สมัยหนุ่มผมทำงานอยู่ที่ซอยเย็นจิตร ถนนจันทน์ สะพาน 3-4 เป็นบริษัทผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจแบบนี้ในประเทศไทยไปแล้ว
บริเวณสะพานถนนจันทน์ 3 สมัยนั้น มีตลาดกลางคืนคึกคักมาก มีร้านของกินของใช้มากมาย ร้านประเภทไก่ย่าง ข้าวเหนียว ส้มตำยังมีไม่มาก ตั้งอยู่แถวๆ ปั๊มน้ำมันตราดาว ซึ่งมีอยู่เพียงปั๊มเดียวในย่านนั้น
ตั้งแต่ผมออกจากที่ทำงานเก่ามาหลายปีแล้วแทบขับรถไปไม่ถูกเลยครับ เพราะมีการตัดถนนอีกหลายสายจนเวียนหัวไปหมด
ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะทำงานอยู่ที่นั่นก็จริง แต่ที่พักอยู่ไกลถึงซอยอุดมสุข บางนา แถวโรงงานธานินทร์ ทำวิทยุและโทรทัศน์ สมัยก่อนไม่มีใครไม่รู้จัก
"ทุกบาทคุ้มค่าด้วยธานินทร์"
เมื่อสมัยก่อนรู้สึกว่าชานเมืองย่านนั้นมันไกลมากๆ รถราก็ไม่คับคั่งเหมือนตอนนี้ การเดินทางต้องใช้สาย 22 ต่อสาย 2 ซึ่งเป็นรถเมล์ขาวสายบางนา-ปากคลองตลาด ถ้าเลย 2-3 ทุ่มไปแล้วรถจะบางตาลงไปมาก ยกเว้นถนนเพชรบุรีตัดใหม่ สมัยนั้นบูมมากๆ จนได้ฉายาว่า "ถนนนี้ชั่ว" นั่นปะไร
เพิ่งผ่านยุคสงครามเวียดนามมาได้ไม่นาน ตอนนั้นน่ะทหารจีไอเกลื่อนเมือง ดอลลาร์ปลิวว่อน บาร์ คลับ โรงนวดกับโรงแรมผุดขึ้นราวดอกเห็ดก็ปานกัน!
แถวนั้นรถราขวักไขว่ บางทีติดตังแทบทั้งคืนก็ว่าได้ เพราะแท็กซี่จะรอรับคนทำงานกลางคืน ทั้งสถานบันเทิง ร้านอาหารและอีกสารพัดอาชีพที่ใช้ชีวิตเหมือนนกฮูก
หลังเลิกงาน ผมก็มีเพื่อนร่วมก๊วนชอบพักผ่อนด้วยการนั่งดื่มตามร้านลาบ ก้อยแถวสะพาน 3 หรือแถวหัวถนนสาธุประดิษฐ์ จะเลิกวงก็ประมาณ 4-5 ทุ่มเกือบทุกคืน
ต่อจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน บ้างก็มีมอเตอร์ไซค์ บ้างก็อาศัยแท็กซี่ ส่วนผมมีรถประจำตัวคือสาย 22 ขึ้นมาลงที่พระโขนงแล้วต่อรถสาย 2 หรือ 25 กลับบ้านเช่าในซอยสุขุมวิท 103 อุดมสุข
คืนนี้ก็เช่นกัน! หลังจากต่างได้ที่แล้วเราแยกย้ายกันกลับเหมือนเช่นเคย!
ผมลงรถเมล์แล้วเดินเข้าซอยเพื่อจะไปขึ้นวินมอเตอร์ไซค์ เพราะสองแถวเล็กเลิกราไปแล้ว ในซอยก็ไม่มีผู้คนหรือรถรามากมายอะไร ยิ่งเป็นเวลาห้าทุ่มกว่าไปแล้วยิ่งดูเงียบเชียบ ลมเย็นพัดวูบมากระทบใบหน้าที่ร้อนวูบวาบอยู่แล้วจนรู้สึกยะเยือกถึงกับขนลุกซู่ซ่า
มีแสงไฟนีออนจากปากทางเข้าโรงหนังอุดมสุขอยู่ดวงเดียว แต่ก็ทำให้มองดูสว่างใช้ได้เพราะรอบๆ มันมืดสนิท
ผมเดินตรงไปที่วินมอเตอร์ไซค์ที่เคยนั่งประจำ คิดว่าป่านนี้อาจจะไม่มีแล้ว ทำใจว่าคงต้องเดินแน่ๆ แต่มองไปที่ม้านั่งใต้ร่มมะขามเทศยังมีพี่เบอร์ 8 ที่ผมเคยนั่งประจำแกยังอยู่เลย รีบทักทายแล้วซ้อนท้ายทันที
"ไปส่งที่บ้านหน่อยนะครับพี่" ผมจำได้ว่าบอกกล่าวไป พี่เบอร์ 8 ร่างใหญ่ ผิวคล้ำก็ตอบรับปนหัวเราะ "ได้ครับ...เกาะดีๆ นะคุณ"
ผมนั่งเกาะเอวพี่เขาเพื่อความไม่ประมาท ตอนนั้นยังไม่เข้มงวดเรื่องหมวกนิรภัยเหมือนเดี๋ยวนี้ รู้สึกว่าอะไรต่ออะไรมันดูเบาหวิว ว่างๆ โหวงๆ ยังไงบอกไม่ถูก...คงเป็นเพราะพิษเหล้าที่ยังไม่หมดสิ้นไปง่ายๆ มากกว่า
ถนนว่างเปล่าอยู่ใต้แสงไฟเยือกเย็น รถวิ่งค่อนข้างเร็วจนมองเห็นทางเข้าซอยยาสูบขวามือ ถัดไปไม่ไกลก็จะถึงสโมสรธนาคารกรุงเทพแล้ว...
นรกเป็นพยาน! ผมรู้สึกเหมือนมืดหน้าตาลายวูบไปเฉยๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนั่งคร่อมม้านั่งของวินอยู่คนเดียว...ไม่ใช่นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เบอร์ 8 ตามที่เข้าใจแต่แรก
นอกจากความเปลี่ยวของยามดึกแล้ว บริเวณนั้นไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ในแสงไฟสลัวๆ ก็มองไม่เห็นมอเตอร์ไซค์เบอร์ 8 ที่ผมเพิ่งซ้อนท้ายอยู่หยกๆ เล่นเอาผมแหกปากร้องโหวกโหวยเหมือนคนบ้าหรือสติแตกกระเจิง
วิ่งกระเซอะกระเซิงไปล้มลงใต้ต้นนุ่นใหญ่ๆ ใกล้ทางเข้าโรงแรมอุดมสุข...สิ้นสติอยู่ตรงนั้นเอง!
ใกล้เช้าแล้วถึงรู้สึกตัวตื่นขึ้น มีป้าที่รู้จักกันจะไปตลาดเจอเข้าจึงเขย่าตัวให้กลับบ้าน...หลังจากอาบน้ำอาบท่าแล้วจึงเล่าเรื่องน่าขนหัวลุกให้เพื่อนที่อยู่ด้วยกันฟังจนละเอียดลออ
ปรากฏว่ามอเตอร์ไซค์เบอร์ 8 ไปมุดใต้ท้องสิบล้อที่สี่แยกบางนาเมื่อเย็นวานนี้เองครับ เพื่อนยืนยันว่ามันยังไปดูศพจนเห็นกับตาเลย! บรื๋อออ...
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์