ในคำนิยามยอดฮิตของบรรดาผู้ชาย(แท้)ทั้งหลายย่อมทราบดีอยู่แล้วกับคำว่า เมื่อเวลาคบกัน มักจะมีคำนี้ปผุดขึ้นมาบ่อยๆ "ผู้หญิงไม่มีเหตุผล" แล้วส่วนใหญ่ผู้หญิงมักจะตอบกลับมาประมาณว่า "ผู้ชายไม่ค่อยเข้าใจผู้หญิง" "ที่ทำไปเพราะรัก.." คือแบบว่า จะอ้างว่าตัวเองถูกต้องฝ่ายเดียว เรื่องไม่จบหรอกค่ะ จบๆจริงจบแน่ คือคำนี้ "เลิกกัน" แล้วต่อมาก็จะมีคำนี้ผุดมาอีกว่า "เพราะ..มันเลว"
เอ้อ สรุปจะจบหรือไม่จบ งง ทั้งๆที่เรื่องของความรัก มันเป็นเรื่องของคน2คนแท้ๆ หลายคนที่ทำแบบนี้เพราะว่าคำๆนี้ไง "รัก" เขาอยู่ แต่ถามว่าแล้วที่ผ่านมาล่ะ ทำไมไม่เข้าใจซึ่งกันและักันให้ดี คำๆเดียวที่ตอบโจทก์ได้คือ "ไม่ฉลาด"
ดังนั้น เราจะมาเจาะในประเด็น เหตุผลที่ผู้ชาย "ไม่รับฟังผู้หญิง" เพราะตัวปัญหาอยู่ที่ผู้หญิง!!!
1. ผู้หญิงพูดมากเกินไป บ่อยครั้งที่ผู้หญิงจะเอาเรื่องราวต่างๆจริงบ้างไม่จริงบ้างที่ได้ยินมามาเม้าธ์ให้คุณสามีฟัง การที่คุณพ่อบ้านต้องทนฟังสารพันเรื่องทั้งหลายบนโต๊ะอาหารยามค่ำ มันช่างน่าเบื่อ และทำให้บรรยากาศกร่อยได้ 2. เรื่องเก่าเล่าอยู่ได้ ฟังแล้วฟังอีก บางครั้งคุณผู้ชายก็คิดว่าเรื่องพวกนี้เคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว ซ้ำซากจำเจ เบื่อ 3. ผู้หญิงจู้จี้ ผู้ชายไม่สบอารมณ์นักหรอกที่ถูกผู้หญิงจู้จี้เซ้าซี้อยู่ตลอดเวลา เมื่อพวกเขารู้สึกเหนื่อยหน่าย ก็จะทำเมินเฉยไม่สนใจไปเลย
4. ผู้ชายไม่ชอบถูกควบคุม ผู้ชายจะรู้สึกว่าถ้าหากพวกเขาเชื่อฟังและทำตามที่ผู้หญิงพูด เขาก็จะกลายเป็นลูกไก่ในกำมือของเธอ หากให้ทุกสิ่งที่เธอต้องการ ผู้ชายจะกลายเป็นหุ่นเชิดของผู้หญิงทันที 5. รู้สึกถูกบีบคั้นมากขึ้น ถ้าคุณผู้หญิงพูดพล่ามไม่หยุดหย่อน นานๆคุณผู้ชายจะฟังสักทีมากกว่าที่จะตั้งอกตั้งใจฟังคุณ อย่างน้อยหุบปากบ้างแล้วลองนั่งดูฟุตบอลบอลกับบ้าง ความสัมพันธ์จะกระชับขึ้นเยอะ
6. ผู้ชายบางคนอยากได้เหตุผลแต่ไม่ยอมบอกให้ชัดเจน ประมาณว่า "ถ้าไม่ฟัง จะถามทำไม" เพราะที่เขาอยากรู้อยากถามเพราะทำตัวมีพิรุธคิดว่าตัวเองทำถูกแล้วแต่ไม่อธิบาย 7. เรื่องหยุมหยิม มันช่างไม่น่าสนใจสำหรับผู้ชาย วันๆคุณภรรยาเอาแต่ชมเรื่องแฟชั่น เสื้อผ้า ต่างหู เครื่องประดับของภรรยาเจ้านายให้คุณสามีฟัง นั่นคุณต้องการจะสื่ออะไรอย่างนั้นหรือ เปลี่ยนเรื่องหาประเด็นน่าสนใจคุยกับเขาน่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า 8. เมื่อคิดไม่เท่ากัน (Think Different)ก็เลิกกันไป ไม่แปลกที่บทสรุปสุดท้ายจะเป็นแบบนี้ เพียงแต่ว่าสมองของผู้ชายธรรมชาติเขามีฮอร์โมนเชิงบวกในด้านปลดปล่อยและไม่เก็บเรื่องราวแย่ๆเอาไว้นานหรอก แปปเดียวก็ลืม ผ่านไปเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น ดังนั้น ผู้หญิงที่รู้จักรักเป็นก็คงคิดได้นะว่า ความคิดของผู้ชายกับผู้หญิง มันไม่เท่ากันมาตั้งแต่เกิดแล้ว
