ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
ดู: 335|ตอบกลับ: 7

ช่วยผมด้วย..ผมโดนมาเฟียรุมข่มขืน!? Chapter 1

[คัดลอกลิงก์]

มาเฟียนักศึกษา

กระทู้
98
พลังน้ำใจ
4329
Zenny
21485
ออนไลน์
1055 ชั่วโมง
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด |โหมดอ่าน
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-2-28 10:53


Chapter 1
เส้นทางที่ถูกขีดไว้ตั้งแต่ต้น

สายแดดที่สาดลงมากระทบผิวไม่ได้ให้ความรู้สึกอบอุ่นสำหรับผมอีกแล้ว มันกลับเต็มไปด้วยความเหน็บหนาวของโลกใบนี้ที่แปรเปลี่ยนให้ผมกลายเป็นเพียงเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจ ถูกกักขังในกรงสีดำที่ไม่มีวันหลุดพ้น แม้ว่าผมจะพยายามหนีมากี่ครั้ง ทุกอย่างก็จบลงเหมือนเดิม ถูกลากตัวกลับมาและถูกลงโทษจนร่างกายด้านชา ไร้ซึ่งความรู้สึก เหมือนจิตใจพยายามปิดกั้นตัวเองจากความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เงาสะท้อนในกระจกเผยให้เห็นร่างที่เต็มไปด้วยร่องรอยบอบช้ำ รอยฟกช้ำกระจายไปทั่ว ตั้งแต่ลำคอ หน้าอก แขน และขา ไม่มีส่วนไหนของร่างกายที่รอดพ้นจากการลงทัณฑ์ แม้แต่ใบหน้าก็ยังปรากฏรอยเลือดที่เริ่มแห้งกรัง เสียงในหัวตอกย้ำให้จำขึ้นใจว่า "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าให้เรื่องสาวมาถึงฉัน" นั่นเป็นกฎเหล็กที่ถูกสั่งมาโดยชายที่กุมอำนาจในเงามืด ผู้ซึ่งตัดสินชีวิตของผมอย่างใจเย็น ราวกับว่าความเป็นความตายของผมไม่มีค่าใดๆ


เสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านหลัง ก่อนที่เสียงคุ้นเคยจะดังขึ้น


"เจบี~"


เสียงเรียกที่ทำให้ผมรีบคว้าเสื้อคลุมขึ้นมาปกปิดร่างกาย ซ่อนร่องรอยบาดแผลจากสายตาของคนที่เข้ามาใหม่ ‘ฮันแจ’ เพื่อนในวัยเด็กที่ครั้งหนึ่งเคยยืนเคียงข้างกัน แต่บัดนี้กลับกลายเป็นลูกน้องคนสนิทของ ‘คิมบอม’ ชายผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในเกาหลี

เบื้องหน้าของคิมบอมคือภาพของนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำรายได้มหาศาล แต่เบื้องหลังกลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง เขาเป็นนักล่า เป็นผู้กุมเกม และเป็นคนที่ไม่มีใครกล้าขัดขืน


"รีบแต่งตัวเร็วเข้า บอสใหญ่สั่งให้ฉันมาตามนาย ดูเหมือนจะมีเรื่องด่วน"


ฮันแจเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะพูดประโยคหนึ่งออกมา สีหน้าของเขาดูจริงจังมากกว่าปกติ


"สัญญากับฉันได้มั้ย ว่านายจะมีชีวิตอยู่ต่อไป"


คำพูดนั้นฟังดูเหมือนคำขอร้อง แต่ก็คล้ายกับเป็นคำเตือนในตัว ผมเพียงแค่ยิ้มบางๆ ตอบกลับไป แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งที่รออยู่ข้างหน้าไม่ใช่เส้นทางที่ง่ายดาย


"ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ฉันเอาตัวรอดเก่ง"คำพูดปลอบโยนจากผมทำให้อีกฝ่ายคลายสีหน้ากังวล พร้อมกับทิ้งคำพูดบางคำไว้ก่อนที่จะเดินจากไป


"ฉันเชื่อใจนายนะ"และแล้วหัวใจของผมก็ถูกแช่แข็งปราศจากความรู้สึกใดๆ แม้กระทั่งความกลัวในจิตใจ เสียงตวาดเรียกจากชายผู้ไร้ซึ่งความเมตตาเมื่องานที่มอบหมายไม่สำเร็จไปตามแผน เขาก็ไม่ต่างอะไรกับนรกที่เปิดอ้ารอรับคนบาปอย่างผม



ภายในห้องทำงานขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึม เฟอร์นิเจอร์หรูหราถูกจัดวางอย่างมีระดับ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถกลบกลิ่นอายของความกดดันที่แผ่กระจายไปทั่วได้ ผมยืนอยู่ตรงกลางห้อง มองไปยังร่างของชายที่นั่งไขว่ห้างอยู่หลังโต๊ะทำงาน ดวงตาคมกริบของเขาจับจ้องมาทางผมโดยไม่ปิดบังเจตนา

ผมถูกเรียกตัวมาพบโดยไม่มีการบอกล่วงหน้า และทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ก็มีแต่เรื่องที่ผมไม่อยากรับรู้ทั้งนั้น


"รู้ไหมว่าฉันเกลียดคนที่ทำให้ฉันผิดหวังที่สุด"


เขาเอ่ยเสียงราบเรียบ แต่ทุกถ้อยคำล้วนแฝงไปด้วยอำนาจและแรงกดดัน ผมไม่ตอบอะไร เพียงแค่ยืนนิ่ง ปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบของตัวเอง


"ภารกิจง่ายๆ แค่นี้ ทำไมถึงจัดการไม่ได้?"


เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาฉายแววหงุดหงิด เหมือนคนที่กำลังคำนวณว่าผมควรได้รับบทลงโทษแบบไหน


"หรือว่านายเริ่มไม่อยากทำงานให้ฉันแล้ว?"


ลมหายใจของผมติดขัดไปชั่วขณะก่อนจะรีบก้มหน้าลง ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะรู้ดีว่าถ้าหากตอบอะไรผิดไปแม้แต่นิดเดียว ชีวิตของผมอาจจบลงตรงนี้


เสียงถอนหายใจดังขึ้น ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินอ้อมโต๊ะมาใกล้ผม ท่าทีเหมือนนักล่าที่กำลังพิจารณาเหยื่อก่อนจะลงมือ


"ฉันให้โอกาสนายแก้ตัว"


น้ำเสียงของเขาเย็นชา แต่รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้ากลับแฝงไปด้วยเจตนาแฝงเร้น


"ถ้านายทำงานนี้ให้ฉันสำเร็จ ฉันจะให้อิสระกับนาย และฉันสัญญาว่าจะดูแลเพื่อนของนายอย่างดี" รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ พร้อมทั้งสายตาแทะโลมชวนขนลุก ทำให้ผมรีบถอยห่างออกมา และดูท่าทางเขาจะไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนที่ฮันแจจะออกมารับหน้าแทนผม


"บอสครับ ต้องขอโทษแทนเพื่อนผมด้วย" แล้วหันมากระซิบเบาๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง "เจบี รีบขอโทษบอสเร็ว"


"ขอโทษครับบอส"ผมตอบกลับไปแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก


"นาย.." ชี้นิ้วมาทางผม "ออกไปได้แล้ว...ส่วนนายมากับฉัน" สายตาของฮันแจที่มองมายังผมไม่ได้แสดงความหวาดกลัวแต่อย่างใด เหมือนรับรู้ดีว่าตัวเองต้องเจอกับอะไร พร้อมกับรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า และเสียงประตูที่ปิดลง




