ชื่อเกิดลีนา จังจรรจา ชื่อเล่นลีนา เกิด14 กันยายน พ.ศ. 2502 (53 ปี) กรุงเทพฯ ประเทศไทย คู่สมรสวันชัย แสงพรศรีอรุณ (หย่า) ชื่ออื่นลีนา แซ่จัง ลีนา แสงพรศรีอรุณ อาชีพนักแสดง, นักธุรกิจ, นักการเมือง, นักกฎหมาย นางลีนา จังจรรจา หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ ลีน่าจัง (14 กันยายน 2502 เป็นนักธุรกิจชาวไทย มีชื่อเสียงจากการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในปี 2547, 2551 และ 2552, การเปิดร้านขายเครื่องสำอาง "ไฮโซไซตี้" ที่ประตูน้ำเซ็นเตอร์ และการเป็นทนายความ ประวัติ นางลีนา เกิดในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน บิดาแซ่จัง นางลีนาสมรสกับนายวันชัย แสงพรศรีอรุณ มีบุตรชายด้วยกันสองคนต่อมาหย่าร้างกัน นางลีนาสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เคยร่วมขับไล่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี โดยแต่งกายฉูดฉาด และยังแต่งกายลักษณะเดียวกันเข้าชมการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 ด้วย ลีนาจัง เปิดและเป็นประธานบริษัทขายส่งเครื่องสำอาง ตั้งร้านชื่อไฮโซไซตี้อยู่ที่ประตูน้ำเซ็นเตอร์ นางลีนายังเปิดมูลนิธิลีน่าจัง เพื่อให้การช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่ประชาชน และเคลื่อนไหวทางการเมือง นางลีนาเป็นจุดเด่นเพราะมักปฏิบัติกิจกรรมโดยแต่งการฉูดฉาด เมื่อรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ถูกถอดออกจากช่อง 9 นางลีนาก็ได้มอบดอกไม้ให้แก่นายสนธิ ลิ้มทองกุล และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ระหว่างดำเนินรายการนอกสถานเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2548 ด้วย วันที่ 15 กรกฎาคม 2554 นางลีนาให้ข่าวแก่เอเอสทีวีผู้จัดการว่า สภาทนายความแห่งประเทศไทยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนที่ให้เงินเจ็ดหมื่นบาทแก่แม่บ้านของนาธาน โอมาน และการให้สัมภาษณ์ในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยโดยไม่เหมาะสม บทบาททางการเมือง ในปี 2547 นางลีนาได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้หมายเลข 6 หาเสียงโดยใช้ถ้อยคำโฆษณาว่า "ลีน่า มาจ๊ะจรรจา มาจ๊ะจรรจา มาจ๊ะ เบอร์ 6" แล้วร้องรำทำเพลงเต้นเริงร่าอยู่บนหลังรถกระบะที่ใช้หาเสียงแห่ไปบริเวณสยามสแควร์ คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงถอดถอนนางลีนา เพราะกฎหมายห้ามจัดมหรสพหรืองานรื่นเริงเพื่อหาเสียงเลือกตั้ง ใน 2549 นางลีนาได้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา หมายเลข 142 กรุงเทพมหานคร แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง ใน 2551 นางลีนาได้ลงสมัครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอีกครั้ง ได้หมายเลข 7 ใช้ถ้อยคำโฆษณาว่า "ผู้หญิงมีต่อมความชั่วน้อยกว่าผู้ชาย" นำเสนอนโยบายจัดให้มีตั๋วอัจฉริยะอันเป็นตั๋วใช้โดยสารยวดยานสาธารณะทุกประเภท ทั้งรถประจำทาง