แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-2-25 10:29
ตอนที่ 6
: Part เพลิงภพ ซ่า…
เสียงเผาไหม้ของบุหรี่ดังแผ่วท่ามกลางความเงียบ ผมพ่นควันออกช้า ๆ ปล่อยให้มันลอยหายไปกับสายลมยามดึก คืนนี้เป็นอีกคืนที่ผมแทบไม่ได้แตะเหล้า เพราะต้องดูแลร้านใหม่ให้เข้าที่ เลยออกมาสูบบุหรี่คลายเครียดหลังร้านเหมือนเดิม
เสียงเพลงจากในร้านยังดังลอดออกมาไกล ๆ ได้ยินเสียงคนหัวเราะเฮฮากันอย่างสนุกสนาน แต่สำหรับผม ตอนนี้มันกลับดูวุ่นวายเกินไป
ผมพิงกำแพง สูดควันเข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
สายตาเหลือบลงมองหน้าจอโทรศัพท์ที่เปิดค้างอยู่ ข้อความที่ผมเพิ่งกดส่งไปยังขึ้นว่า ‘ยังไม่ได้อ่าน’
"คิดจะเมินกันให้ได้เลยใช่มั้ย?…"
ผมกดส่งข้อความไปอีกครั้ง หลังจากบอกกับตัวเองเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ว่าให้เลิกสนใจเถอะ
เฮ้อ... เด็กดื้อที่ตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ อย่างน้อยแค่ส่งสติ๊กเกอร์กลับมาก็ยังดี จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง
...แล้วทำไมผมต้องเป็นห่วงด้วยวะ ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริง ๆ
ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนที่ดังขึ้นแทรกความคิดของผม มันฟังดูโคตรคุ้นหู
ผมขมวดคิ้ว เสียงนี้มัน... ผมเคยได้ยินมาก่อน จากโทรศัพท์ของเด็กนั่น?
ผมไม่ได้คิดอะไรตอนแรก แต่พอเสียงแจ้งเตือนยังคงดังไม่หยุด และมันตรงกับจังหวะที่ผมกดส่งข้อความไปพอดี ความรู้สึกแปลก ๆ เริ่มตีตื้นขึ้นมาในอก
เสียงนั้น...
เหมือนว่ามันดังมาจากตรอกด้านข้างของร้าน
หรือนี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ?
ผมหรี่ตาลง ก่อนจะค่อย ๆ เดินตามเสียงไป
พอเดินเลี้ยวเข้ามุมกำแพง… ภาพตรงหน้าทำให้ผมต้องหยุดชะงัก
“อื้อออ!!”
ร่างบางที่คุ้นเคยถูกกดติดกับกำแพงในตรอกมืด
แสงไฟข้างทางสลัวจนแทบมองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย แต่เสียงดิ้นรน เสียงทุรนทุราย มันชัดเจนเกินไป
มือใหญ่ของไอ้เหี้ยนั่นกดปิดปากคนที่มันกำลังปลุกปล้ำ
“ลิลลี่ของพี่...”
เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าของมันกระซิบชิดใบหูของเหยื่อ
ผมเห็นไอ้เวรนี่ซุกไซ้ไปตามลำคอของธารา มือมันพยายามรูดกางเกงอีกฝ่ายลง
ตอนแรกผมแค่คิดว่าเป็นเรื่องของคนอื่น ไม่อยากยุ่ง...
แต่พอเห็นชัด ๆ ว่าคนที่กำลังดิ้นอยู่ตรงนั้นเป็นใคร
ความคิดจะเมินเฉยหายวับไปทันที
ดวงตาของผมวาวโรจน์ขึ้นทันทีที่เห็นแววตาตื่นตระหนกของธารา
เสียงครางขัดขืน เสียงหอบสะอื้น สายตาตื่นตระหนกของเด็กนั่น...
ทำให้เลือดในกายผมเดือดพล่าน
ผมไม่รอให้สมองคิดให้มากความ
คว้าไม้หนาหนักที่พิงอยู่ข้างถังขยะ ยกขึ้นเต็มแรง
ปั้ก!!
เสียงไม้กระแทกเข้ากับกะโหลกของไอ้เหี้ยโรคจิตดังสะท้อนในตรอกแคบ
เลือดสีแดงเข้มไหลทะลักออกมาจากหน้าผากของมัน ร่างของมันเซไปข้างหน้า ก่อนจะล้มฮวบลงไปนอนกองกับพื้น
ตึง!
“ไอ้เวร กล้าดียังไงมายุ่งกับของๆกู”
เสียงต่ำของผมลอดออกมาจากลำคอ ดวงตายังคงจับจ้องร่างไร้สติของไอ้สารเลวนั่น
มือกำไม้แน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ผมอยากจะซ้ำให้มันสลบไปเลย แต่ก็พยายามข่มอารมณ์เอาไว้
เสียงหอบหายใจของธาราทำให้ผมเบนสายตากลับมา
ร่างบางสั่นเทา ตัวเกร็งแข็ง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว
ผมโยนไม้ลงกับพื้น ก่อนจะเดินเข้าไปหา
“ธารา...”
เขาเงยหน้าขึ้นมองผม แววตาไหวระริก ริมฝีปากที่สั่นระริกเหมือนพยายามจะพูดอะไรออกมา
สุดท้ายกลับเอ่ยเพียงแค่คำเดียว ก่อนที่ร่างของเจ้าตัวจะหมดสติ
“พี่... เพลิง...”