5.20 PM.
กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

การเดินทางข้ามทวีปที่แสนยาวนาน บวกกับความเหนื่อยล้าทำให้สติของผมหลุดลอยไปในภวังค์แห่งความฝันเหมือนกับตัวเองได้ย้อนกลับไปในวัยเด็กอีกครั้ง

"แฮ่กๆ ...!? "เสียงลมหายใจถี่รัว พยายามเค้นคำพูดแต่จับใจความไม่ได้นัก "ผ..ผะ...ผม...จา...ไม่...ฮึก ทำ...อี..ก ละ ...แล้ว" และเสียงเรียกของใครบางคนที่ปลุกให้ผมตื่น


"เจบี~"น้ำเสียงที่ลากยาว ทำให้ผมสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ มีคนเรียกชื่อผม "ชื่อเจบีจริงด้วยแฮะ"


ผมได้แต่นั่งกระพริบตาปริบๆ พร้อมกับยิ้มตอบไปเบาๆ ก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งถัดจากผมไปไม่ถึงคืบจะถอดแว่นกันแดดออกเผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าคล้ายกับสีของน้ำทะเลตัดกับเส้นผมสีบอร์นเงางามดูมีเสน่ห์เกินกว่าจะเป็นแค่คนธรรมดา และเจ้าของดวงตาคู่นั้นก็ยังคงจ้องมองมาที่ผมเหมือนกับต้องการอะไรบางอย่าง


"คุณ...รู้ชื่อผม..ได้ยังไง" ไม่ทันจบประโยค มือข้างหนึ่งของเขาเอื้อมมาสัมผัสที่ต้นคอของผม ก่อนจะเลื่อนลงมาจับจี้สร้อยคอที่สลักอักษร JB อย่างแผ่วเบา


"ส่วนมากอักษรย่อที่เค้าเอามาห้อยคอกันก็มีความหมายได้ไม่กี่อย่างจริงมั้ย? ..." ลืมไปเลยว่าแขวนชื่อตัวเองไว้ที่คอ แต่ก็ไม่นึกว่าจะมีคนทักแบบนี้ "ยินดีที่ได้รู้จักนะเจบี"


"เอ่อ ครับ..."


"ถ้าไม่เป็นเพราะเจ้าพวกนั้น ฉันคงนั่งจิบไวน์สบายๆ อยู่ที่เกาหลี ดันมีงานด่วนเข้ามาซะได้" เขาพูดพร้อมกับทำหน้าเหมือนเซ็งๆ "แต่นายทำให้ฉันรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเยอะเลย จะเป็นไรมั้ยถ้าฉันจะชวนนายไปดินเนอร์ด้วยกันสักมื้อ"


"เห๋!? ดะ...ดินเนอร์? "


"งั้นฉันถือว่านายตกลงละนะ เจบี" พูดเองเออเองก็เป็นด้วย ผมได้แต่นั่งถอดหายใจยาวๆ เมื่อนึกถึงเรื่องที่ผมอุตส่าห์บินไกลมาถึงลอนดอนแต่ยังไม่ได้ทันทำอะไรด้วยซ้ำก็โดนคนแปลกหน้าที่ไหนไม่รู้มาทำให้ผมยิ่งมีเวลาน้อยลงไปอีก และทันทีที่เครื่องลงจอดสนิท ผมก็คิดขึ้นได้ว่าจะต้องเผ่นให้เร็วที่สุด


ครืด~....กึก.กึก..!!? เสียงลากกระเป๋าหยุดลง พร้อมกับผู้ชายร่างสูงโปร่งผมบอร์นใส่แว่นตาดำที่ยืนขวางอยู่ด้านหน้า เหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอที่ไหนนะ...


"นายกำลังไปผิดทางนะเจบี รถของฉันจอดอยู่ทางโน้น" แล้วก็ชี้นิ้วไปทางด้านหน้าของสนามบิน ที่มีรถสปอร์ตหรูคันหนึ่งจอดอยู่ ก่อนจะทำฟอร์มแย่งกระเป๋าเดินทางไปจากมือผมดื้อๆ


"เชิญครับผม"


"แต่...ผมมีธุระนะ" ผมตะโกนไล่หลัง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจแม้แต่น้อย แถมยังพยักหน้าไปทางเบาะข้างคนขับเป็นเชิงบอกให้ผมขึ้นรถ


ผมขมวดคิ้ว สายตาเต็มไปด้วยความระแวง แต่ในสถานการณ์แบบนี้ การยืนเถียงกับคนอย่างเขากลางสนามบินก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก สุดท้าย ผมก็ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะยอมก้าวขึ้นไปนั่งในรถ


เสียงประตูปิดลงพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มขึ้น ผมหันไปมองชายหนุ่มที่ยังคงมีรอยยิ้มติดอยู่บนใบหน้าอย่างอารมณ์ดี


"ยิ้มอะไรครับ?" ผมถามออกไปอย่างอดไม่ได้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่ไว้ใจ


เขาเคาะนิ้วเบาๆ บนพวงมาลัย ท่าทางไม่รีบร้อน ดวงตาสีอ่อนฉายแววเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ "แล้วค่าตัวนายเท่าไหร่ล่ะ?"


คำพูดนั้นทำให้ผมชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ความหงุดหงิดจะเข้ามาแทนที่


นี่คือวิธีที่เขาเริ่มบทสนทนากับทุกคนที่เจอหรือไง?


"คุณพูดแบบนี้ ผมไม่อยากไปด้วยแล้ว" ผมตอบกลับเสียงแข็ง พร้อมกับทำท่าจะเปิดประตูรถ


แต่ก่อนที่มือของผมจะได้แตะที่จับประตู เสียง คลิก ก็ดังขึ้น พร้อมกับระบบล็อกอัตโนมัติที่ถูกกดจากฝั่งคนขับ


ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะเหลือบตามามองผม "แหม แค่แหย่เล่นนิดเดียวเอง ไม่คิดมากสิ"


เขายักไหล่ ก่อนจะเหยียบคันเร่งให้รถพุ่งออกไปบนถนน


ผมทำหน้ามุ้ยเล็กน้อย ก่อนจะนั่งเอามือกอดอกพร้อมทั้งเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ทั้งที่กะไว้แล้วว่าจะได้นั่งรถชมวิวไปพลางๆ แต่หมอนี่กลับเร่งความเร็วแซงรถทุกคัน จนวิวข้างทางที่ผมเห็นตอนนี้เรียกได้ว่าเบลอไปหมด แล้วรถก็ค่อยๆ ชลอความเร็วลงก่อนจะจอดสนิท


"ลงมาสิ" เสียงเปิดประตูรถตามมาด้วยเสียงเรียกของหนุ่มฝรั่งหน้าตาดีที่เป็นคนลากผมมา แล้วผมก็เดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย และก็เป็นอีกครั้งที่ผมถูกทิ้ง


"รอฉันอยู่ตรงนี้นะ ห้ามไปไหนล่ะ"


"ดะ...เดี๋ยวว"


ผมมองดูนาฬิกาอย่างคนรอเวลา พร้อมทั้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับความคิดตัวเอง 'ฉันน่าจะหนีไปซะ ตอนที่ยังมีโอกาส แต่มันง่ายเกินไปมั้ย ถ้าจะหนีไปแบบนี้โดยที่ไม่ถูกจับกลับมาอีก'


ไม่มีคำตอบให้กับตัวเอง มีเพียงแค่ความเงียบงันที่กดทับจนรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก ผมทอดสายตามองไปยังผู้คนรอบข้าง ทุกคนใช้ชีวิตอย่างปกติ ไม่มีใครสนใจว่าผมเป็นใคร หรือว่ากำลังคิดจะหนีจากอะไร พวกเขาไม่รู้ว่าผมกำลังถูกจองจำ แม้ว่าจะเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนนับร้อย แต่สำหรับผม มันไม่ต่างจากการติดอยู่ในกรงที่มองไม่เห็น


