ขอโทดน๊ะครับ มาคราวนี้ ผมขอเริ่มนิยายเรื่องใหม่เลยน๊ะครับ อย่าลืมติดตามน๊ะครับ
คัดลอกมาครับผม
ช่วงปฐมบท
“พันวัง…”
มือซูบซีดจนหนังติดกระดูกยื่นออกมาด้านข้าง กระสีดำเข้มกระจายอยู่ทั่วผิวหนังเหี่ยวย่นราวกับปานสูบชีวิต
ที่เหลือน้อยลงไปทุกที เจ้าของนามขยับตัวเข้าใกล้ตั่งเตียงสีแดงคล้ำ ลายรักสีทองดูหม่นหมองลงไปยามแสงตะวันนอกหน้าต่างดับมืดพร้อมๆกับเมฆฝนขนาดใหญ่ที่ปกคลุมท้องฟ้า บันดาลให้ทุกสรรพสิ่งใต้หล้ากลายเป็นสีดำหมอง
“พัน…วัง….”
สุรเสียงแหบทุ้มเอื้อนเอ่ยออกมาอีกคราหนึ่ง ครั้งนี้คนฟังรีบฉวยมืออ่อนแรงนั้นไว้ได้ทัน
“ข้าอยู่ตรงนี้..” น้ำเสียงนั้น..แทบจะเรียกได้ว่าไร้ความรู้สึกใดๆ
“..เจ้าพ่อ..”
ผู้เป็นบิดาไร้เรี่ยงแรงแม้แต่จะเปิดเปลือกตา หูฟ้าฟางยินถ้อยคำเช่นนั้นกลับแสนพร่าเลือน..แต่สัมผัสอุ่นๆที่ตัวเองยังพอรับรู้ได้ว่าบุตรชายคนเดียวของตนอยู่ตรงนั้นก็ทำให้ริมฝีปากคล้ำเข้มหยักยกขึ้นมา
“พันวัง…” แหบแห้งเหมือนทรายที่แห้งผาก
“…เจ้า…ยังจำได้อยู่รึไม่…?”
“อะไรรึขอรับ?”
“หน้าที่ของเจ้า…แค่ก!”
ครั้งหนึ่งกระแอมกระไอจนตัวโยน ร่างผมซูบแทบจะหักไปพร้อมๆกับอาการโคลงอย่ารุนแรงนั่น เด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย..แต่ก็ขืนตัวเองไม่ให้เผลอผลันไถลไปไหนไกล
นายรับใช้รีบช้อนกระโถนเหล็กนิลขึ้นรับหมากเลือดที่อาเจียนออกมาครั้งหนึ่ง ทุกคนในที่นั้นเงียบกริบ..ไม่มีใครเปล่งเสียงใด ไม่แม้แต่เสียงลมหายใจ
…ด้วยวาระหนึ่งในผู้ครองเรือนคนสำคัญใกล้วายชีวี ดวงหน้าสวยพยักรับคำขานนั้น และเอื้อนเอ่ยวลีต่อไปด้วยเป็นสิ่งที่ถูกบังคับให้ท่องจำจนขึ้นใจมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์
“รับใช้จ้าว..”คำสอนนั้นช่างขมขื่น
“..ตราบเท่าชีวิต”
กัมปนาทหนึ่งแล่นผ่านฟ้า ส่งเสียงดังกระหึ่มจนคบไฟที่จุดไว้ไหววูบ ดวงตาสีทองอ่อนเหลือกลืมขึ้นมองใบหน้าของบุตรชายคนเล็ก แต่ภายในไม่ได้ฉายภาพใดๆ แม้นพยายามเพ่งมองแค่ไหนแต่ก็เห็นเพียงสีขาวโพลน
“หน้าที่เรา…”
มือที่แทบจะสิ้นเรี่ยวแรงนั้นยื่นมาแปะที่แผ่นอกแบนราบ สั่นพร่าจนสะเทือนมาถึงภายใน
..ราวกับปฏิญาณที่กรีดลึกลงในเนื้อดวงใจ
“…จำไว้…ให้มั่น…”
...นั่นเป็น…สิ่งที่เหลือทิ้งเอาไว้…จากเมื่อหลายปีก่อน…
หนึ่งชีวิตหวนกลับสู่พื้นผืน
หนึ่งดวงใจหวนคืนสู่สายธาร
ป ฐ ม บ ท ¬• จ้ า ว ธ า ร า
-๑-
“น้องพันวัง!”
ดวงหน้าหวานเหลือบสายตาขึ้นไปตามเสียงเรียกจากบนเรือนหนึ่งครั้งและเมื่อสบกับดวงตาสีอำพันระริกระรี้
ของคนเบื้องบน พลันให้นึกคลางใจกับรอยยิ้มทะเล้นที่ฉายชัดลงมาจนจับพิรุธได้
คนถูกเรียกผ่อนลมหายใจ
“จ้าวพี่โคจร จะเล่นสนุกอะไรอีกรึขอรับ?”
“มาทางนี้เถิด” จ้าวบ้านหนุ่มระบายยิ้มกว้าง ยังมิวายกวักมือเรียกพัลวัน
“อ้ายแสนตาจะถึงอีกมิช้านาน เจ้ากับข้าต้องรีบเตรียมตัว”
คนฟังเลิกคิ้ว ทวนคำขึ้นมาทันที
“เตรียมตัว?”
“อย่ามัวแต่ถามเช่นนั้นอยู่เลย ขึ้นเรือนมาก่อนเถอะน่า”
“แต่..แต่ข้ามีเรื่องต้องทำอีกมาก”หนุ่มน้อยกล่าวตอบ พยักเพยิดมาทางกระจาดปลาตากแห้งในอ้อมแขน
“ขบวนอ้ายพี่แสนตาจะถึงอีกมิช้านานดั่งคำจ้าวพี่ว่า เช่นนั้นงานครัวยิ่งหนักนัก มิมีเวลาเที่ยวเล่นกับท่านอยู่ดอก”
คู่สนทนาเบ้ปากเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ที่ไม่ว่าใครจะมองก็นึกขันกันเสียทุกตัว
มีหลายเหตุผลที่ว่าคือไม่ว่าใครในบ้านเป็นอันต้องหาว่าเขาคึกคะนองเกินกว่าเหตุทุกครั้งไป ก็จริงครึ่งหนึ่งที่ ‘โคจร’ ผู้ครองเรือนหนุ่มอาจจะมีกิริยาที่ดูไม่น่าเคารพเท่าไหร่ไปบ้าง จ้าวหนุ่มอารมณ์ดีที่ขยันหยอดหยอกล้อ
และแสนขี้เล่น แต่ถึงขนาดเที่ยวเล่นไปทั่วมิรู้จักเวล่ำเวลาสักที่ไหน
“เหตุใดจึงพูดเช่นนั้นเล่า ข้ามิได้เล่นสักหน่อย”
“ท่านไปเตรียมตัวเทอด ทำเช่นนี้อีกมินานอ้ายอินทรต้องดุข้าแน่”
“ผู้ใดกล้าดุน้องข้า” ชายหนุ่มยืดอกขึ้น แกล้งชี้มือไปรอบๆลานอย่างคาดโทษ
“ข้าจักเฆี่ยนเสียให้เข็ด”
พันวังถอนหายใจ ระหว่างที่คนอื่นในบริเวณหัวเราะคิกคักไปตามประสา กิริยาหยอกเย้าเช่นนี้ช่างน่าหมั่นไส้นัก
“รังแกข้าเช่นนี้ สนุกมากงั้นรึ?”
“เอาเถอะน่า” อีกครั้งที่ต้องกวักมือเรียก พร้อมรอยยิ้มทะเล้นเริงร่าจนเกินพอดี
“ข้าบอกให้เจ้าขึ้นมาก็ขึ้นมาเทอด อย่าให้ต้องลงไปอุ้มขึ้นมาเหมือนครั้งที่แล้ว….”
“อ้ายพี่โคจร!”
“จะหน้าแดงทำไมกันเล่า คนเขาก็รู้ทั่วบ้านทั่วเมืองกันหมดแล้วว่าเจ้ากับข้าน่ะ….”