ผมสบถในใจ ก่อนจะช้อนตัวอีกฝ่ายขึ้นในอ้อมแขน
ร่างของเด็กนี่เบาจนน่าตกใจ
ผมกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น ก่อนจะเดินออกจากตรอกมืดโดยไม่หันกลับไปมองซากของไอ้เหี้ยนั่นอีก
–
ผมอุ้มร่างไร้สติของธาราออกจากตรอกมืด แสงไฟจากเสาไฟข้างถนนส่องกระทบใบหน้าซีดเซียวของเด็กนี่ ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
ร่างนี้เบาเกินไป ผอมเกินไป... หมอนี่โหมงานหนักเกินไปหรือไง?
แม่งเอ๊ย
ผมกัดฟันแน่น ยิ่งนึกภาพเมื่อกี้ก็ยิ่งโมโห มือเผลอกระชับร่างในอ้อมแขนแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
หลังร้านของผมมีที่จอดรถพอดี ผมเดินตรงไปที่รถ เปิดประตูฝั่งข้างคนขับ แล้วค่อย ๆ วางธาราลงบนเบาะอย่างระมัดระวัง
เด็กนี่ขมวดคิ้วนิด ๆ ตอนที่ศีรษะสัมผัสกับพนักพิง ดวงตากระพริบไหว แต่ก็ยังไม่ตื่นเต็มที่
ผมยกมือขึ้นไปเสยผมที่ปรกหน้าของเขาออกเบา ๆ สายตากวาดมองตามลำคอขาวที่มีรอยแดงจาง ๆ จากแรงบีบเมื่อกี้
ถ้ากูมาช้ากว่านี้อีกนิด… มึงจะเป็นยังไง?
หงุดหงิดโว้ย!
ผมสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วปิดประตูรถ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหา 191
ไอ้เหี้ยนั่น กูไม่ปล่อยให้มันลอยนวลแน่
"191 สายด่วนตำรวจ แจ้งเหตุได้ค่ะ"
"ผมจะเเจ้งเหตุทำร้ายร่างกายและพยายามล่วงละเมิดทางเพศ" ผมพูดเสียงเรียบ แต่ในใจเดือดเป็นไฟ "มีคนหมดสติอยู่ที่ตรอกข้างร้าน XXX รีบมารับตัวมันไปซะ ก่อนที่ผมจะจัดการเอง"
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงเจ้าหน้าที่จะตอบกลับมา
"รบกวนขอชื่อผู้แจ้งค่ะ"
"เพลิงภพ หัสวีร์"
"คุณเพลิงภพปลอดภัยไหมคะ? ผู้ก่อเหตุยังอยู่ในที่เกิดเหตุหรือไม่?"
"อยู่ มันสลบอยู่" ผมเหลือบมองร่างของไอ้เวรนั่นที่ยังนอนกองอยู่กับพื้น เลือดไหลซึมออกจากหน้าผาก "แนะนำให้รีบมาเอาตัวไปก่อนที่มันจะฟื้น"
ปลายสายตอบรับอย่างรวดเร็ว "รับทราบค่ะ จะส่งเจ้าหน้าที่ไปที่จุดเกิดเหตุทันที"
ผมตัดสาย กำโทรศัพท์แน่น ก่อนจะก้าวกลับไปยังตรอกอีกครั้ง
ผมไม่ได้ใจดีขนาดนั้นที่จะปล่อยให้มันหมดสติไปเฉย ๆ
ผมเดินไปยืนคร่อมร่างของไอ้โรคจิตที่ยังนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ก่อนจะใช้ปลายรองเท้าหนังของตัวเองเตะเข้าที่สีข้างมันอย่างแรง
"ไอ้เหี้ยนี่ กูควรซ้ำอีกสักทีมั้ย?"
มันกระตุกนิดหน่อยเหมือนรู้สึกตัว แต่ยังไม่มีแรงพอจะลุกขึ้นมา
ผมแสยะยิ้มเย็น ก่อนจะถุยน้ำลายลงข้าง ๆ อย่างสะอิดสะเอียน
ไม่นานนัก เสียงไซเรนของรถตำรวจดังมาแต่ไกล ไฟสีน้ำเงินแดงกระพริบส่องสว่างมาตามถนน
ผมยกมือขึ้นเสยผมลวก ๆ แล้วถอยออกมายืนรอ
"คุณเป็นคนแจ้งเหตุนะครับ?"
ตำรวจสองนายเดินเข้ามาพร้อมไฟฉายที่ส่องกราดไปทั่วตรอก พอเห็นไอ้โรคจิตที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น เลือดไหลซึมออกจากหน้าผาก พวกเขาก็รีบพุ่งเข้าไปตรวจสอบ
ผมพยักหน้ารับ แต่ไม่ได้พูดอะไร นอกจากยืนกอดอกมองเหตุการณ์ตรงหน้า
"คนร้ายยังมีสติไหมครับ?" ตำรวจนายหนึ่งหันมาถาม
"ไม่รู้ว่ะ โดนฟาดไปหนักอยู่" ผมตอบเรียบ ๆ ยักไหล่ "แต่ก็ยังหายใจอยู่แหละ"
ตำรวจทำหน้าจริงจัง ก่อนจะติดต่อวิทยุเรียกรถพยาบาลให้มารับตัวไอ้เวรนั่น
แม่ง...แค่คิดว่ามันเกือบทำอะไรธาราก็อยากจะเตะซ้ำอีกสักรอบ
ผมสูดลมหายใจลึก ข่มความหงุดหงิดเอาไว้ ก่อนจะหันไปมองธาราที่นอนหมดสติอยู่ในรถของผม
“แล้วคนเจ็บล่ะครับ?”
“ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่เมากับตกใจ” ผมตอบเสียงเรียบ “แต่ดูเหมือนจะมีไข้นิดหน่อย”
ตำรวจพยักหน้า "งั้นถ้าผู้เสียหายฟื้นแล้ว รบกวนให้มาแจ้งความเพิ่มเติมที่สถานีด้วยนะครับ"
“เออ”
ผมไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเขา ก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถ
ผมเปิดประตูฝั่งคนขับ นั่งลงแล้วเหลือบมองคนที่ยังหลับอยู่ข้าง ๆ แก้มซีดเซียวกว่าปกติ เหงื่อเริ่มซึมออกมาที่หน้าผากเล็กน้อย
ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเด็กนี่เบา ๆ
"เหี้ย...ตัวร้อน"
ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะตัดสินใจสตาร์ทรถ แล้วเหยียบคันเร่งตรงกลับคอนโดของตัวเองทันที
–
30 นาที ต่อมา
ผมอุ้มธาราลงจากรถแล้วเดินเข้ามาในห้องพักของตัวเอง
ผมวางเขาลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเดินไปเปิดตู้หยิบผ้าขนหนูชุบน้ำ แล้วกลับมานั่งลงข้างเตียง
ผมใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าผากของเขาเบา ๆ ธาราครางฮือในลำคอขยับตัวเล็กน้อย แต่ยังไม่ยอมลืมตา
"ร้อน..."
เสียงแหบพร่าพึมพำออกมาเบา ๆ ก่อนที่เขาจะพลิกตัวหนีสัมผัสของผม
"อยู่นิ่ง ๆ"
ผมกดเสียงต่ำ ใช้มือใหญ่จับไหล่บางไว้ไม่ให้ดิ้น
เหี้ยเอ๊ย...กูแม่งใจดีเกินไปหรือเปล่าวะ?
ทำไมต้องมานั่งดูแลเด็กที่ไม่เคยคิดจะตอบข้อความนี่ด้วย?
แต่พอเห็นริมฝีปากของธาราแห้งผาก ใบหน้าซีดจนแทบไร้สีเลือด ผมก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ผมวางผ้าขนหนูที่ชุบน้ำไว้บนหน้าผากของธารา ลุกขึ้นไปค้นตู้ยาหายาลดไข้ ก่อนจะเทน้ำใส่แก้วกลับมานั่งลงข้างเตียงอีกครั้ง
"ธารา ตื่นมากินยาก่อน"
ไม่มีเสียงตอบรับจากคนบนเตียง ธารายังคงหลับตาแน่น หายใจร้อนผ่าวเหมือนคนกำลังฝันร้าย
ผมขมวดคิ้ว ลองตบแก้มเบา ๆ "ธารา กูบอกให้ตื่น"
เด็กนี่ขยับเปลือกตาเล็กน้อยก่อนจะครางออกมาเบา ๆ "อือ...พี่เพลิง?"
เสียงแหบแห้งแทบไม่ได้ยิน ผมพ่นลมหายใจยาว ใช้มือรองต้นคอของธาราแล้วพยุงขึ้นมานั่งพิงอกของผม
"กินยาก่อน เดี๋ยวไข้ขึ้นหนักกว่านี้" ผมพูดพลางเอายาลดไข้จ่อปากเขา
ธาราทำหน้ามึน ๆ ไม่รับยาไปสักที
ผมเลยใช้วิธีเดิม...
กะจะช่วยให้เขากลืนง่ายขึ้น ผมเลยคาบเม็ดยายัดปากตัวเองแล้วจับคางเด็กนี่ให้เปิดออก ก่อนจะกดริมฝีปากลงไป ส่งยาเข้าปากเขาโดยตรง
"อื้อ!"
ธาราตาเบิกกว้าง พยายามผลักผมออก แต่สุดท้ายก็กลืนลงไปเพราะน้ำที่ผมกรอกปากให้
ผมผละออกมา ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยริมฝีปากที่เปียกไปด้วยน้ำของเขาเบา ๆ ก่อนจะแสยะยิ้ม "ทีนี้ก็ง่ายขึ้นแล้วไง"
"พี่...!" ธาราพยายามยกมือขึ้นเหมือนจะตีผม แต่สุดท้ายก็หมดแรงซบลงกับอกผมแทน
ผมส่ายหน้าขำ ๆ ก่อนจะดันเขากลับไปนอนดี ๆ แล้วคลุมผ้าห่มให้ "หลับไปซะ"
ธารามองผมเหมือนอยากพูดอะไร แต่สุดท้ายเปลือกตาก็ปิดลง
ผมนั่งมองเขาอยู่สักพัก ไอ้เด็กเวรนี่ ตัวบางลงไปเยอะจริง ๆ ผอมจนไหปลาร้าชัดขนาดนี้ มึงแดกข้าวบ้างหรือเปล่าวะ?
แม่ง...พอเห็นสภาพแบบนี้แล้วหงุดหงิดว่ะ
ทำไมกูต้องมานั่งเป็นห่วงมันด้วยวะ?
