"สาธิกา" เล่าเรื่องขนหัวลุกเมื่อนึกถึงบ้านเก่าของมนุษย์ทุกคน
เชื่อกันว่า คนเรากลัวความตายเพราะไม่รู้แน่ว่าตายแล้วจะไปไหน? จะได้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรกกันแน่? แถมยังไม่แน่ใจอีกว่า นรกและสวรรค์จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับในรูปวาดหรือเปล่า?
คนเรารักชีวิต กลัวความตายก็เพราะความไม่รู้แน่ชัดนี่เอง!
หลายๆ คนที่รู้แน่ว่าตนเหลือเวลาอยู่น้อยเต็มที ใกล้จะถึงลมหายใจเฮือกสุดท้ายอยู่แล้ว ก็มักนึกถึงบาปบุญคุณโทษที่เคยกระทำไว้ มากบ้างน้อยบ้างตามนิสัยของตน เข้าตำรา "บุญก็ทำ-กรรมก็สร้าง" ทำให้มองเห็นโลกหน้าอันเคยเร้นลับมาช้านานเริ่มแจ่มแจ้งขึ้นทุกที
บ้างมองเห็นสวรรค์ บ้างก็เห็นแต่นรกอเวจี และบ้างก็เห็นแต่ความดำมืดน่าพรั่นสยอง...บ้านเก่าที่ทุกๆ คนจากมา ในที่สุดก็ต้องกลับไปที่บ้านเก่ากันทุกคน!
ป้าแสงดาว ญาติห่างๆ ของดิฉันก็มีประสบการณ์เมื่อใกล้กลับบ้านเก่าเช่นกัน...เพียงแต่บ้านเก่าของป้าแสงดาวค่อนข้างแปลกประหลาดกว่าคนอื่นๆ แถมยังน่า ขนหัวลุกอีกด้วยค่ะ
ป้าแสงดาวเป็นข้าราชการบำนาญมาเกือบสิบปีแล้ว มีร่องรอยว่าเมื่อสาวๆ เป็นคนสวย ร่างบอบบาง ผิวขาว ใบหน้าติดยิ้มอย่างคนอารมณ์ดี แต่นัยน์ตามักจะเลื่อน ลอยแบบคนช่างคิดช่างฝัน เชื่อในเรื่องเร้นลับเหนือธรรมชาติ พวกลูกๆ หลานๆ ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้...แต่ป้าแสงดาวก็มีดิฉันคอยรับฟังอย่างใจจดใจจ่อ อยู่แล้ว
อาจจะเป็นเพราะเรามีนิสัยคล้ายๆ กันก็ได้นะคะ
"คนเราน่ะเกิดมาหลายภพหลายชาติเต็มที แต่ถูกลบความทรงจำในชาติก่อนๆ ทั้งหมด ไม่งั้นจะเกิดปัญหายุ่งเหยิงในชาตินี้...เพียงแต่เราสาวไปไม่ถึงเท่านั้นแหละว่าในชาติแรกๆ ของเราเป็นใคร? มาจากไหน? พระเจ้าหรือธรรมชาติกันแน่ที่สร้างพวกเราขึ้นมา?"
ป้าแสงดาวเคยคุยกับดิฉันใต้ร่มแสงจันทร์หน้าบ้าน นัยน์ตาเลื่อนลอยไปไกลแสนไกลจนไม่มีใครติดตามไปถึง มือบอบบางลูบไล้ท่อนแขนตัวเองในอาการครุ่นคิด
"ในที่สุดคนเราก็ต้องกลับไปบ้านเก่ากันทุกคน! ว่าแต่บ้านนั้นอยู่ที่ไหน?"
ไม่มีใครตอบได้หรอกค่ะ...กระทั่งป้าแสงดาวได้พบคำตอบ นำมาเล่าให้ดิฉันฟัง
"เมื่อคืนป้าฝันว่าไปอยู่ในป่าคนเดียว...ป่าเปลี่ยว ร่มครึ้ม ต้นไม้ใหญ่ๆ ดกหนาไม่คุ้นเคยนัยน์ตามาก่อน เสียงสิงสาราสัตว์ขู่คำราม กู่ร้องน่ากลัว...ป้าปีนหนีขึ้นต้นไม้ได้ทัน มองเห็นพวกเสือช้างเพ่นพ่านเต็มป่า...เออ! หรือว่านั่นเป็นบ้านเก่าของป้านะ?"
