หลายๆ คนเชื่อว่าสถานที่ที่ผีดุนั้นไม่ใช่วัด ไม่ใช่โรงพยาบาล แต่ว่าเป็นโรงแรม! เพราะโรงแรมเป็นแหล่งเหมาะเจาะแห่งหนึ่งที่คนเลือกมาใช้เป็นที่ฆ่ากัน หรือไม่ก็ฆ่าตัวตาย
ไม่มีใครรู้หรอกว่าห้องไหนเกิดเหตุสยองอะไรขึ้น มามั่ง?
ผมต้องไปประชุมสัมมนาวิชาการที่กาญจนบุรี และต้องพักโรงแรมด้วยครับ คณะของเราไปกัน 5 คน ผมเป็นผู้ชายคนเดียว สาวๆ เลยจับคู่กันนอน 2 ห้อง ห้องละ 2 คน ส่วนผมน่ะเป็นเศษเกินครับ คิดอีกทีก็สบายไปอย่าง
โรงแรมที่เราพักอยู่ริมแม่น้ำ อีกด้านหนึ่งยังเป็นป่าเขาลำเนาไพร อากาศดีมาก ยิ่งเป็นฤดูหนาวด้วยแล้วยิ่งเย็นเยือกกว่าในกรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ แถมมีเครื่องปรับอากาศ อีกด้วย
ที่จริงนอนคนเดียวก็เหงาเหมือนกัน นึกอยากไปท่องราตรีดูแต่มาคิดถึงการงานพรุ่งนี้แล้วตัดใจได้ ผมกลับเข้าห้องหลังอาหารค่ำราวสองทุ่มเศษ จัดการอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนของโรงแรม...แหม! เป็นชุดลายทางผ้าคอตตอนอย่างดี สวมใส่สบายตัวจริงๆ
ผมขึ้นไปครึ่งนั่งครึ่งนอนบนเตียง เอาหมอนเป็นที่พิงหลังแล้วก็เปิดดูทีวี เออ...เพลิดเพลินกับหนังสไตล์บู๊ แอ๊กชั่นของฮอลลีวู้ด มีดารานำคือบรู๊ซ วิลลิส พระเอกคนโปรดซะด้วยซี...เดี๋ยวหนังจบราวห้าทุ่มได้เวลานอนพอดี
พรุ่งนี้กะตื่นราว 7 โมงเช้า เพราะมีตารางว่าต้องกินอาหารบุฟเฟต์ในโรงแรมตอน 8 โมง...ปกติผมตื่นเช้า อยู่แล้ว แต่เพื่อความชัวร์เลยโทร.ไปสั่งโอปะเรเตอร์ให้ "มอร์นิ่งคอลล์" เผื่อจะหลับเพลินเกินไป
หนังกำลังมันส์ๆ เพราะใกล้จะถึงตอนจบอยู่แล้ว ตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตู
ผมต้องจำใจลุกไปดูซิว่าใครมาหา ดึกดื่นป่านนี้แล้ว?
พอถึงประตูก็ก้มมองที่ตาแมว ปรากฏว่าเป็นผู้หญิงผมยาวยืนหันหลังให้...ไม่ใช่พวกสาวๆ ที่มากับผมแน่ เอ...ใครนะ? สงสัยจะเข้าห้องผิด! ผมรีบเปิดประตูออกไปเพื่อจะบอกเธอว่าเคาะผิดห้อง แต่ไม่ได้ปลดโซ่ที่คล้องไว้ ก่อนจะเอียงหน้ามอง...คุณครับ!
อ้าว? หน้าประตูมีแต่ความว่างเปล่า ผมรีบปลดโซ่แล้วเปิดประตูกว้างขึ้นเพื่อชะโงกออกไปมองซ้ายขวา แต่ ไม่เห็นมีใครซักคน เอ๊ะ! แปลก...ผมคิดแค่นั้นโดยไม่ได้นึกถึงผีเผออะไรเลย ใจพะวงอยู่แต่หนังมันส์ๆ ก็เลยปิดประตู ล็อก แล้วคล้องโซ่ไว้ตามเดิม
จากนั้นก็ขึ้นเตียงดูหนังที่พระเอกพะบู๊กับผู้ร้ายเป็นโขยง...แต่ในพริบตานั้นเองก็มีเสียง...ก๊อกๆๆ อะไรกันวะ เพิ่งจะผละมาหยกๆ นี่แหละมาเคาะประตูอีกแล้ว! ผมหัวเสียจริงๆ เฮ้อ...ตะกี้ไปหลบอยู่ซะที่ไหนล่ะ สงสัยอยากจะเล่นจ๊ะเอ๋กับแฟนแล้วมาเคาะผิดห้อง
จะทำไงได้ล่ะครับ ก็ต้องลุกไปเปิดอยู่ดีแหละ!