ผมยกมือขึ้นเสยผม ถอนหายใจแรง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งที่โซฟา หยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบแต่สุดท้ายก็ไม่ได้จุดไฟ
คืนนี้คงต้องเฝ้าดูอาการไปก่อน เผื่อไข้มันขึ้นสูงกว่าเดิม
ผมเอนหลังพิงพนักโซฟา มองไปที่เตียงที่ธารานอนอยู่แล้วก็ได้แต่สบถกับตัวเองในใจ
"เหี้ยเอ๊ย...กูแม่งโง่ฉิบหายเลยว่ะ"
เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของธาราดังแผ่วเบาจากบนเตียง ผมนั่งเฝ้าเขาอยู่ที่โซฟา ขณะที่ไฟในห้องคอนโดเปิดทิ้งไว้เพียงดวงเดียว
แม่ง...ตอนแรกก็กะว่าจะปล่อยให้มันนอนพักไปเฉย ๆ แต่พอเห็นไอ้เด็กนี่นอนกระสับกระส่าย หยาดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ผมก็อดไม่ได้ต้องลุกไปดู
"เวรเอ๊ย ไข้ขึ้นอีกแล้ว"
ผมเอาผ้าขนหนูไปชุบน้ำเย็นใหม่ ก่อนจะบิดให้หมาดแล้วเช็ดตามใบหน้าและลำคอของธารา มือของมันขยับเล็กน้อยเหมือนพยายามจะปัดออก แต่ไม่มีแรงมากพอ
"อือ..." เสียงครางแผ่วเบาดังขึ้น
ผมมองใบหน้าซีดเซียวของเขา ตอนนี้มันไม่ใช่เด็กปากดีที่ชอบช็อตฟีลผมเหมือนทุกที แต่ดูอ่อนแอแทบจะเหมือนแมวป่วยตัวหนึ่ง
"แม่งเอ๊ย..."
ผมยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองแรง ๆ ก่อนจะยื่นมือไปแตะหน้าผากของธาราอีกครั้ง ร้อนฉิบหาย ไข้แม่งสูงขึ้นกว่าเดิมอีก
ทำไงดีวะ?
คิดได้แบบนั้น ผมก็ลุกขึ้น เดินไปที่ห้องน้ำ คว้าผ้าผืนใหม่มาแช่น้ำให้เย็นกว่าเดิมก่อนจะกลับมาประคบหน้าผากเขา
"ธารา มึงอย่าเพิ่งตายไปล่ะ" ผมพูดขึ้นลอย ๆ แม้ว่ามันจะฟังดูประชดประชัน แต่น้ำเสียงของผมไม่ได้มีความโกรธเลยสักนิด
ผมนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง นึกย้อนกลับไปตอนที่ผมเจอไอ้โรคจิตนั่นพยายามจะทำอะไรธารา
แค่คิดถึงภาพนั้นก็อยากจะย้อนกลับไปซัดมันให้หนักกว่าเดิม
ถ้าผมไม่ได้อยู่แถวนั้น...ถ้าผมไม่ได้จำเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ของธาราได้...
ตอนนี้มันจะเป็นยังไงไปแล้ววะ?
ผมกัดฟันแน่น แววตาเต็มไปด้วยความหงุดหงิดปนโมโห
ไอ้เด็กนี่...มันเคยระวังตัวกับชีวิตตัวเองบ้างหรือเปล่า?
ผมมองธาราเงียบ ๆ ก่อนจะถอนหายใจแรง ๆ แล้วก้มลงไปกระซิบข้างหูมันเบา ๆ
"หัดตอบข้อความกูซะบ้างนะ คนยิ่งเป็นห่วงอยู่ จะเล่นตัวไปถึงไหน"
หลังจากนั้นผมก็ทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาเหมือนเดิม สายตายังไม่ละไปจากร่างของไอ้เด็กดื้อที่นอนซมอยู่บนเตียง
–
ธารายังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวกับลมหายใจแผ่วเบาทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจ
ให้ตายเถอะ... ตั้งแต่เจอไอ้เด็กนี่ ผมไม่เคยต้องมานั่งเฝ้าใครแบบนี้มาก่อน ไม่เคยแม้แต่จะสนใจว่าใครเป็นยังไง แต่พอเป็นมัน... กลับอดไม่ได้
ผมนั่งนิ่งอยู่ข้างเตียง สายตาจับจ้องไปที่คนที่กำลังซมพิษไข้ ใบหน้าที่เคยเยาะเย้ยกวนประสาท ตอนนี้กลับดูอ่อนแอจนผมต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่
เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะ ผมหยิบมันขึ้นมาดู เป็นข้อความจากตำรวจ แจ้งว่าไอ้โรคจิตนั่นถูกจับตัวไปแล้ว มีหลักฐานจากกล้องวงจรปิด และมันก็รับสารภาพบางส่วน
"สาสมแล้วไอ้เหี้ย" ผมพึมพำ ก่อนจะโยนโทรศัพท์ทิ้งไว้บนโต๊ะ
ดวงตากลับไปจับจ้องที่ร่างผอมซูบของธาราอีกครั้ง ผมสังเกตเห็นว่าปลายนิ้วของมันเริ่มขยับแผ่วเบาเหมือนกำลังจะตื่น
"อือ..."