“หุบปากบัดเดี๋ยวนี้!” เสียงแหบหวานประกาศกล่าว รีบกุลีกุจอวางกระจาดลงบนแคร่หนึ่งใกล้ตัว
“ปากท่านคู่ควรกับตีนข้ามิแคล้ว นับหนึ่งถึงสิบได้โดนดีแน่”
“เฮ้ย อะไรกันเล่ายอดรัก หยอกเล่นแค่นี้ต้องถึงมือถึงตีนเชียวหรือ”
“ถ้ามิคิดหนีเดี๋ยวนี้ก็จงเตรียมรับมือไว้เลยขอรับ!”
ร่างผอมบางสะบัดเท้าเตรียมก้าวขึ้นบันได ในขณะที่เสียงหัวเราะทุ้มแหบยังดังไปทั่วทั้งเรือน แม้ว่าจะเดินไปที่แห่งใดก็มีอันต้องหลบตาแก้มระเรื่อขึ้นทุกครั้งไป ไอ้ความจริงที่ว่าเราชาว ‘จระเข้’ คลาดแคลนเพศเมียนั่นมันก็ใช่
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศกับใครต่อใครเสียหน่อยว่าเป็น ‘นายบำเรอ’ !
…ถึงทุกคนเขาจะรู้กันแล้วอย่างที่อีกคนว่าก็เถอะ…
ไม่นานเท้าบอบบางก็ลากตัวเองขึ้นมาจนกระไดขั้นสุดท้ายได้สำเร็จ ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆชานเรือนอย่างมุ่งมั่น..ไม่เห็นคนกวนประสาทแม้แต่เงา เพียงเสียงหัวเราะคิกคักก็ยังดังลอยมาตามลมคล้ายเพิ่งจากไปได้ไม่นาน
และยังไม่ทันจะเอ่ยปากถามใคร หนึ่งบ่าวก็ชี้ไปที่เรือนใหญ่ด้านในสุด
“จ้าวโคจรกลับห้องไปแล้วขอรับ”
“กลับห้อง?”
คนฟังขมวดคิ้ว ก่อนถอนหายใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกมาด้วยให้รู้แล้วรู้รอด
…วางแผนเล่นตลกอันใดอีกเล่า จ้าวพี่โคจร!?
ใจหนึ่งก็หงุดหงิดจนแทบเป็นบ้า…ส่วนอีกใจกลับหวั่นไหวรุนแรงกับกิริยาชวนให้คิดไปเองของนายเหนือหัวซะเหลือเกิน ก็จริงที่ตนเป็นหนึ่งในขบวนแห่นายบำเรอของท่านจ้าวที่ว่า แต่ก็อดคิดไปเองมิได้ว่าอีกฝ่ายท่าทางจะเอ็นดูเขามากที่สุด…ด้วยอยู่กันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก จนแทบไม่มีช่วงเวลาใดที่ไม่เห็นหน้าค่าตาอีกคนเสียด้วยซ้ำ
ผู้เป็นนายใช้กิริยาวาจาเช่นนี้เพื่อซื้อใจบ่าว..เป็นเช่นนี้มาช้านานตั้งแต่ครั้งโบราณกาล
…แต่ใจเจ้ากรรมกลับไม่เคยชินกับมันสักครั้ง
“จ้าวพี่!”
ประตูไม้สักเปิดผางเข้าไปในห้องอย่างอุกอาจ ด้วยแรงผลักชนิดที่ว่าต่อให้สวมกลอนไว้ก็เป็นอันต้องพังกระจุย
คนถูกเรียกเบือนดวงเนตรคมเข้มมาสบ ก่อนสาวเท้าตรงจากโต๊ะทำงานมาหา
ร่างผอมบางชะงักครู่หนึ่ง
“..ทำ...อะไรอยู่รึขอรับ?”
เจ้านายหนุ่มขยับยิ้มหวาน มือหนาคลี่หอบผ้าในอ้อมแขนออกเป็นสไบผืนหนึ่ง
“ของขวัญให้น้อง”
อีกคนรับมาหน้าเก้อ
“นี่มันชุดอิสตรีมิใช่รึ?”
“เจ้าหน้าหวาน สวมเช่นใดก็ขึ้นทั้งนั้น”
“ไม่สนุกนะเจ้าพี่ ทุกวันนี้คนเขาก็ลือว่าข้าเป็นหญิงแฝงตัวมาทั้งสิ้นยังจะ…”
“เขาจะคิดเช่นไรก็เรื่องของเขา เจ้าทำตามข้า”
คนฟังกัดริมฝีปาก เชิดหน้าขึ้น
“ใช่สิ ข้าเป็นเพียงบ่าว..ตามสนุกนายจ้าวเท่านั้น”
“แน่นอน แต่มิได้สนุกอย่างเดียวดอก”ดวงหน้าคมเข้มยักคิ้วให้ รอยยิ้มไม่ได้จางหายไปจากใบหน้า
“ยินว่าอ้ายแสนตาพานางหนึ่งตามติดมาด้วย ข้ามิเชื่อดอกว่าสตรีนางนั้นจะดีเลิศกว่าเจ้า ไป หอบสิ่งนี้ไปแต่งตัวเสียให้เรียบร้อย รอเห็นใบหน้าตื่นตาตกใจของอ้ายแสนตาก็แล้วกัน”
แรกทีเดียวหนุ่มน้อยคิดจะขัดขืนการตัดสินใจเช่นนั้นเสียหน่อย แต่บริบทกลับทำให้ต้องเลิกคิ้ว
“เมียของอ้ายแสนตา?”
“ได้ยินว่ากำลังจะเป็นเช่นนั้น”
ดวงตากลมโตเป็นประกาย “เช่นนั้นจะแก่งแย่งกับอ้ายพี่หญิงไปทำไมรึ เมื่ออ้ายพี่แสนตามีงานมงคล เราต่างหาก
ที่ต้องแสดงความยินดีด้วย”
คนฟังย่นจมูก
“ไม่มีทาง อ้ายแสนตาน่ะรึจะได้ดีไปกว่าข้า”
“ทำเป็นพูดดี ยินว่าสั่งให้เตรียมแต่อาหารโปรดของอ้ายพี่มิใช่รึ?”
อีกฝ่ายไหวไหล่ไม่ตอบคำค่อนแคะนั้น
คนตัวเล็กกว่าหัวเราะคิก “เอาเถิด ท่านประสงค์สิ่งไหนข้าจะขัดได้รึไร”
“ให้อ้ายนั่นเก้อไปเลยนะ”
“หากออกมาไม่งดงามเหมือนแม่หญิงทั่วไปก็อย่ากล่าวโทษเพียงข้าละกัน!”
“อย่าลบหลู่สายตาข้าสิ สีชบาอ่อนเช่นนี้แหละเหมาะกับผิวเจ้าที่สุด” ชายหนุ่มยักคิ้วหลิ่วตาให้ตามวิสัย
“แล้วข้าก็เตรียมเครื่องมุกงามไว้ให้พร้อมแล้วด้วย”
“จ้าวพี่อยากเอาชนะขนาดนั้นเลยรึ!?”
เมื่อได้เห็นดวงตากลมโตเบิกค้างอย่างตกใจ อีกคนกลับพ่นหัวเราะออกมาเสียหน่อย ไอ้เครื่องมุกที่ว่านั่นก็หาได้ใช่สิ่งมีค่ามากมายอะไรไม่ เพียงแค่ริมฝั่งแม่น้ำจะหาเครื่องประดับเช่นนั้นไม่ง่าย แต่ก็ไม่เห็นเหตุที่ต้องตื่นอกตกใจขนาดนั้น
“มิใช่ดอก”
ปลายนิ้วข้างหนึ่งแตะลงบนคางเนียน เชยขึ้นให้ดวงตาสีอำพันสองคู่สบกัน
“…สิ่งที่ข้าประสงค์….มีค่ามากมายกว่านั้นเยอะ….”
