ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
ดู: 341|ตอบกลับ: 0

สารพัดปัญหาโครงการรถคันแรก ชนวนระเบิดฉุดเศรษฐกิจพัง...

[คัดลอกลิงก์]

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
261
พลังน้ำใจ
21430
Zenny
24868
ออนไลน์
3649 ชั่วโมง

สมาชิกจีโฟกาย 100%สมาชิกระดับแพลตตินั่มสมาชิกระดับทับทิมสมาชิกระดับไพลินสมาชิกระดับมรกตสมาชิกระดับเพชรสมาชิกระดับเพชรบริหารสมาชิกระดับเพชรคู่สมาชิกระดับตรีเพชร

สารพัดปัญหาโครงการรถคันแรก ชนวนระเบิดฉุดเศรษฐกิจพัง...                                                                                วันอังคารที่ 16 เมษายน 2556 เวลา 00:00 น.
                                                
                                                                                                               
          
               
“โครงการรถคันแรก” ถือเป็นนโยบายประชานิยมของรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่ประชาชนต่างให้การตอบรับอย่างท่วมท้น จนทำให้มียอดจองถล่มทลายทะลุเพดานไปถึง 1.25 ล้านราย ที่สำคัญรัฐบาลต้องควักเนื้อจากเงินภาษีของประชาชนมาจ่ายคืนชาวบ้านมากถึง 92,100 ล้านบาททีเดียว
แม้ว่าโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้เกิดขึ้นอย่างท่วมท้นเพราะนอกจากคนไทยจะซื้อรถได้ในราคาถูกกว่าปกติ 1 แสนบาทแล้ว บรรดาค่ายรถยนต์ที่ซบเซามาจากปัญหาน้ำท่วมใหญ่ก็สามารถฟื้นตัว มียอดขายแบบก้าวกระโดดได้ทันตาเห็น ขณะที่ภาครัฐก็เก็บภาษีได้มากขึ้นกว่าหลายเท่าตัว โดยเฉพาะภาษีสรรพสามิต ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ของประเทศในภาพรวมทะลุทะลวงเป้าหมายหลายหมื่นล้านบาท
ไม่เพียงเท่านี้กรมสรรพากรเองก็ยังสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้น ทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งภาษีกำไรจากค่ายรถยนต์ เพื่อนำไปชดเชยกับเงินที่หายไปกว่า 1.5 แสนล้านบาท จากการลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ซึ่งในแง่เศรษฐกิจภาพรวมแล้ว ต้องถือว่า โครงการนี้มีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่น้อยทีเดียวเพราะล่าสุดเศรษฐกิจไทยในปี 55 ที่ผ่านมา ก้าวกระโดดไปถึง 6.4% จากที่คาดว่าจะเติบโตได้เพียง 5.5% เท่านั้น
แต่ขณะเดียวกัน...เมื่อมาถึงเวลานี้ต้องยอมรับว่า ผลพวงของโครงการรถคันแรก ก็ได้ทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย เพราะยอดจองรถยนต์คันแรกที่ถล่มทลายในครั้งนี้ ได้เกิดขึ้นจากการร่วมมือกระทำของทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อที่กลัวเสียสิทธิรถคันแรก หรือผู้ขายที่ต้องการทำยอดให้ทะลุเป้าหมาย โดยให้ลูกค้าใช้เงินจองเพียงแค่ 1,000 บาท ก็ได้รับสิทธินั้นมากอดไว้แล้ว จากเดิมที่ต้องใช้เงินจองอย่างน้อย 5,000 บาท
