"สาวยี่สาร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเรือขุดไม้ตะเคียน
ดิฉันเป็นคน ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ที่เรียกกันติดปากว่า "แม่กลอง" ตั้งแต่สมัยก่อนมาถึงทุกวันนี้แหละค่ะ
สมัยเด็กๆ ได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า ตำบลยี่สารมีพื้นที่เป็นป่าชายเลนมากที่สุดในอัมพวา ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพตัดไม้แถวนั้นไปขายโรงงานน้ำตาล เช่น ไม้ขวาก ไม้ตะบูน เป็นต้น ก่อนที่จะเริ่มปลูกไม้โกงกางมากขึ้น
ตอนแรกๆ ก็ตัดไปขายให้ชาวประมงนำไปเป็นเสาผูกเรือกับผูกโป๊ะเรือ จนมีคนค้นพบคุณภาพวิเศษของไม้ชนิดนี้ในเวลาต่อมา...นั่นคือนำไปเผาถ่านจะได้ถ่านดีที่สุดค่ะ!
มีการหาพันธุ์ไม้โกงกางมาปลูกกันยกใหญ่ กลายเป็นอาชีพหลักที่มีเตาเผาถ่านทั้งเล็กและใหญ่แทบทุกบ้าน ไปตัดไม้โกงกางก็จะเพาะพันธุ์กล้าไม้ไว้เพื่อนำไปปลูกทดแทน
"ยิ่งเผาถ่าน ป่ายิ่งเพิ่ม!!"
คำพูดนี้เป็นความจริงค่ะ เพราะเราตัดไม้มาแล้วก็ปลูกขึ้นใหม่ ชาวยี่สารเห็นคุณค่าของไม้โกงกาง ขนาดมีการลงแขกกันปลูกกล้าไม้ กับช่วยกันขนถ่านไปโรงงาน นอกเหนือจากเรื่องอื่นๆ ที่พวกเราล้วนแต่ช่วยกันคนละไม้ละมือมาตลอด
เช่น การทำบุญ ชาวยี่สารก็จะทิ้งบ้านไปทำบุญกันหมดทุกคน ไม่ต้องมีการเฝ้าบ้าน ไม่เคยมีของหาย เวลามีคนตาย ญาติๆ ไม่จำเป็นต้องออกปากเชิญใคร แต่เพื่อนบ้านจะบอกข่าวกันต่อๆ ไป ไม่ช้าชาวบ้านก็แห่แหนมาเยี่ยมศพในวันแรกๆ จนเป็นประเพณีไปแล้ว
อ้อ! การไปงานศพน่ะไม่ได้ไปตัวเปล่านะคะ ทุกคนจะหอบหิ้วข้าวสาร น้ำตาล พริก หอม กระเทียม ไปช่วยเจ้าภาพอีกด้วย
ตอนเด็กๆ ไม่ว่าหญิงหรือชายก็ซุกซนพอกัน เช่น ชอบว่ายน้ำไปเกาะเรือโยงบ้าง จนถึงเล่นไต่เชือกที่ผูกโยงระหว่างเรือลำต่างๆ บางทีก็พกหนังสติ๊กเข้าสวน คอยยิงกระรอกตามสวนมะพร้าว เข้าสวนนั้นออกสวนนี้ได้ตามใจชอบ ไม่มีใครห้ามหวงเลย
สาเหตุก็คือกระรอกมันชอบแทะกินลูกมะพร้าวอ่อนๆ ให้เสียหาย ใครยิงกระรอกได้ 1 ตัว ก็จะได้รับมะพร้าวเป็นรางวัลถึง 10 ลูกเชียวค่ะ
นึกถึงบรรยากาศของเรือกสวนร่มรื่น ปกคลุมด้วยเงาไม้เงียบสงบในครั้งนั้นก็อดใจหายไม่ได้ จำได้ว่าแม่น้ำลำคลองยังใสสะอาด กุ้งปลาชุกชุม ตามท่าเทียบเรือน่ะเขาจับกุ้งตัวใหญ่ๆ ด้วยมือเปล่าได้อย่างสบายมาก
พูดถึงลำคลองทำให้นึกถึงตาแร่มขึ้นมา!
ชายชราอายุห้าสิบเศษ ร่างเล็กแต่กำยำ ผิวคล้ำ ผมขาว นัยน์ตาดุ ชอบร่ำสุราเป็นอาจิณ เล่ากันว่าน้ำตาลเมากับปลาสลิดย่างเป็นของโปรดที่สุด ลูกเต้าเติบโตก็ไปอยู่กรุงเทพฯ หมด ตาแร่มอยู่กับยายเหลือสองคน ช่วยกันหากินทางตัดไม้โกงกางมาเผาถ่านขายตั้งแต่ครั้งหนุ่มสาวแล้ว
สองผัวเมียมีเรือขุดแบบโบราณทำจากไม้ตะเคียน สำหรับใช้ขนไม้ตะเคียนที่ตัดมาเต็มลำ...หลายๆ คนเชื่อว่าไม้ตะเคียนมีผีสิง แต่เราก็ใช้ทำเรือขุดมาหลายชั่วคนแล้วล่ะค่ะ
วันหนึ่ง ตาแร่มเสร็จงานก็เมาน้ำตาลอยู่หลังบ้าน ยายเหลือจะมาตักน้ำหรืออาบน้ำก็ไม่ทราบแน่ชัด ตาแร่มเรียกหาปลาสลิดย่างก็ไม่มีเสียงขานรับ ครั้นขัดใจลุกออกไปดูก็เห็นเมียแกคว่ำหน้าตายปริ่มๆ น้ำ
ลือกันว่าผีน้ำมาเอายายเหลือไปก็มี เชื่อว่าเป็นอาถรรพณ์เรือตะเคียนก็มี!
งานศพผ่านไปแล้ว พวกลูกๆ กลับไปหมด ตาแร่ม ออกไปตัดไม้โกงกางหากินตามเดิม ชาวบ้านเคยเห็นสองตายายบรรทุกไม้กลับบ้าน ใช้กระดานพาดเรือกับชายฝั่ง แล้วช่วยกันขนขึ้นซ้อนไว้เป็นกองใหญ่หน้าบ้าน...บัดนี้ ตาแร่มต้องทำเองคนเดียวทั้งหมด
หน้าตาแกหมองคล้ำลงไปทุกที ท่าทางดูหมดอาลัยตายอยาก ตอนเย็นๆ ก็นั่งซดน้ำตาลริมคลองคนเดียว สูบยาแดงวาบๆ จนเด็กเห็นตอนโพล้เพล้ถึงกับวิ่งอ้าวนึกว่าโดนผีหลอก
เคยเผาถ่านเองก็ขายไม้ถูกๆ ให้เขาเอาไปเผา เอาไปส่งโรงงานน้ำตาล แกเองก็ไม่ค่อยออกเรือไปตัดไม้โกงกางมาขายเหมือนเมื่อก่อน
หลายคนเคยเห็นแกนั่งซดน้ำตาลเงียบเชียบ จู่ๆ ก็กวักมือไปที่เรือขุด ร้องเรียกเสียงดังจนได้ยินว่า...ขึ้นมาหาข้าซี ยายเหลือเอ๊ย! แกจะมัวนั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่คนเดียวทำไม?
มองไปที่เรือโคลงเคลงนิดๆ ตามระลอกคลื่นก็ไม่เห็นใครซักคน เล่นเอารีบเดินหนีแข้งขาสั่น หัวใจเต้นครึก โครมไปตามๆ กัน
ต่อมาไม่นาน ก็มีคนพบศพตาแร่มนอนหงายเหยียดยาวอยู่ในเรือขุดของแก...นัยน์ตาเบิกโพลง มีแววสดใสคล้ายเห็นหน้าใครที่แกรอคอยมานานแสนนาน
บ้านเล็กๆ หลังคาสังกะสีเก่าคร่ำก็กลายเป็นบ้านร้าง ในที่สุดก็ทรุดโทรมลงไปกองกับพื้น เรือขุดไม้ตะเคียนก็ไม่มีใครแยแส กลายเป็นเรือรั่วแตกร้าว...จมหายไปใต้น้ำ เหลือแต่เรื่องเล่าน่าขนหัวลุกมาถึงทุกวันนี้เท่านั้นเองค่ะ!
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์