เสียงสะท้อนจากเงามืดกระซิบข้างหู ราวกับจะตอกย้ำว่าผมไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรทั้งนั้น เส้นทางของผมถูกขีดไว้ตั้งแต่ต้น ไม่มีที่ให้หนี ไม่มีที่ให้ซ่อน โลกใบนี้กว้างใหญ่ แต่สำหรับผม มันแคบเสียจนแทบไม่มีช่องว่างให้หายใจ ไม่ว่าผมจะก้าวไปทางไหน ทุกเส้นทางล้วนถูกปิดตาย


ต่อให้พยายามวิ่งไปสุดขอบฟ้า สุดท้ายก็ถูกดึงกลับมาเหมือนหมากที่ไม่มีวันออกจากกระดาน ต่อให้โหยหาอิสรภาพแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องจบลงที่การเป็นแค่เครื่องมือของคนอื่น

บางที… การหยุดดิ้นรนอาจเป็นทางเดียวที่ทำให้ผมไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไป




ตึก... ตึก... ตึก...

เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ผมต้องละสายตาจากพื้นถนน ก่อนจะหันไปมองคนที่เพิ่งเดินกลับมา


ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทเนี้ยบยกยิ้มบางอย่างอารมณ์ดี ดวงตาสีฟ้าที่สะท้อนแสงไฟดูเจิดจ้าเกินไปในยามค่ำคืน ข้างกายเขามีชายหนุ่มอีกคนที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน คนที่ดูจะอายุมากกว่าเล็กน้อย ใบหน้าคมคายแฝงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในแบบที่มองแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่คนที่ควรไว้ใจ


"ไง เจบี รอนานมั้ย?"


น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนไม่ได้กังวลว่าผมจะรอจนเบื่อหรือหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย ผมไม่ได้ตอบอะไร แค่จ้องเขากลับนิ่งๆ รอให้พูดต่อ


"ว่าจะแวะไปแป๊บเดียวแท้ๆ ดันคุยนานซะได้" เขายักไหล่ ราวกับมันเป็นเรื่องปกติ แล้วก็ยกมือขึ้นลูบปลายคาง ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง "อ้อ ฉันลืมแนะนำตัวเลย ฉัน แคสเปอร์ ส่วนหมอนี่..."


เขาเอียงศีรษะไปทางชายหนุ่มที่ยืนข้างๆ ซึ่งต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง ใบหน้าของอีกฝ่ายยังคงเรียบนิ่ง ดูสุขุมและสง่างาม แต่ในดวงตาคู่นั้นกลับซ่อนความเจ้าเล่ห์บางอย่างไว้อย่างแนบเนียน


"เสี่ยวไป๋"


เสี่ยวไป๋หัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะของเขาไม่ได้ดังหรือเปิดเผยเหมือนแคสเปอร์ แต่มันแฝงไปด้วยเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้คนฟังต้องเผลอให้ความสนใจ ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้กว่าเดิม จังหวะที่เขาเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความมั่นใจ มีเสน่ห์แบบที่อันตรายและไม่น่าไว้ใจในคราวเดียวกัน


"เจบี?" เขาเอ่ยชื่อผมด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ลากยาวเล็กน้อย รอยยิ้มตรงมุมปากดูเหมือนจะแฝงความสนใจบางอย่างไว้ "เป็นชื่อที่น่ารักดีนะ"


ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกยังไงกับคำชมที่ดูไม่จริงใจนัก ก่อนที่แคสเปอร์จะหัวเราะในลำคอแล้วโบกมือให้เสี่ยวไป๋ถอยออกมา


"อย่าเพิ่งทำให้เขาตกใจสิ"


"ฉันเปล่านะ แค่ทักทายกันเฉยๆ"


เสี่ยวไป๋ไหวไหล่ ยกมือขึ้นอย่างคนที่ดูไม่มีพิษภัย แต่แววตาของเขากลับบอกชัดเจนว่าเขากำลังสนุกที่ได้เห็นปฏิกิริยาของผม


เขากอดอก หรี่ตามองแคสเปอร์ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ฟังดูไม่รีบร้อนแต่เต็มไปด้วยความนัยแฝงอยู่ในนั้น


"แล้วนี่ไปได้เจ้าหนูนี่มาจากไหน?"


แคสเปอร์ปรายตามองผมครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ


"เจอกันบนเครื่อง"


เสี่ยวไป๋เลิกคิ้ว ราวกับคำตอบมันน่าสนใจมากกว่าที่คิด ก่อนจะเหยียดยิ้มกว้างขึ้น พลางพยักหน้าเล็กน้อยมาทางผม


"แล้วนายคิดจะทำอะไรกับเด็กคนนี้ล่ะ?"


ผมเม้มปากแน่น รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่คลุมเครือขึ้นทุกขณะ แคสเปอร์ไม่ได้ตอบในทันที เขาเพียงแค่ยืนมองผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะยักไหล่และตอบด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยอะไรบางอย่าง


"ก็แค่...สนใจ"


ผมชะงัก รู้สึกได้ว่าคำๆ นั้นมีความหมายมากกว่าที่เขาพูดออกมา และนั่นทำให้ผมระวังตัวมากขึ้น


เสี่ยวไป๋หัวเราะในลำคอ ก่อนจะพึมพำเบาๆ กับตัวเอง


"น่าสนใจจริงๆ ..."


ผมก้มลงมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง เข็มวินาทียังคงเดินไปอย่างไม่หยุดหย่อน เวลาของผมมีไม่มากแล้ว ผมไม่ควรมาเสียเวลาอยู่ตรงนี้ โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้าสองคนที่ผมไม่รู้จัก


ผมไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่ แต่สัญชาตญาณบอกผมว่าพวกเขาไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน


แคสเปอร์ยืนพิงรถด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับทุกอย่างอยู่ในความควบคุมของเขา ดวงตาสีน้ำแข็งสบกับผมครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ


"ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ"


เขาพยักหน้าให้เสี่ยวไป๋ที่ไม่ได้ตอบอะไร ก่อนจะก้าวเข้ามาหาผมโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว


"เดี๋ยว..!"


ผมยังพูดไม่ทันจบ แคสเปอร์ก็ฉวยข้อมือผมไว้แล้วออกแรงกระตุกเบาๆ ทำให้ร่างของผมเสียหลักก่อนจะถลาลงไปนั่งบนตักของเขาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ


ผมชะงักไปทันที รู้สึกถึงความใกล้ชิดที่ไม่คุ้นเคย แคสเปอร์หัวเราะเบาๆ อย่างพอใจ ขณะที่แขนของเขาสอดรอบเอวผมโดยไม่คิดจะปล่อย


"โอ๊ะ นั่งสบายเลยนี่"


"ปล่อย!" ผมพยายามขยับตัวหนี แต่กลับถูกกระชับแน่นกว่าเดิม


"นายไม่มีที่นั่งไง" เขาตอบหน้าตาย แต่ดวงตาเต็มไปด้วยแววขบขัน


เสี่ยวไป๋ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเหลือบมองมาทางผมแวบหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นเรียบๆ


"นั่งไปเถอะน่า"


ผมเม้มปากแน่น พยายามจะดิ้นให้พ้นจากสถานการณ์ประหลาดนี้ แต่ก็ไร้ประโยชน์ วงแขนของแคสเปอร์ยังคงรัดแน่น ราวกับตั้งใจจะแกล้งผมมากกว่าจะยอมให้ผมลุกไปนั่งที่อื่น


เครื่องยนต์คำรามต่ำๆ ก่อนที่รถจะพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วที่น่าหวาดเสียว แรงกระชากจากการเร่งเครื่องทำให้ร่างของผมเอนไปด้านหลังโดยอัตโนมัติ เลขไมล์พุ่งจาก 200… 250… 300 และไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ภาพสองข้างทางพร่ามัวจนแทบมองไม่เห็นอะไร นอกจากเส้นแสงไฟถนนที่พาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราวกับโลกทั้งใบกำลังไหลย้อนกลับไปอยู่ข้างหลัง


ผมนั่งตัวเกร็ง พยายามฝืนตัวเองไม่ให้เอนไปตามแรงเหวี่ยงมหาศาล แต่ไม่เป็นผล แผ่นหลังของผมแทบจะหลอมไปกับตัวแคสเปอร์โดยสมบูรณ์ แขนของเขาที่กอดรอบเอวผมแน่นขึ้นเหมือนจงใจให้ผมติดอยู่กับเขามากขึ้นไปอีก


"อย่าเกร็งขนาดนั้นสิ เดี๋ยวก็เป็นตะคริวหรอก"


ผมกัดฟัน ไม่ตอบอะไร ขณะที่รถยังคงพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไร้ความปรานี เสี่ยวไป๋ที่อยู่หลังพวงมาลัยไม่ได้มีทีท่าว่าจะลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย ดวงตาเรียบนิ่งของเขาจับจ้องไปยังถนนเบื้องหน้า ท่าทางสงบนิ่งจนน่าขนลุก ราวกับว่าการขับรถด้วยความเร็วขนาดนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับเขา


ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ ความเร็วของรถค่อยๆ ชะลอลงจากความเร็วที่น่าหวาดเสียวจนเริ่มกลับสู่ระดับที่สมองของผมสามารถประมวลผลได้ตามปกติ แต่ถึงอย่างนั้น หัวใจของผมก็ยังเต้นแรงอยู่ดี ราวกับยังไม่สามารถตั้งสติให้กลับมาเป็นปกติได้หลังจากถูกเหวี่ยงไปกับความเร็วมหาศาลเมื่อครู่


ผมหายใจเข้าออกลึกๆ พยายามควบคุมตัวเองให้สงบลง ในขณะที่สองคนข้างๆ เริ่มคุยกันเองโดยไม่สนใจผม


"ฉันว่าแล้วว่าถ้าขับเร็วแบบนี้ หมอนี่ต้องหน้าซีดแน่ๆ" แคสเปอร์หัวเราะเบาๆ เสียงของเขาฟังดูอารมณ์ดีเหมือนเพิ่งเล่นสนุกเสร็จ


"เหมือนตอนนายลองขับเครื่องบินครั้งแรก" เสี่ยวไป๋ตอบเสียงเรียบ สายตายังจับจ้องไปที่ถนนเบื้องหน้า


"เฮ้ นั่นมันคนละเรื่องกันเลยนะ" แคสเปอร์ย่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเบาๆ พลางหันมามองผม "ตอนนั้นฉันแค่ลองบินขึ้นไปเฉยๆ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ใครกลัวซะหน่อย"


"แต่นายทำเครื่องตก"


"ก็แค่เสียการควบคุมนิดหน่อย..."


"แล้วเกือบลากคนทั้งลำไปตกทะเล"


ผมฟังบทสนทนาไปพลาง ขมวดคิ้วมองพวกเขาสลับไปมา แคสเปอร์ที่กำลังโดนเสี่ยวไป๋เหน็บแนมยังคงหัวเราะขำ ในขณะที่เสี่ยวไป๋ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าหงุดหงิดหรือเอือมระอา มีเพียงน้ำเสียงที่ฟังดูนิ่งๆ แต่แฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ผมอ่านไม่ออก


"แล้วนายล่ะ เจบี" แคสเปอร์หันมาหาผมอย่างกระตือรือร้น "เคยนั่งเครื่องบินแล้วเครื่องสั่นจนคิดว่าจะตกบ้างไหม?"


ผมเลิกคิ้วขึ้น นี่มันคำถามบ้าอะไรเนี่ย?


"ไม่... ผมไม่เคย"


"โอ้ งั้นนายยังไม่เจอประสบการณ์สุดยอด" เขาหัวเราะ ก่อนจะเอนหลังพิงเบาะ "ตอนนั้นฉันจำได้เลยนะ เสี่ยวไป๋ยังพูดอยู่เลยว่า 'ถ้าเครื่องตกจริงๆ ฉันจะฆ่านายก่อนที่แรงกระแทกจะฆ่าฉัน'"


"ฉันก็ยังคิดแบบนั้นอยู่" เสี่ยวไป๋ตอบเรียบๆ


ผมหลุดขำออกมานิดหน่อยกับความเรียบเฉยของเสี่ยวไป๋ที่ตัดกับความชิลของแคสเปอร์โดยสิ้นเชิง แต่ก็ต้องรีบปั้นหน้ากลับมาเป็นปกติ


"แล้วนายล่ะ เสี่ยวไป๋" แคสเปอร์หันไปหาชายหนุ่มที่นั่งขับรถ "มีอะไรที่เคยทำพลาดจนอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขไหม?"


เสี่ยวไป๋เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบสั้นๆ


"ไม่นิ"


"ไม่มีเลย? ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดเหรอ?"


"มี แต่ถ้าย้อนกลับไปก็จะทำเหมือนเดิม"


ผมชะงักไปกับคำตอบนั้น ไม่ใช่เพราะมันฟังดูน่ากลัว แต่เพราะมันตรงไปตรงมาเกินไป ผมไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกยังไงกับคำพูดของเสี่ยวไป๋ แต่ดูเหมือนแคสเปอร์จะไม่ได้ใส่ใจมากนัก เขาเพียงแค่หัวเราะแล้วพยักหน้ารับ


"โห เท่มากเลยครับท่าน"


"แล้วนายล่ะ?"


แคสเปอร์กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะยิ้มกว้าง "ฉันมีเป็นร้อยเรื่องเลยล่ะ!"


"ไม่แปลกใจ" เสี่ยวไป๋ตอบทันที


ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่รู้ทำไม แต่ดูเหมือนพวกเขาจะเข้ากันได้ดีมาก... แม้ว่าจะต่างกันสุดขั้วก็ตาม


บรรยากาศในรถเริ่มผ่อนคลายลงอย่างไม่น่าเชื่อ บทสนทนาที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าของแคสเปอร์และคำพูดสั้นๆ แต่เฉียบคมของเสี่ยวไป๋ทำให้ความตึงเครียดก่อนหน้านี้ค่อยๆ เลือนหายไป ผมเผลอลืมไปชั่วขณะว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน และยิ่งไปกว่านั้น… ผมลืมไปว่าควรจะระวังตัวให้มากกว่านี้


ไม่นาน รถก็ชะลอความเร็วลง ก่อนจะเคลื่อนตัวเข้าสู่เขตพื้นที่ส่วนตัวที่ถูกแยกออกจากถนนหลักโดยสิ้นเชิง ไฟประดับทางเข้าวาววับสะท้อนบนกระจกรถ เผยให้เห็นอาคารสูงระฟ้าที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ตัวตึกถูกออกแบบอย่างหรูหรา ประดับด้วยแสงไฟสลับสีราวกับกำลังอวดโฉมความโอ่อ่าของมันให้ทุกคนได้เห็น


เสียงเครื่องยนต์เงียบลงเมื่อเสี่ยวไป๋จอดรถสนิท ผมเผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะ ก่อนจะรู้สึกถึงแรงกดที่เคยพันธนาการรอบเอวค่อยๆ คลายออก