ดังนั้น... ผลพวงของปัญหาที่เกิดขึ้นจากโครงการสุดฮิต ในเวลานี้ได้กลับกลายเป็นว่า ประชาชนต่างทิ้งใบจองรถคันแรกกันเป็นแถวรวมไปถึงการชะลอรับรถ ซึ่งปัญหาแรกมีตัวเลขไม่มากนัก เพราะลูกค้าส่วนหนึ่งมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามที่ภาครัฐกำหนด และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากสาเหตุที่ผู้บริโภคเกรงว่าจะได้รับรถช้า จึงหว่านจองรถไปหลายค่าย เพราะกลัวว่าจะถึงเวลาสิ้นสุดโครงการในวันที่ 31 ธ.ค. 55 ขณะเดียวกันการรอรับรถที่ซื้อ... ต้องรอกันข้ามปีทีเดียวกว่าจะได้ เลยทำให้บรรดา “คนอยากมีรถ” ต่างหว่านจองกันไปในหลาย ๆ ค่าย ชนิดที่ว่าค่ายไหนได้เร็วก็จะซื้อจากค่ายนั้น ซึ่งก็มีจำนวนไม่มากนักเพียงแค่หลักพันคันเท่านั้น
นอกจากนี้ผลพวงที่คนอยากมีรถชะลอรับรถ ต่างหนักหนาสาหัส เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นได้ “ลุกลาม” ไปถึงตัวแทนจำหน่าย ค่ายรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ ที่ต้องชะลอการส่งชิ้นส่วนให้แก่บริษัทผู้ผลิตไปโดยปริยาย... ถ้าจะเรียกว่าดาบนั้นคืนสนองก็คงไม่ผิดความหมาย!!!
เพราะขณะนี้ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หลายค่าย หลายโชว์รูม ต่างถูกพิษดอกเบี้ยกันไปบ้างแล้ว เพราะการที่ลูกค้าชะลอรับรถออกไป เมื่อมีสต๊อกรถเกิดขึ้นดอกเบี้ยก็เบ่งบาน เช่น รถราคา 600,000 บาท ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยวันละประมาณ 200 บาท ดังนั้นถ้าลูกค้าเลื่อนรับรถเป็นเวลานานเท่าใด ให้นำเงินค่าดอกเบี้ย 200 บาท คูณกับจำนวนวันเข้าไป นั่นคือเงินที่ต้องจ่ายให้กับบรรดาสถาบันการเงินที่โชว์รูมเหล่านี้ไปกู้ยืมมา
อย่างไรก็ตามแม้ว่าสารพัดผลพวงที่เกิดขึ้นครั้งนี้ได้ทำให้หลายคนที่เกี่ยวข้องต้องแบกรับปัญหาต่าง ๆ ไปด้วย แต่ค่ายรถยนต์เองกลับไม่ได้มองเช่นนั้น โดยบางรายบอกว่า ยอดจองรถยนต์แบบถล่มทลายที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากความต้องการเทียม เพราะผู้ที่จองรถแต่ละคนมีความต้องการใช้อยู่แล้ว เพียงแต่กลัวไม่ได้รถตามสิทธิจึงต้องหว่านใบจอง ยืมชื่อผู้ที่มีสิทธิมาสวม กำหนดเวลารับรถให้เป็นรูปธรรม หากรัฐควบคุมช่องโหว่ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ หรือกำหนดให้ชัดเจนว่ารถคันแรกต้องเป็นรถประหยัดพลังงานราคาไม่เกินคันละเท่าใด เป็นต้น คงช่วยบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้นหรืออาจเกิดในอนาคตลงไปได้บ้าง
แม้แต่เรื่องของ “สินเชื่อเช่าซื้อ” ที่หลายคนเกรงกันว่าอาจเกิดปัญหา “หนี้สงสัยจะสูญ” ขึ้นนั้น มั่นใจได้เลยว่าปัญหาจะไม่น่ากลัวอย่างที่เกรงกลัวกัน เพราะบรรดาไฟแนนซ์แต่ละค่าย “ช่ำชอง” อยู่แล้ว ที่การปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้าแต่ละรายต้องดำเนินการตามมาตรการขั้นตอนที่รัดกุม แม้ว่าจะเป็นผู้ที่จบใหม่ซื้อรถคันแรก ยื่นขอสินเชื่อ ก็ต้องมีผู้ค้ำประกัน เป็นต้น ขณะเดียวกันยังเชื่อว่าโครงการนี้ ... ไม่ได้ทำให้ระบบอุตสาหกรรมยานยนต์เกิดความสูญเสีย หรือย่ำแย่ลง แต่มองในทางกลับกันยังเห็นในสิ่งที่ดี คือ เป็นการกระตุ้นให้ผู้บริโภคเลือกซื้อรถให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้อย่างแท้จริง เช่น ใช้รถวิ่งในระยะทางใกล้ ก็เลือกซื้อรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ขนาดเล็ก ประหยัดน้ำมัน ซึ่งทำให้เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