ก่อนบรรจงแตะริมฝีปากลงมาต้องกันอย่างเบาบาง…แต่หอมหวานยิ่งกว่าขนมใดๆทั้งมวล
บทบรรเลงขลุ่ยผิวดังมาจากหัวน้ำครั้งหนึ่ง เร่งให้บรรดาบ่าวรับใช้ต้องวิ่งกันจ้าละหวั่นด้วยเตรียมตัวยังมิทันจะเตรียมการ อารัมภบทแรกจบลงด้วยเสียงกลองทัดกระหึ่มตามลำธาร สะเทือนกิ่งไม้และแผ่นน้ำให้ไหวหวั่นคลอตามกันไป
บรรดาจระเข้ตัวเล็กตัวน้อยผุดดวงตาขึ้นมาเหลือบมอง ผู้ครองแก้วแปลงกายกุลีกุจอมารอรับจ้าวจระเข้ต่างเมืองที่ท่าน้ำใหญ่ การมาเยือนครั้งนี้ไม่เป็นเพียงการพบเจอระหว่างเพื่อนบ้านเท่านั้น ทั้งยังประกาศข่าวลือเรื่องงานมงคลระหว่างจ้าวหนึ่งกับเพศเมียตัวสำคัญที่หาแทบไม่ได้แล้วอีกด้วย ซึ่งถึงแม้จะไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ..
ชาวบ้านก็ลือร่ำกันทั้งคุ้ง ไม่นานขบวนเรือพายก็เลียบแหวกน้ำมาเทียบจอดสมใจ..
หนึ่งบุรุษเจ้าของผิวเข้มจัดและดวงตาคมดุก้าวขึ้นมายืนที่ท่าน้ำ อาภรณ์แพรบางสีขาวปักดิ้นทองคลุมไว้เพียงบนบ่าแหวกผิวเนื้อช่วงอกลงมาถึงหน้าท้องอุดมกล้ามเนื้อดูแข็งแกร่งและแก่กร้านอยู่ในที..เขาสอดส่ายดวงตาสีอำพัน
มองไปรอบๆคล้ายกับการทบทวนความทรงจำเมื่อครั้งอดีตมากกว่าแค่วางอำนาจ
บรรดาบ่าวรับใช้ทุกผู้ต่างพากันทิ้งตัวนั่งพับเพียบเป็นคลื่นตามกันออกไปทำความเคารพ หลายคนเล็งเห็นว่าจ้าวตนนี้มีบรรยากาศผิดแผกไปจากนายเหนือหัวของตนอยู่มิใช่น้อย ทั้งความเคร่งขรึมที่แฝงอยู่ใต้รอยยิ้มจางๆนั่นก็ด้วย
ทั้งดวงตาร้อนแรงที่พร้อมจะแผดเผาผู้มองนั่นก็อีก ช่างแตกต่างจากจ้าวโคจรจอมทะเล้นร่าเริงของตนเสียจริง
“อ้ายแสนตา”
เสียงทุ้มเอ่ยทักขึ้นมา ก่อนบุรุษร่างสูงโปร่งนาม ‘จ้าวโคจร’ จักก้าวเท้ามารับอาคันตุกะตรงหน้า เจ้าบ้านฝั่งนี้เองก็ดูน่าเกรงขามมิใช่น้อยเมื่อฉลององค์เสียเต็มยศ แม้ผิวกายจะขาวและดูเยาว์วัยกว่า ถ้าไม่นับเรื่องรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เจ้ากลกับกระแสเสียงช่างกระเซ้าเช่นนั้น ก็ต้องยอมรับว่าดวงหน้ารูปสลักนั้นหล่อเหลาคมคายไม่แพ้กันทีเดียว
“อ้ายโคจร” เสียงแหบกร่นปนหัวเราะ
“ช่วงอาทิตย์นี้รบกวนด้วยล่ะ”
“ไม่เจอกันนาน…” ชายหนุ่มชี้มาที่แผ่นอกตัวเอง เป็นเชิงอธิบายถึงรอยแผลเป็นที่กลางอกอีกคนด้วย
“ท่าทางเมืองใต้คงจะรบราฆ่าฟันกันน่าดู”
“วุ่นไม่ได้หยุดเลยล่ะ”
“ฟังดูน่าสนุกนะ”
“สนุกกับผีสิ!พวกหมอจระเข้เริ่มเล่นงานหัวเมืองเล็กเมืองน้อย เจ้าเองก็ระวังตัวไว้ให้ดีเถิด”
“แถบนี้ไม่มีหมอจระเข้มาป่วนให้กวนใจดอก”นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เมืองพิจิตรดูเหมือนจะอยู่เหนือกว่านครที่อยู่
ต่ำลงไป
“เล็กๆน้อยๆนั่นข้าปกครองได้ แต่หากมีสิ่งใดให้เมืองเหนือช่วยโปรดบอก”
“ไม่เป็นไรดอก คนของข้าก็เข้มแข็งพอดู”
“ข้ารู้ หึ ตอนเด็กๆข้าเคยรบชนะเจ้าเสียเมื่อไหร่กัน”
ชายหนุ่มลอบยิ้ม เงยหน้ามองเงาไม้เบื้องบน
“..ที่นี่เปลี่ยนไปนะ”
“กาลเปลี่ยน…สิ่งใดย่อมเปลี่ยนตาม”อีกคนรำพันเลื่อนลอย
“ได้ข่าวน้องพันตรา…ข้าเสียใจด้วยนะ”
“หนึ่งชีวิตหวนกลับสู้พื้นผืน..” แสนตาไหวไหล่..แม้จะดูไม่ใส่ใจแต่ดวงตาคู่นั้นไม่ใช่เลย
“…หนึ่งวิญญาณหวนคืนสู่สายธาร”
อีกคนยิ้ม
“ได้ยินว่าท่านมีข่าวดี”
“แน่นอน ไว้คืนพรุ่งนี้ข้าจะประกาศอย่างเป็นทางการอีกที”
“นางนั้นช่างโชคดีนัก”
“ข้าโชคดีกว่าที่ได้เจอนาง”
“จะว่าไป…ข้าไม่ได้เจอเจ้ามาตั้งแต่ตอนที่ท่านขุนเสียสินะ”
“นั่นสินะ…เอ๊ะ ว่าแต่…” อาคันตุกะผิวเข้มปราดมองไปรอบๆ
“เจ้าพันวังตัวเล็กนั่นล่ะ? ไม่เห็นออกมาต้อนรับข้า”
คนฟังลอบยิ้มบางราวกับรอคำถามนี้มาแสนนานแล้ว ก่อนจะผายมือไปด้านหลังเชื้อเชิญให้อีกคนก้าวเท้าออกมาเผชิญหน้า
ร่างโปร่งบางขยับตัวโผล่จากด้านหลังของอีกคนอย่างเก้อเขิน ผิวขาวจัดรับกับสไบสีชมพูอ่อนที่พันเกลี่ยไหล่มนปรกลงมายังช่วงแขนเนียนนุ่ม ผ้าถุงสีม่วงเข้มรับกับเอวบอบบางและสะโพกกลมลงมาถึงข้อเท้าที่คล้องกำไลทองไว้ข้างหนึ่ง สร้อยมุกสีนวลคล้องลำคองามระหงขับให้ดวงหน้าดูสวยหวานขึ้นทันตา
ริมฝีปากแต้มสีอุทัยเผยอขึ้นเล็กน้อยราวต้องการจะพูดทักทายอะไรสักอย่าง แต่ก็ปิดลงฉับเมื่อพบว่าสรรพเสียงใดๆมีเพียงลมหวิววาบเท่านั้น
ดวงตากลมโตหลุบลงต่ำ ใช่หวั่นไหวกับดวงตาที่แทบลุกเป็นไฟของคนมองเสียเมื่อไหร่ ในเมื่อเกิดมาเพิ่งเคยนุ่งชุดสตรีเต็มยศแบบนี้เป็นครั้งแรก หนำซ้ำบรรดาคนมองยังถึงกับอ้าปากค้างเช่นนั้นจะให้เอาหน้าไปไว้ไหน
สุดท้ายเลยต้องก้มหน้างุดๆ ยื่นมือออกไปดึงชายเสื้อของจ้าวพี่ตัวเองเสียหนึ่งที
..มันแย่ตรงที่..จ้าวโคจรไม่ได้พูดอะไรสักคำ!
….แถมยังขำออกมาหนึ่งครั้งซะอีก!
“…น้องพันวัง?”
