"หมี่" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสี่แยกวันชาติ
ดิฉันได้พบกับเรื่องแปลกประหลาดและน่ากลัวมากๆ เมื่อต้นปีนี้เอง ไม่รู้ว่าเป็นผีหรือวิญญาณกันแน่ แต่ก็ทำให้ขนลุกขนพองอยู่หลายวันเชียวค่ะ
บ้านดิฉันอยู่แถวสะพานวันชาติ ใกล้ๆ กับสี่แยกที่จะไปทางวัดบวรฯ ก็ได้ หรือจะไปทางผ่านฟ้าก็ได้ แต่ถนนสายหลักที่ผ่านไปมาเป็นประจำทุกวันคือสายที่ไปออกถนนราชดำเนินกลาง อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั่นเอง
สมัยเด็กๆ เคยได้ยินว่าที่วัดตรีทศเทพผีดุมาก เพราะมีคนร้ายถูกยิงที่หลังวัดถึง 7 ศพ พวกผู้ใหญ่รุ่นคุณตาคุณยายก็เล่าตรงกันว่า ตกค่ำจะมีเสียงหมาหอนโหยหวน ดังเยือกเย็นเข้าไปถึงหัวใจ ทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าเดินผ่านแถวนั้นตอนกลางคืน ยิ่งทำให้เรื่องผี 7 ศพน่าสยดสยอง โด่งดังไปทั่วกรุงเทพฯ
ขนาดมีคนเคยเห็นผีกลุ่มนั้นเฮี้ยนสุดขีด ถึงกับยกโขยงออกมาจากซอย จนต้องวิ่งหนีกันล้มลุกคลุกคลานไปเลยค่ะ!
ต่อมาเรื่องผี 7 ศพก็ค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา ย่านสะพานวันชาติไปถึงบางลำพู และย่าน วิสุทธิกษัตริย์ไปถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก็ไม่เคยปรากฏว่ามีเรื่องผีๆ สางๆ มาทำให้ผู้คนต้องอกสั่นขวัญแขวนอีกต่อไป
จนกระทั่งดิฉันได้ประสบกับเรื่องน่าหวาดกลัวสุดขีด กลัวชนิดขนหัวลุกเข้ากับตัวเองอย่างจังๆ
ทุกเช้าและเย็น ดิฉันต้องนั่งรถเมล์ไปทำงานที่บริษัทแถวปิ่นเกล้า ส่วนมากตอนรอรถก็ได้พบปะกับผู้คนรู้จักกันบ้าง อยู่ละแวกเดียวกันบ้าง ได้ทักทายพูดคุยกัน หรือไม่ก็ยิ้มให้กัน บางวันต้องทำงานจนถึงมืดค่ำ แต่บางวันก็ไปเดินห้างใกล้บริษัทกับเพื่อนๆ ตามประสาสาวโสด
ส่วนมากจะถือโอกาสหาอะไรกินก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน
"น้ำฝน" เป็นสาวสวยรุ่นน้องที่อยู่ละแวกเดียวกัน ตอนเช้าเราจะพบกันแทบทุกวันที่ป้ายรถเมย์ ส่วนขา กลับนานๆ ถึงจะพบกันสักครั้ง
จนกระทั่งถึงคืนสยองที่ต้องจดจำไปชั่วชีวิต
เย็นนั้นเลิกงานแล้วเพื่อนๆ ก็ชวนไปเดินห้าง ทอดน่องเดินชมเสื้อผ้าสวยๆ งามๆ บางครั้งก็แวะยืนชมอาภรณ์ที่มีทั้งหรูหราและเก๋ไก๋ที่เขาแต่งหุ่นโชว์ไว้ด้านหน้า จากนั้นก็แวะเข้าร้านอาหารก่อนจะกลับบ้านตามเคย
ดิฉันนั่งที่โต๊ะริมกระจกกับเพื่อนอีกสามคน..ขณะที่เรากำลังพูดคุยกันออกรสตามประสาผู้หญิงอยู่ดีๆ ดิฉันก็เหลือบไปเห็นน้ำฝนเดินผ่านไปช้าๆ
สาวสวยใสในชุดสีฟ้าอ่อนหันมามองดิฉันเหมือน ภาพสโลว์โมชั่น หน้าตาดูเฉยชาราวกับคนไม่รู้จักกัน! หรือเธอจะมองไม่เห็น? ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเราสบตากันแว่บหนึ่งก่อนจะหายลับไป
"เอ๊! นั่นน้ำฝนนี่นา.."
ดิฉันหลุดปากโดยไม่ได้ตั้งใจ เพื่อนๆ ถามว่าใครก็บอกว่าคนรู้จักกัน..จะว่าเธอมากับแฟนก็
ไม่ใช่ เพราะเห็นเดินคนเดียว เพื่อนบอกว่าดิฉันอาจจำคนผิดก็ได้..
เรื่องนี้ทำให้ดิฉันงุนงงและสับสนพอสมควร แต่พออาหารจานโปรดมาถึงก็ลืมค่ะ..จนกระทั่งแยกย้ายกันขึ้นรถกลับบ้านราวสองทุ่มเศษ
เมื่อลงจากรถเมล์แล้วข้ามถนนไปถึงมุมตึก ท่าม กลางแสงไฟและผู้คนที่ค่อนข้างบางตา ใครคนหนึ่งก็โผล่พรวดพราดเข้ามาชนดิฉันจนเซถลา ครั้นตั้งหลักได้ก็หันไปมอง..น้ำฝนนี่นา!
ดิฉันร้องเรียกเสียงดังแต่เธอไม่ได้หันมามองเลย..
"จะรีบร้อนไปไหนกันน่ะ?" ดิฉันพึมพำกับตัวเอง ถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเลี้ยวขวาไปบ้าน..แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักด้วยความตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า
คนกลุ่มใหญ่กำลังมุงดูอะไรอยู่หน้ารถปิกอัพที่เปิดไฟสว่างจ้า..ครั้นถลันเข้าไปแหวกคนดูใกล้ๆ ก็แทบช็อกคาที่
สาวสวยในชุดสีฟ้า มีเลือดแดงฉานไหลย้อนจากศีรษะลงมาตามใบหน้า..นอนหงายแน่นิ่ง นัยน์ตาลืมค้าง เบิกโพลงด้วยความตระหนกตกใจสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ..
คุณพระช่วย! น้ำฝนนั่นเองค่ะ!
ม่านตาดิฉันพร่าพราย สีเขียวๆ แดงๆ แตกกระจายเต็มหน้า แข้งขาอ่อนยวบจนทรุดลงนั่งกับพื้นถนน น้ำตาไหลพรากด้วยความหวาดกลัวสุดขีด...ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ขนหัวลุกทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ค่ะ
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์