ที่สำคัญยอดการผลิตรถยนต์ที่มากเกินความต้องการของตลาดคาดว่า 2-3 เดือนจากนี้ไปสงครามการตลาดของบรรดาค่ายรถจะรุนแรงมากขึ้นทั้งการลด แลก แจก แถม ทำให้ผู้บริโภคที่กำลังอยู่ระหว่างการตัดสินใจซื้อได้รับประโยชน์อย่างแน่นอน ซึ่งถือว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคคนไทย
โดยเรื่องนี้สอดคล้องกับความเห็นของ ’เพียงใจ แก้วสุวรรณ” รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ของ บริษัท นิสสันมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะประธานสมาพันธ์อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอาเซียน มองว่า การยกเลิกใบจองของรถคันแรกไม่มากนักจนน่าตกใจ แต่ที่พูดถึง 20-30% ของยอดจองคงไม่ถึงขนาดนั้น แต่ขณะนี้มีรายชื่อขอขยายเวลารับรถออกไปให้เห็นแล้ว ซึ่งในมุมมองของค่ายรถยนต์ถ้าไม่เกิน 1 เดือนยังสามารถรับสถานการณ์ได้ หลังจากนั้นก็ต้องบริหารจัดการ
เร่งเคลียร์สต๊อกคงค้างออกไป เพื่อไม่ให้เป็นภาระ แต่ขณะนี้สถานการณ์ยังไม่ได้เลวร้ายจนน่าเป็นห่วง เพราะค่ายรถยนต์ต่างทยอยส่งมอบรถในโครงการรถคันแรกกันไปแล้ว คาดว่าจะหมดภายในกลางปีนี้ ส่วนยอดขายรถยนต์ปี 56 จะอยู่ที่ 1.1-1.2 ล้านคัน ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่ปกติตามกลไกตลาด
เช่นเดียวกับมุมมองของ ’นบุยูกิ มูราฮาชิ“ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) ที่เห็นว่า การชะลอรับรถของลูกค้าในโครงการรถคันแรกมีให้เห็นบ้างแล้ว เดิมดีลเลอร์ไม่มีสต๊อก แต่ตอนนี้สต๊อกประมาณ 2 สัปดาห์ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ หากลูกค้าที่จองรถแล้วติดขัดไม่สามารถรับรถได้จริง ๆ เราก็จะบริหารจัดการด้วยการส่งมอบรถให้กับลูกค้ารายใหม่แทน หากรุ่น สเปก สี ตรงกับความต้องการ ตอนนี้ยังไม่มีอะไรน่ากังวลใจ เพราะจากยอดจองรถคันแรกลูกค้าส่วนใหญ่ 60-70% จะมารับรถตามปกติ ขณะที่อีก 20-30% ได้ชะลอเวลาการรับรถออกไป ซึ่งตรงนี้ทางค่ายมิตซูฯเองได้ปรับเวลาโดยลดการผลิตลง เพราะโครงการรถคันแรกได้สิ้นสุดลงไปแล้ว แต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับโรงงาน
อย่างไรก็ตามแม้ว่าในความคิดเห็นของผู้ประกอบการจะเป็นความคิดในแง่ที่มองโลกในแง่ดี... แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้วนอกจากสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ยังเป็นตัวการสำคัญที่กระตุ้นให้หนี้ภาคครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น และจะกลายเป็นภัยร้ายแรงคุกคามเศรษฐกิจในอนาคตอันใกล้ หากไม่ระวังการก่อหนี้ของภาคประชาชนท่ามกลางภาวะที่เศรษฐกิจผันผวนอย่างหนัก
ขนาดธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติเอง ก็ยังออกมาเตือนออกมาส่งสัญญาณเรื่องหนี้ครัวเรือนที่เกิดขึ้น ว่ามีสัญญาณที่ไม่ดี จากการดำเนินนโยบายประชานิยมของรัฐบาลที่ได้ส่งเสริมให้คนเป็นหนี้มากขึ้น เร่งใช้จ่าย แต่ขาดการออม ที่สำคัญรัฐบาลยังคงเผชิญกับปัญหา “ชักหน้าไม่ถึงหลัง” กับการจ่ายเงินคืนที่ต้องยืมเงิน “คงคลัง” มาจ่ายแทนไปก่อน