รถไฟฟ้ามหานคร รถไฟฟ้าบีทีเอส และเรือด่วนเจ้าพระยา ขณะเดินหาเสียง นางลีนาตกคลองแสนแสบพร้อมผู้ช่วยขณะพากันตรวจพิสูจน์น้ำคลอง โดยผู้ช่วยคนดังกล่าวถึงแก่ความตายด้วย มีการวิจารณ์กันว่าเป็นการสร้างภาพ ต่อมาในปี 2552 นางลีนาลงเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอีก หลังการลาออกของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ลีนาจัง ได้หมายเลข 3 แต่ก็ไม่ได้รับเลือกตั้ง ต่อมา ลีนาได้เข้าเป็นสมาชิกพรรคมัชฌิมาธิปไตย เพื่อลงเลือกตั้งในปลายปี 2550 แต่พรรคไม่สนับสนุน นางลีนาจึงฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายหนึ่งพันล้านบาทจากนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ หัวหน้าพรรค ทว่า ศาลยกฟ้อง นางลีนาจึงย้ายไปพรรคพลังแผ่นดินไทย แต่ที่สุดก็ไม่ได้รับการเลือกตั้ง[ ในวันที่ 16 มกราคม 2551 สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสเปิดรับสมัครพนักงานเป็นวันแรก นางลีนาได้ไปสมัครเป็นผู้ประกาศข่าวด้วย แต่ไม่ได้รับเลือก ในหนังสือ "ปรากฏการณ์ยิ่งลักษณ์" ของสำนักพิมพ์วัฏฏะ คลาสสิฟายด์ส นางลีนากล่าวตอนหนึ่งว่า บางครั้งคนกรุงเทพมหานครก็โง่เลือกคุณอภิสิทธิ์ เพราะรูปหล่อ และกล่าวโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่าไม่มีความจริงใจ และเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2553 นางลีนาเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ว่า "ดิฉันขอเรียกร้องให้ผู้ประกอบการย่านราชประสงค์เปิดโอกาสให้คนเสื้อแดงได้ชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิทธิด้วย" และว่า ตนเองได้รับผลกระทบเช่นกันจากการเป็นนักธุรกิจย่านท่าประตูน้ำ แต่ก็ยินดีที่จะเสียสละงานแสดง ในปี 2552 นางลีนาได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง แต๋วเตะตีนระเบิด กำกับโดยนายพจน์ อานนท์ แต่ในวันแถลงข่าวเปิดตัวภาพยนตร์ ได้เกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้น “ลีน่า จัง” ยกมรดก 100 ล้าน ให้ผู้ชายข้างกาย
ลีน่า จัง ผู้สร้างสีสันการเมือง วันนี้้ขอเปิดตัวผู้ชายข้างกายสองคนที่ยังไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน พร้อมเตรียมยกมรดกกว่า 100 ล้าน ให้เมื่อเธอหมดลมหายใจ หากเอ่ยชื่อ ลีนา จังจรรจา หรือที่นิยมเรียกกันว่า ลีน่า จัง คงไม่มีใครไม่รู้จัก เป็นอดีตผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและสมาชิกวุฒิสภา ปัจจุบันเธอเป็นเจ้าของธุรกิจเครื่องสำอางไฮโซ ไซตี้ หากย้อนกลับไปเกือบ 30 ปีที่ผ่านแล้ว เธอเป็นแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว และเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์เสียงเมืองจัน ของจ.