนี้ความเงียบสงบของค่ำคืนกลับทำให้เขาหวั่นไหวเล็กน้อยรู้เพียงว่าเขาอยากให้ขวัญปลอดภัย อยากให้ขวัญรู้ว่าไม่ว่าเมื่อไหร่พี่ชายคนนี้จะคอยอยู่ตรงนี้เสมอ พร้อมที่จะเป็นที่พักพิงให้แก่เขา...แม้เจ้าทัพเองอาจไม่สามารถอยู่ข้างๆได้ตลอดก็ตาม
--------------------------------------- พูดคุยเป็นกำลังใจให้กันได้นะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มีใครเริ่มเกลียดเจ้าทัพเหมือนขวัญหรือเปล่า
|