"เบิร์ด" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสุสานโบราณ
ผมได้พบกับเหตุการณ์แปลกประหลาด คือไม่ได้โดนผีหลอกซึ่งๆ หน้า แต่กลับหลุดเข้าไปในมิติเร้นลับ ซึ่งในโลกของเราเป็นเวลาสั้นๆ แต่ในมิติสยองนั้นเนิ่นนานไม่รู้จบสิ้น
สถานที่ดังกล่าวคือคาเฟ่ย่านสนามเป้านั่นเอง!
ผมเป็นคนแถวประตูน้ำซึ่งกำลังเจริญ พุ่งออกไปถึงวัดสะพานดินแดง ด้านซ้ายคือถนนศรีอยุธยา เขาเรียกว่า "ทุ่งมักกะสัน" ซึ่งแต่เดิมเป็นทุ่งหญ้าทุ่งนา เช่นทุ่งมหาเมฆ หรือทุ่งพญาไท เป็นต้น
ถัดไปทางสนามเป้าเป็นกรมทหารทั้งนั้น ผู้ใหญ่ท่านบอกว่าต้นทางพหลโยธินจากสนามเป้าไปถึงทุ่งนาสะพานควาย เลยวัดไผ่ตันไปจนถึงลาดพร้าว...เป็นป่าช้าเก่าครับ!
เมื่อราว 20 กว่าปีก่อน ผมกำลังเป็นหนุ่มเต็มตัวน่ะ ไม่มีวี่แววหรือร่องรอยของป่าช้าไม่ว่าเก่าหรือใหม่อีกแล้ว เพราะความเจริญทำให้ตึกรามบ้านช่องผุดสะพรั่งไปหมด รถราและผู้คนคับคั่งจนไม่มีอะไรน่ากลัวอีกต่อไป
สะพานควายกลายเป็นศูนย์กลางของกรุงเทพฯ ทางทิศเหนือ บรรยากาศคึกคักสนุกสนาน มีทั้งโรงพยาบาล โรงพักและโรงแรมชั้นหนึ่งกับม่านรูดผุดสะพรั่งเป็นดอกเห็ด
สถานบันเทิงเพียบ คาเฟ่ได้รับความนิยมมาก ผุดขึ้นแถวๆ สี่แยกเกือบ 10 แห่ง
ไหนจะขยายออกไปรอบด้าน ไม่ว่าทางสุทธิสาร, ประดิพัทธ์ ย้อนมาทางสนามเป้าก็มีทั้งสองฝั่งถนน เลยห้างเมอรี่คิงส์ไปทางวัดไผ่ตันก็มีทั้งคาเฟ่และโรงแรมม่านรูด
ผมกับเพื่อนๆ เที่ยวคาเฟ่ย่านสะพานควายหมดทุกแห่งก็ชักเบื่อ เลยลองแวะย่านสนามเป้าบ้าง มีคาเฟ่แห่งหนึ่งไปได้ไม่กี่ครั้งก็ติดใจ ทั้งเปิดใหม่ ทั้งกว้างขวางเหลือเชื่อแถมใกล้บ้าน...นักร้องเอ๊าะๆ เพียบ!
คาเฟ่ที่นั่นตั้งกลางแจ้ง เวทีหันหลังให้ถนนที่มีรั้วกั้น แขกเต็มเกือบทุกโต๊ะ ใครไม่อยากตากน้ำค้างก็เข้าไปนั่งที่โต๊ะใต้ชายคาเหยียดยาวไปตามแนวกำแพง ด้านหลังยังมีต้นไม้ใหญ่ๆ ร่มครึ้ม แสงไฟส่องสลัว แต่ก็มีแขกเดินผ่านไปมาบ่อยครั้งเพราะด้านในเป็นห้องสุขา
คืนนั้นผมไปกับเพื่อนชื่อเอนกกับชาติ ปกติจะไปนั่งโต๊ะใต้ชายคา มองนักร้องบนเวทีในมุมเฉียง ติดมาลัยน้ำใจให้คนไหน เมื่อร้องเพลงจบรอบเธอก็จะลงมาพูดคุยด้วย ถูกชะตาก็สั่งดริงก์มาให้เธอ...ส่วนมากจะสนุกกันไปจนถึงตี 2 ตี 3
แต่คืนนั้นเราไปช้าแถมตรงกับวันศุกร์ เหลือโต๊ะว่างใต้ร่มไม้เกือบหลังสุด แต่ก็ไร้ปัญหา...เสียงดนตรีดังกระหึ่ม นักร้องส่ายอกสะบัดสะโพกโชว์ขาอ่อนอาบแสงไฟ ร้องเพลงลูกทุ่งด้วยลีลา "ยั่วไอ้เข้" เสียงเฮ้วๆ เร้าใจไม่หยุดหย่อน ท่ามกลางอากาศเยือกเย็นของฤดูหนาว
ดนตรีหยุดพัก ดาวตลกก็ยกวงขึ้นไปเล่นมุขจี้เส้นแขก เรียกเสียงฮาครืนๆ ดังลั่น
ราวตีหนึ่งเศษ ตลกลงจากเวที นักร้องสาวขึ้นไปแทนที่ ผมลุกจากโต๊ะเพื่อไปเข้าห้องน้ำ...ไม่รู้ว่าสะดุดอะไรหรือขาพันกัน ผมถลาลงไปบนพื้นหญ้า...เหมือนไฟดับวูบทันที!