จันทบุรี แล้วยังเป็นผู้ผลิตและขายส่งกางเกงยีนส์ปักเลื่อมรายใหญ่ของประตูน้ำ ชีวิตเธอเคยถูกศาลจำคุก 1 ปี คดีจ้างคนทำร้ายผู้อื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ทำ เลยหนี้ไปอยู่ฮ่องกง แต่โชคเข้าข้างเธอในปี 2539 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี มีคำสั่งให้ผู้ที่ต้องโทษไม่เกิน 3ปี ได้อภัยโทษ ด้วยเหตุที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสังคม เธอเลยกระโดดเข้าร่วมประท้วงขับไล่นายกรัฐมนตรี ในสมัยพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ด้วยการใส่เสื้อผ้า และทรงผมสีสันสะดุดตากลายเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ ในโอกาสวันแม่แห่งชาติ WhO? มีนัดกับครอบครัว ลีน่า จัง ที่ Bangkok Oasis Spa สุขุมวิท 31 พร้อมกับลูกชาย 2 คน คือ เบิร์ด-วิชชุ แสงพรศรีอรุณ อายุ 26 ปี กับ แบงก์-วินัย แสงพรศรีอรุณ อายุ 21 ปี ที่จะมานั่งเมาท์คุณแม่แบบพร้อมหน้าพร้อมตากันเป็นครั้งแรก และภาพความเป็นแม่ลูกที่เดินมาอย่างพร้อมหน้าแบบนี้ไม่มีใครได้เห็นกันนัก และเธอรีบพูดเชิญชวนคุย "วันนี้ฉันกับลูกชายยอมเปิดอกทุกเรื่องเพื่อฮูค่ะ(หัวเราะ)"
แม่สอนให้ลูกสู้ชีวิต กว่าจะมีทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้ไม่ได้มีกันง่ายๆ กับภาระที่ต้องเลี้ยงดูลูกชายทั้งสองคน หนุ่มเบิร์ดลูกชายคนโต เริ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมีชีวิตอยู่ได้เพราะแม่สอนให้สู้ชีวิต “แม่ผมอาจจะไม่ได้สอนเหมือนพ่อแม่คนอื่น แต่แม่จะสอนให้สู้ชีวิต วันนี้ผมก็ดีใจที่ได้ทำงานเป็นพ่อค้าเหมือนที่แม่สอนให้เรารู้จักการค้าขายตั้งแต่เด็ก” สิ่งที่เขาจำขึ้นใจคือ คำพูดของแม่ที่บอกเอาไว้ว่า ต้องพยายามสู้ด้วยตัวเองให้ได้เสียก่อน ทว่า ผู้เป็นแม่พูดสำทับ “ถ้าเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน พอเจออุปสรรคหนักแล้วจะไม่สู้ก็จะเกิดความท้อ เพื่ออยากให้ลูกแข็งแกร่ง” ด้วยเหตุนี้ทำให้ลูกชายทั้งสองต้องสู้ชีวิตเหมือนแม่ ไม่ว่าจะเจออุปสรรคนั้นหนักแค่ไหนต้องผ่านไปให้ได้ ลีน่า จัง ในวัยเกือบ 50 ปี กว่าจะมีวันนี้ไม่ได้มาง่าย เธอยังมุ่งมั่นเก็บเงินไว้ใช้ในยามแก่ ประเด็นกลัวไม่มีใครเลี้ยง ถ้าวันหนึ่งหกล้มเป็นอัมพาตขึ้นมาไม่มีเงินชีวิตอาจลำบาก แบบคุณลินดา ค้าธัญเจริญ หรือเหมือนแม่ที่ป่วยเป็นอัมพาต 90 เปอร์เซ็นต์ เธอย้ำด้วยน้ำเสียงปลงๆ “เงินสดหรือสินทรัพย์ที่เป็นตึกแถว คอนโด หรือที่ร้านค้าทั้งหมดกว่า 100 ล้านบาท ก็ได้ทำพินัยกรรมเอาไว้ตั้งแต่อย่ากับสามีเมื่อปี 2537 เพราะคิดมากเหมือนคนบ้าระแวงสามีจะสั่งคนมาฆ่าเอาสมบัติ ถ้าเกิดอะไรขึ้นลูกทั้งสองจะได้ส่วนแบ่งเท่าๆกันโดยไม่ต้องแย่งกัน” สิ้นเสียงผู้เป็นแม่ได้เห็นแววตาลูกชายทั้งสองแสดงออกถึงความอาทรต่อแม่ไม่น้อย “บ้า” ตามหาความยุติธรรม เพื่อความไม่ประมาทกับชีวิตเธอได้มอบมรดกให้กับลูกชายทั้งสองคนเรียบร้อยแล้ว ช่วงนี้ลองไปฟังความรู้สึกของลูกชายเห็นผู้เป็นแม่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม ด้วยการแต่งตัวแปลกๆ จนบางคนบอกว่าบ้า แต่ความเป็นลูกกลับเข้าใจในสิ่งที่แม่ทำ ไม่เป็นอะไรเพราะไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน “ผมว่าสิ่งที่แม่ทำไปผมชอบไหม