ผมมองที่ตาแมวก่อน...ผู้หญิงคนเดิมยืนหันหลังให้ เห็นแต่ผมยาวเหยียดตรง และชุดแส็กสีเขียวๆ มีลายดอกไม้สีชมพูกระจายไปทั่วๆ ผมปลดทั้งล็อกและโซ่ เปิดประตูผาง...ลมเย็นๆ พัดสวนเข้ามาวูบหนึ่ง สงสัยผมจะเปิดประตูแรงไปหน่อยละมั้ง?
เหมือนเดิม! หน้าประตูว่างเปล่า เธอคงอยู่ห้องข้างๆ นี่เอง แล้วฉวยโอกาสไม่กี่วินาทีขณะผมปลดโซ่ แอบผลุบเข้าประตูไป!
เออ...ถ้างั้นก็ไม่น่าจะเคาะห้องผิดนี่นา
นี่เธอจะเล่นอะไรกันนะเนี่ย? หาเรื่องรบกวนคนอื่นเพื่อเอาสนุกคนเดียวเรอะไง?
ผมบ่นอุบอิบ...หนังจบเรื่องกำลังสต๊อปแอ๊กชั่นพอดี เสียอารมณ์ชะมัดเลยครับ!
ฉับพลัน ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนน้ำหยด แปะ...แปะ... มาจากเตียงข้างๆ อันว่างเปล่า ทำให้ผมหันขวับไปมองโดยสัญชาตญาณ
ทั้งห้องมีแต่แสงจากจอทีวีเท่านั้น เตียงที่ว่านั้นค่อนข้าง มืดสลัว แต่ก็ยังมองเห็นผู้หญิงผมยาวนั่งห้อยขาที่ขอบเตียง แต่งชุดแส็กออกสีเขียวๆ มีลายดอกไม้สีชมพูประไปทั่ว... ผมเธอปรกหน้าตาเพราะนั่งก้มหน้า สองแขนวางพาด ที่หน้าตัก ผมมองไปที่ข้อมือทั้งสองข้างมันเป็นแผล เหวอะหวะ เลือดไหลปรี่เหมือนก๊อกน้ำที่ปิดไม่สนิท
เลือดที่หยดนี่เองมันดังแปะ...แปะ...ผมลุกพรวดขึ้นยืน จ้องมองหญิงผู้นั้นชนิดตื่นตะลึง แทบไม่อยากเชื่อสายตา ตัวเอง...เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นกับผมได้ยังไงกัน?
จังหวะนั้นเองเธอเงยหน้าช้าๆ ขึ้นสบตาผม นรก เป็นพยาน! เธอไม่มีนัยน์ตา!
ตรงที่ควรเป็นนัยน์ตามันลึกกลวงเข้าไป เหมือนกับเราจ้องมองดูหุบเหวล้ำลึกไม่มีวันสิ้นสุด...ผมจะอยู่ทำไมล่ะครับนอกจากจะเผ่นอ้าวไปที่ประตูไม่คิดชีวิต...จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าปลดล็อกปลดโซ่ออกมาได้ยังไง
ในที่สุดผมก็วิ่งเตลิดเปิดเปิงลงมาถึงล็อบบี้เปล่าเปลี่ยวจนได้...พวกพนักงานที่หลังเคาน์เตอร์ดูจะไม่ตื่นเต้น หรือ แม้แต่แสดงความแปลกใจด้วยซ้ำไป
ผมอยู่จนเช้าแล้วให้คนเข้าไปช่วยเก็บของ ไม่ประชุมอะไรแล้วละครับ ขอกลับบ้านเลยทันที ใครถามอะไรก็บอกแต่ว่าปวดหัวหนักจนต้อง ไปหาแพทย์...เอาไว้ไปเล่าเรื่องขนหัวลุกที่กรุงเทพฯ แล้วกัน! บรื๋อออ...
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์