แคสเปอร์ค่อยๆ ลดอ้อมแขนที่กักผมไว้ ก่อนจะปล่อยให้ร่างของผมเป็นอิสระ ผมรีบขยับตัวออกห่างทันที สัมผัสอุ่นที่เคยกดทับอยู่บนผิวหายไป แต่ความรู้สึกอึดอัดที่ติดอยู่ในใจยังคงไม่จางหาย


ประตูฝั่งผมถูกเปิดออก ก่อนที่ผมจะดันตัวเองให้ลุกขึ้นจากตักของแคสเปอร์โดยเร็วที่สุด เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยาของผม ดวงตาสีน้ำแข็งเป็นประกายเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเอนตัวพิงเบาะ สองมือยกขึ้นเสยผมลวกๆ อย่างสบายใจราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นแค่เรื่องเล่นสนุก


“ถึงแล้วล่ะ ดินเนอร์ของเรา”


แคสเปอร์พูดขึ้นพลางลุกออกจากรถ ขยับสูทให้เข้าที่ ก่อนจะเอี้ยวตัวบิดไหล่ไปมาเหมือนกำลังคลายความเมื่อยล้าจากการที่ผมนั่งทับไปตลอดทาง ผมเบือนหน้าหนี ถอนหายใจเบาๆ อย่างไม่พอใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอาคารสูงระฟ้าที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า


เสี่ยวไป๋เดินนำเข้าไปก่อน โดยมีแคสเปอร์คอยเดินตามอยู่ด้านหลังเหมือนเป็นเงาที่ไม่คิดจะให้ผมคลาดสายตา ทุกก้าวที่ผมเดินเข้าไปในอาคารหรูแห่งนี้ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกแยกจากบรรยากาศโดยรอบ


ชุดที่ผมใส่มาเป็นเพียงเสื้อผ้าสบายๆ ธรรมดา ตัดกับความหรูหราฟู่ฟ่าของที่นี่อย่างสิ้นเชิง ทุกมุมของสถานที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนถูกออกแบบมาเพื่อรองรับแขกระดับสูง แสงไฟระยิบระยับสะท้อนอยู่บนพื้นหินอ่อนเงาวับ ทุกอย่างเป็นระเบียบไร้ที่ติ ราวกับโลกอีกใบที่แตกต่างจากที่ผมเคยอยู่


เสี่ยวไป๋เดินเข้าไปคุยกับพนักงานต้อนรับที่ยืนอยู่ด้านหน้า โต๊ะต้อนรับที่ดูหรูหราไม่ได้มีแค่พนักงานธรรมดา แต่ทุกคนล้วนแต่งตัวดี ไร้ที่ติแม้แต่รอยยับบนเสื้อเชิ้ต เสี่ยวไป๋พูดอะไรบางอย่างกับพนักงานคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้ารับอย่างนอบน้อม โค้งเล็กน้อยเพื่อเป็นการต้อนรับ แล้วเดินนำทางพวกเราไป


สุดท้ายผมก็ถูกพามายังห้องหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นห้องแต่งตัว ด้านในตกแต่งอย่างหรูหรา โคมไฟคริสตัลส่องประกายวาววับสะท้อนอยู่บนกระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง และสิ่งที่ทำให้ผมต้องชะงักคือ ชุดแบรนด์เนมราคาแพงที่ถูกแขวนเรียงรายอยู่เต็มไปหมด


"เลือกเอาสักชุด นายต้องเปลี่ยนก่อนถึงจะเข้าไปด้านในได้" เสี่ยวไป๋พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนเดิม


ผมมองแถวเสื้อผ้าตรงหน้าแล้วเม้มปากแน่น หยิบดูไปมาแต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะเลือกอะไรดี แต่ละชุดดูเป็นทางการเกินไป ทั้งสูทเนี้ยบ เสื้อเชิ้ตเนื้อดี ไปจนถึงรองเท้าหนังที่ดูแพงจนไม่กล้าหยิบขึ้นมาใส่


แคสเปอร์ที่พิงกรอบประตูอยู่มองดูท่าทางของผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ


"โอเคๆ ฉันช่วยเอง"


พูดจบก็เดินตรงมาหยิบเสื้อผ้าออกจากราวแขวนอย่างคล่องแคล่ว สายตาของเขากวาดไปมองทีละชุดเหมือนกำลังเลือกของเล่นอะไรสักอย่าง


"ตัวนี้ดีไหมนะ... อืม ไม่เหมาะ..." เขาหยิบเสื้อตัวหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะมองผมแล้วส่ายหน้า จากนั้นก็หยิบตัวใหม่ขึ้นมาพิจารณา "อ้อ นี่ก็ดูเข้าท่า"


แคสเปอร์เลือกชุดสูทสีเข้มที่มีเนื้อผ้าเรียบหรูเข้ากับบรรยากาศของสถานที่นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตัวสูทถูกออกแบบให้เข้ารูปแต่ไม่ดูเป็นทางการเกินไป เสริมด้วยเสื้อเชิ้ตเนื้อดีที่ถูกปลดกระดุมช่วงบนเล็กน้อยเพื่อให้ดูสบายขึ้นกว่าเดิม


"ลองใส่ดู"


ผมรับชุดที่ถูกยื่นมาให้แบบไม่เต็มใจนัก ก่อนจะเหลือบมองเสี่ยวไป๋ที่ยังคงยืนมองอยู่อย่างเฉยเมย


"ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธใช่ไหม?"


เสี่ยวไป๋เพียงแค่พยักหน้ารับ ส่วนแคสเปอร์ยกยิ้มกว้าง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี "แน่นอน นายต้องดูดีเวลาเดินข้างฉันสิ"


ผมกลอกตา ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า


ไม่กี่นาทีต่อมา ผมก้าวออกมาจากห้องแต่งตัว แค่เพียงก้าวเดียว สายตาของทั้งสองคนก็จับจ้องมาที่ผมทันที


แคสเปอร์ที่ยืนพิงกรอบประตูอยู่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ดวงตาสีน้ำแข็งของเขาจะฉายแววพึงพอใจอย่างชัดเจน ส่วนเสี่ยวไป๋ที่ปกติไม่ค่อยแสดงอารมณ์ กลับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยราวกับกำลังพิจารณา


"..."


ผมขมวดคิ้ว มองทั้งสองคนที่จู่ๆ ก็เงียบไปอย่างน่าประหลาด


"อะไร?"


แคสเปอร์กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ "โอ้โห..."


ผมขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ขณะที่เขาเดินตรงเข้ามา วงแขนกอดอก มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ปรากฏบนริมฝีปาก


"นายดูดีชะมัด"


ผมเบือนหน้าหนี ไม่ได้ใส่ใจคำพูดนั้น สูทตัวนี้เข้ารูปพอดีราวกับตัดมาสำหรับผมโดยเฉพาะ ตัวเสื้อเชิ้ตด้านในถูกปลดกระดุมช่วงบน เผยให้เห็นแผ่นอกขาวเนียนตัดกับสีของชุดเข้มที่สวมอยู่ ดูไม่เป็นทางการจนเกินไป แต่ก็มีเสน่ห์ในแบบที่ผมเองยังรู้สึกแปลกๆ


แคสเปอร์จ้องอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนจะเป่าปากเบาๆ "ถ้าฉันรู้ว่านายแต่งตัวขึ้นขนาดนี้ ฉันคงหาโอกาสจับนายเปลี่ยนชุดเร็วกว่านี้แล้วล่ะ"


ผมเหลือบมองเสี่ยวไป๋ที่ยังคงเงียบอยู่ ก่อนที่เจ้าตัวจะถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดขึ้นมาเรียบๆ


"ไปกันได้แล้ว"



ผมก้าวเข้ามาในห้องโถงขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยโต๊ะอาหารเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ พื้นหินอ่อนสะท้อนแสงไฟระยิบระยับจากโคมระย้าขนาดมหึมากลางห้อง ให้ความรู้สึกหรูหราและโอ่อ่าจนแทบจะกดทับทุกอย่างให้จมหายไป

สองคนที่เดินขนาบข้างผมอยู่ ‘แคสเปอร์’ และ ‘เสี่ยวไป๋’ ต่างก็มีรูปร่างสูงใหญ่และสง่างาม แม้ผมจะสูงเกือบ 180 เซนติเมตร แต่เมื่ออยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา กลับรู้สึกเหมือนตัวเองเล็กลงอย่างน่าประหลาด

และสิ่งที่ทำให้รู้สึกอึดอัดยิ่งกว่านั้น ก็คือสายตารอบข้างที่จับจ้องมา

ผมไม่ค่อยชินกับความสนใจแบบนี้ ไม่ว่าจะแรงหรือเบาก็ตาม สายตาของผู้คนที่นั่งอยู่ตามโต๊ะหรูหราต่างพากันมองมาอย่างประเมิน บางคนมองด้วยความสงสัย บางคนมองด้วยความสนใจ และบางคนดูเหมือนจะให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ


"เป็นจุดเด่นเลยนะเรา" แคสเปอร์กระซิบเสียงกลั้วหัวเราะ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขบขัน ขณะที่มือของเขาล้วงกระเป๋ากางเกง เดินอย่างผ่อนคลายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ผมขยับสูทเล็กน้อยอย่างเก้อเขิน ก่อนจะเอ่ยตอบเบาๆ "คุณพูดแบบนี้ ทำให้ผมยิ่งรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลยนะครับ"


"ทำไมล่ะ? ไม่ชอบเป็นจุดสนใจเหรอ?"


"ก็... ไม่เชิงครับ" ผมพ่นลมหายใจ ยกมือขึ้นดึงปกสูทให้เข้าที่อีกครั้ง รู้สึกว่ามันรัดแน่นกว่าปกติ หรืออาจเป็นเพราะความรู้สึกอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นในอกก็ไม่แน่


เสี่ยวไป๋ที่เดินอยู่อีกฝั่งไม่ได้พูดอะไร แม้จะรับรู้ถึงสายตารอบข้างได้ดีเหมือนกัน แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย เขายังคงเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันรอบตัว


"อย่าคิดมากน่า" แคสเปอร์เอ่ยขึ้นพลางเอื้อมมือมาแตะหลังผมเบาๆ "ใส่ชุดนี้แล้วก็ช่วยแบกความมั่นใจไปด้วยสิ เจบี นายดูดีจะตายไป"


ผมก้มหน้าลงเล็กน้อย รู้สึกถึงสายตาของผู้คนรอบข้างที่ยังคงจับจ้องมา แม้จะพยายามไม่ใส่ใจ แต่ก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ "ขอบคุณครับ แต่ผมไม่ค่อยชินเท่าไหร่"


แคสเปอร์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้ กระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขบขัน "งั้นคืนนี้ก็คงต้องทำใจให้ชินหน่อยแล้วล่ะ"


ผมสะดุ้งนิดหน่อย ก่อนจะรีบก้าวเดินให้ห่างออกจากเขา ขณะที่เสี่ยวไป๋เพียงปรายตามองมาทางนี้เล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร


ในที่สุด เราก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องหนึ่ง ประตูไม้บานใหญ่ดูหรูหราแข็งแรง ด้านหน้ามีป้ายติดไว้ชัดเจนว่า "VVIP Dining Room"

ผมขมวดคิ้วทันทีที่เห็น ป้ายนี้บ่งบอกได้ว่าห้องนี้ไม่ใช่แค่แพงธรรมดา แต่น่าจะเป็นระดับพิเศษที่ไม่ใช่แค่ใครก็สามารถเข้ามาได้ง่ายๆ

พนักงานต้อนรับที่รออยู่ด้านหน้ารีบโค้งให้ ก่อนจะเปิดประตูด้วยท่าทางนอบน้อม พนักงานอีกคนเดินนำเข้าไปข้างในอย่างคล่องแคล่ว โดยที่ผมแทบไม่ต้องแตะต้องอะไรเองเลย


บรรยากาศในห้องแตกต่างจากด้านนอกโดยสิ้นเชิง โต๊ะอาหารถูกจัดเตรียมอย่างสมบูรณ์แบบ จานชามทั้งหมดเป็นเซรามิกลายพิเศษ แก้วไวน์คริสตัลวางอยู่ในตำแหน่งที่เป๊ะไร้ที่ติ ผ้าเช็ดปากพับเป็นรูปทรงประณีต ขณะที่ขวดไวน์ราคาแพงถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อย


เมื่อแคสเปอร์และเสี่ยวไป๋ก้าวเข้ามา พนักงานที่ยืนรออยู่รีบเดินเข้ามาดึงเก้าอี้ออกให้พวกเขานั่ง ผมยืนนิ่งเล็กน้อย ไม่ชินกับการถูกบริการขนาดนี้ แต่พนักงานคนหนึ่งก็เดินมาดึงเก้าอี้ออกให้เช่นกัน


"เชิญครับ"


ผมสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งเงียบๆ ไม่นานนัก พนักงานอีกคนก็เดินเข้ามารินไวน์ลงในแก้วตรงหน้าโดยที่ผมไม่ต้องทำอะไร


ผมกวาดตามองรอบๆ ห้อง ก่อนจะหันไปมองคนที่พาผมมาที่นี่ "ที่นี่ดูแพงมากเลยนะครับ"


แคสเปอร์หัวเราะเบาๆ "แพงสิ ก็เรามีรสนิยม"


ผมเผลอกลืนน้ำลายเบาๆ ก่อนจะพยายามคุมสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติ "แล้ว...พวกคุณมาที่นี่บ่อยเหรอครับ?"


เสี่ยวไป๋ทรุดตัวลงนั่งอย่างเงียบๆ รับแก้วไวน์จากพนักงานขึ้นมาหมุนเบาๆ โดยไม่ตอบคำถาม ขณะที่แคสเปอร์เอนตัวพิงเก้าอี้สบายๆ ก่อนจะพยักหน้าให้พนักงานที่ยืนรออยู่


"เริ่มเสิร์ฟได้เลย"


พนักงานโค้งรับ ก่อนจะเดินออกไป ผมเหลือบมองแคสเปอร์ที่หันมายิ้มให้ ก่อนจะตบพนักเก้าอี้ข้างตัวเองเบาๆ


"นั่งสบายขึ้นหรือยัง?"