คำนั้นหลุดออกมาจากปากอ้ายพี่แสนตา เจ้าของนามอ้อมแอ้ม..แต่ก็พยักหน้าไป
ก่อนลมหายใจหัวเราะหึจะหลุดออกมาครั้งหนึ่ง
“ให้ตาย…จำได้ว่าตอนเล็กๆยังแก้ผ้าวิ่งไปทั่วเรือน โตขึ้นมากลับเป็นสาวไปซะได้”
“ไม่ใช่สักหน่อยอ้ายพี่แสนตา” ดวงแก้มขึ้นสีจัดขึ้นมา
“เพราะจ้าวพี่โคจรบังคับข้าต่างหากเล่า”
คนถูกกล่าวหาผิวปากหวือ
“แต่ก็เหมาะมิใช่รึ? ขอบคุณข้าหน่อยสิ”
“ท่านสิต้องขอบคุณข้า…บอกว่าอยากเห็นสีหน้าประหลาดใจของอ้ายพี่แสนตามิใช่รึ ก็ได้ยลไปแล้วมิใช่รึไร เห็นทีข้าจะได้เวลาเปลี่ยนกลับแล้ว”
“เฮ้ย ใช่ยามนี้ซะเมื่อไหร่กัน เจ้าสิต้องอยู่สภาพนี้ไปจน…..ตะวันขึ้นอีกคราโน่น”
คนฟังเลิกคิ้ว
“ท่านว่ากระไรนะ?”
ชายหนุ่มสองคนสบตากัน ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาทั้งคู่
“นี่เจ้ายังไม่ได้บอกน้องพันวังหรอกรึ?”
“จะให้ข้าเริ่มบอกจากสิ่งใดดีล่ะ”
“พอถึงเวลาจะไม่หวั่นกลัวจนตัวขดเรอะ?”
“ถึงตอนนั้นค่อยหาทางแก้กันไปน่า”
“อะไร?” เด็กหนุ่มถลึงตา
“พวกท่านพูดเรื่องอะไรกัน? วางแผนอะไรกันอยู่งั้นรึ?”
น้ำคำไร้เดียงสานั้นทำให้จ้าวทั้งสองไม่อาจกลั้นขำได้อยู่ ยิ่งเห็นท่าทางลนลานของเจ้าตัวยิ่งนึกสนุกนัก อดไม่ได้ที่จะเอื้อมไปหยิกแก้มแดงอย่างเอ็นดู แล้วเปลี่ยนเรื่องไป
“ขึ้นเรือนก่อนสิ เดินทางมาเสียไกลคงเหน็ดเหนื่อย น้ำท่าอาหารพร้อมรับรองพวกเจ้าไว้หมดแล้ว”
ชายหนุ่มวาดแขนโอบไหล่เพื่อนรัก พาเดินนำขึ้นเรือนไปเสียก่อน
“รวมถึง..เรื่องคืนนี้ด้วย”
-๒-
ผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินแก่ประดับด้วยดิ้นเงินระยิบระย้อยร้อยเรียงกันเป็นท้องนภา หนึ่งเพชรน้ำงามส่องแสงสีนวลสว่างแต่งแต้มผืนฟ้ากว้างโดดเด่น แสงจันทร์สาดลงมาไล้ตามกิ่งก้านของต้นไม้ใบหญ้าที่ปกคลุมหนาครึ้ม ไร้เสียงหึ่งหากินของแมลงเล็กแมงน้อยยามฤดูกาลเคลื่อนเข้าสู่หน้าหนาว กลางคืนที่ยาวนานกว่ากลางวัน กับบรรยากาศยามราตรีที่แสนเงียบสงัดสงัด…จริงๆแล้วก็ไม่สงัดเท่าไหร่
“ว่าอะไรนะ!?!”
หนึ่งเสียงที่แทบจะตะโกนก้องออกมาจากห้องหับด้านในสุดชองเรือนหมู่ขนาดใหญ่ ถ้าไม่ติดว่าหนึ่งหนุ่มรีบยกมือแตะที่ริมฝีปากเสียก่อน มิแคล้วบรรดาจระเข้น้อยใหญ่คงได้ลุกฮือขึ้นมาเป็นแน่
บุรุษผิวขาวกลับยกมือกุมท้องกลั้นหัวเราะ ผิดกับบุรุษผิวดำที่หันไปเอ็ด
“ข้าบอกแล้ว บอกเจ้าแล้วว่าให้บอกน้องพันวังเสียก่อน ดูสิ..ท่าทางตื่นตกใจหมด”
“ฮะๆๆ ก็..ก็ข้าไม่คิดว่าจะแหกปากเสียงดังขนาดนี้นี่”
“ยังจะเล่นตลก ไม่โวยวายฟูมฟายวิ่งออกจากห้องก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
“รึเจ้าจะยกเลิก?”
อาคันตุกะจากแดนไกลส่ายหน้า
“ไม่มีทาง”
“นั่นประไร จะสมยอมหรือขืนใจบทสรุปมันก็ไม่ต่างกันนัก”
“เจ้านี้ชักจะวิปลาส ถึงข้าจะเป็นเช่นนี้ก็ไม่เคยคิดจะบังคับใครสักหน่อย”
“แล้วเจ้าจะทำยังไง?”
“โอ้โลมจนจะเอ่ยปากขอก็ไม่หนักหนากระไรนัก”
“ฮ่าๆๆ เจ้าพูดถูกใจนัก งั้นข้าจะให้เจ้าก่อน”
“อือหื้อ ท้าวโคจรผู้ยิง่ใหญ่เอ่ยปากอนุญาต มีหรือข้าจะไม่สนอง”
“แน่นอน ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้นนี่นา”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรกับผีสีขอรับ!?!”
หลังจากเงียบไปนาน เสียงทุ้มหวานก็ตัดสินใจแหกปากตีฆ้องร้องออกมาอีกสักรอบหนึ่ง
พวงแก้มใสขึ้นสีจัดจนแดงก่ำ ไหล่บอบบางสั่นสะท้านด้วยสะกดกลั้นอารมณ์โกรธ แต่ก็ไม่สามารถกระทำการ
อุกอาจอันใดได้อีกนอกจากตะเบ็งเสียงลั่น
“ท่านทั้งสองจะเล่นตลกอันใดมิทราบ ริคิดอกุศลข้าจักรีบบึ่งไปเบิกนายรับใช้มาสนอง เรียกถวายงานเป็นสิบเป็นร้อยก็ตามแต่ใจจ้าว หากมิคิดพิสดารอะไรเช่นนี้คงจะมีบ่าวยอมสนุกด้วยอยู่บ้างกระมัง”
ร่างสูงโปร่งตีเข้าฉาด รีบอธิบายการ
“พิสดารเช่นไรรึ? คิดจะเล่นกันสามคนมันประหลาดสักที่ไหน ข้าเองก็เคยลิ้มลองระเบียบนั้นมามิใช่น้อย…หรือจะบอกว่าเจ้าไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้ก็ไม่ใช่”
“แต่นี่มันกับ ‘ตัวข้า’..!”
โคจรผิวปากหวือ
“ตัวเจ้าที่เป็นของข้า”
“…ขอรับ! บ่าวเป็นของนาย!”คนตัวเล็กร้องตอบอย่างเหลือทน
“แต่ไม่ใช่ว่าข้าจะยอมรับ..เรื่องบัดสีเช่นนี้”
“มันจะต่างกับเราสองแค่ไหนกันเล่า”นายหนุ่มยังคงเถียง รอยยิ้มกว้างไม่ได้เลือนหายไปจากใบหน้า
“นี่ก็เริ่มเข้าฤดูแล้ว ภายในมันร้อนรุ่มอาการออกไปเสียหมด…อ้ายแสนตาก็มาได้ฤกษ์นัก ข้าก็แค่จะเอาใจตามประสาเจ้าบ้านที่ดี…”
“อ้าวบัดซบ คิดจะมาโยนขี้กันซะนี่”คนถูกกล่าวหาอ้าปากเหวอ
“ดูก่อน น้องพันวัง เห็นก็รู้ว่าไอ้ที่จะทำกันเนี่ยเป็นอุบายไอ้หน้าซื่อใจคดนี้ล้วนๆ ข้าหาได้เกี่ยวไม่”
“ชะ! กล้าพูด ฤๅจะบอกว่าไม่ได้เฝ้ารอเวลานี้มาช้านาน”
“…ก็ไม่ปฏิเสธ”
“นั่นประไรล่ะ”
แสนตาลูบหน้า ด้วยความเป็นคนตรงไปตรงมาจึงไม่กล้าพูดปด..แม้แต่ในเรื่องยิบย่อยเช่นนี้
“ตั้งแต่ได้ความว่าน้องพันวังถวายงานให้อ้ายโคจร..ข้าสินึกแค้นใจนัก หากตอนเด็กๆบังคับพาตัวกลับอยุธยาเสียรู้รอดคงจะดีไป นี่ต้องรอชาติกว่าจะได้ เห็นใจข้าบ้างจะเป็นไร”
คนฟังอ้าปากค้าง อยากจะบริภาสถามออกไปบ้างว่า…แล้วใจข้าล่ะว้อย!?