ก็อยากบอกว่าไม่ค่อยชอบ แต่สิ่งที่แม่ทำก็เป็นเรื่องของเขากับสิ่งที่ทำเพื่อประเทศชาติ ” ฟังลูกชายพูดยังไม่ทันจบ ลีน่าอธิบายให้ฟังว่า การออกมาเรียกร้องเมื่อปี 2540 เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เคยถูกมาเฟียกลั่นแกล้งไม่ได้รับความเป็นธรรมและก็ขับไล่รัฐบาลพลเอกชวลิตด้วยชุดที่เปรี้ยวจี๊ด ทำให้มีสื่อโทรทัศน์เชิญไปออกรายการ จนที่รู้จักของคนทั่วประเทศตั้งแต่บัดนั้น ขนาดคู่อริที่ประตูน้ำบ้านอยู่ติดกันยังออกมาด่าเธอต่อหน้าลูกชาย “แม่...มันบ้าไปออกทีวีไปว่าใครเป็นมาเฟีย แม่...มันบ้า” น้องแบงก์นั่งข้างๆ ได้แต่อมยิ้มด้วยนิสัยส่วนตัวเป็นคนไม่ค่อยพูด พี่ชายหนุ่มเบิร์ดสวนทันที “ผมได้ยินรู้สึกโกรธมากที่มาว่าแม่บ้า ผมรู้ดีว่าแม่เราบ้าหรือไม่บ้า แต่ผมทำอะไรไม่ได้มันเป็นสิทธิส่วนบุคคลของเขา ผมเลยไม่แคร์กับคนที่วิจารณ์แม่” พ่อแม่แยกทางไม่ใช่ปมด้อย ชีวิตครอบครัวของสามีภรรยาที่แยกทางกันเป็นเรื่องที่หลายคนไม่อยากให้เกิด แต่สมาชิกในครอบครัวนี้ได้เจอกับตัวเอง หนุ่มเบิร์ดกลับมองเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่จะมีปัญหาแยกทางกันไม่เกี่ยวกับลูก ความที่เขาต้องอยู่ระหว่างกลางเลยถูกแม่เลี้ยงมาแบบหนักแน่นเอาจริงเอาจัง “แบบลงไม้ลงมือ” เบิร์ดพูดยังไม่ทันจบ เหมือนจี้แทงใจดำลีน่า จัง แบบจังๆ ทำให้เธอหัวเราะในคำพูดของลูกชาย เบิร์ดส่วนหัวแล้วตอบ “พี่ๆ อย่าเขียนมากเลย(หัวเราะ)” พูดแบบสรุปก็โดนตีเป็นประจำนั่นเอง สิ้นเสียงหัวเราะของผู้เป็นแม่ แล้วพยายามอธิบายถึงที่มาของการตีลูกๆ ว่า มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งอยากจะเล่าให้ฟัง เป็นคนชอบแต่งตัวแบบเซ็กซี่พวกฝรั่งชอบดูถูกผู้หญิงไทย ด้วยความเธอเป็นคนขี้ร้อนเลยชอบใส่ส่ายเดี่ยวเกาะอกอยู่ที่ร้าน พวกนี้มาเห็นก็เหมือนจะมารวนลามเลยต้องซื้อสเปรย์พริกไทยมาป้องกันตัว ใครเข้ามาแล้วพูดมากก็จะเอาไว้ฉีดทันที แล้ววันนั้นพอดีเจ้าเบิร์ดดื้อมาก เถียงแม่ ก็เลยเอาสเปรย์พริกไทยฉีดใส่หน้า “ด้วยความโมโหเลยเอาฉีดใส่หน้าลูกชาย เห็นแล้วก็สงสารเขาเหมือนกัน คงแสบร้อนน่าดู” และเบิร์ดตบท้ายได้ว่า เดี๋ยวนี้โตเป็นหนุ่มไม่โดนแม่ตีแล้ว อย่างมากก็จะโดนว๊ากใส่เท่านั้น(หัวเราะ) ถามว่าแม่เป็นคนใจดีไหม ตอบยาก เพราะแม่เป็นแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้ แต่ภาพรวมแม่เป็นคนดุมากกว่า” ส่วนน้องแบงก์รีบสำทับว่า แม่ก็มีบ้างที่ใจดี แต่ส่วนใหญ่จะดุมากกว่า(หัวเราะ) ระหว่างที่ลูกๆ นั่งเม้าท์ถึงแม่ก็มีเสียงหัวเราะของผู้เป็นแม่ออกมาเป็นระยะๆ
อยากเป็นนักกฎหมายแบบแม่ ความที่ลีน่า เป็นคนชอบแต่งตัวแบบเริ่ดหรูไม่เกรงใจใคร จนลูกๆ รู้ใจเลยต้องมีการชื่นชมคุณแม่บ้างในบางครั้ง หนุ่มเบิร์ด บอกว่า การชมแม่สวยก็เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะชมบ้างก็ดี ถ้าวันไหนแต่งตัวออกมาดีก็จะชม ถ้าแต่งตัวออกมาดูแย่ก็จะบอกให้รีบเปลี่ยน แม้วันนี้จะได้เป็นนักกฎหมายแล้วแต่เธอก็ยึดการแต่งตัวแบบอิสระเหมือนเดิม เป้าหมายในชีิวิตความอยากเข้าไปเป็น ส.