ผมพยักหน้าช้าๆ แม้ว่าความอึดอัดยังไม่หายไป


พนักงานเริ่มทยอยนำอาหารเข้ามาเสิร์ฟทีละจาน ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างประณีต อาหารแต่ละจานตกแต่งสวยงามราวกับเป็นงานศิลปะ กลิ่นหอมจากเครื่องเทศและซอสชั้นดีลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ ให้ความรู้สึกถึงความพิเศษและความใส่ใจในรายละเอียดของร้านนี้


ผมหันมองอาหารตรงหน้าอย่างลังเล ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นอาหารหรูหราแบบนี้มาก่อน แต่สถานการณ์ตอนนี้ทำให้รู้สึกว่าทุกอย่างดูเป็นทางการเกินไป ผมยังไม่ชินกับการถูกจับให้อยู่ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้


"กินสิ ไม่ต้องเกรงใจ" แคสเปอร์พูดขึ้น พลางใช้ส้อมตักอาหารเข้าปากอย่างไม่เร่งรีบ


ผมเหลือบมองเสี่ยวไป๋ที่กำลังใช้มีดหั่นเนื้ออย่างเป็นระเบียบและแม่นยำ ก่อนจะละสายตากลับมาที่จานตัวเอง


"ขอบคุณครับ" ผมตอบเบาๆ ก่อนจะหยิบช้อนส้อมขึ้นมาลองตัดเนื้อชิ้นที่อยู่ตรงหน้า


แคสเปอร์ยิ้มขำ "ดูไม่ค่อยผ่อนคลายเลยนะ"


"ผมแค่..." ผมเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ "ไม่ค่อยชินกับอะไรแบบนี้"


"เข้าใจล่ะ" เขาวางศอกพาดกับขอบโต๊ะ เอียงศีรษะมองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ "แต่นายก็ดูเข้ากับบรรยากาศนี้ดีนะ ถ้าไม่นับรวมสีหน้าตอนนี้... ดูเหมือนลูกกวางที่เผลอเดินหลงเข้ามาในถ้ำเสือยังไงไม่รู้"


ผมชะงักไปนิดหน่อย ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นคำชมจริงๆ หรือเป็นแค่คำหยอกของเขากันแน่


เสี่ยวไป๋วางส้อมลง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเรียบๆ "ทำตัวตามสบาย ที่นี่ไม่มีใครจับผิดนายหรอก"


แม้จะเป็นคำพูดที่เรียบง่าย แต่กลับทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะตัดสินใจกินอาหารตรงหน้าต่อ


ไม่นานนัก พนักงานก็เดินเข้ามาเติมไวน์ในแก้วของพวกเรา เสียงแก้วกระทบกันเบาๆ ขณะที่แคสเปอร์ยกขึ้นจิบพลางปรายตามองมาที่ผม


"ว่าแต่นายมาทำอะไรที่นี่?"


คำถามนั้นทำให้มือผมที่กำลังจะหยิบแก้วชะงักไปครู่หนึ่ง ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเขาโดยอัตโนมัติ แววตาของแคสเปอร์ดูเหมือนจะไม่ได้ถามแค่ผ่านๆ แต่แฝงไปด้วยความสนใจบางอย่างที่ผมอ่านไม่ออก


"หมายถึง?"


"ลอนดอนไง" เขาหมุนแก้วในมือช้าๆ ของเหลวสีเข้มในแก้วไวน์ไหลวนตามแรงข้อมือ ก่อนที่เขาจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่สายตายังคงจับจ้องมาที่ผมไม่ละไปไหน "ฉันเจอนายบนเครื่องบิน ก็ดูไม่ได้เหมือนพวกที่มาพักผ่อน หรือมาเที่ยวสักเท่าไหร่"


ผมพยายามรักษาสีหน้าให้เรียบนิ่งที่สุด ขณะที่มือค่อยๆ เอื้อมไปจับขอบแก้วไวน์ตรงหน้า


"ผมมีธุระนิดหน่อยครับ"


"ธุระแบบไหนล่ะ?" แคสเปอร์ยังคงถามต่อ ดวงตาของเขาเป็นประกายราวกับต้องการเค้นคำตอบจากผมให้ได้


ใจเย็นไว้ ผมบอกตัวเองในใจ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ "เรื่องส่วนตัวครับ"


แคสเปอร์กระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ราวกับไม่เชื่อคำตอบของผมเสียทีเดียว "ธุระที่ต้องมาไกลถึงนี่ ฟังดูน่าสนใจนะ"


ผมไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่หลบตาลงไปมองของเหลวสีเข้มในแก้วไวน์ ในหัวกลับย้อนนึกถึงอดีตที่ไม่มีวันลบเลือนไปได้ง่ายๆ


"ผมไม่เคยมีตัวตนตั้งแต่แรก" นั่นคือความจริงที่ผมเรียนรู้มาตลอด ผมเกิดที่เกาหลี แต่เอกสารที่ติดตัวมาตั้งแต่ถูกทิ้งไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าระบุว่าผมเป็นลูกครึ่งอเมริกัน ไม่มีข้อมูลพ่อแม่ ไม่มีชื่อจริงที่เป็นของตัวเอง เป็นเพียงเด็กที่ถูกทอดทิ้งตั้งแต่ลืมตาดูโลก ใช้ชีวิตอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไปวันๆ จนกระทั่งวันหนึ่งผมถูกครอบครัวหนึ่งรับไปเลี้ยง ครอบครัวที่เปลี่ยนชีวิตของผมไปตลอดกาล


ผมได้รู้จัก ฮันแจ ตั้งแต่นั้น เขาเป็นเหมือนทั้งเพื่อนและพี่ชาย เป็นเหมือนคนในครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่ผมพอจะพึ่งพาได้ แต่ครอบครัวที่รับผมมาไม่ใช่ครอบครัวธรรมดา พวกเขาคือตระกูลคิม ตระกูลที่เต็มไปด้วยอำนาจและเครือข่ายมากมาย ทั้งบนดินและใต้ดิน และที่พวกเขารับผมมา ไม่ใช่เพราะความเมตตา แต่เพราะต้องการบางอย่างจากผม


ผมไม่ได้เป็นลูกบุญธรรม แต่เป็นเครื่องมือ เป็นหมากตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับภารกิจที่พวกเขาไม่อาจเปิดเผย ผมถูกฝึกมาตั้งแต่ยังเด็ก ถูกสอนให้รู้จักเอาตัวรอด รู้จักวิธีต่อสู้ วิธีใช้อาวุธ และที่สำคัญที่สุดวิธีเป็นเงาที่ไร้ตัวตน เป็นแขนขาที่ทำงานให้พวกเขาโดยไม่มีช่องโหว่ ไม่มีข้อผิดพลาด ทุกการกระทำต้องแนบเนียน ไร้ร่องรอย ผมไม่เคยได้รับโอกาสในการเลือก ไม่เคยมีสิทธิ์ปฏิเสธ และสิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการจากผม ก็คือ "ผลลัพธ์"


การออกนอกประเทศกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับผม ตั้งแต่จำความได้ ผมเดินทางไปที่ต่างๆ นับครั้งไม่ถ้วน ถูกส่งไปในสถานการณ์ที่ไม่ควรมีเด็กคนไหนเข้าไปเกี่ยวข้อง ได้เรียนรู้ภาษา ได้ซึมซับวัฒนธรรมของหลายประเทศโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ผมพูดได้หลายภาษา สามารถปรับตัวเข้ากับสถานที่ต่างๆ ได้อย่างแนบเนียน แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีบางสำเนียงที่ผมฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง


สุดท้าย ไม่ว่าผมจะถูกเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนที่อยู่กี่ครั้ง ต่อให้เดินทางไปไกลแค่ไหน เปลี่ยนสังคมกี่ครั้ง เปลี่ยนภาษา เปลี่ยนสภาพแวดล้อมมากแค่ไหน ผมก็ยังเป็นแค่ "เครื่องมือ" ของพวกเขาอยู่ดี และไม่มีวันหนีไปจากเงื้อมมือของตระกูลคิมได้


"อย่ากดดันเขา"


เสียงของเสี่ยวไป๋ดึงผมกลับมาสู่ปัจจุบัน ผมกระพริบตา สติกลับเข้าที่ในเสี้ยววินาที ก่อนจะพบว่าแคสเปอร์ยังคงจ้องมาที่ผมไม่วางตา


"โอเค ไม่ถามก็ได้"


เขาหัวเราะเบาๆ พลางยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ แต่ถึงเขาจะพูดแบบนั้น ผมกลับรู้สึกได้ว่าสายตาของเขายังคงจับจ้องมาที่ผมอยู่ ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างในใจ รอยยิ้มตรงมุมปากนั้นบอกให้รู้ว่าเขายังไม่ได้ละความสนใจจากคำถามเมื่อครู่ไปจริงๆ


"ว่าแต่นายเถอะ คิดยังไงถึงนั่งเครื่องบินโดยสาร แถมยังนั่งชั้นประหยัดอีก?" เสี่ยวไป๋ที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ฟังดูเหมือนกำลังแซะ


แคสเปอร์ยักไหล่ พลางหมุนแก้วไวน์ในมืออย่างไม่ใส่ใจ "ก็แค่เบื่อๆ อีกอย่าง... ไม่ได้อยากรีบมาเจอหน้าตาแก่เร็วนัก"


เสี่ยวไป๋หลุดหัวเราะในลำคอ "ตาแก่ที่นายพูดถึง รู้ตัวหรือยังว่านายเรียกเขาแบบนี้ลับหลัง?"


