ถ้าหากว่าซ้ำต้องขออภัยนะครับและขอโทษเจ้าของเรื่องด้วยนะครับเพราะว่าคัดลอกมาอีกที
ความเดิมตอนที่แล้ว จากนั้นร่างของกริชก็หายตัวออกไปจากห้องเหลือเพียงเจ้าของห้องที่กำลังยืนเปลี่ยนเสื้อผ้าเพียงลำพังชายหนุ่มนึกขำกับท่าทางหลบเลี่ยงเพราะถูกพูดแทงใจดำของเพื่อน พลางสั่นศีรษะเบา ๆ อย่างระอาแล้วจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนต่อ บทที่ 13
...นับตั้งแต่อธิปย้ายมาอยู่ด้วยกันที่คฤหาสน์ม่านราตรี ตุลาก็รู้สึกว่าบ้านเริ่มคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะอธิปเป็นคนอารมณ์ดีและขี้เล่น แต่ก็นั่นล่ะ ถ้าไม่นับงานอดิเรกน่ากลัวของเจ้าตัว ตุลาก็คิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่น่าคบหาใช้ได้คนหนึ่ง
“นายกริช อยู่ไหม?”
อธิปชะโงกหน้ามาจากระเบียงห้องบนชั้นสอง ด้านล่างตุลากำลังนั่งแต่งนิยายอยู่ในซุ้มดอกราตรี ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวา ก็ไม่เห็นว่ากริชจะอยู่ เขาจึงลองเรียกชื่อกริชเบา ๆ แต่ก็ไร้ปฏิกิริยาใด ๆ ตอบโต้ให้เห็น
“...เออ ไม่อยู่ก็แล้วไป แหม ...ช่วงนี้กระแสพลังอาถรรพ์บ้านนี้มันก็ชักเริ่มแปรปรวนอีกแล้ว ฉันย้ายหนีกลับไปอยู่บ้านเก่าตัวเองดีไหมน้อ ไม่อยากเสี่ยงกับที่นี่เล๊ย!”
อธิปแกล้งเอ่ยเน้นเสียงดังช้า ๆ ชัด ๆ และนั่นก็ทำให้กริชยอมปรากฏกายขึ้นด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“มีอะไร!”
อธิปหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่อยากออกมาพบตนนัก เนื่องจากเมื่อวานนี้เขาก็เพิ่งทำให้ตุลาตกใจอีกรอบ เพราะดันพาเจ้าลูกน้องหัวกะโหลกของเขาออกมาเดินเล่นกลางดึกในบ้าน เลยเจอกับตุลาที่กำลังเดินออกมาหาน้ำดื่มด้านล่างเข้าพอดี แล้วเด็กนั่นก็ร้องจ๊ากลั่นก่อนเป็นลมตามระเบียบ กริชก็โวยวายใส่เขาจนหูชาแทบทั้งคืน
“ฉันอยากหาหนังสืออ่านในห้องสมุด เลยจะให้นายช่วยค้นให้หน่อย นายมันหนอนหนังสือนี่นะ น่าจะรู้
ดีกว่าฉัน”
หมอผีหนุ่มใหญ่เอ่ยอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้สนใจสีหน้าหงุดหงิดของอีกฝ่าย แต่พอพูดถึงหนังสือ กริชก็เริ่มลดอารมณ์โกรธลง หากก็ยังคงพูดคุยด้วยน้ำเสียงติดห้วนเล็กน้อย
“เฮอะ! แค่หาหนังสืออ่าน ยังไม่มีปัญญาจะหา แล้วจะอยากอ่านทำไม …แต่เอาเหอะ ถ้าอยากอ่านจริง ๆ จะช่วยหาให้ก็ได้”
กริชบอกกึ่งประชด แต่คำพูดนั้นทำให้คนฟังอมยิ้ม เพราะรู้ดีว่าถึงชายหนุ่มจะพูดจาแรง ๆ ใส่ แต่ก็เต็มใจช่วยเหลืออยู่ดี
“ถ้าอย่างนั้นอาจะไปอยู่ที่ห้องสมุดกับหมอนั่นสักครู่นะ ตุลต้องการความช่วยเหลืออะไรก็เรียกอาแล้วกัน”
กริชหันไปบอกหลานชาย แล้วหายตัวขึ้นไปอยู่ข้าง ๆ อธิปบนชั้นสอง หมอผีหนุ่มใหญ่ยิ้มกว้าง แล้วจึง
รีบบอก
“ฉันเห็นหนังสือในห้องสมุดของเจ้าของบ้านคนเก่าแล้ว เยอะมาก ยังกับห้องสมุดในมหาวิทยาลัยแน่ะ
พอเห็นแล้ว ต่อมรักหนังสือฉันมันเดือดพล่านเลย แต่พอจะลงมือหยิบอ่าน ฉันก็ไม่รู้จะอ่านอะไรดี”
อธิปบอกขำ ๆ ทำให้คนที่คบหาสนิทสนมกันสมัยยังมีชีวิต ทำเสียงในลำคออย่างหมั่นไส้ เพราะรู้นิสัยการอ่านของอีกฝ่ายดี ลองได้อ่านอะไรที่มีตัวหนังสือยาวเป็นพรืดเข้าสักหน่อย ไม่นานก็บ่นเบื่อ หรือไม่ก็หลับ
คาหนังสือไปเลยด้วยซ้ำ
“สารานุกรมภาพของคุณจอมเดชก็มีหลายเล่ม อยากอ่านเกี่ยวกับแนวไหนล่ะ เดี๋ยวฉันช่วยดูให้ก็ได้”
กริชบอกเซ็ง ๆ อย่างรู้ทัน ทำให้คนฟังยิ้มตอบ แล้วรีบบอกในสิ่งที่ตนอยากอ่านทันที จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปคุยไปตรงไปยังห้องสมุด โดยที่อธิปมักจะเป็นฝ่ายพูดเสียส่วนใหญ่ ส่วนกริชก็รับคำเงียบ ๆ บ้างก็ค้อนเข้าให้ด้วยความรำคาญก็มี
“อานาย กับลุงนั่นสนิทกันดีจังเนอะตุล”