ลืมตาขึ้นมาก็ยังได้ยินเสียงเพลงกึกก้องอยู่ในหู แต่เพิ่งเคยเห็นใครกลุ่มใหญ่มานั่งบนพื้นอยู่ใกล้ๆ มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทั้งหนุ่มสาวและคนชรา...ผู้ชายนุ่งกางเกงขาก๊วย คนแก่นุ่งโสร่งตัวเดียว ผู้หญิงนุ่งผ้าถุงสวมเสื้อแขนกระบอก บางคนมีอายุหน่อยก็ใช้ผ้าแถบคาดอก
เด็กๆ อายุราวสิบขวบก็มี ทั้งไว้จุก ไว้แกละและไว้โก๊ะ นุ่งผ้าสีดำๆ นั่งเบียดกับผู้ใหญ่...ทุกคนจ้องมองไปที่เวทีสว่างไสว วูบวาบด้วยสีสันน่าตื่นเต้น โดยไม่มีใครแยแสหรือสนใจผมเลยแม้แต่คนเดียว!
ผมมองตามสายตาคนพวกนั้นไปอีกครั้ง...
นักร้องสาวสวยในชุดแดงโชว์เนินอกขาวแอร่ม กำลังสั่นกระเพื่อมตามท่าเต้นจนแทบหลุดผลัวะออกมาทั้งสองเต้า กระโปรงสั้นเต่ออวดท่อนขาขาวอล่างในแสงไฟ สะโพกกลมกลึงผึ่งผายบิดส่ายไม่หยุดหย่อน
หันมามองผู้คนกลุ่มนั้นอย่างงุนงง...เห็นผู้ชายอ้าปากค้าง เบิกตาโพลงแทบจะทะลักออกมานอกเบ้า คนชราหัวเราะชอบใจจนเหงือกแดง พวกผู้หญิงมีสีหน้าตื่นตระหนก บางคนก็กอดเด็กเอาไว้ หนุ่มๆ ชี้ไม้ชี้มือไปที่เวที ตบไหล่เพื่อนพลางพูดจาปนหัวเราะ แต่ผมไม่ยักได้ยินเสียง
"เฮ้ย! เป็นอะไรไปวะ?"
เสียงนั้นทำให้ผมหันขวับไปมอง...เจ้าเหนกนั่นเองที่ตามมาดูแล้วดึงแขนผมขึ้นมา มันว่าเห็นผมล้มพอดีเลยรีบลุกมาช่วยนี่แหละ! ผมหันไปทางคนแปลกๆ กลุ่มใหญ่ที่นั่งอยู่ใกล้กันหยกๆ ปรากฏว่าที่นั่นมีแต่ความว่างเปล่า...
ไม่มีหนุ่ม คนชราและเด็กๆ ที่ชะเง้อมองไปทางเวทีด้วยความตื่นตาตื่นใจ และตื่นเต้นแตกต่างกันไป...
เมื่อกลับมานั่งโต๊ะตามเดิม ผมถึงได้แน่ใจว่าคนแปลกหน้าเหล่านั้นคงกำลังจ้องมองนักร้องคาเฟ่ด้วยความตื่นตะลึงอยู่ใกล้ๆ ผมนี่เอง...เพียงแต่พวกเขาอยู่ในดินแดนของสนธยา!
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์