“ฮ่าๆ อ้ายแสนตานี่พูดถูกใจแท้ รับประกันว่าได้ลองแล้วจะลืมไม่ลง…ดูสิ”
มือใหญ่เอื้อมมารั้งข้อมือเล็กให้เดินเข้าหา คนถูกกระทำแม้อยากฝืนตัวออกแค่ไหนก็ได้แต่สงบใจ ปล่อยให้สายตาคมคายสองคู่เล้าโลมจนหูแดงฉ่า..แม้ว่าตนยังคงสวมผ้าผ่อนเสียเต็มยศอยู่ก็ตาม
“…งามเช่นนี้จะเอาที่ใดมาเทียบเคียงได้เล่า มิวายจะลืมแม่หญิงยอดรัก ได้กลับมาหาน้องพันวังของข้าเสีย
ทุกเดือนแรม”
แสนตากร่นหัวเราะ
“แล้วจะรอช้าอยู่ไรล่ะ?”
“ชะ!?!...ช้าก่อนขอรับ!”
ร่างบอบบางขืนตัวออกมาก่อน สองมือน้อยพยายามกระชับอาภรณ์ตัวเองไว้แน่น
“หากประสงค์นักข้าจะไปเรียกบ่าวมาเพิ่ม คืนนี้จะให้ถวายงานทั้งคู่คงไม่ไหว สะกดกลั้นอารมณ์แบบที่มนุษย์พึงกระทำสักประเดี๋ยวหนึ่งแล้วข้าจะรีบ….”
แต่ไอ้คู่สนทนาทั้งสองมันฟังที่ไหน พากันตบเข่าฉาดกันอีกครั้ง..แล้วระเบิดหัวเราะลั่นเป็นลูกคู่
“ลีลาพลิกแพลงนั่นแยบยลนัก”
“แต่อย่ามัวถ่วงเวลาอยู่เลย..เจ้าหนีไม่พ้นดอก”
“นี่ข้าสองอุตส่าห์หว่านล้อมเสียตั้งนาน เจ้าคิดว่าจะปล่อยไปง่ายๆรึไร?”
“มาทางนี้เทอดน้องพันวัง”
เจ้าของผิวกายคล้ำเข้มลุกขึ้น รั้งเอวบางเข้าหาจนดวงหน้าซุกอยู่แค่อก แล้วจับเชยคางมนขึ้นให้สบตา
“ข้าเอง อ้ายพี่แสนตาของเจ้า หาใช่ใครที่ไหนไม่”
น้ำคำหวานล้ำปะทะลงมากลางดวงจิต คนฟังช้อนดวงตากลมโตขึ้นสบ..ประกายไหววูบสะท้อนอยู่ในตา
คู่ตรงข้าม พลันให้รู้สึกอึดอัดคล้ายหายใจไม่ออก จึงทำได้แค่อ้อมแอ้ม
“….อ้ายพี่….”
“หรือเจ้ารังเกียจข้า”
“ข-ข้าไม่บังอาจ….” คนตัวเล็กกว่าก้มหัวงุดๆ
“เพียงแค่…เอ้อ พวกไร้ยางอายเช่นพวกท่านคงไม่เข้าใจ”
“เอ้า ปากคอเลาะร้ายเช่นนี้ เอาอะไรอุดเสียทีจะดีไหม”
“อย่าแทรกให้เสียเรื่องสิอ้ายโคจร ถ้ายังแกล้งน้องพันวังของข้าอีก…จักได้หอบกลับไปที่เรือนแขกเสียรู้แล้วรู้รอด”
“เอ้า ไอ้นี่…”
แสนตาเลิกสนใจเสียงโวยวายด้านหลัง ก้มหน้าลงมาแนบหน้าผากกับอีกคนตรงหน้า ด้วยไม่รู้ว่าจะสื่อคำพูดทั้งหมดที่มีออกไปยังไงนอกจากผ่านทางสายตา แม้นจะรู้ดีว่า ‘บ่าวรับใช้’ ตรงหน้าไม่ใช่ของๆตนก็ตาม
พันวัง พันตรา
นายรับใช้ฝาแฝดที่แยกกันรับใช้สองดินแดนตั้งแต่ยังไม่ลืมตา ถวายการรับใช้กับตระกูลจ้าวมาตั้งแต่สมัย
บรรพบุรุษ จงรักภักดียิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด…ยิ่งไปกว่านั้น สองฝาแฝดยังบริสุทธิ์งดงามยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งปวง
จนกระทั่งครั้งหนึ่งเมื่อยี่สิบสี่คืนก่อน ที่พันตรายอดรักถูกพรากชีวิตไปด้วยมนุษย์ใจอำมหิต นับแต่นั้นก็ไม่มีสิ่งใดเยียวยาหัวใจจ้าวได้อีก และคงจะเป็นจิตวิทยาบำบัดของจ้าวเหนือหัว ที่ตัดสินใจร่วม‘แบ่งปัน’ แฝดน้องเพื่อชดเชยความโศกในครั้งนั้น
พันวังรับรู้เพียงข่าวสารของอ้ายพันตราพี่ชาย เพียงแค่ไม่เคยนึกเสียใจ กับหนึ่งที่แม้แต่พูดคุยก็ยังไม่เคยคนนั้น
แม้จะร่วมไข่ใบเดียวกันมาก็ตาม
…เพียงจ้าวแสนตาตรงหน้า ที่คุ้นชินกันมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย
ไม่แตกต่างจากจ้าวโคจรผู้เป็นนายสักนิด…
“หากเจ้าปฏิเสธ…”
เสียงทุ้มแหบกระซิบเบา
“…ดวงใจนี้…คงร่ำไห้ไปหลายเพลา…”
…มันคงจะดีกว่านี้ถ้าไอ้เจ้าบ้านไม่ส่งเสียงวี๊ดวิ้วผิวปากจากด้านหลัง
“อ้ายโคจร” แสนตาฮึดฮัดขัดใจ
“จะเล่นอะไรก็ดูกาละดูเทศะกับเขาบ้าง”
แต่อีกตัวกลับไม่ได้ใส่ใจนัก
“ดูเจ้าสิ พันวัง แค่คำหวานสองคำจากอ้ายแสนตา..แทบจะอายม้วนต้วนพร้อมพลีกายให้อยู่แล้ว จะมาพิรี้พิไรเล่นตัวอยู่ทำซากอะไร”
“โรแมนติก”พันวังว่า แก้มแดงซ่าน
“คนอย่างจ้าวพี่คงไม่เคยได้ยินคำนี้”
“แล้วจำเป็นต้องเรียนรู้ศัพท์ฝรั่งเช่นนั้นรึ?”
“มีความรู้รอบตัวไว้ย่อมดีกว่าอ้ายโคจร อย่างน้อยก็เอาเวลาไปเรียนรู้หาใช่จิกกัดบทรักของคนอื่นเช่นนี้ ให้ตายสิ”
“ใช่ขอรับ อ้ายพี่แสนตากล่าวได้ถูกต้องที่สุด”
คนฟังผิวปากหวือไม่ยี่หระกับสารพัดคำบ่นนั่น แล้วยื่นมือไปหา
“พันวัง”
“ขอรับ?”
“มาทางนี้สิ”
“…”
“พันวัง…”
..มีหรือที่จะทนกับน้ำเสียงออดอ้อนเช่นนั้นได้
เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจ ก่อนจะผละจากอกกว้างไปหาอีกคน
ร่างสูงกว่านั่งเกยอยู่บนเตียง รั้งมือให้ร่างบอบบางกว่าเข้าไปในอ้อมกอด แล้วขืนจุมพิตเสียเต็มฟอดที่ริมฝีปาก..