รุ้งพรายที่นอนเล่นอยู่ในซุ้มดอกราตรีด้วยกันกับตุลามองตามแล้วบ่นเบา ๆ เพราะเห็นทั้งคู่มักทะเลาะกัน
บ่อย ๆ แต่แป๊บ ๆ ก็คุยปรึกษาโน่นนี่กันแทนเสียแล้ว
“นั่นสินะครับ แต่อาเขาเป็นคนเพื่อนเยอะมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ...ผมนี่สิ มามีเพื่อนสนิทก็ตอนขึ้นมหาวิทยาลัยนั่นล่ะครับ ก่อนหน้านั้นร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงก็เลยร่วมกิจกรรมหนัก ๆ กับเพื่อน ๆ ไม่ค่อยได้มากนัก”
ตุลาบอกแล้วหวนนึกถึงอดีตที่ผ่านมา หลังจากกริชตาย ร่างกายของเขาก็แข็งแรงขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาอะไรหนัก ๆ ได้อย่างเด็กคนอื่นเลยทันที เขาค่อย ๆ พัฒนาตัวเองมาเรื่อย ๆ จนพอจะร่วมกิจกรรมกีฬาเบา ๆ กับเพื่อนได้บ้าง แต่ก็นั่นล่ะ ถึงเขาจะแข็งแรงขึ้นสักแค่ไหน ครอบครัวของเขาก็ยังห่วงใยและยังเข้มงวดใส่เขา ในทุกเรื่องที่เสี่ยงต่อสุขภาพของเขาอยู่ดี
“เอาน่า... สำหรับมนุษย์ นายก็ยังถือว่าเพิ่งพ้นวัยเด็กมาได้ไม่เท่าไหร่ ค่อยเป็นค่อยไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องหักโหมหรอก แล้วถ้าพูดถึงเพื่อน ตอนนี้ นายก็มีพวกฉันอยู่นี่นะ”
รุ้งพรายปลอบเมื่อเห็นสีหน้าเศร้า ๆ ของชายหนุ่ม ตุลาหันมายิ้มให้ แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อมือเย็น ๆ ของใครบางคนลูบศีรษะของเขาเบา ๆ
“ถึงพวกเราจะอยู่ด้วยกับเธอไม่ได้ตลอดเวลา แต่ถ้าเธอเรียกหาพวกเราเมื่อไหร่ พวกเราก็จะมาอยู่เคียง
ข้างเธอเอง”
ราตรีบอกแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน ทำให้ตุลายิ้มตอบ แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงค่อย ๆ แต่ดังลอยตามลมมาให้เขาได้ยินชัดเจนอย่างน่าอัศจรรย์
“ฉันก็เหมือนกันค่ะ ...ถึงตอนกลางวันจะขึ้นไปหาคุณตุลไม่ได้ก็ตาม ...ฮึก...”
“เฮ้ย! จะร้องไห้ทำไมเล่าปิ่น เดี๋ยวตุลก็ตกใจพอดี นึกว่าเขาทำให้เธอร้องไห้หรอก!”
รุ้งพรายรีบห้ามเมื่อเพื่อนสาวเริ่มงอแงอีกรอบ
“กะ...ก็ พอคิดถึงว่า ตัวเองช่วยอะไรคุณตุลไม่ได้เลยในตอนกลางวัน ...มันก็ร้องไห้ขึ้นมาเองนี่นะ..”
ปิ่นสุดาสะอื้น ทำให้คนฟังต้องสั่นศีรษะเบา ๆ แต่ก็ยังอดยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้
“ไม่เป็นไรนะครับ แค่รู้ว่าคุณห่วงผม ก็ทำให้ผมดีใจมากแล้ว”
ตุลาบอกกับเงือกสาว ทำเอาเจ้าหล่อนที่กำลังสะอื้นชะงัก หน้าแดงก่ำ แล้วว่ายลงไปหลบอยู่ก้นบ่อด้วยความเขิน ทำเอารุ้งพรายต้องเหลือบมามองชายหนุ่มตาปริบ ๆ
“จะเรียกว่าเจ้าชู้ หรือเป็นเสน่ห์ตามธรรมชาติดีเนี่ย”
แมวสาวบอกกับราตรีที่อยู่แถวนั้น วิญญาณสาวเองก็นึกขำกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่แพ้กัน
“...ฉันว่าเขาคงได้อยู่เป็นโสดไปตลอดชาติแน่ หรือไม่ก็ถ้ามีแฟน คน ๆ นั้น ก็ต้องเป็นคนที่ใจกว้างมาก ๆ ไม่อย่างนั้นคงทนไม่ได้ เพราะเล่นโปรยเสน่ห์ใส่ชาวบ้านไปเสียทั่วแบบนี้”
ราตรีบอกพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า รุ้งพรายในร่างแมวพยักหน้าหงึก ๆ เห็นด้วย แต่คนที่นั่งอยู่แถวนั้นกำลังทำหน้าแปลก ๆ มองทั้งคู่สลับไปมา
“เอ่อ...ลืมไปหรือเปล่าครับ ว่าผมเองก็นั่งอยู่ด้วย”
ชายหนุ่มเปรยเสียงอ่อย เมื่อถูกนินทาสด ๆ ร้อน ๆ ต่อหน้าต่อตา แต่สองสาวกลับหัวเราะกันคิกคัก ทำให้ตุลาหมดอารมณ์แต่งนิยาย เลยขอตัวกลับขึ้นห้องพักตนอย่างงอน ๆ โดยมีเสียงหัวเราะใส ๆ ไล่ตามหลังไปอย่างเอ็นดู
พอกลับขึ้นมาที่ห้อง ตุลาก็ยังไม่ได้แต่งนิยายต่อในทันที เขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม กอดหมอนพลิกไปมา พลางบ่นพึมพำกับตัวเอง
“ฮึ! ผิดด้วยหรือไงที่ไม่มีแฟนกับเขา...”