เสียงครางแผ่วดังขึ้น ร่างเล็กพลิกตัวเล็กน้อยก่อนที่เปลือกตาจะเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตาฉ่ำปรือสะท้อนแสงไฟลาง ๆ ในห้อง
มันดูมึนงงไปหมด เหมือนยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
"...ผมอยู่ไหน?" เสียงแหบแห้งเปล่งออกมาเบา ๆ
"คอนโดกู" ผมตอบเสียงเรียบ "มึงโดนลากไปหลังร้าน กูช่วยไว้ แล้วพามานอนนี่"
ธาราขมวดคิ้วเล็กน้อย คงยังไม่สามารถประมวลผลเรื่องทั้งหมดได้ดีนัก มันพยายามจะยันตัวลุกขึ้น แต่ก็ต้องซวนเซไปตามแรงโน้มถ่วง
"อยู่เฉย ๆ มึงยังไข้ขึ้นอยู่"
มือของผมเอื้อมไปดันไหล่มันให้นอนลงเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าเพราะพิษไข้หรืออะไร แต่ธารากลับไม่ขัดขืนเหมือนทุกที มันทำแค่จ้องหน้าผมนิ่ง ๆ ก่อนจะพูดเสียงเบา
"...ขอบคุณ"
ผมชะงักไปนิดหน่อย ไม่คิดว่าไอ้เด็กปากแข็งนี่จะยอมพูดคำนั้นออกมาเอง
"เออ" ผมตอบสั้น ๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมห้อง
ดวงตาของธาราค่อย ๆ ปิดลงอีกครั้ง ดูเหมือนมันจะยังเพลียอยู่ พอเริ่มสงบ ผมก็ลุกขึ้นไปหยิบผ้าชุบน้ำมาเปลี่ยนให้ใหม่ เช็ดเหงื่อที่ซึมตามกรอบหน้าให้เบา ๆ
ผมมองใบหน้าที่กำลังหลับสนิทแล้วถอนหายใจออกมา
แม่ง... ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าวันนี้ผมไม่ได้อยู่ตรงนั้น เรื่องมันจะจบยังไง
: Part ธารา ผมลืมตาขึ้นมาในบรรยากาศขมุกขมัว รู้สึกหนักอึ้งไปทั้งตัว คอแห้งผากจากพิษไข้ที่ยังไม่หายดี มือยกขึ้นแตะหน้าผากก็พบว่ายังร้อนจี๋
ที่นี่ที่ไหนกัน...?
ความทรงจำของผมขาดหายไปเล็กน้อย แต่ยังจำได้ว่าเมื่อคืนผมสลบไป แล้ว...
พี่เพลิง?
ใช่แล้ว... ภาพสุดท้ายที่จำได้คือพี่เพลิงอุ้มผมขึ้นจากพื้น แล้วหลังจากนั้น...
สายตาค่อย ๆ กวาดมองรอบตัว ผนังสีเข้ม เฟอร์นิเจอร์ที่คุ้นตา ถึงแม้จะไม่ได้มานาน แต่ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
นี่มัน... ห้องของพี่เพลิง
ผมพยายามขยับตัวให้ดีขึ้น แต่กลับรู้สึกปวดระบมไปหมด ไม่ใช่แค่เพราะเมื่อคืนดื่มไปเยอะ แต่เพราะ...
รอยขีดข่วนเล็ก ๆ บนแขนและช่วงไหล่ทำให้ผมนิ่งไปชั่วขณะ
เมื่อคืน... ความทรงจำค่อย ๆ ไหลย้อนกลับมา ภาพเหตุการณ์ข้างร้านเหล้า ร่างของไอ้โรคจิต เสียงหอบกระเส่าข้างใบหู...
ถ้าพี่เพลิงไม่มาเจอ ผมอาจจะ...
ผมขบกรามแน่น หัวใจเต้นระรัวด้วยความหวาดหวั่นปะปนไปกับความหงุดหงิดในตัวเอง
ทำไมผมถึงโง่แบบนี้ ทำไมถึงเดินออกมาเองคนเดียว...!
“เป็นไง ดีขึ้นมั้ย”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากมุมห้อง ผมหันไปมอง เห็นร่างสูงของพี่เพลิงยืนกอดอกพิงกรอบประตู ดวงตาคมกริบจับจ้องมา สีหน้าเรียบเฉย แต่แฝงความกดดันบางอย่าง
น้ำเสียงนั้น... ดูต่างจากที่เคยรู้จัก มันนิ่งเฉยจนน่ากลัว
"ครับ" ผมตอบไปสั้น ๆ ไม่กล้าพูดอะไรมากกว่านั้น
“เดี๋ยวไปหาผ้าขนหนูมาเช็ดตัวให้”
ผมเบิกตากว้างเล็กน้อย รีบส่ายหน้าทันที “ไม่เป็นไรครับ ผมเช็ดเองได้”
แต่พี่เพลิงกลับเหลือบมองผมนิ่ง ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ไหวแน่?”
“…ก็…”
ผมเถียงไม่ออก ได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นแล้วหลุบตาลงต่ำ
สุดท้ายพี่เพลิงก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้ผมนั่งนิ่งอยู่กับความคิดของตัวเอง
เราสองคนรู้จักกันได้ไม่นาน… ไม่กี่เดือนเท่านั้น
ทุกอย่างเริ่มจากความสัมพันธ์ฉาบฉวย ที่ไม่น่าจะผูกมัดอะไรใครได้ แต่ผมรู้ดีว่าพี่เพลิงไม่ได้คิดแบบนั้น เขาหลงผมมาก จนบางครั้งก็ทำให้ผมรู้สึกอึดอัด
เราเคยมีอะไรกันไปสองครั้ง แต่สำหรับผมมันก็แค่นั้น ผมไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับพี่เพลิงเลยสักนิด หรืออย่างน้อย… ผมเคยคิดแบบนั้น
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นก่อนที่เขาจะกลับออกมาพร้อมผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นในมือ เขาทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงโดยไม่พูดอะไร พลิกผ้าขนหนูในมือเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ วางลงบนหน้าผากผม
ผ้าขนหนูอุ่น ๆ แตะลงบนผิวอย่างแผ่วเบา ความเย็นสบายจากความชื้นของผ้ากระจายไปทั่วใบหน้า ช่วยปลอบประโลมร่างกายที่ยังรุม ๆ ร้อนจากพิษไข้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผมกะพริบตามองคนที่กำลังดูแลผมอยู่เงียบ ๆ
พี่เพลิง…
ใบหน้าของเขายังคงนิ่งสนิทเหมือนเดิม แต่ในแววตากลับเหมือนเก็บงำบางอย่างเอาไว้ บางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ มือใหญ่ของเขาแตะต้องผมอย่างระมัดระวัง ไม่ได้ดูแข็งกระด้างเหมือนคำพูดของเขาในตอนนี้เลยสักนิด
"เมาแล้วเสือกเดินออกไปข้างนอกคนเดียว คิดว่าตัวเองเก่งมากหรือไงวะ?" เสียงทุ้มต่ำดุขึ้นกว่าทุกที "เมื่อคืนถ้ากูไม่อยู่แถวนั้น มึงคิดว่าตัวเองจะรอดเหรอ?"