"คิดว่ายังไม่รู้หรอก... หรือต่อให้รู้ ฉันก็ไม่สนอยู่ดี" แคสเปอร์ตอบหน้าตาย พลางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ


เสี่ยวไป๋ส่ายหน้าน้อยๆ "แต่ก็ยังแปลกใจอยู่ดี นายเป็นเจ้าพ่ออสังหาฯ จะลดตัวมานั่งเครื่องบินโดยสารราคาถูกทำไม ปกติฉันก็เห็นนายขนตัวเองขึ้นเจ็ทส่วนตัวตลอด"


"ก็แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง เจ็ทมันก็ดี แต่พอใช้ไปนานๆ ก็เริ่มเบื่อ วุ่นวายกับพวกเลขาฯ มากเกินไป นั่งเครื่องบินโดยสารมันก็มีอะไรน่าสนุกดี อย่างน้อยก็น่าสนใจกว่าการฟังรายงานธุรกิจบนเครื่อง"


แคสเปอร์เหลือบตามามองผมก่อนจะยิ้มบางๆ "แล้วก็... บังเอิญเจออะไรดีๆ ด้วย"


ผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องอีกแล้ว ทั้งที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ บรรยากาศที่ผ่อนคลายเมื่อครู่กลับมาทำให้รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอีกครั้ง


ผมขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้น "ขอตัวไปเข้าห้องน้ำครับ" เอ่ยจบก็รีบสาวเท้าออกจากโต๊ะ ไม่ใช่เพราะปวดท้องหรืออะไร แต่เพราะต้องการออกไปตั้งหลัก


พอเดินพ้นจากสายตาของพวกเขา ผมมุ่งตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลนัก มือเอื้อมไปผลักประตูเข้าไปด้านใน ก่อนจะกดล็อกอย่างรวดเร็ว ราวกับต้องการตัดขาดตัวเองจากทุกอย่าง


ผมถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมา ตั้งแต่ลงเครื่อง ผมก็ยังไม่ได้ติดต่อใคร ไม่แม้แต่จะเปิดดูข้อความ


ติ้ง! ติ้ง! ติ้ง!

เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นรัวๆ ทันทีที่เปิดเครื่อง ผมมองหน้าจอที่เต็มไปด้วยข้อความที่ถูกส่งมาถี่ราวกับอีกฝั่งรอคำตอบแทบจะทุกวินาที

ผมไล่สายตาอ่านทีละข้อความ หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนที่เสียง "ครืด~" จะดังขึ้น ตามมาด้วยสายเรียกเข้าที่ปรากฏชื่อคนปลายสายบนหน้าจอ


ผมเม้มปากแน่น มองโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในมือ ตัวเลือกเดียวในตอนนี้คือ... จะรับ หรือไม่รับ




*******************************
สามารถไปอ่านประวัติตัวละครแต่ละตัวได้เลยนะครับจิ้มโลด
หลักๆเลย เรื่องนี้มีพระเอก 5 คน น้องนายเอก 1 คน
พระเอกแต่ละคนเป็นมหาอำนาจ มีหน้าที่แตกต่างกัน
จริงๆคนเขียน อยากได้แฟนรวย มโนแปป555
ชอบพระเอกคนไหนเป็นพิเศษมั้ยเอ่ย
เป็นแนว 5 รุม 1 เนื้อหาเยอะนิดนึง
****************************
ถ้าให้เทสนิสัยแต่ละคน
เรฟาเอโร่ >> มาเฟียอิตาลี่ เป็นพี่ใหญ่สุด ช่วงอายุ 35-40 แคสเปอร์ชอบเรียกลับหลังว่าตาแก่ นิสัยสุขุม น่าเกรงขาม สายตาพิฆาต พูดน้อย ต่อยหนัก เจ้าพ่อธุจกิจสีเทา
กาย >> ศัลยแพยท์มือทองสัญชาติฝรั่งเศส ช่วงอายุไล่เลี่ยกับราฟาเอโร่ ลุคเป็นผู้ใหญ่ ใจดี อบอุ่น อ่อนโยน แต่ไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องคนอื่น ไม่ถามมาก เก็บความลับเก่ง
เสี่ยวไป๋ >>มาเฟียธุรกิจในจีน แถบเอเชีย กุมอำนาจทางการขนส่งในมือ  คาสโนว่าตัวพ่อ มีสเน่ห์ร้าย นิสัย ขี้เก๊ก หล่ออันตราย อายุประมาณ 25-26
แคสเปอร์ >>เจ้าพ่ออสังหาฯ ผู้มีที่ดินเกือบทั่วทุกมุมโลก นิสัย เฟรนลี่ พูดเก่ง เจรจาเก่ง ขี้สงสัย ขี้โม้ เป็นหนุ่มสัญชาติอังกฤษ อายุพอๆกับเสี่ยวไป๋ ชอบไปไหนด้วยกัน
เรน >> น้องเล็กสุด เห็นสดใส ขี้เล่น ขี้แกล้ง แต่โตมาในตระกูลยากูซ่าที่เก่าแก่ของญี่ปุ่น อีกมุมหนึ่งก็คือขาโหดดีๆนี่เอง แอบน่ากลัว เพราะได้ฉายาว่าเป็นอาวุธข้างกายราฟาเอโร่เลย

********************************************
แต่ละคน น้องเจบีคือไม่รอดแน่ๆ มาเอาใจช่วยไปด้วยกันนะครับ






นายกสโมสร

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
244134
Zenny
98925
ออนไลน์
18292 ชั่วโมง
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
29967
Zenny
497
ออนไลน์
22162 ชั่วโมง
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด
ติดตามนะ

นายกสโมสร

กระทู้
28
พลังน้ำใจ
171808
Zenny
174829
ออนไลน์
29130 ชั่วโมง
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณนะครับ

ประธานนักศึกษา

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
84658
Zenny
76285
ออนไลน์
6934 ชั่วโมง
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบใจ

มาเฟียนักศึกษา

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
7712
Zenny
4624
ออนไลน์
436 ชั่วโมง
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด
มาต่อไวไวนะคับเรื่องเก่าด้วย

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
1
พลังน้ำใจ
40865
Zenny
22779
ออนไลน์
2730 ชั่วโมง
โพสต์ เมื่อวานซืน 12:33 | ดูโพสต์ทั้งหมด

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
29492
Zenny
1998
ออนไลน์
2334 ชั่วโมง
โพสต์ เมื่อวาน 10:11 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม

ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2025-3-4 00:20 , Processed in 0.107537 second(s), 26 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.8

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้