เพราะคล้อยหลังโครงการเพียงไม่กี่เดือน เริ่มมีสัญญาณเตือนออกมาของแนวโน้มสินเชื่อรถยนต์ที่เสี่ยงเป็นหนี้เสีย และต้องยอมรับว่าหลายคนตัดสินใจโดดเข้าร่วมโครงการรถคันแรกเพราะโหนกระแสรถคันแรกฟีเวอร์ จึงลืมดูความสามารถที่แท้จริงกับภาระที่เกิดขึ้นในอนาคต หากศักยภาพการผ่อนถดถอยภาระหนักอึ้งเกินกว่าจะแบกต่อไปได้ อนาคตกลายเป็นหนี้เสียได้เช่นกัน
กูรูที่คร่ำหวอดในวงการลิสซิ่งต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายังไม่เห็นสัญญาณหนี้เสียที่ชัดเจน เพราะยังมีรถยนต์ที่ต้องรอส่งมอบให้อีกประมาณ 50% จากปริมาณยอดขายรถในปี 55 ประมาณ 1.3-1.4 ล้านคัน ดังนั้นคาดว่าหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอลจะเริ่มเห็นได้ชัดเจนในอีก 6 เดือนข้างหน้าหรือประมาณเดือนมิ.ย.นี้ หรืออย่างช้าปลายปีนี้ นอกจากนี้ต้องดูด้วยว่าหลังจากที่ผู้ซื้อได้เงินคืนภาษีรถคันแรกไปแล้วจะมีศักยภาพส่งค่างวดรถต่อไปได้อีกหรือไม่ โดยเฉพาะนักศึกษาจบใหม่และเพิ่งเริ่มทำงาน
ทั้งนี้สภาพัฒน์หรือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้บอกว่า ในไตรมาสสี่ของปี 55 พบว่า สินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคมีสัดส่วน 2.91 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.6% ผลพวงมาจากการกู้เงินมาซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ถึง 33.9% โดยเฉพาะในโครงการรถยนต์คันแรก สวนทางกับการออมก็ยังอยู่ในระดับต่ำ เพราะจากข้อมูลรายได้ประชาชาติปี 54 ระบุว่า การออมของครัวเรือนมีสัดส่วนเพียง 5.29 ต่อจีดีพีเท่านั้น
ส่วนการผิดนัดชำระหนี้ก็มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยสินเชื่อภายใต้การกำกับที่ผิดนัดชำระเกิน 3 เดือนขึ้นไป เพิ่มขึ้น 28.1% ขณะที่เอ็นพีแอลจากสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 20.5% มูลค่า 56,583 ล้านบาท หรือคิดเป็น 23.3% ของเอ็นพีแอลรวม ซึ่งแนวโน้มหนี้เสียเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อนจนถึงปัจจุบัน
แม้ว่ารัฐบาลจะมองว่าเป็นเรื่องที่ทำได้...แต่ถามว่า...สมควรหรือไม่? นี่สิ... ที่ทำให้รัฐบาลต้องคิดว่าการใช้เงินซื้อใจประชาชนจะด้วยความ “หวังดี” หรือหวังผลทางการเมืองก็ตาม เช่นนี้สุดท้ายแล้วก็เป็นการบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศด้วยเช่นกัน.
ทีมเศรษฐกิจ
..............................................................................
รับมีปัญหา...แต่ไม่มีนัยสำคัญ
“สมชาย พูลสวัสดิ์” อธิบดีกรมสรรพสามิต บอกว่า ตัวเลขยอดผู้ใช้สิทธิในโครงการรถคันแรกรวมทั้งหมด 1.25 ล้านราย คิดเป็นเงินภาษีที่ต้องคืน 92,100 ล้านบาท ซึ่งกรมสรรพสามิตได้จ่ายเงินให้กับประชาชนผู้ได้สิทธิในโครงการรถคันแรกไปแล้ว 153,000 ราย คิดเป็นวงเงิน 10,400 ล้านบาท ส่วนผู้ที่สละสิทธิมี  2,000 ราย จากที่ถือครองรถไปแล้ว 1 ปี นับจากเริ่มโครงการเมื่อเดือน ก.ย. 54 และสิ้นสุดโครงการ 31 ธ.ค. 55
แม้ว่าโครงการนี้ต้องมีการนำเงินคงคลังออกมาใช้กว่า 31,000 ล้านบาท แต่ยอมรับว่าสาเหตุที่เกิดขึ้นคงเป็นการประเมินที่ผิดพลาดของรัฐบาล เพราะไม่รู้ว่าจะมีประชาชนสนใจมากเช่นนี้ ทำให้ต้องนำเงินคงคลังออกมาใช้ล่วงหน้า แต่วิธีการยืมเงินคงคลังมาใช้ล่วงหน้าเช่นนี้ สามารถทำได้โดยต้องตั้งงบประมาณคืนในปีถัดไป และในปี 57 คาดว่าจะต้องดำเนินการจ่ายเงินคืนให้กับประชาชนอีก 30,000-40,000 ล้านบาท