"..."
ผมไม่เถียงอะไร เพราะมันเป็นเรื่องจริง ถ้าพี่เพลิงไม่โผล่มาทันเวลา… ผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นยังไงตอนนี้
"หัดใช้สมองหน่อย มึงตัวเล็กแค่นี้คิดว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจะเอาตัวรอดได้หรือไง?"
น้ำเสียงของเขาฟังดูทั้งหงุดหงิด ทั้งตำหนิ แฝงไปด้วยอารมณ์ที่ผมอ่านไม่ออก
พี่เพลิงเปลี่ยนไป…
เขาไม่ใช่คนที่พูดจานุ่มนวลหรือเอาใจผมเหมือนครั้งแรก ๆ ที่เจอกันอีกแล้ว คำพูดของเขารุนแรงขึ้น หยาบขึ้นจนทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ … ราวกับเรากำลังห่างกันมากกว่าที่เคยเป็น
หรือจริง ๆ แล้ว เขาไม่ได้เปลี่ยนไปหรอก แต่เป็นผมเองที่เพิ่งรู้สึกถึงมัน
พี่เพลิงไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาแค่บิดผ้าขนหนูเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ เช็ดไปตามซอกคอและข้างแก้มของผม รอยขีดข่วนเล็ก ๆ บนผิวทำให้เขาหรี่ตามอง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ
"...เจ็บมั้ย?"
คำถามที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจแวบหนึ่ง ผมไม่ได้ตอบในทันที แค่ส่ายหน้าเบา ๆ
"โกหก"
เสียงพึมพำของเขาฟังดูแผ่วเบา แต่กลับหนักแน่นพอที่จะทำให้ใจผมกระตุก ผมมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ พี่เพลิงเปลี่ยนไปจากคนที่ผมเคยรู้จัก หรือว่าเขากำลังโกรธที่ผมไม่ตอบข้อความเขา…
ผมเม้มปากแน่น ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดี บรรยากาศในห้องเงียบไปชั่วขณะ มีแค่เสียงหายใจของเราสองคนที่แผ่วเบา
พี่เพลิงไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาแค่บิดผ้าขนหนูอีกครั้งก่อนจะค่อย ๆ เช็ดซับไปตามซอกคอ ไล่ลงมาถึงกระดูกไหปลาร้า สัมผัสนั้นอ่อนโยนกว่าคำพูดของเขาลิบลับ
"ตัวร้อนฉิบหาย" เขาพึมพำกับตัวเอง คล้ายหงุดหงิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะเงยหน้ามองผมตรง ๆ "มึงแดกเหล้าแทนข้าวรึไงถึงได้ไข้แดกแบบนี้?"
ผมกะพริบตา มองดวงตาคมกริบที่จ้องมาอย่างกดดัน รู้สึกเหมือนถูกดุจนตัวหดเล็กลงไปกว่าเดิม
"...ไม่ได้กินข้าว" ผมตอบเสียงเบา พี่เพลิงขมวดคิ้วเข้มขึ้นกว่าเดิม สีหน้าบ่งบอกว่าไม่พอใจอย่างชัดเจน
"โคตรน่าตีน"
คำพูดเขาหยาบกระด้างขึ้นเรื่อย ๆ แต่กลับไม่มีน้ำเสียงเกรี้ยวกราด มีแค่ความหงุดหงิดที่ฟังดูเหมือนเป็นห่วงมากกว่าที่จะโกรธจริง ๆ
ผมเบือนหน้าหนี ไม่อยากสบตาเขานานเกินไป เพราะหัวใจดันเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล
พี่เพลิงเปลี่ยนไปจริง ๆ หรือว่า… ผมเองที่เพิ่งมองเขาชัดขึ้น
"จะกินข้าวเอง หรือให้กูป้อน?"
คำถามของเขาทำให้ผมชะงัก หันกลับไปมองคนตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจว่านี่เป็นคำถามจริงจัง หรือแค่ประชด
"ผม… กินเองก็ได้"
"แล้วคิดว่าตัวเองจะเดินไหว?"