มีคนเขาตั้งข้อสังเกตโดยการแชร์ประสบการณ์ความสัมพันธ์กันในกลุ่มของชายรักชาย ไม่ว่าเป็นทางด้าน เฟ็สบุ๊ค ไลน์ อินตาแกรม วอสแอ๊ป สไก หรือนอกเหนือจากนี้ ว่าที่มีการคบกันในหมู่ของชายรักชายในเมืองไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กส์อย่างเดียว แต่ถึงขนาดเปิดตัวสถานะว่า หมั้น แฟน หรือ แต่งงาน ในสังคมออนไล์เลยแหล่ะ
1. ชายกับชายเข้าใจกัน เป็นเคมีที่ลงตัว พูดจาไร "รู้เรื่อง" สั้นๆได้ใจความสำคัญได้ดีกว่าต่างเพศ
2. ถ้าในเรื่องที่คุยมีรายละเอียด เขาจะมีวิธีพูดให้มันน่าสนใจ อาจจะด้วยการแฝงมุกตลกเข้าไปบ้างก็ได้ในแบบกวนๆของผู้ชายด้วยกันเองอย่างไม่เคอะเขินและไม่กลัวคำทะลึ่งๆเหมือนคบกับต่างเพศ ด้วยเหตุนี้เอง ความสบายใจในการคบผู้ชาย จากคำว่า "มิตรภาพ" "เพื่อน" "ความรัก"
3. ชายกับชายมักจะไม่มีฝ่ายเป็นผู้พูดเพียงฝ่ายเดียว เขาจะค่อนข้างพูดเก่ง คล่อง ต่างคนต่างแชร์คำพูดกันโดยบางครั้งอาจะมองว่าแย่งพูด แต่เขาก็พูดต่อกันอย่างเปิดเผยโดยส่วนใหญ่ผู้ชายเวลาคุยกันมักจะเต็มที่อยู่แล้ว
4. ผู้ชายด้วยกันมักจะ"เข้าใจง่าย" และไม่เซ้าซี้จี้ถามให้มากความ มันจะทำให้เกิดเกิดความรำคาญเปล่าๆเหมือนกับกรณีคู่ทั่วๆไป
5. รสนิยมมักจะคล้ายๆกันไม่แตกต่างกันมาก เช่น ไปซื้อของก็ใช้ด้วยกันได้อยู่แล้ว ทานอาหารก็กินอย่างเต็มที่ 6. ในด้านของเพศสัมพันธ์ เป็นที่แน่นอนแล้วว่า ผู้ชายถ้ามีไรกัน เวลานั้น เขาจะเล่นบทเป็นพระเอก(ฝ่ายรุก) และมีนางเอก(ฝ่ายรับ) หรือจะเป็นพระนางพร้อมๆกันก็ยังได้ จึงเป็นทางเลือกที่ทำได้หลากหลาย ไม่จำเจ แถมไม่ต้องห่วงการตั้งครรภ์ด้วย นี่เป็นสาเหตุนึงเลยที่ใครๆเขาก็บอกไว้ว่า ผู้ชายแท้ๆอย่าลองมีไรกับชายกันเอง เพราะคุณอาจจะติดใจ
7. เวลาพูดคุยกัน ปรึกษาปัญหา หรือแม้แต่เรื่องอื่นๆ เขาจะมีเคมีที่ลงตัวมากกว่าต่างเพศ เพราะเพศเดียวกันย่อมเข้าใจดีต่อกันมากกว่าต่างเพศ
8. ในหลายๆประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือกำลังพัฒนา เขาให้จดทะเบียนสมรสเพศเดียวกันได้ เร็วๆนี้ ที่ อเมริกาสามารถจดทะเบียนได้แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องของคำว่า "แค่แผนกระดาษ" แต่มันคือคำว่า "ศักด์ศรี" "สิทธิเสรีภาพ" ในความเป็นมนุษย์ที่เขาก็มีสิทธิที่จะทำได้ในเมื่อเขาไม่ได้ไปละเมิดใคร แต่สำหรับบางคนที่กีดกันหรือต่อต้านต้องย้อนกลับไปถามว่า "ถ้าไม่เกี่ยวแล้วจะส.ทำไม"
|