“ยอมรับว่าที่ผ่านมาการจ่ายเงินคืนในโครงการรถคันแรกอาจมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่เป็นนัยสำคัญ เพราะตั้งแต่ปิดโครงการรถคันแรกเมื่อเดือน ธ.ค. 55 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ก็ยังทำงานกันอยู่อย่างใกล้ชิด ยังเฝ้าติดตาม มีการประชุมหารือเกี่ยวกับผลการดำเนินงานความคืบหน้าในแต่ละส่วนอยู่ตลอด”
ส่วนกระแสข่าวที่มีผู้สละสิทธิ 2,000 รายนั้น ยืนยันว่ายังไม่ส่งผลกระทบกับภาครัฐแต่อย่างใด แต่จะมีผลก็ต่อเมื่อผู้ที่เข้าร่วมโครงการถือครองสิทธิไม่ครบตามระยะเวลา 1 ปี แต่การขอสละสิทธิก่อนระยะเวลาที่กำหนดนั้นคงเป็นเรื่องระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายเท่านั้น โดยก่อนหน้านี้กรมสรรพสามิตได้มีการหารือกับบริษัทลิสซิ่งบ้าง ก็ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี โดยได้รับการยืนยันว่าขณะนี้บริษัทลิสซิ่งไม่ได้เข้มงวดเรื่องการจ่ายค่างวดเหมือนที่ผ่านมาแล้ว และพร้อมที่จะให้การช่วยเหลือลูกค้าทุกรายตามความเหมาะสมด้วย
อย่างไรก็ดี กรณีที่ผู้สละสิทธิการถือครองรถยนต์ในระยะเวลา 1 ปี แต่ไม่เกิน 1 ปี 15 วัน สามารถนำเงินภาษีที่ได้รับมาคืน โดยไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย หากเกินต้องจ่ายดอกเบี้ยตามที่กำหนด นอกจากในเรื่องของการผ่อนชำระกับบริษัทลิสซิ่งนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องเจรจากันระหว่างเจ้าของรถและบริษัทลิสซิ่ง
ส่วนผู้ที่ซื้อหรือจองรถยนต์เมื่อวันที่ 30 ก.ค.–31 ธ.ค. 55 ที่ผ่านมา และรับมอบรถยนต์หรือจดทะเบียนไม่ทันภายในวันที่ 31 ธ.ค.55 นั้น จะต้องเตรียมเอกสารหลักฐานมายื่นเพิ่มเติม ภายในระยะเวลา 90 วัน นับถัดจากวันรับมอบรถยนต์ ประกอบด้วย หนังสือยินยอมสละสิทธิการโอนรถยนต์ใหม่คันแรก, สำเนาหลักฐานการซื้อขายรถยนต์ หากซื้อด้วยเงินสด ต้องมีสำเนาใบเสร็จรับเงินหรือสำเนาสัญญาซื้อขาย, สำเนาเอกสารการรับมอบรถยนต์ ส่วนกรณีเช่าซื้อจะต้องมีสำเนาใบเสร็จรับเงิน, สำเนาเอกสารการรับมอบรถยนต์, สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ และสำเนาคู่มือจดทะเบียน ยื่นที่สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สาขาทั่วประเทศ
หากผู้ขอใช้สิทธิฯ ไม่ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ และไม่นำเอกสารเพิ่มเติมมายื่น ณ สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สาขาภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าผู้ขอใช้สิทธิฯ ไม่ประสงค์จะขอรับเงินคืนตามโครงการรถยนต์ใหม่คันแรก และจะเรียกร้องสิทธิฯ หรือค่าเสียหายใด ๆ กับทางราชการไม่ได้.

เครดิต  http://www.dailynews.co.th/businesss/197471



ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม

ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2024-11-15 08:19 , Processed in 0.084936 second(s), 27 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.8

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้