คำพูดบ่นเบา ๆ แต่กลับทำให้คนที่กำลังจะเคาะประตูห้องชะงักมือกึก พลางอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเคาะ
ประตูเบา ๆ
“อะ...เชิญครับ”
ตุลารีบบอกอนุญาตคนที่อยู่ด้านนอก เขาไม่ได้ล็อกประตูห้องนอน นับตั้งแต่อธิปมาอยู่ด้วย เพราะนั่นเป็นคำสั่งจากกริช เผื่อเกิดฉุกละหุก อธิปจะได้เปิดเข้ามาได้ทันท่วงที โดยไม่ต้องเสียเวลาหากุญแจไข หรือพัง
ประตูห้อง
“ฉันเอาของว่างมาให้”
พาทิศบอกพร้อมกับวางนมสดและคุ้กกี้ไว้ที่โต๊ะทำงานของอีกฝ่าย ตุลายิ้มขอบคุณเขิน ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าเรื่องที่บ่นเมื่อครู่ พาทิศจะได้ยินบ้างหรือเปล่า
“...ตุลอยากมีแฟนหรือ”
คำถามของซอมบี้หนุ่มที่ตามมา ยิ่งทำให้คนฟังหน้าแดงวาบ ตอกย้ำความสงสัยเมื่อครู่ของตนได้เป็นอย่างดี จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนให้ฟังด้วยน้ำเสียงอึกอัก พอฟังเสร็จพาทิศก็อมยิ้มอย่างเอ็นดู แล้วเปรยขึ้นเสริมความคิดของเพื่อนสาว
“ก็นะ พวกราตรีก็พูดถูกอยู่หรอก...”
ตุลาชะงัก หน้ามุ่ยใส่ที่ซอมบี้หนุ่มเข้าข้างสาว ๆ แทนที่จะเข้าใจเขา พาทิศเห็นดังนั้นก็หัวเราะเบา ๆ แล้ว
กล่าวต่อ
“ตุลเป็นคนมีเสน่ห์แล้วก็ใจดีกับทุกคน นั่นเป็นคุณสมบัติที่ดีสำหรับมนุษย์คนหนึ่ง แต่สำหรับคนที่รักและหวงเธอมาก ๆ จนอยากให้เธอเป็นของเขาคนเดียว ก็คงไม่พอใจ ถ้าเธอทำดีกับเขาไปทั่ว ...เพราะอย่างนี้ ราตรีถึงได้บอกว่าเธออาจจะได้อยู่เป็นโสดยังไงล่ะ”
คนฟังชะงัก แล้วค่อย ๆ พยักหน้าอย่างรับรู้ แต่สักพักตุลาก็เอ่ยพึมพำตามมา
“แต่สำหรับผมคิดต่างกันไปนะครับ ...ผมมั่นใจว่า ถ้าเป็นคนที่ผมรักและเลือกแล้ว เขาน่าจะเข้าใจในตัวผมดี และคงไม่หึงหวงเพียงแค่ผมใจดีกับคนอื่น ...”
พาทิศได้ฟังคำตอบนั้น เขาก็แย้มยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ ก่อนจะชะโงกหน้าไปหอมแก้มคนพูดเบา ๆ อย่างลืมตัว
ทำเอาตุลานั่งตัวแข็งทื่อ ทำปากพะงาบ ๆ มองอีกฝ่าย จนซอมบี้หนุ่มนึกขำ จากที่ไม่ได้ตั้งใจในตอนแรก คราวนี้จึงชะโงกหน้าไปหอมแก้มอีกข้างของตุลาอย่างจงใจแทน
“คะ...คุณพาทิศ...ทะ...ทำ...อะไร...ครับ”
ตุลาถามตะกุกตะกัก หน้าแดงก่ำไปหมด จนคนมองนึกมันเขี้ยว อยากจับร่างนั้นหอมซ้ำ ๆ แต่ก็เกรงว่าถ้าทำลงไปแบบนั้น อีกฝ่ายอาจจะโวยวาย แล้วทั้งกริชและพวกรุ้งพราย ก็จะมารุมบ่นต่อว่าเขาให้หูชายกใหญ่แน่
“หอมแก้มด้วยความเอ็นดูน่ะ...ถ้าอย่างนั้นฉันไปล่ะนะ ตุลก็ตั้งใจเขียนนิยายเข้าล่ะ”
ซอมบี้หนุ่มบอกหน้าตาเฉย ไม่ได้มีความเขินอายอย่างอีกฝ่ายแม้แต่นิดเดียว มิหนำซ้ำรอยยิ้มที่เห็นก็ดูเจ้าเล่ห์อยู่มาก
“คะ...ครับ”
ตุลาตอบเสียงสั่น เรื่องกลุ้มใจที่ถูกสองสาวแซวก่อนหน้า แทบจะหายวับไปจากสมอง เหลือแต่เพียงใบหน้าคมเข้มของซอมบี้หนุ่มตอนที่ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้เขา ลอยอยู่เต็มหัวไปหมด
“กะ...ก็แค่หอมแก้มเท่านั้นเองล่ะนะ”
ตุลาพึมพำปลอบตัวเอง จริงอยู่เขาก็เคยถูกอาและพ่อหอมแก้มมาก่อน แต่นั่นก็เป็นตอนที่เขายังเด็กมาก แต่พอโตมาก็ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเขา
“แต่งนิยายดีกว่า...”
ชายหนุ่มพยายามไล่ความคิดฟุ้งซ่านในสมองออกไป แล้วเปิดโน้ตบุคขึ้นมาพิมพ์ แต่พอพิมพ์ไปพิมพ์มา
เจ้าตัวก็ต้องหน้าแดงวาบ เมื่อดันเผลอพิมพ์คำว่าจูบลงไปในกระดาษหน้าว่างนั้น ตุลารีบลบทิ้ง พลางหันซ้าย
หันขวา ว่ามีใครเห็นไหม และเมื่อไม่มีใครอยู่ในห้อง เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วก็นั่งเหม่อต่ออีกรอบ
“อากลับมาแล้ว เป็นไงตุล แต่งนิยายไปถึงไหนละ....”
กริชที่เพิ่งกลับมาจากห้องสมุด ขมวดคิ้วยุ่งเมื่อเห็นหลานตัวเองนั่งเหม่อหน้าโน้ตบุค แถมจู่ ๆ ก็ยกมือขึ้นลูบแก้ม แล้วก็หน้าแดงระเรื่อตามมา
“ตุล! ไม่สบายหรือ!”
กริชที่เข้าใจไปอีกอย่างหายตัววับเข้ามาหาหลานชายอย่างเป็นห่วง ทำเอาคนนั่งเหม่อสะดุ้งเฮือก แทบจะตกเก้าอี้ด้วยความตกใจ แต่พอเห็นว่าเป็นอาเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“อาเองหรือครับ กลับมาตั้งแต่ตอนไหนครับเนี่ย”
ตุลาถามพลางยิ้มเขิน ๆ เพราะเขามัวแต่เหม่อเรื่องของพาทิศจึงทำให้ไม่ทันได้สังเกตรอบด้านอีกครั้ง
“...ตุล ไม่สบายหรือเปล่า หลานแปลก ๆ ไปนะ...อธิป! อยู่แถวนั้นไหม เข้ามานี่หน่อยเร็ว!”
เสียงโวยวายเอะอะของกริช ทำเอาคนอื่น ๆ ในบ้านพากันตกใจ แล้วต่างกรูกันมาในห้องนั้น แม้แต่ปิ่นสุดาที่มาไม่ได้ยังเร่งฝากรุ้งพรายให้มาดูด้วยความเป็นห่วง
“เกิดอะไรนายกริช เจ้าหนูตุลเป็นอะไรไปรึ!”
อธิปถามอย่างตกใจ แล้วขมวดคิ้วยุ่ง เมื่อเห็นสีหน้าซีด ๆ แหย ๆ ของตุลาที่มองมา
“ผมไม่ได้เป็น...”
ตุลากำลังจะบอก แต่ก็ถูกผู้เป็นอาพูดขัดเสียก่อน
“ตุลน่าจะไข้ขึ้น เดี๋ยวเหม่อ ๆ เดี๋ยวหน้าแดงแปลก ๆ นายพาตุลไปหาหมอหน่อยสิ ...เอ หรือจะโทรเรียกให้หมอมาตรวจดี ...เบอร์หมอประจำตัวที่เคยตรวจตุลในตอนเด็กเบอร์อะไรนะ...”
กริชมีท่าทางร้อนรนจนตุลารู้สึกผิด เขาเตรียมจะแก้ตัวต่ออีกฝ่าย แต่พอหันไปเห็นพาทิศที่ลอบส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เขา ตุลาก็หน้าแดงวาบขึ้นมาอีกครั้ง
“อ๊ะ! หน้าแดงอีกแล้ว ตุลไข้ขึ้นแน่เลย!”
รุ้งพรายที่เฝ้ามองอยู่โพล่งขึ้นมา ทำเอากริชยิ่งเครียดหนัก จนแทบอยากจะลากคออธิปให้ไปตามหมอมาเสียเดี๋ยวนั้น
“เอ...รู้สึกผมจะมีปรอทวัดไข้ติดไว้นะครับ ไปซื้อมาเก็บไว้ ตั้งแต่ช่วงที่ตุลเข้ามาอยู่บ้านได้ใหม่ ๆ น่ะครับ”
พาทิศที่เงียบอยู่เอ่ยขึ้น ทำให้หลายสายตามองมายังเขา โดยเฉพาะตุลา ชายหนุ่มทำหน้ามุ่ยใส่อย่างนึกงอน เพราะมั่นใจว่าซอมบี้หนุ่มจะต้องรู้แน่ ว่าที่เขาเป็นเช่นนี้ก็เพราะฝีมือเจ้าตัวนั่นล่ะ
และแล้วในวันนั้น ตุลาก็พ้นจากการถูกพาไปหาหมอ แต่ก็ยังไม่วายโดนกักตัวให้อยู่บนเตียงตลอดทั้งวันอยู่ดี โดยกริชนั้นคอยเฝ้าดูแลอยู่ไม่ห่าง พวกสาว ๆ ก็พากันเข้ามาเฝ้าในตอนกลางคืน ส่วนซอมบี้หนุ่มนั้นยืนเฝ้าอยู่ห่าง ๆ แต่พอคนอื่น ๆ เผลอ เขาก็ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วแกล้งทำเป็นแตะแก้มตัวเอง จนคนบนเตียงที่หันมาสบตาเข้าหน้าแดงวาบ แล้วรีบห่มผ้าคลุมโปงหนี จนคนอื่น ๆ พากันแปลกใจไปตาม ๆ กัน
บทที่ 14
เสียงร้องโหยหวนด้วยความตกใจ พร้อมกับเสียงโวยวายตามมา ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องปกติ นับตั้งแต่ชายผู้ชื่ออธิปย้ายมาอยู่ที่คฤหาสน์ม่านราตรีหลังนี้
“ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าพยายามหาเรื่องแหย่ให้ตุลกลัว! ถ้าหลานฉันหัวใจวายตายขึ้นมา นายจะรับผิดชอบยังไง หา!”
กริชตวาดใส่คนที่ยืนเกาศีรษะแกรก ๆ ด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ ตรงหน้าตน
“ใครแหย่กัน...เด็กนี่ทำตัวเองต่างหาก แค่เปิดห้องมาเจอลูกน้องของฉันเท่านั้นเอง ก็ดันร้องแหกปากโวยวายซะลั่นบ้านแบบนี้”
กริชกัดฟันกรอดกับคำแก้ตัวนั่นของเพื่อนสนิท แล้วจึงสวนกลับไปอย่างเหลืออด
“ก็เพราะลูกน้องของนายนั่นล่ะ! เลิกซักทีได้ไหม ที่ปล่อยให้ลูกน้องปรากฏร่างแค่หัวกะโหลกลอยเพ่นพ่านในห้องแบบนั้นน่ะ!”
“หา! ความผิดฉันหรือไง อีกอย่างให้ลอยแค่ในห้องก็ดีหนักหนาแล้ว ไอ้หนูนี่ต่างหากที่ขวัญอ่อนเกินไป
เปิดมาเจอแบบนี้ตั้งสองสามรอบ น่าจะชินสักทีได้แล้วนะ!”
อธิปโต้กลับอย่างหงุดหงิด แต่วิญญาณหนุ่มก็ยังคงเข้าข้างหลานชายตนเองอยู่ดี ทำให้ตุลาที่ยืนหน้าซีด ๆ
รีบเอ่ยเสียงอ่อยห้ามทั้งคู่ ก่อนจะมีการปะทะคารมมากไปกว่านี้
“เอ่อ...อากริชกับคุณอธิปอย่าทะเลาะกันเลยครับ ผมผิดเองนั่นล่ะที่ขวัญอ่อนจนเกินไป”
อธิปตวัดสายตามาทางตุลา แล้วหันกลับไปยักไหล่ส่งยิ้มเยาะให้กับเพื่อนสนิทของตน ทำให้กริชเม้มปาก
ด้วยความไม่สบอารมณ์นัก
“ถึงอย่างนั้นก็เหอะ หมอนี่ก็ปล่อยตัวทำตามเคยชินเกินไป...ดีล่ะ ต่อไปนี้ถึงเวลาอาหารตุลไม่ต้องขึ้นมา
ตามหรอก ปล่อยให้อดตายในห้องนี่ล่ะดีแล้ว!”
“เอ่อ จะดีหรือครับ”
ตุลาแย้งผู้เป็นอา เพราะหากบางวันเขาไม่ได้มาเรียก อธิปก็สามารถขลุกอยู่ในห้องส่วนตัวได้เป็นวัน ๆ เสียอย่างนั้น จนตุลานึกห่วง แต่เจ้าตัวเองกลับบอกว่าแค่อดข้าววันสองวันไม่ถึงกับตาย ลงท้ายเขาก็เลยต้องรับอาสามาเรียกอีกฝ่ายให้ไปกินข้าวพร้อมกันทุกมื้อแทน และบางครั้งก็ได้เจอของแถมอย่างที่ผ่านมา แต่หลัง ๆ นี่เขา
ก็พัฒนาขึ้น แค่ตกใจเฉย ๆ โดยไม่เป็นลมอย่างสองสามครั้งแรกที่เจอนั่นแล้วล่ะนะ
“แบบนั้นน่ะดีแล้วล่ะ!”
กริชบอกย้ำ แล้วเหลือบมองอธิปก่อนจะตวัดสายตาค้อนให้อย่างไม่สบอารมณ์แล้วหายตัววับไปตามเดิม
“อาเธอนี่มันพวกติดหลานเกินเหตุจริง ๆ เลยนะ”
อธิปเปรยอย่างนึกเซ็ง ส่วนตุลาหัวเราะแห้ง ๆ กับคำพูดนั้นของอีกฝาย ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่ออธิปหันมาทางตน แล้วจ้องมองพลางตำหนิเบา ๆ
“แต่เธอนี่มันก็ขี้กลัวเกินไป ฉันเข้าใจว่าของพวกนี้มันออกจะน่ากลัว แต่เห็นบ่อย ๆ ก็น่าจะชินได้แล้ว ทีอยู่ร่วมกับภูตผีปีศาจเป็นโขยงดันอยู่ได้ ทีแค่หัวกะโหลกลอยไปลอยมาดันกลัวซะงั้น!”
“ง่า...ก็คนอื่น ๆ เค้ามีรูปร่างแบบคนนี่ครับ เลยพอจะบรรเทาความกลัวไปบ้าง แล้วพวกนั้นก็...เอ่อ ไม่ค่อยแกล้งผมเท่าไหร่ด้วย”
อธิปเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วมองชายหนุ่มอายุน้อยกว่าที่หลบตาเขาในประโยคท้าย ๆ
“อ้อ...งั้นหรอกรึ”
หนุ่มใหญ่บอกเสียงยานคราง แล้วจึงยิ้มแย้มให้ พร้อมกับเปลี่ยนเรื่องคุย
“จริงสิ มาตามไปกินข้าวกลางวันใช่ไหม ไปกันเถอะ ป่านนี้พ่อผีดิบนั่นรอเธอแย่แล้ว”
ตุลากลืนน้ำลายลงคอ นึกสังหรณ์ใจในรอยยิ้มของอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างประหลาด แต่ก็ยังคงเดินลงไปยังห้องครัวด้านล่างเงียบ ๆ เพื่อกินอาหารกลางวันกับอีกฝ่ายต่อไป
ระหว่างกินอาหารจู่ ๆ อธิปก็โพล่งขึ้นถึงเรื่องบางอย่างทำให้สมาชิกอีกสองรายคือ รุ้งพราย กับพาทิศชะงัก แล้วรับฟังที่หนุ่มใหญ่บอกอย่างสนใจ
“พวกเธอคิดไหมว่า เด็กนี่ขี้กลัวเกินไป ถ้าเราจะช่วยกันฝึกความกล้าให้เขา มันจะเป็นการดี สำหรับการอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้มากกว่า”
“อืม...จริงสินะ ไม่งั้นตุลอาจจะหัวใจวายตายเสียก่อนก็ได้ ขนาดแค่ฉันกระโดดลงมาจากชั้นสองหาเขาข้างล่าง ก็ตกใจช็อกซะใหญ่โตขนาดนั้น”
รุ้งพรายในร่างแมวดำเปรยขึ้นบ้าง แต่ทำเอาชายหนุ่มร่วมโต๊ะอาหารต้องเหลือบไปมองเจ้าหล่อนตาปริบ ๆ เพราะพฤติกรรมที่ว่า ต่อให้ไม่ใช่เขา เป็นใครก็ต้องตกใจด้วยกันทั้งนั้น
“นั่นสินะครับ ก่อนหน้านั้น แค่ผมหอมแก้มเขา ก็ทำท่าตกใจซะขนาดนั้น...”
พาทิศเปรยขึ้นบ้าง แต่คนฟังรีบแย้งกลับด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“ก็มันน่าตกใจไหมล่ะครับ! แล้วนั่นมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องกลัวผีของผมด้วย!”
“อะไรนะ! ไปหอมแก้มกันตอนไหนยะ ทำไมฉันไม่เห็นรู้ ...อ๊ะ! หรือว่าตุลจะชอบ ‘แบบนี้’ จริง ๆ”
แมวดำสาวที่ฟังบทสนทนาอยู่ถึงกับหูกระดิก แล้วขู่ฟ่อใส่พาทิศ พลางหันมาทางตุลา ซึ่งชายหนุ่มก็สะดุ้งแล้วบอกกลับไป
“แบบนี้น่ะแบบไหนครับ ถ้าแบบที่คุณคิดไว้น่ะไม่ใช่แน่นอน!”
ตุลารีบแย้งด้วยใบหน้าแดงก่ำ ทำเอาอธิปที่เสนอเรื่องฝึกความกล้าต้องกระแอมเบา ๆ ก่อนเรื่องมันจะออกทะเลไปมากกว่านั้น
“เอ้า ๆ กลับมาเรื่องเดิมก่อน พวกเธอคิดว่าไงถ้าฉันจะฝึกความกล้าให้ตุลเขา”
พาทิศกับรุ้งพรายสบตากัน ส่วนตุลานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด แล้วสะดุ้งเฮือก ตกใจแทบตกเก้าอี้ เมื่อจู่ ๆ ราตรีปรากฏกายกะทันหัน มานั่งข้าง ๆ เขา
“ก็ดีเหมือนกันนะ ตุลจะได้เคยชินสักที....เฮ้อ”
ท้ายประโยคเจ้าหล่อนทำท่าถอนหายใจ เมื่อเห็นสีหน้าและปฏิกิริยาของชายหนุ่มข้าง ๆ ตน
“เมื่อไหร่เธอถึงจะเคยชินกับพวกเราสักทีนะ”
“ทำยังไงก็ชินยากครับ ...แล้วช่วยมาแบบธรรมดาหน่อยไม่ได้หรือครับ”
ตุลาบอกอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะสะดุ้งเฮือก เมื่อรับรู้ถึงสัมผัสที่ไหล่ของตนแผ่วเบา
“หลานต้องใจแข็งเข้าไว้ เอาเถอะ ถ้าพวกเขากวนหลานบ่อย ๆ อาจะช่วยปรามให้เอง”
กริชบอกแล้วจึงยกยิ้มเย็นชาให้สมาชิกคนอื่น แต่รุ้งพรายนั้นบ่นอุบกับตัวเองว่ากริชก็ไม่แพ้พวกหล่อนในเรื่องที่ชอบทำให้ตุลาตกใจนักหรอก
“ว่าแต่นายคิดแกล้งอะไรหลานฉันหรือเปล่าอธิป ถึงได้คิดจะฝึกเรื่องความกล้าอะไรไร้สาระให้ตุลเขาน่ะ”
วิญญาณหนุ่มหันไปทางเพื่อนสนิทแล้วลงมือซักอีกฝ่ายด้วยความสงสัย ทางด้านอธิปนั้นยักไหล่เล็กน้อย แล้วยิ้มนิด ๆ ให้กับกริช
“ฉันก็แค่ห่วงเขาจะหัวใจวายตายก่อนอายุขัยเท่านั้นเอง ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับวิญญาณและหมอผี ถ้าไม่มีภูมิต้านทานเลย จะลำบากเอานา”
กริชเม้มปาก พอมองออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ห่วงหลานเขาจริงดังเช่นคำพูดทั้งหมด แต่ความเห็นของอธิปนั้นก็เข้าท่าอยู่เหมือนกัน เพราะดูเหมือนหลานชายของเขาจะขี้กลัวและตกใจง่ายไปสักนิด
“อืม ...ถ้านายไม่ว่าอะไร งั้นคืนนี้ เราก็มาช่วยทดสอบความกล้าให้เจ้าหนูตุลแล้วกัน ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไปแต่งนิยายอะไรนั่นของเธอได้แล้วเจ้าหนู ที่เหลือฉันกับสมาชิกคนอื่นจะปรึกษากันเอง”
อธิปสรุปแล้วไล่ตุลากลับขึ้นห้องพักของชายหนุ่มไปทันที
“เอ่อ...ร่วมฟังด้วยคนไม่ได้หรือครับ จะได้เตรียมทำใจไว้ก่อนได้”
ตุลาแย้ง แต่อีกฝ่ายก็สั่นศีรษะปฏิเสธ ส่วนรุ้งพรายก็รู้สึกดีอกดีใจหางสั่นไปมา แถมยังชวนหมอผีหนุ่มไปปรึกษาเรื่องนี้ที่สวนแทน เพื่อที่ปิ่นสุดาจะได้มีส่วนร่วมด้วยอีกราย
“ตุลกลับไปที่ห้องพักเถอะ ถ้าพวกนี้คิดเล่นอะไรแผลงเกิน อาจะคอยห้ามเอง ไม่ต้องห่วง”
กริชปลอบหลานชายซึ่งก็ทำให้ตุลาที่กำลังกังวลยิ้มออก แล้วขอตัวไปแต่งนิยายต่อ ทางด้านอธิปมองเพื่อนสนิทอย่างนึกหมั่นไส้ที่ห่วงหลานเกินเหตุ ส่วนพาทิศนั้นอมยิ้มน้อย ๆ แล้วก็สะดุ้งนิด ๆ ตามมา เมื่อกริชหันขวับมามองเขาเขม็ง
“แต่ก่อนอื่น ขอย้อนเรื่องก่อนหน้านั้นนิด ...เรื่องหอมแก้มนั่นหมายความว่าไง หือ?”
ซอมบี้หนุ่มชะงัก แล้วแสร้งยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตอบออกไป
“แค่เอ็นดูเองครับ ในสายตาผมไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เด็กคนนั้นก็ยังน่ารัก เหมือนตอน 12 ไม่มีผิด”
กริชหรี่ตามองอย่างสงสัย ก่อนจะทำทีเป็นถอนหายใจตามมา แล้วมองอีกฝ่ายด้วยนัยน์ตาดุ ๆ แทน
“ให้แค่เอ็นดูจริง ๆ อย่างที่พูดแล้วกัน”
“นั่นสิ ถูกอย่างเขาพูดนั่นล่ะ ให้แค่เอ็นดูจริง ๆ แล้วกัน ...รสนิยมนายยิ่งพิลึก ๆ กว่าชาวบ้านอยู่ด้วย!”
รุ้งพรายเสริมคำพูดนั้น แล้วจึงค้อนขวับเข้าให้ ก่อนจะเดินนำหน้ามุ่งตรงไปสวนหลังบ้านถัดไป โดยที่พวก
พาทิศ อธิป กริช และราตรี ก็ตามเจ้าหล่อนมาไม่ห่าง เพื่อเข้าสู่การประชุมจัดเตรียมการทดสอบความกล้าให้กับตุลาในคืนนี้
อธิปเหลือบมองกริชที่ยืนกอดอกเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ ระหว่างที่เขาและภูตผีตนอื่นในคฤหาสน์ม่านราตรีกำลังปรึกษาหารือ เรื่องทดสอบความกล้าของตุลาในคืนนี้
“ถ้าอย่างนั้นพวกฉันและเธอจะทำบ้านผีสิงเป็นด่าน ๆ ให้เด็กนั่นทดสอบความกล้า ถ้าผ่านคืนนี้ไปได้ ฉันคิดว่าความขี้กลัวของเขาน่าจะลดลงได้มากล่ะนะ”
หนุ่มใหญ่สรุป แต่รุ้งพรายยกอุ้งเท้าหน้าขึ้นถามเสียก่อน
“มีลิมิตความน่ากลัวด้วยหรือเปล่าลุง?”
คนอื่นหันไปมองปีศาจแมวสาว แล้วหันไปทางอธิปเพื่อรอคำตอบ
“ตามสบาย …แต่อย่ารุนแรงจนทำให้ ผู้ชายที่ยืนอยู่หลังพวกเธอ เขาอาละวาดเข้าให้ล่ะ”
หมอผีหนุ่มบอก ทำเอาคนที่เหลือหันไปมองกริชเป็นตาเดียว ซึ่งวิญญาณหนุ่มก็ทำเสียงฮึในลำคออย่างหมั่นไส้ แล้วเบือนหน้าไปมองทางอื่น
“งั้นฉันขอประจำด่านแรก จะหลอกให้ตกใจร้องจ๊ากไปเลย ฮ่า ๆ”
รุ้งพรายเสนอตัว โดยเหมือนจะลืมจุดประสงค์หลักในครั้งนี้ไปแล้วว่า จัดขึ้นเพื่ออะไรกันแน่
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวไปคิดวิธีหลอกตุลบ้างดีกว่า”
ราตรีพึมพำด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง ก่อนจะหายตัวไป ทางด้านพาทิศนั้นอมยิ้มนิด ๆ ติดเจ้าเล่ห์ เมื่อหวนคิดถึงสิ่งที่จะทำกับตุลาในคืนนี้ ส่วนปิ่นสุดานิ่งคิดหนักสลับกับหน้าแดงไปมา จนอธิปชักสงสัยว่าแม่เงือกสาวนั้นกำลังคิดอะไรกันแน่
“โอเค งั้นแยกย้ายกันแค่นี้ ฉันก็จะไปเตรียมการของฉันบ้าง หวังว่าเจ้าหนูนั่นจะคงมีสติ หลุดรอดมาถึงด่านสุดท้ายของฉันแล้วกัน หึ ๆ”
อธิปหัวเราะทิ้งท้าย แล้วเหลือบมองไปยังกริชก่อนจะยกยิ้มน้อย ๆ ในแบบที่ทำให้วิญญาณหนุ่มต้องขมวดคิ้วยุ่ง พลางคิดว่าอีกฝ่ายต้องหาทางเล่นงานกลั่นแกล้งหลานสุดที่รักของเขา แทนที่จะช่วยฝึกความกล้าอะไรอย่างที่บอกนั่นเพียงอย่างเดียวแน่
ตกค่ำ ตุลาก็ถูกทุกคนลากออกมาให้ยืนอยู่หน้าบ้านแล้วให้คอยอยู่ราว 15 นาที โดยทางอธิปมอบแผนที่ด่านต่าง ๆ ซึ่งตุลาต้องผ่านแล้วนำตรายางในแต่ละด่านที่ทุกคนมีอยู่ประทับตราในตารางที่ใส่ไว้หลังแผนที่ให้ครบ จึงจะถือว่าการทดสอบความกล้าครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี
“อากริชครับ ...ผมจะรอดไหมครับเนี่ยงานนี้”
ตุลาพึมพำกับผู้เป็นอาที่ยังคงอยู่เคียงข้างเขา กริชหันมามองสีหน้าซีด ๆ ของหลาน ก็อดที่จะยิ้มน้อย ๆ อย่างเอ็นดูไม่ได้
“ตุลนี่นะ รู้ทั้งรู้ว่าพวกนั้นตั้งใจจะแกล้ง หลานก็ต้องตั้งสติไว้ให้ดี ๆ สิ ไม่ต้องห่วงนะ มีอาอยู่กับหลาน
ทั้งคน”
ชายหนุ่มหันไปมองผู้เป็นอาข้าง ๆ แล้วจึงยิ้มกว้างพลางพยักหน้ารับ
“ครับ ขอบคุณครับอา”
กริชหัวเราะเบา ๆ ถึงจะรู้ดีว่าคนอื่นตั้งใจจะทำเพื่อให้ตุลาหายขี้กลัว แต่จากลางสังหรณ์ส่วนตัว นอกจากราตรีและปิ่นสุดาที่ดูหวังดีกับตุลามากที่สุดแล้ว คนอื่นไม่คิดแกล้งก็ลืมจุดประสงค์ครั้งนี้ไปแล้วแน่ ๆ โดยเฉพาะด่านแรก ปีศาจแมวสาวที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นร่าเริงเป็นพิเศษทีเดียว
ตุลากลืนน้ำลายลงคอ มองจากแผนที่ ด่านแรกที่เขาต้องเจอคือห้องโถงกลาง เขาตัดสินใจเปิดประตูบ้านออกช้า ๆ แล้วเดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน ในขณะที่สายตาก็มองซ้ายมองขวา มองหน้า มองหลังอย่างระมัดระวัง
“ฟ่อ...ฮื่อ...แฮ่...”
เสียงขู่ทุ้มต่ำ ที่ฟังดูเหมือนสัตว์ใหญ่อย่างไม่เคยได้ยินมาก่อน ทำเอาตุลาสะดุ้งเฮือก หันมาสบตากับกริช
ซึ่งกริชก็ยังคงยิ้มเป็นกำลังใจให้หลานของตน ทำให้ชายหนุ่มใจชื้นขึ้นมาได้
เสียงพื้นห้องสะเทือนพร้อมกับการปรากฏกายของปีศาจแมวยักษ์ตัวใหญ่คับห้องมันทำให้ตุลาเบิกตากว้าง โดยเฉพาะยามที่เขี้ยวยาวแหลมคมภายในปากใหญ่นั่นแสยะให้เห็น
“อะ...อะไร นั่น”
ชายหนุ่มทรุดนั่งลงบนพื้นด้วยความกลัวจนขาแข้งอ่อนไปหมด กริชตอนแรกก็นิ่งอึ้งอยู่หรอก แต่พอคิดดูแล้ว ก็คิดว่านั่นน่าจะเป็นอิทธิฤทธิ์ที่ปีศาจแมวสาวแสดงก็ได้
“อืม...ความน่ากลัวให้เต็มสิบอยู่หรอก แต่ระวังนะ ภาพพจน์ตอนนี้มันจะติดตาของตุลเขาไปเรื่อย ๆ น่ะ
จะดีหรือ รุ้งพราย”
ปีศาจแมวยักษ์ผู้น่ากลัวสะดุ้งโหยง ยิ่งพอเห็นสีหน้าหวาดกลัวของตุลา เจ้าตัวก็รีบกลับคืนร่างเป็นสาวน้อยผู้น่ารักตามเดิม
“แค่ร่างแปลงเองนะ ร่างจริงฉันออกจะน่ารัก ทั้งร่างแมว และร่างมนุษย์ เห็นไหมตุล!”
กริชลอบยิ้ม แล้วทำเป็นตีสีหน้าเรียบเฉย ในขณะที่ตุลาเริ่มหายตกใจแล้วยิ้มแห้ง ๆ
“ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่เป็นร่างจริง ๆ แล้วหรือครับ”
ปีศาจแมวสาวสะดุ้งนิด ๆ พลางรีบปฏิเสธเสียงดัง
“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ ฉันบอบบางขนาดนี้จะตัวใหญ่ยักษ์เท่านั้นได้ยังไง!”
สีหน้าและแววตาที่มองแล้วพยายามแก้ตัวสุดฤทธิ์นั่น ทำให้ตุลายิ้มเจื่อน ชักไม่แน่ใจแล้วว่าร่างนั้นเป็นร่างจริงของรุ้งพรายแน่หรือไม่
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นด่านแรก ก็มีแค่นี้ใช่ไหม ตุลก็ขอให้รุ้งเขาประทับตราผ่านให้สิ”
กริชเปรยขึ้น ทำเอาทั้งคู่สะดุ้ง จากนั้นรุ้งพรายก็บ่นอุบกับตัวเอง นี่ถ้าไม่มีกริชมาด้วย แผนการหลอกให้ตุลากลัวหงอของเธอคงสำเร็จราบรื่นด้วยดีไปแล้ว แต่ถ้าจะให้ตุลากลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้เธอตลอด มันก็ทำให้เธอลำบากใจอยู่เหมือนกัน ตุลายิ้มกับแผ่นกระดาษที่ได้รับการประทับผ่านด่านแรกไปแล้วแต่ว่าเขายังเหลืออีกสี่ด่าน นั่นก็คือ พาทิศ ปิ่นสุดา ราตรี และอธิป เป็นด่านสุดท้าย
|