แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย yellow2550 เมื่อ 2012-1-24 12:56
เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ใครอ่านแล้วประทับใจ
มีความรู้สึกเช่นใด มีความเห็นแบบไหน
รบกวนแชร์ให้ทราบบ้างนะครับ
ณ.ตึกเซนต์หลุยมารีแผนกประถม ราวปี พ.ศ. 2539
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น … มิสค่ะ …
ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องนะคะ
โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์
ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร ครูประจำชั้น ป.4
รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เพราะจำได้ว่านัดหมายแค่คุณแม่ท่านเดียวเท่านั้นในวันนี้
เอ… ใครละเนี่ยจะมีเรื่องอะไรรึปล่าวนะ เมื่อมาถึงห้อง
ครูสาวแทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน
หากแต่รู้สึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว
อย่างไรก็ตามมิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรกเข้าไปคุยก่อน
ตามลำดับการนัดหมาย
โดยเก็บงำความแปลกใจไว้หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จ
จึงได้เชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง
…....... ภาพแรกที่ได้เห็นชัด ๆ ทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย
แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่องการเรียนของลูก
เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปี เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
ลูกเขาไม่อยากให้มาเขาบอกว่าอายพื่อนที่แม่ใส่แขนเทียม
กลัวโดนเพื่อนล้อ ว่า แม่แขนเดียวแม่เป็นหุ่นยนต์หรอ
อะไรทำนองนี้นะคะ เลยไม่ได้มา
น้ำเสียงคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ
มิสอุไรพรขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุ
ที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียมเมื่อได้ทราบความจริง
ครูสาวตัดสินใจแน่วแน่ว่าต้องจัดการเรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่
หากปล่อยเรื่องนี้ไป… จะเป็นตราบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปภายหน้า
ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนที่ล้อเพื่อนด้วย
ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก
มิสอุไรพร จึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟัง
เรื่องราวที่ว่านั้นความดังนี้…
วันที่ 21 สิงหาคม 2536 หลังวันแม่ไม่กี่วัน…
ครอบครัวหนึ่งเดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูลประกอบด้วย
พ่อแม่และลูกชายอีกสามคน
พวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคันดินเล็กๆ
ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ
โดยมีคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน
ส่วนคุณแม่เดินตามหลังกับลูกชายคนเล็ก ทางเดินที่เป็นคันดินนั้น
มีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำซึ่งมี
ใบพัดเหล็กสูงจากคันดินราว25 ซม.
คุณพ่อและลูกชายคนโตสองคนข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า
ไม่มีใครฉุกคิดระวังถึงเหตุร้าย
แต่แล้วลุกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง
ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่
และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก
ถ้าเป็นพวกคุณ คุณจะทำอย่างไร …
มิส หยุดเรื่องไว้เพื่อซักถาม มองหน้านักเรียนทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ
หน้าซีดโดยเฉพาะลูกชายของคุณแม่ท่านนั้น
แต่นักเรียนรู้มั้ยว่าคุณแม่ท่านตัดสินใจอย่างไร
คุณแม่ไม่ยอมเสียเวลาคิดอะไรเลยท่านรีบดึงตัวลูกเอาไว้ แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดไว้ก่อน…
ใบพัดหมุนแขนของคุณแม่เข้าไป…
คนงานที่เห็นเหตุการณ์จึงรีบปิดเครื่องแต่แรงเฉื่อยยังทำให้ใบพัด หมุนด้วยกำลังแรง…
แรงเสียจนกระชากแขนซ้านคุณแม่ ขาดสะบั้นลง !
คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส
สติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที
ท้องร่องบริเวณนั้นแดงฉานไปด้วยเลือด… เลือดของแม่ …
ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อย
และบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็กจนกระดูกหัก
แต่ไม่ขาด.... ไม่ขาดเพราะ… เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน ..
ไม่ขาดเพราะ....
แม้ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะแต่มือขวาของแม่ยังยึดตัวลูกเอา
ไว้แน่น … ไม่ยอมปล่อย …
คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกนเอะอะ
โวยวายของคนงาน
พร้อม ๆ กับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ภาพ
ที่เห็นทำให้พวกเขาช๊อกแทบสิ้นสติ …
คุณพ่อรีบกระโจนพรวดเดียวถึงตัวแม่และลูกน้อย …
แต่… มันสายเกินไปแล้วสิ่งเดียวที่ทำได้ คือ
รีบพาทั้งสองส่งโรงพยาบาลทันที ผลการรักษา
คุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนที่ขาดไป
ส่วนลูกชายคนเล็ก ที่ขาหักต้องพักฟื้นนานราวสามเดือน
จึงสามารถเดินได้ เป็นปกติ
มิสอุไรพรกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง แล้วถามว่า
นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญไหมคะ
เด็ก ๆ พากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า
หลาย ๆ คนยังหน้าซีดเซียวเมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ตามที่ครูเล่า
มิสมองหน้าลูกชายของคุณแม่แล้วบอกว่า …
นักเรียนทราบไหมว่าคุณแม่ท่านนั้นเป็นคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เอง
ไหน ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนั้น ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ…
เด็กคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อน ๆ ทั้งห้อง
“วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้าน มิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่า
พวกเราชื่นชมและยกย่องท่านมาก ๆ”
มิสได้ทราบว่ามีหลายๆ คนไปล้อเลียนเพื่อน
ไหนคนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามีเราลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ
มีนักเรียน 3-4 คน ยืนขึ้นใบหน้าของแต่ละคนรู้สึกสำนึกผิด
แล้วมิสก็ถามว่า ดีมากนักเรียน
ตอนนี้คุณคงมีอะไรอยากจะพูดกับเพื่อนใช่มั๊ยคะ
เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอ
แล้วกล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ
ครูสาวน้ำตาคลอเบ้ายืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มใจ
ใครเล่า … จะเข้าใจความเจ็บช้ำขมขื่นในหัวใจเล็ก ๆ
ของเด็กชายคนหนึ่งที่ถูกเพื่อนล้อเลียนตามประสาเพื่อนไม่ทันคิด
หากบัดนี้ … ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อนๆ
ได้สลายปมด้อยในใจของเขาไปจนสิ้น
เหลือเพียงความรักและความภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น
เมื่อหมดชั่วโมงเรียนมิสได้เรียกลูกชายคุณแม่ เข้าไปคุยอีกครั้ง
“วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่มั๊ยคะ”
เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นว่า ….
“ผม…ผม จะไปขอโทษคุณแม่ แล้ว…
บอกคุณแม่ว่าผมรักคุณแม่มากที่สุดในโลกเลยครับ” ...................................
|