ส. หรือ สว.หญิง นั่งทำงานในสภาฯ ทำให้เธอฮึดสู้ดิ้นรนเรียน กศน.จนจบ ม.6 แล้วไปเรียนปริญญาตรี นิติศาสตร์ ม.รามคำแหง เมื่อจบออกมาได้ตั้งมูลนิธิลีน่า จัง ขึ้นมาเพื่อว่าความให้กับผู้เดือดร้อนจากความไม่ได้รับความเป็นธรรม และประกาศให้ทุกคนรู้ว่าไม่ได้บ้า “ฉันไม่ได้บ้า ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ หรือยังไม่ตายก็จะต้องลงสมัคร ส.ส.ครั้งต่อไป เผลอๆ เลือกตั้งผู้ว่าฯ ไม่มีผู้หญิงลง พี่ก็จะลง แม้รู้ตัวว่าจะไม่ได้แต่เราไปขายความคิด ขายนโยบายที่กลั่นออกมาจากสมองของเรา และอยากจะบอกว่าคนอย่างลีน่า จัง ไม่ใช่ไม้ประดับในเวทีการเมือง” ด้วยเหตุนี้เองเราได้ยินหนุ่มเบิร์ดอยากเรียนนิติศาสตร์ เหมือนแม่ เพื่อให้ทันคนไม่ต้องถูกใครมาหลอกเอาได้ แล้วจะได้อยู่ในสังคมอย่างมั่นใจโดยไม่ถูกเอาเปรียบ วันนี้ยังห่วงแม่เสมอ ความหมายคำว่า แม่ ของลูกทั้งสอง ลูกชายคนโตมองว่า แม่เป็นผู้ให้กำเนิด ถือเป็นผู้ที่มีบุญคุณ ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาตีความหมายได้มากกว่านี้ เมื่อถามว่า ความรักของแม่ที่มีต่อลูกแบบนี้สามารถตายแทนได้ไหม เขาตอบอย่างฉะฉาน “เรื่องนี้ผมขอคิดดูก่อน” ทำเอาผู้เป็นแม่หัวเราะชอบใจกับสิ่งที่ลูกชายพูด ก่อนจะขยายความว่า “เรื่องนี้ดูด้วยว่าต้องตายด้วยสาเหตุอะไร แต่ถ้ากันกระสุนพอไว้”(หัวเราะ) ทันใดนั้นเองผู้เป็นแม่โอบลูกชาย แล้วบอกว่า ไม่ต้องมาตายแทนแม่หรอก เพราะว่าการตายแทนเป็นการคิดโง่ๆ วันนี้อายุจะ 50 แล้วเหลือเวลาไม่มาก จึงอยากเอาชีวิตที่เหลือทำงานเพื่อช่วยสังคมดีกว่า “วันนี้ยังห่วงแม่เสมอ” นี่เป็นคำพูดของลูกชายทั้งสองที่เป็นห่วงสุขภาพของแม่ที่ไม่ค่อยแข็งแรง เป็นข้อเข่าเสื่อม ยืนมากไม่ค่อยได้ ผู้เป็นแม่ได้ยินแบบนั้นนั่งอมยิ้มหน้าบานเป็นพระจันทร์กันเลย ในสิ่งที่ลูกชายห่วงเกี่ยวข้อเข่าเสื่อมนั้น ก็จะไม่ให้เสื่อมได้ยังไงแม่ดันใส่รองเท้าส้นสูงตั้ง 7 นิ้ว แต่ดีไม่ตกมาตายก็บุญโขแล้ว ระหว่างนั่งพูดคุยถึงความเป็นมาของผู้เป็นแม่ที่สร้างสีสันให้สังคมมาตลอด เธอมองไปที่ลูกชายทั้งสองคน ที่วันนี้ไม่มีความเป็นห่วงลูกทั้งสองแล้ว เพราะหนุ่มเบิร์ดเปิดร้านเป็นพ่อค้าขายของกิ๊ฟชอป และน้องแบงก์เรียนจบ ปวช. จากกรุงเทพพาณิชยการ เปิดอู่รถยนต์ ที่มีอาชีพเลี้ยงตังเองกันได้ สิ่งสำคัญดีใจมากที่ลูก ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด “พวกเขาอายุน้อยแค่นี้มีความรับผิดชอบกับงาน ไม่ได้ทำตัวเป็นภัยแผ่นดิน หรือเป็นภัยกับคนอื่นเท่านี้แม่ก็พอใจแล้ว พี่่คงนอนตายตาหลับ พี่จึงตั้งใจที่ทำงานการเมืองต่อไป ถ้าลูกทั้งสองคนช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วเราจะไปรับใช้ประชาชนได้อย่างไร วันนี้สบายใจแล้วที่ลูกๆ สามารถพึ่งตนเองได้” แม้ครอบครัวของลีน่า จัง ไม่ใช่ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบตามสไตล์พ่อแม่ลูก แต่ความรักของสามแม่ลูกที่มีให้กันมันช่างเป็นความรัก(แท้) ที่ยิ่งใหญ่ และตีตราเป็นราคาไม่ได้
|