"กุลิสร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากลิฟต์ผีสิง
ผมกับชาญยุทธเป็นเพื่อนร่วมบริษัทที่สนิทสนมกันมากที่สุด โดยเฉพาะในแผนกบัญชีที่เรานั่งโต๊ะใกล้ๆ กัน ไม่ถึงกับกั้นเป็นคอกอย่างในอเมริกาที่เราเห็นในหนังหรอกครับ มีอะไรก็เล่าสู่กันฟัง ปรึกษาหารือกันได้ไม่ว่าเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องงาน
สาเหตุแห่งความสนิทสนมมีหลายอย่าง คือชอบแต่งตัวเรียบๆ ไม่กระหืดกระหอบวิ่งตามเทรนด์อย่างเพื่อนหลายๆ คน กางเกงขาวยาวสีทึบ เชิ้ตแขนยาวถ้าไม่ขาวก็พวกสีอ่อนๆ สไตล์อนุรักษนิยม ว่างั้นเถอะ
ชอบอ่านหนังสือและดูหนังประเภทตื่นเต้น ลึกลับ เขย่าขวัญสั่นประสาทเหมือนกัน อาหารการกินก็ง่ายๆ ไม่เจาะจงว่าต้องเป็นอาหารไทยหรืออาหารฝรั่ง หรูหรา หรือว่านั่งเกาะโต๊ะรถเข็นในซอยข้างบริษัทแถวสีลม
ที่ตรงกันเด๊ะอีกอย่างคือมาทำงานแต่เช้าแทบจะเป็นคนแรกๆ ของบริษัทก็ว่าได้!
ส่วนมากจะพบกันที่หน้าลิฟต์ ก่อนนั้นเคยมีที่เขี่ยบุหรี่ตั้งไว้ใกล้ๆ สำหรับหยุดสูบหรือดับก่อนขึ้นลิฟต์ ต่อมามีการเข้มงวดเรื่องห้ามสูบบุหรี่ จนขี้ยากลายเป็นพลเมืองชั้นสอง ผมกับชาญยุทธก็แก้ปัญหาตรงกันได้อย่างเหลือเชื่อ
คือเลิกบุหรี่ไปเลยครับ!
ที่เขาเรียกว่า "หักดิบ" นั่นแหละ แม้ทางการแพทย์จะพิสูจน์แล้วว่าวิธีนี้ได้ผลเพียง 27 เปอร์เซ็นต์ แต่เราอาจจะโชคดีที่เป็นหนึ่งในนั้น! ยอมรับว่าตอนแรกหงุดหงิดนิดหน่อย แต่เมื่อนึกถึงโรคภัยสารพัดที่เกิดจากควันนรกนี่ ทำให้เราเลิกบุหรี่ได้อย่างเด็ดขาด
ลืมเล่าไปว่าลิฟต์ที่ขึ้นบริษัทเราชั้น 7 น่ะ เขาลือกันว่าผีดุสาหัสสากรรจ์นักหนา
จริงเท็จก็ขึ้นอยู่กับเขานะครับ คือเกิดลิฟต์ขาดเมื่อปีก่อน เคราะห์ดีอย่างที่ไม่ตรงกับเวลาเช้าและเย็น ตอนที่งานเข้ากับงานเลิก เลยมีคนตายแค่ 2 คน เป็นผู้หญิงทั้งคู่ ไม่งั้นคงแหลกเละกัน 5-6 คนขึ้นไป
ลำพังผีตายโหงก็เชื่อว่าผีดุแล้วนะครับ นี่อีกคนที่ตายยังท้องอ่อนๆ ราว 3-4 เดือนอีกด้วย...แค่คิดถึงก็ขนหัวลุกแล้วละคุณ!