เก็บเกี่ยวความหอมหวานขณะค่อยปลดอาภรณ์น้อยชิ้นพวกนั้นออก
“อ…”
ไร้การขัดขืน ไม่ได้สิ้นเรี่ยวแรงอย่างที่ตัวเองเคยคิด
เมื่อร่างสูงใหญ่อ้อมมาประคองที่ด้านหลัง รั้งใบหน้าของตนให้ผละออกมารับรสจูบแปลกใหม่อีกครั้งจากคน
ต่างถิ่น กลิ่นเปลือกไม้ป่าแตกต่างจากที่เคยคุ้นลอยมาแตะจมูก พาลให้เผลอหลับตาอย่างเผลอไผล และกว่าจะรู้ตัว..เรือนร่างขาวเนียนก็เปลือยกายอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว
หนึ่งคนคอยหยอกล้อที่ยอดอกสองข้าง ส่วนอีกหนึ่งก็ตามประคองบดเบียดริมฝีปากลงมาไม่ได้ว่างเว้น เพียงคนเดียวก็ทำเอาสติแทบหลุดลอยอยู่แล้ว..บัดนี้เปลี่ยนเป็นสอง แม้จะควบคุมอะไรก็ทำไม่ได้สักนิด ความหฤหรรษ์ที่พุ่งพล่านเต็มอกจนผิวบอบบางขึ้นสีระเรื่อตามจุดต่างๆอย่างเสียมิได้
บุรุษผิวเข้มละริมฝีปากออก หลุบมองใต้ร่างราวนี่เป็นงานศิลปะชิ้นเอก..แล้วหันไปขยับยิ้มให้เจ้าบ้านที่ดูภาคภูมิใจเสียยิ่งกว่าเจ้าตัวซะอีก
“ยอดเยี่ยมใช่มั้ยล่ะ?”
นั่นเป็นคำพูดที่ลอยมาจากที่ไกลแสนไกล บุคคลที่สามปรือตามองอ่อน รู้สึกถึงพลังงานในร่างกายที่เริ่มหดหายไปทุกครั้งที่มืออุ่นร้อนลูบคลำไปทั่วตัว
“ยังไม่รู้หรอก…”
อ้ายแสนตากล่าว โน้มใบหน้าลงมาประทับริมฝีปากอีกครั้ง
“นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง…”
พวกเขาตื่นสาย
…และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพราะอะไร
จ้าวโคจรสั่งให้เด็กรับใช้เตรียมสำรับอาหารสำหรับมื้อเช้ามาบริการถึงที่ห้อง นับว่าเป็นการสะดวกนักสำหรับจอมขี้เกียจทั้งสองที่บิดตัวลุกขึ้นมาบริโภคเสียงดังไม่ได้เกรงใจจนไอ้คนที่เหนื่อยที่สุดต้องแว้งขึ้นมาเอ็ดแล้วเอ็ดอีก
…ซึ่งพันวันคาดการณ์ผิด…การแสดงตนว่ารู้สึกตัวแล้วทำให้ชายหนุ่มวัยกำลังคึกสองคนถึงกับละมือจากอาหารมาจัดการเขาใหม่ ดังนั้นครั้งต่อไปต่อให้ต้องเอาอะไรมาอุดหูก็ต้องทำล่ะ
ก๊อกๆๆ
ตกสาย ในที่สุดเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
แม้จะขัดใจแต่จ้าวโคจรผู้แสนดี(..)ก็คว้าผ้าขาวม้าแถวนั้นนุ่งออกไปเปิดกลอนอย่างเสียมิได้ ด้วยรู้ตัวว่าเวลาก็ผ่านมานานนับแล้ว จะมัวแต่รื่นเริงอยู่ก็คงไม่ใช่
“ว่ากระไรรึอ้ายอินทร?”
บ่าวผู้สูงวัยโค้งศีรษะ “ด้านล่างมีชนมวยกันขอรับ”
คนฟังเบือนนัยน์ตาหันไปสบกับสหายรักที่ยังนอนเกยอยู่บนเตียง อ้ายแสนตาก็ได้ยินเช่นกัน จึงพยักหน้าเออๆออๆรับคำไป
“เดี๋ยวพวกข้าลงไป” โคจรว่า หลิ่วตายิ้มกะล่อน
“เตรียมตัวได้เลย ลงพนันฝ่ายเราสักกี่เบี้ยก็เอา จักได้รู้ว่ากำลังจระเข้พิจิตรไม่ได้แพ้อโยธยา”
“แล้วข้าจะรอชม” แสนตาว่ามาจากด้านหลังฉาก ร่างสูงใหญ่คว้าผ้าขาวม้าอีกผืนนุ่งลงจากเตียง
“งั้นฝากไปเตรียมคนของข้า เอาเจ้าน้องสหัสลงเสีย ต่อกี่เบี้ยเราก็สู้”
“ชิชะ นี่เพิ่งนัดแรกยังจะมา..”
“ก็เจ้าท้ามาก่อน แล้วจะให้ข้าทำเช่นไรเล่า”
“ข้าหวังเพียงลองเชิงท่านเท่านั้นแล”
“อย่ามาพูดปดมดเท็จ”
“แต่ก่อนอื่น…มีเรื่องด่วนขอรับ”
อ้ายอินทรยกมือห้าม ด้วยอยู่มานานจนพอรู้ว่าจ้าวทั้งสองผู้เลื่องชื่อนั้นแม้จะสนิทกันมากด้วยรุ่นราวคราวคล้าย
แต่ถ้าอยู่ด้วยกันนานๆเป็นอันต้องปะทะฝีปากให้คนฟังเหนื่อยหน่ายกันเสียทุกครั้งไป
…ว่าแล้วก็นึกสงสารเจ้าน้องพันวัง ท่าทางจะรับศึกหนักทั้งร่างกายและประสาทหู มิรู้จะทนฟังคำเถียงพวกนั้นได้อีกสักกี่น้ำ…
“แล้วท่านจ้าวจะทำเช่นไร…กับแม่หญิงบุหลันเล่าขอรับ?”
“โอ๊ะ”
นั่นเป็นคำอุทานของอ้ายแสนตา ที่ยกมือลูบหน้าอย่างเสียมิได้
“…ลืมไปเสียสนิท”
สหายหนุ่มถึงกับผงะ
“นี่เจ้าลืมกระทั่งว่าที่เมียงั้นเรอะ”
“จะว่าแต่ข้าก็มิได้ เจ้าสิเชื้อเชิญน้องพันวังมาหาข้าเอง”
“นั่นประไร ข้าเห็นลางว่าอ้ายแม่หญิงนั่นคงได้หัวเน่ามิช้านาน”
“ปากเจ้านี่มัน..”
“ฮ่าๆๆ”
“อย่าเพิ่งนอกเรื่องสิขอรับ ข้างนอกพาลวุ่นวายกันไปเสียหมด”
อ้ายอินทรแทรกขึ้นอย่างจัดใจ
“บัดนี้เรือนเรามีเพียงอ้ายแม่พิกุลเท่านั้นที่ยังเป็นเพศเมีย แต่ก็แก่จนใกล้จะเป็นโบราณวัตถุ พอมีแม่หญิงมาเค้าหน่อยพวกบ่าวไพร่ต่างพากันระริกระรี้กันเสียใหญ่ ต่อให้เป็นว่าที่ชายาจ้าวก็เถิด…ข้าเองยังมิรู้จะคุมความห่ามบรรดาหนุ่มๆนั่นได้อีกสักกี่น้ำ”
“ช่างบังอาจเสียจริงเจ้าพวกนี้!” โคจรเผลอตวาดกร้าว
“ก็รู้อยู่เต็มอกว่าแม่หญิงนั่นเป็นของอ้ายแสนตาเพื่อนรักข้า จักกล้าคิดเกินเลยได้อย่างไร น่าจับมาเฆี่ยนตีเสียให้---”
“ช้าก่อนอ้ายโคจร”
อีกคนกลับยกมือห้าม
“ข้าสิพอเข้าใจหัวอกเจ้าชายฉกรรจ์พวกนั้น อย่างไรเสียแม่หญิงบุหลันก็มีหัวใจ ตราบที่ยังมิได้ประกาศกล้าว่านางเป็นของข้า นางนั้นยังไร้พันธะ หากคิดจะแก้เรื่องนี้คงต้องรีบชี้แจงเรื่องหมั้นหมายโดยเร็ว”
“แหม..” ทว่าอ้ายโคจรกลับยังส่งน้ำเสียงทะเล่นกลับ
“ใจกว้างแท้ สมเป็นอ้ายพี่แสนตาแห่ง--“
“หุบปากซะไอ้เวรนี่”
“ฮ่าๆๆ”
“อ้ายอินทร จงนำความไปแจ้งยังอ้ายแม่พิกุล”แสนตาหันกลับมาคุยกับหัวหน้าบ่าวรับใช้
“ตระเตรียมมาลัยดอกไม้หอมไว้พร้อม เมื่อลงชนจึ่งให้อ้ายแม่หญิงบุหลันโยนถวาย จักได้รู้ไปเลยว่าผู้ใดเป็นของผู้ใด”
“ขอรับ”
“ประเดี๋ยวก่อนอ้ายแสนตา” คนฟังอีกคนยกมือขออนุญาต
“หากเจ้าจะลงชนนั่นหมายความว่า……”
“ใช่”
อาคันตุกะรูปงามยกยิ้มที่มุมปาก เบือนดวงตาหันไปสบกับสหายรัก
“เจ้าสิต้องประลองกับข้า”
กว่าที่พันวังจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็เริ่มต้นเวลาบ่าย
และที่เขาตื่นไม่ใช่เพราะได้นอนพักผ่อนเพียงพอหรอกนะ เพียงเพราะกระเพาะเจ้ากรรมมันดันร้องครวญครางยังกับเมฆครึ้มลอยก่อกวน สุดท้ายก็ต้องจำใจเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นมาท้าแสงตะวันจนได้
“อะ” ใครคนหนึ่งร้องขึ้น
“ข้าทำให้ท่านตื่นรึขอรับ?”
ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าน้องเล็กสุดท้องของตระกูลแม่พิกุล อ้ายกล้า ซึ่งปัจจุบันยังอายุไม่ถึงสิบขวบดี เป็นบ่าวอายุน้อยที่สุดจึงไม่ค่อยได้รับผิดชอบงานอะไรสักเท่าไหร่ แต่เพราะอ้ายกล้าเป็นคนเดียวในบ้านที่อายุน้อยกว่าเขา ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเอ็นดูเด็กชายคนนี้ไม่น้อยทีเดียว
แม้นรู้ว่าอีกไม่เกิน 3 – 4 ปีข้างหน้า อ้ายกล้าคงต้องเข้าพิธีถวายตัวเป็นหนึ่งในนายกำนัลของท่านจ้าวใหญ่ และเมื่อถึงเวลานั้นคนที่ความคิดเกินเลยกับนายเหนือหัวอย่างเขาคงมองหน้าน้องชายคนนี้ไม่ติดไปพักใหญ่ๆเลยกระมัง
“มิใช่ดอก” พันวังว่า
“ข้าหิวน่ะ”
“ให้ข้าไปเตรียมสำรับอาหารให้ไหมขอรับ?”
“เดี๋ยวข้าออกไปเองก็ได้ ช่วยส่งผ้ามาทีสิ”
อีกคนกระพริบตา
“อ้ายพี่ไหวรึ? ยินว่าเมื่อคืนรับศึกหนักไม่น้อย”
“….เป็นเด็กเป็นเล็กทำเป็นสู่รู้นัก”
“เอ้า ข้าแค่ยินเขาลือกันมา”
“เขาไหน?”
“ใครเขาก็รู้กันหมด”
“ข้าได้ยินเสียงโห่ร้อง…”
เด็กหนุ่มยกมือขยี้ตาเปลี่ยนเรื่อง ไอ้น้ำคำใสซื่อด้วยคนพูดไม่เข้าใจเรื่องอย่างว่าเหมือนเขาเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วแบบนี้นี่แหละที่ทำให้ยิ่งเขินอายนัก พร้อมเงี่ยหูฟังเสียงเอ็ดตะโรที่ดังแว่วจากด้านนอกหน้าต่าง..ซึ่งชวนสงสัยตั้งแต่ตอนที่เขายังหลับตาอยู่แล้ว
“มีเหตุอันใดเกิดขึ้นรึ?”
เด็กชายตัวเล็กหัวเราะคิกคัก เอ่ยตอบพร้อมอธิบายเสียเสร็จสรรพ
“ชนมวยกันสิขอรับ ครานี้จ้าวแสนตาท้าทายท่านจ้าวด้วยตัวเอง บรรดาบ่าวน้อยใหญ่ครึกครื้นกันใหญ่ ออกลงเบี้ยกันเสียสนุก….อ้ายพี่พันวังสนใจบ้างรึไม่เล่าขอรับ”
คนฟังกระพริบตาปริบๆ
“จ้าวพี่โคจรกับอ้ายพี่แสนตาน่ะนะ?”
“ขอรับ”
“ไม่ต้องเสียเวลาตรึกตรอง” พันวังหัวเราะร่วนจนปวดท้อง รีบคว้าเศษเบี้ยบนโต๊ะข้างเตียงโยนส่งให้อีกคนรับไว้โดนพลัน
“นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน..จ้าวพี่เคยเอาชนะอ้ายพี่แสนตาได้เสียที่ไหน ข้าลงข้างจ้าวต่างแดน ฝากบอกอ้ายพี่อินทรเดี๋ยวข้าจักตามลงไป”
“ขอรับ ว่าแต่…”
“ว่ากระไรรึ?”
“อ้ายพี่พันวังไหวแน่รึขอรับ?”
คนฟังลูบหน้าทันที
“เจ้าคิดว่ากำลังพูดกับใครอยู่รึ? ไป เอาความไปแจ้งเสีย ข้าจะแต่งตัวแล้ว”
“ขอร้าบ”
เด็กชายหัวเราะร่วนทิ้งท้ายอีกครั้ง เล่นเอาคนเป็นพี่อยากจะหยิบอะไรมาปาหัวมันเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำได้เพียงฮึดฮัดอยู่บนเตียง แล้วใช้เวลาร่วมชั่วโมงเพื่อลากสังขารลงมาแต่งเนื้อแต่งตัวเสียเรียบร้อยมิดชิด อย่าได้หวังให้ใครต่อใครได้เห็นรอยรักที่ฝากฝังไว้นี่เลย ที่จริงแล้วเขาก็ใช่ว่าจะชอบใจกับสถานภาพที่เป็นเช่นนี้..
…การเป็นของเล่นของใครไม่ใช่เรื่องสนุกเลย แม้นว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นถึง ‘จ้าวชีวิต’ของตนเองก็ตาม
เหตุเพราผิวกายที่ยังตึงแน่นสมวัย ดวงหน้าหวานด้วยยังไม่แตกเนื้อหนุ่มดีนัก กับช่วงอายุที่เพิ่งผ่านพ้นคำว่าเด็กชายมาได้ไม่นานนั่นเองจ้าวพี่โคจรของเขาถึงได้หลงใหลกว่าบ่าวอื่น หากผ่านไปอีกสักยี่สิบสามสิบปี..เค้าความเยาว์วัยนี้คงจะเริ่มจางลงไป หรืออย่างน้อยร่างกายก็อาจจะสูงใหญ่ขึ้น ผิวกร้านคล้ำขึ้น หนวดเคราขึ้นเป็นตอชวนจั๊กจี้
ทั้งขาเนียนละเอียดที่จ้าวพี่ชอบประทับจูบนี้ก็อาจจะเต็มไปด้วย..หรือขนหน้าแข็งดกครึ้มก็ได้…….
…..แค่คิดก็สยองแล้ว
พวกบ่าวทั้งหลายพออายุขึ้นเลขสามหลักก็ถูกไล่ออกไปทำงานจิปาถะแล้ว แม้ที่ผ่านมาจ้าวพี่จะไม่เคยเฉดหัวใครเพราะยังหนุ่มยังแน่น แต่ก็ไม่เคยจะเห็นแลตามองพวกกล้ามบึกๆถึกถึนพวกนั้นสักนิด
พันวังยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่
แล้วถอนหายใจ ก่อนจะเดินลากขาออกจากเรือนใหญ่เป็นก้าวแรกของวัน
เสียงผู้คนโห่ร้องเอ็ดตะโรกันสนั่นจากชานด้านล่าง เปี่ยมไปด้วยความเมามันระคนหวาดเสียว ดังยิ่งกว่ายามหมัดลุ่นๆกระแทกผิวกายเสียอีก
นี่เป็นกิจกรรมของเพศผู้…ในอดีตคือการประลองเพื่อชิงว่าใครเป็นหัวหมู่ แต่ปัจจุบันเป็นเพียงความสนุกสนานและการพนัน แน่นอนว่ากิจกรรมป่าเถื่อนที่ว่าไม่ได้แวะเวียนผ่านมาให้ชมบ่อยครั้งนัก ด้วยไม่มีจ้าวใดอยากให้คนในปกครองสู้รบกันเอง ซ้ำยังรู้กันเป็นปกติว่าเลือดจ้าวที่เข้มข้นเท่านั้นที่ไม่มีสิ่งใดฟันแทงหรือทำร้ายได้
แต่การสู้กันระหว่างจระเข้ธรรมดานั้นแตกต่างออกไป ด้วยกายทิพย์ที่สามารถเรียนรู้วิชาของมนุษย์จริงๆได้ทำให้การชกมวยนี้เมามันนัก ผิวกายแข็งแกร่งของจระเข้ที่ซัดกันเองแทบไม่สะเทือน การต่อสู้จึงดุเดือดและยาวนาน
กว่านัก…เพราะฉะนั้นไม่แปลกที่เด็กหนุ่มจะตื่นเต้นกับความบันเทิงเหล่านั้น
“อ้ายสหัส อย่าให้แพ้เขา อย่าให้เสียเกียรติเชียวนะ!”