ผมเม้มปากแน่น รู้สึกเหมือนกำลังโดนขึงพืดด้วยคำพูดของเขา เพราะขนาดแค่ลุกขึ้นจากเตียง ผมยังล้มลงไปกองกับพื้นเมื่อตะกี้เลย
"...งั้นพี่ช่วยพยุงก็ได้"
พูดจบ ผมเห็นมุมปากพี่เพลิงกระตุกขึ้นเหมือนกำลังจะหลุดขำ ก่อนที่เขาจะทิ้งผ้าขนหนูไว้ข้าง ๆ แล้วเอื้อมมือมาดึงผมให้ลุกขึ้น
แต่แทนที่จะพยุง ผมกลับโดนยกขึ้นทั้งตัว แขนแกร่งช้อนร่างผมขึ้นแนบอก ราวกับว่าผมไม่มีน้ำหนักเลยด้วยซ้ำ
"เฮ้ย! ผมบอกให้ช่วยพยุง ไม่ได้ให้—"
"หุบปาก"
เสียงต่ำของเขาสะบั้นลงมาพร้อมกับฝ่ามือใหญ่ที่กดหัวผมให้ซบกับอกกว้าง หัวใจผมเต้นแรงจนไม่รู้ว่าเป็นเพราะพิษไข้ หรือเพราะคนที่กำลังอุ้มผมกันแน่
"ถ้าเดินไม่ไหวก็อย่าโวยวาย นั่งเงียบ ๆ แล้วแดกข้าวซะ จะได้แดกยาแล้วไปนอน"
ผมเงียบลงโดยอัตโนมัติ รู้สึกเหมือนตัวเองไม่เคยชินกับพี่เพลิงที่พูดจาโผงผางแบบนี้ แต่ขณะเดียวกัน…
มันกลับทำให้ผมรู้สึกถึงตัวตนของเขาอย่างชัดเจนกว่าที่เคยเป็น
–
ผมปล่อยให้พี่เพลิงอุ้มไปโดยไม่โวยวายอีก เพราะรู้ว่ายิ่งดิ้นก็คงมีแต่เสียแรงเปล่า ถึงจะบ่นหยาบคายขนาดไหน แต่สุดท้ายเขาก็ยังเป็นฝ่ายดูแลผมอยู่ดี
กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ปนกับกลิ่นบุหรี่จาง ๆ ทำให้ผมรู้สึกมึนกว่าเดิม หัวใจดันเต้นแรงขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล จนต้องพยายามนั่งนิ่ง ๆ ไม่ให้ตัวเองคิดไปไกล
พี่เพลิงวางผมลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะอาหาร ก่อนจะเดินไปหยิบชามข้าวต้มมาวางตรงหน้า กลิ่นข้าวต้มร้อน ๆ ลอยขึ้นมาปะทะจมูก ทำให้รู้สึกว่าท้องมันหิวขึ้นมาเลย
"แดกซะ"
คำสั่งห้วน ๆ ตามสไตล์เขาทำให้ผมเงยหน้ามอง เห็นพี่เพลิงยืนกอดอกมองมาเหมือนจับผิด ผมเลยยกช้อนขึ้นมากินเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร
แต่พอกินไปได้สองคำ พี่เพลิงก็ยกมือมาขยี้หัวผมแรง ๆ จนผมแทบสำลัก
"โอ๊ย! อะไรเนี่ยพี่!"
"แดกให้หมด ไม่งั้นกูยัดใส่ปาก"
ผมทำหน้าบึ้งใส่ แต่ก็รู้ว่าเถียงไปคงไม่ชนะ เลยได้แต่ก้มหน้าก้มตากินต่อ แต่ยิ่งกินก็ยิ่งรู้สึกถึงสายตาของพี่เพลิงที่มองมาแบบไม่วางตา
มันเป็นสายตาที่เหมือนกำลังจับจ้องบางอย่าง... สายตาที่ทำให้ผมรู้สึกประหม่าอย่างประหลาด
ผมเคยคิดว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่เพลิง ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังที่เรามีอะไรกัน แต่ตอนนี้...
มันเหมือนมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป
"มองอะไรนักหนา?" ผมอดไม่ได้ที่จะถามออกไป พี่เพลิงกระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม
"มองให้แน่ใจว่ามึงไม่ได้โง่จนปล่อยให้ตัวเองอดตาย"
"...พี่แม่ง"
ผมถอนหายใจเฮือก แต่กลับรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองร้อนขึ้นมานิด ๆ โดยไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะพิษไข้ หรือเพราะสายตาของพี่เพลิงกันแน่
พี่เพลิงที่ผมรู้จักในตอนแรก มักจะพูดจาอ่อนโยน ไม่เคยด่าผมหรือพูดอะไรหยาบคายแบบนี้ แต่มาตอนนี้กลับเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน
ผมนั่งกินข้าวต้มไปเงียบ ๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่อึดอัดแบบแปลก ๆ พี่เพลิงไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่สายตายังจับจ้องมาที่ผมไม่วางตา
มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อที่กำลังโดนนักล่าเพ่งเล็งอยู่ยังไงยังงั้น
พอข้าวต้มหมดไปเกือบครึ่งชาม ผมก็วางช้อนลง รู้สึกว่ากินต่อไม่ไหวแล้ว แต่พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นคิ้วพี่เพลิงกระตุกทันที
"แดกให้หมด"
"ผมอิ่มแล้ว"
"อิ่มเชี่ยไร กินไปนิดเดียว" พี่เพลิงทำเสียงฮึดฮัดก่อนจะคว้าช้อนผมไปตักข้าวต้มขึ้นมาแล้วจ่อเข้าปากผม "อ้าปาก"
"เฮ้ย! ไม่เอา—"
"อย่าดื้อ"
ผมอ้าปากจะเถียง แต่เขาก็ใช้จังหวะนั้นยัดข้าวต้มเข้ามาพอดีจนต้องเคี้ยวและกลืนลงไปแบบช่วยไม่ได้
"พี่! ผมกินเองได้"
"ก็กินให้หมดซะ อย่ามาเล่นตัว"
ให้ตายเถอะ! นี่มันพี่เพลิงที่ผมเคยรู้จักจริง ๆ เหรอ?!