ชาญยุทธทำงานมาก่อนผมปีกว่า เล่าว่าหลังจากนี้มีคนถูกผีหลอก ร้องเอะอะโวยวายแบบสติแตก...น่าสังเกตอย่าง ว่าคนที่โดนผีหลอกล้วนแต่ขึ้นลิฟต์ลงลิฟต์คนเดียวทั้งนั้น
จู่ๆ อากาศก็ลดตัววูบลงเย็นเฉียบ แล้วสองผีสาวก็มายืนอยู่ข้างๆ หน้าตาเฉยซะงั้น จะไม่ตกใจแทบช็อกตายได้ไง? ร้องห่มร้องไห้ก็มี เอะอะโวยวายจนผีหายไป ประตูลิฟต์เปิดวิ่งเตลิดเปิดเปิงเหมือนคนบ้า ใครรู้เรื่องเข้าก็หัวเราะไม่ออก...คราวนี้จะใช้ลิฟต์ก็ต้องเกาะกันเป็นแพแต่ไม่วายเจอเรื่องขนหัวลุกจนได้
ลิฟต์ขาดลิฟต์เสียไงครับ!
หล่นลิ่วๆ เหมือนจะดิ่งนรก เล่นเอาหวีดร้องกันระงม แต่โชคดีที่มันหยุดกลางคันก่อนจะลงไปกระแทกพื้น ส่วนลิฟต์เสียก็ค้างเติ่งอยู่ยังงั้น...คนที่เคยได้ยินเรื่องผีมาก่อนถึงกับร้องไห้ กอดกันกลมไปเลย...นึกว่าตายแน่น่ะซี
ท่านผู้รู้แนะนำว่าถ้าลิฟต์เสียให้กดปุ่มขอความช่วยเหลือ อย่ากลัว ถ้าไฟฟ้าหายขัดข้องลิฟต์ก็จะทำงานต่อไปตามเดิม ส่วนในกรณีลิฟต์ขาดให้ยืนแนบหลังพิงฝา งอเข่าเล็กน้อยเพราะอุบัติเหตุแบบนี้จะทำให้กระดูกหักได้ง่ายที่สุด
ผมว่าถ้าเราเจอของจริงเข้าคงตกใจจนคิดอะไรไม่ออกหรอกครับ!
ก่อนเข้าลิฟต์ก็คงไม่มีใครอุตริคิดล่วงหน้าว่าจะเจอลิฟต์เสียหรือลิฟต์ขาดแน่ๆ เพราะถ้าคิดยังงั้นคงจะยอมตะกายขึ้นชั้นบนมากกว่าเข้าลิฟต์
จนกระทั่งเช้าวันหนึ่งผมกับชาญยุทธพบกันราว 08.10 น. ผมสวมเชิ้ตสีเนื้อ ส่วนชาญยุทธเดาะสีฟ้าอ่อนดูสดใส เหมาะเจาะกับหน้าตาขาวผ่อง...มาก่อนคนอื่นตามเคย! เรายิ้มแย้มทักทายกันก่อนขึ้นลิฟต์ไปเงียบๆ จนแยกย้ายกันไปนั่งโต๊ะทำงาน สักครู่ผมก็ลุกไปเปิดลิ้นชักจากตู้เอกสารที่ผนังด้านใน เพื่อเอางานที่ยังคั่งค้างมาทำต่อ พอดีแม่บ้านยกถาดกาแฟมาวางบนโต๊ะ ผมหันไปเห็นก็ต้องย่นคิ้วเมื่อเห็นเธอวางถ้วยกาแฟกับแก้วน้ำเย็นให้ผม...ในถาดว่างเปล่าจนต้องร้องถาม
"ของชาญยุทธล่ะ?" เธอทำหน้าเหลอหลา...พอดีเพื่อนร่วมงานทยอยกันเข้ามา ใครคนหนึ่งบอกว่าชาญยุทธประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะมุ่งหน้ามาทำงาน...ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลเมื่อราวครึ่งชั่วโมงก่อน ทางโรงพยาบาลโทร.มาแจ้งโอปะเรเตอร์เมื่อสักครู่นี่เอง
ถ้างั้นผมก็ขึ้นลิฟต์มาคนเดียวน่ะซีครับ...กับผีของชาญยุทธ! บรื๋อออ....
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด