"ลุงแจ่ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อจับปลาจากอวนลอย
ข่าวคราวชุมชนเขียวไข่กา บางกระบือ ถูกน้ำท่วมเพราะอุทกภัยหนักหนาสาหัสในปีนี้ ทำให้สลดใจมากๆ ครับ เนื่องจากสมัยหนุ่มคะนองเคยอาศัยอยู่ที่นั่น สนุกซุกซนไปกับเพื่อนๆ จนทะลุปรุโปร่งไปหมด
เคยเป็นชุมทางผีเสื้อราตรีกับดงนักเลง มีเรื่องยกพวกเข้าห้ำหั่นกับทหารม้า หรือเหล่ายานเกราะบ่อยครั้ง ไล่ตีกันกระเจิดกระเจิงไปถึงศาลานกกระจอกหน้าโรงเรียนราชินีบน ซึ่งเป็นปลายทางของรถรางสายบางซื่อ-บางกระบือ ระยะสั้นๆ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของรถรางสายยาวที่มี 2 ตู้คือ บางกระบือ-วิทยุ
ตอนนั้นผมยังเล็กมาก พอรู้ความเขาก็เลิกรถรางไปตั้งปีมะโว้แล้วครับ
นอกจากท่าเขียวไข่กาที่มีเรือจ้างข้ามฟากไปฝั่งธนฯ ส่วนมากเป็นย่านบางอ้อ กับเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาไปถนนทหาร เกียกกาย หรือไม่ก็ท่าตาแหนวัดแก้วฟ้า ถ้าจะข้ามไปวัดเทพนารีแถวบางพลัดก็ไปลงเรือจ้างที่ท่าน้ำสามเสนดีกว่า
บ้านผมอยู่ริมน้ำ คล้อยไปทางท่าวัดจันทร์สโมสรที่ทางเข้าอยู่ตรงข้ามกับตลาดบางกระบือ พวกเพื่อนๆ ทโมนไพรก็อยู่บ้านช่องใกล้ๆ กันทั้งนั้น
อ้อ! ไม่ใช่ว่าเที่ยวเตร่หรือซุกซนไร้สาระเท่า นั้นนะครับ พวกผมยังช่วยพ่อแม่ทำมาหากินอีกต่างหาก!
แหม...คนแม่น้ำซะอย่าง อะไรมันจะถนัดไม้ถนัดมือยิ่งกว่าการหากุ้งหาปลาล่ะครับ? แถมสนุกสนานตื่นเต้นอย่าได้บอกใครเชียว
สมัยนั้นกุ้งปลาชุกชุมมาก แม่น้ำก็ไม่สกปรกเหมือนทุกวันนี้ พวกเราดำน้ำลงไปตามเสา ไม่ช้าก็คว้ากุ้งก้ามกรามตัวโตๆ ติดมือขึ้นมาแล้ว ส่วนพวกมืออาชีพที่เขาหากินทางตกกุ้งอย่างเดียวก็จอดเรือบดขวางน้ำ นั่งนิ่งเป็นรูปปั้น ได้ทั้งกุ้งนางกับก้ามกรามมาขายเป็นกอบเป็นกำ เลี้ยงลูกเมียได้สบายมาก
ปลาสังกะวาดก็ชุมชะมัด เราเรียกกันว่า "ปลาแขยง" หว่านแหโครมหรือไม่ก็ใช้สวิงตักได้ทีละหลายสิบตัว แม้ว่าจะไม่ค่อยมีราคาค่างวดอะไรเพราะตัวมันขนาดหัวแม่มือ แต่เอามาผัดเผ็ดกินกับข้าว หรือให้พ่อแกล้มเหล้าก็รับรองว่าอร่อยที่ซู้ดดด...
ปลากระทิงชอบอยู่น้ำลึก เนื้อก็เหนียวเป็นบ้า จนพวกเราไม่อยากยุ่งกับมัน แต่ปลาสวายนี่ซีครับที่น่าสนใจ นอกจากเนื้อหวาน มันย่องแล้วยังชุกชุมอยู่ไม่เบา ตอนนั้นน่ะ
ผมกับเพื่อนๆ ชอบจับปลาสวายกัน แม้กรรมวิธีจะยุ่งยากนิดหน่อยแต่ก็ไม่เกี่ยงงอนอะไร...ไม่นึกว่าจะโดนผีหลอกเข้าเต็มเปาจนหวิดหัวโกร๋นไปตามๆ กัน!
วันเกิดเหตุตอนบ่ายในฤดูหนาวเหมือนตอนนี้แหละครับ
วันนั้นฟ้าครึ้มจนไม่เห็นแดด ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ฝนหลงฤดูหรือฝนสั่งฟ้าจะเทกระหน่ำลงมา...ไอ้โหนกกับไอ้แป้นพายเรือไปวางลอบลอยไม่ไกลจากฝั่งนัก ส่วนผมกับไอ้โก้รอคอยทำหน้าที่สำคัญอยู่ที่ชายน้ำ...นั่นคือการช้อนปลาสวายตัวโตๆ เกือบเท่าปลากดคังที่มันเล่นน้ำมาจนพลัดเข้าไปในลอบลอยของเรา
เข้าไปแล้วว่ายหนีไม่สำเร็จหรอกครับ แถม เงี่ยงยังติดตาข่ายพลางดิ้นโผงผางให้เห็นกระจะตาอีกด้วย...
ไอ้สองเกลอนั่นพายเรือเข้าฝั่งแล้ว เดี๋ยวเดียวก็เห็นเหยื่อติดลอบดิ้นน้ำกระจายเล่นเอาผมกับไอ้โก้พยักพเยิดให้กัน...ลงเรือไปพร้อมกับสวิงขนาดเหมาะมือเพื่อจะช้อนเหยื่อตัวอ้วนๆ ใส่เรือ
ไอ้โก้ถือท้าย ผมคุกเข่าอยู่หัวเรือ ส่วนไอ้สองคนแรกคงยืนลุ้นแทบไม่วางตา...ปลาสวายหลายตัวกำลังตกคลักอยู่ในลอบจนแทบไม่เชื่อตาตัวเอง รีบเงื้อสวิงจ้วงพรวดแล้วตวัดขึ้นมา รับรองว่าไม่มีทางดิ้นหลุดลงน้ำไปได้เด็ดขาด...
แต่ไหงในสวิงมีแต่ความว่างเปล่าก็ไม่รู้?
"เอ๊ะ! อะไรกันวะ" ผมกับไอ้โก้ร้องเกือบพร้อมๆ กัน เสียงฟ้าร้องครืน รับกันเป็นทอดๆ ไม่ได้ทำให้เราสะดุ้งสะเทือนอะไรหรอกครับ แต่ที่ทำให้เราตกตะลึงพรึงเพริดก็คือ เห็นแต่หัวกะโหลกตาโบ๋ อ้าปากปะหงับๆ คล้ายจะหัวเราะร่าอยู่ในอวนลอยนับสิบๆ หัว!
ผมตกใจสุดขีดจนทิ้งสวิง โดดน้ำตูม ไอ้โก้โดดตามพลางแหกปากจ้า...รอด้วย...รอกูด้วย! แต่ผมหูอื้อตาลาย จ้วงน้ำพรวดๆ ตะกายขึ้นฝั่งได้ยังไงก็ไม่รู้ตัว
ส่วนไอ้แป้นกับไอ้โหนกคงเห็นเหตุการณ์น่าขนลุกทุกอย่างแล้ว...โธ่! ก็พวกมันนั่งก้นจ้ำเบ้า อ้าปากค้าง เบิกตาโพลง...เล่นเอาเราเข็ดหลาบการออกไปหากุ้งหาปลาตั้งแต่นั้นมา ขนาดทุกวันนี้นึกถึงภาพนั้นผมยังขนหัวตั้งอยู่เลยครับ! บรื๋อออ....
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์