ก่อนหน้านี้เขาแทบจะตามใจผมทุกอย่าง เวลาพูดด้วยก็อ่อนโยนจนบางทีผมยังรู้สึกว่ามันเกินไปด้วยซ้ำ แต่พอมาเจอแบบนี้… มันเหมือนเขาเปลี่ยนเป็นคนละคน
"ไม่ต้องทำหน้าเหมือนหมาหงอย กูก็แค่ไม่อยากให้มึงตายคาห้องกู"
"พูดดี ๆ ก็ได้ป่ะ ไม่เห็นต้องด่ากันเลย"
"กูพูดดี ๆ กับมึงมาตลอดแล้วไง แล้วเป็นไง? หายหัวไปไม่บอกไม่กล่าว เมาก็ไม่ดูตัวเอง จนเกือบโดนลากไปข้างถนน ถ้ากูไม่ไปเจอ มึงจะทำยังไง?"
"...!"
คำพูดของพี่เพลิงทำให้ผมชะงัก เพราะมันเป็นเรื่องจริงทั้งหมด
เมื่อคืนผมไม่ได้คิดอะไรเลย แค่รู้สึกแค่ว่าอยากออกไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อย แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเกือบซวยเสียเอง
"ถ้าไม่ได้คิดอะไร ก็หัดดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้หน่อย" พี่เพลิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นยืน "กินให้หมด กูจะไปเอายามาให้"
ผมมองแผ่นหลังกว้างที่เดินหายเข้าไปในห้องครัว ก่อนจะก้มมองข้าวต้มในชามที่เหลืออีกไม่กี่คำ
ใจหนึ่งก็หงุดหงิดที่พี่เพลิงเปลี่ยนไป พูดจาก็หยาบ ไม่เอาใจผมเหมือนเมื่อก่อน
แต่อีกใจหนึ่ง…
ทำไมกันนะ
ทำไมพอเขาเป็นแบบนี้แล้ว ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนดึงดูดเข้าไปหาเขามากกว่าเดิม?
–
หลังจากกินข้าวต้มหมด ผมก็เอนตัวพิงพนักโซฟา รู้สึกหนักหัวหน่อย ๆ คงเพราะพิษไข้ยังไม่หายสนิท พี่เพลิงกลับมาพร้อมยา เขาวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะก่อนจะส่งยาให้ผมโดยไม่พูดอะไร
ผมหยิบมากินเงียบ ๆ พอวางแก้วลง ก็เหลือบมองเขาอย่างลังเล
"อะไร"
"พี่..." ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูด "พี่โกรธผมเหรอ?"
พี่เพลิงเงียบไปชั่วอึดใจ ดวงตาคมกริบของเขามองมาทางผมนิ่ง ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาแรง ๆ
"กูควรโกรธมั้ยล่ะ?"
"...ก็ ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้"
"เออ มึงไม่เคยตั้งใจอะไรอยู่แล้ว" พี่เพลิงกระแทกเสียง ดูออกเลยว่าเขาหงุดหงิดแค่ไหน "ไม่ได้ตั้งใจหายหัวไป ไม่ได้ตั้งใจไม่ตอบแชต ไม่ได้ตั้งใจเมาเละจนเกือบโดนลากไปที่เปลี่ยว"
"..."
"ขอโทษ" ผมพูดออกมาเบา ๆ
พี่เพลิงหัวเราะในลำคอ แต่ไม่ใช่เสียงหัวเราะที่ฟังแล้วรู้สึกดีเลยสักนิด
"ขอโทษเหรอ?" เขาเลิกคิ้ว ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้ ใกล้จนผมรู้สึกถึงลมหายใจร้อน ๆ ที่เป่ารดหน้าผาก "มึงคิดว่าคำขอโทษของมึงมันช่วยอะไรได้วะ? มันทำให้มึงไม่ต้องเจ็บตัวเหรอ? มันทำให้กูเลิกเป็นห่วงมึงได้รึไง?"
หัวใจผมเต้นแรงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ จู่ ๆ ร่างกายกลับร้อนขึ้นมาอีกครั้งโดยที่ไม่เกี่ยวกับพิษไข้เลยสักนิด
"กูไม่ได้อยากมานั่งจ้ำจี้จ้ำไชกับมึงแบบนี้หรอกนะธารา" น้ำเสียงเขาแผ่วลง คล้ายกับกำลังอดทนกับอะไรบางอย่าง "แต่กูแม่งห้ามตัวเองไม่ได้จริง ๆ"
พูดจบ พี่เพลิงก็ผละตัวออกไปยืนขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะหันหลังเดินไปทางระเบียง จุดบุหรี่ขึ้นสูบเหมือนต้องการสงบสติอารมณ์
ผมมองแผ่นหลังกว้างของเขาเงียบ ๆ ในใจรู้สึกสั่นไหวแบบแปลก ๆ
ห้ามตัวเองไม่ได้?
คำพูดของเขามันหมายความว่ายังไงกันแน่?
*************************** เพลิงเริ่มเปลี่ยนโหมดเป็นน่ากลัวแล้ว พี่เพลิงโหดนะบอกเลอออ เอาใจช่วยน้องธารากันด้วยนะทุกคน หรือจริงๆ น้องชอบผู้ชายแบดๆ |