ดิฉันอดยิ้มไม่ได้...โลกหน้าของคนอื่นมีแต่นรก-สวรรค์ บ้างก็เป็นป่าโปร่งร่มรื่น หรือไม่ก็เป็นอุโมงค์ดำมืดที่จะต้องผ่านเข้าไป จนกว่าจะพบทางออก...
วันต่อมาป้าแสงดาวก็เล่าว่าบ้านเก่าของเธอเปลี่ยน แปลงไป!
"ป้าอยู่ในป่าเปลี่ยวตามเดิม สัตว์ร้ายชุกชุมน่ากลัว แต่ไม่มีต้นไม้ใหญ่ๆ อีกแล้ว นอกจากปากถ้ำใต้ชะง่อนผา...ป้าวิ่งหนีกระเซอะกระเซิง อกสั่นขวัญหายเพราะกลัวเสือ กลัวงูตัวโตๆ ต้องล้มลุกคลุกคลานเข้าไปในถ้ำมืดสลัว...ครู่หนึ่ง แสงไฟก็ลุกวอมแวมขึ้น ทั้งอบอุ่นและทำให้สัตว์ร้ายต่างๆ หวาดกลัวจนล่าถอยไปหมด...ภาพนั้นยังติดหูติดตาป้ามาจนถึงป่านนี้"
ป้าแสงดาวถอนใจก่อนจะพึมพำ...หรือว่านั่นเป็นบ้านเก่าของป้าจริงๆ กองไฟอบอุ่นในถ้ำมืดๆ บ้านเก่าของเรา...
ดิฉันเบือนหน้าไปซ่อนยิ้ม...ถ้าความตายคือการกลับไปสู่บ้านเก่าจริงๆ ก็นับว่าป้าแสงดาวมีบ้านเก่าแปลกประหลาดที่สุด เท่าที่เคยรู้เห็นและได้ยินได้ฟังมา!
ในที่สุด ก็ถึงคืนสุดท้ายที่ป้าแสงดาวฝันถึงบ้านเก่าของเธอ และนำมาเล่าให้ฟังด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น แววตาแจ่มใสราวกับได้พบเห็นใครหรืออะไรบางอย่างที่เฝ้ารอมานานแสนนาน
สุ้มเสียงของป้าก็คล้ายสายลมที่พัดลู่มาจากสุมทุม พุ่มไม้อันไกลโพ้น...
"บนต้นไม้หรือในถ้ำน่ะไม่ใช่บ้านเก่าจริงๆ ของป้าหรอก ป้ารู้เมื่อเดินออกจากปากถ้ำไปตามเสียงคลื่นเสียงลม ป่าทั้งป่าอยู่เบื้องหลัง ข้างหน้าคือหาดทรายสีขาว ทะเลสีทอง ใต้แสงแดดและปุยเมฆที่ลอยฟ่องอยู่บนฟ้าสีคราม เสียงคลื่นซัดหาดครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนจะไชโยโห่ร้องต้อนรับป้ากลับบ้าน! บ้านเก่าที่เราจากไปนานแสนนาน..."
เป็นครั้งแรกที่ดิฉันยิ้มไม่ออก ได้แต่จ้องมองดูใบหน้าเยือกเย็น ยิ้มละไม...ขนลุกซ่าไปทั้งตัวเมื่อนึกได้ว่าอะไรเป็นอะไร!
วันรุ่งขึ้น ไม่แปลกใจเลยที่ได้ข่าวว่าป้าแสงดาวนอนหลับไปตลอดกาลอย่างสงบ...นึกถึงคำพูดสุดท้ายของป้าก่อนที่จะจากกัน ทำให้ขนหัวลุกอย่างช่วยไม่ได้เลย
"ป้าลาก่อนละนะ ได้เวลากลับบ้านเก่าแล้ว...ป้าจะ รออยู่ที่นั่น เมื่อถึงเวลาที่เธอจะต้องกลับบ้านเก่าเหมือนกัน!"
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์