“ลุยมัน สู้มัน”
“เอิ้ว!”
“เอิ้ว!”
เสียงโห่ร่างตะโกนดังไปทั่วทั้งลานสลับกับยามเนื้อกระทบเนื้อดังปั๊กพลั่กผลัวะ เจ้าของร่างผอมบางตรงไปเกาะราวระเบียงชะโงกหน้ามองการต่อสู้ที่เกิดขึ้นจากที่ยืนดูระดับพิเศษ ยืนมองสถานการณ์เหล่านั้นด้วยความตื่นเต้นนัก
หนึ่งคืออ้ายพี่สหัส
อีกหนึ่งคืออ้ายพี่รดิน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามวยคู่นี้น่าลุ้นมากแค่ไหน เพียงแต่ละคนต่างเป็นมือขวาของท่านจ้าวทั้งสองด้วยกันทั้งสิ้น และถึงแม้จะเป็นการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะวัดเอาแพ้เอาชนะหรือกระไร เพื่อความบันเทิงกันเป็นเสียส่วนใหญ่จนอดที่จะส่งเสียงโหวกเหวกตามไปด้วยมิได้
นั่นประไร…อ้ายพี่แสนตากับจ้าวพี่โคจรนั่งอยู่ใต้คุ้มศาลา ปรบมือโห่ร้องแสดงอาการไม่ต่างอะไรกับจระเข้ตนอื่นๆสักนิด
“เอามัน ลุยมัน”
“อ้ายรดิน ฝีมือเจ้าหดไปขนาดไหนรึ อย่ายอมสิวะ”
พันวังรอบยิ้มที่มุมปาก ขยับขาวิ่งทั่กๆลงจากบันไดตรงไปหา ไม่ลืมที่จะแอบย่องไปออกบทวิเคราะห์จากด้านหลัง
“ฝ่ายเราช่างเพลี่ยงพล้ำนัก จะอ้างเหตุอ้ายพี่รดินเพิ่งบาดเจ็บจากไล่ควายคราวก่อนคงไม่ได้ ยินดีด้วยอ้ายพี่
แสนตา มื้อนี้ท่าทางจะกินจุใจ กลับไปคงซื้อที่นาได้อีกหลายไร่ทีเดียว”
คำทักนั้นทำให้จระเข้หนุ่มทั้งสองหันควับไปมอง หนึ่งหัวเราะร่วน ส่วนอีกหนึ่งปั่นปึ่งหน้างอเหมือนเด็กเอาแต่ใจไม่มีผิด
“บ๊ะ”
ท้าวโคจรขมวดคิ้ว รีบรั้งคนปากมากเข้ามานั่งเกยตัก
“เจ้าสิอยู่ข้างผู้ใดกันแน่?”
“ถ้าเลือกได้ข้าก็อยากอยู่ข้างผู้ชนะนะขอรับ”คนฟังหัวเราะคิกคัก
“เสียแต่เลือกมิได้เนี่ยสิ”
นายเหนือหัวขมวดคิ้วหมุ่น
“ดูสิ มิทันไรออกอาการเสียแล้ว…คงคิดว่าข้าน้อยใจไม่เป็นกระมัง”
“โถจ้าวพี่ ท่านจักรู้ว่าข้าเพียงเย้าแหย่..คิดจริงจังเสียที่ไหน”
อ้ายแสนตาหยุดหัวเราะ พลันแทรกขึ้น
“แต่ข้าจริงจังนะ”
บุรุษผิวขาวแยกเขี้ยวใส่
“ข้าไม่ให้ว้อย”
“งั้นข้าจะขโมยไป”
“อ้ายแสนตา…นี่เอ็งชักปากดีเกินไปแล้ว กลับไปหาแม่หญิงของเอ็งไป ชิ้วชิ้ว”
“จริงสิ”
เด็กหนุ่มประมือเข้าหากันราวเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนมองไปรอบๆ
“ข้าสิยังมิเห็นอ้ายพี่หญิง…นางไปอยู่ไหนเสียล่ะ?”
“ประเดี๋ยวก็มา” ชายหนุ่มร่างใหญ่หรี่ตามอง อดที่จะหยิกแก้มหมั่นเขี้ยวไม่ได้ “ให้อ้ายแม่พิกุลไปเตรียมมาลัย
เปิดศึกสุดท้ายข้ากับจ้าวพี่โคจรของเจ้า น้องพันวัง…เจ้าสิเลือกข้างใด?”
“ไม่เห็นต้องถาม ข้างอ้ายพี่แน่นอนอยู่แล้ว”
“พันวัง!”
“ฮะๆๆ”
“ดูสิ ได้ทีแกล้งข้ายกใหญ่”ไรฟันขาวขบลงมากัดไหล่มน
“โอ๊ย! เจ็บนะ”
“เจ็บสิดี เจ็บจะได้จำ”
คนถูกกระทำขมวดคิ้วหน้าบึ้ง
“งั้นข้าไปอยู่กับอ้ายพี่แสนตาเสียดีกว่า ใจกว้างกว่ากันเยอะ”
“ดี หากเลือกทางนั้นจะได้ปล้ำเสียตรงนี้…ให้มันรู้ไปเลยว่าเจ้าเป็นของผู้ใด”
“จ้าวพี่!”
“ถ้าดื้ออีกข้าจักมิแค่ขู่ ภาคปฏิบัติน่าจะเห็นผลกว่า”
“จ้าวพี่โคจร!”
“ว่ากระไร? หากจะเรียกชื่อข้าเสียเต็มยศเช่นนั้นมิลองครางเรียกดูเล่า”
“จ้าวพี่โคจร!”
เจ้าของนามยกมือแคะหู ส่งรอยยิ้มทะเล้น
“รู้แล้วว่ารักข้า ไม่เห็นต้องเรียกเสียงลั่นขนาดนั้นก็ได้”
คู่สนทนาหน้าเหวอโดยพลัน ผิวกายขาวก็ขึ้นสีแดงจนไม่รู้ว่าจะแดงไปถึงไหนต่อไหน แถมไอ้คนข้างๆที่ควรจะพึ่งพาได้กลับระเบิดหัวเราะเสียลั่น นี่แหละมิตรภาพลูกผู้ชาย ต่อหน้ากัดกันแค่ไหน..สุดท้ายมันก็ให้ท้ายกันอยู่ดี
“พอเลยขอรับ!” เด็กหนุ่มดันตัวออกจนสุดแขน
“ดูสิ อ้ายพี่รดินจักตายแหล่มิตายแหล่อยู่แล้ว ยังจะมามัวหยอกล้อข้าอยู่ได้ ถ้าคิดว่าโผล่มาหาจะรุมหัวรังแกข้าเช่นนี้..รู้งี้บึ่งไปช่วยงานครัวเสียจะดีกว่า”
“เอ้า จะรีบไปไหนเล่า ยกหน้าถึงทีข้ากับอ้ายแสนตาแล้วนะ”
“เรื่องของจ้าวพี่สิขอรับ”
“ถ้าเจ้าไม่อยู่ แล้วมาลัยของข้าใครจะเป็นคนโยนกันเล่า”
พันวังชะงักกับคำพูดนั้น เบือนนัยน์ตากลมโตหันไปสบ
อีกคนยักคิ้วให้ รีบอธิบายต่อ
“ดูสิ อ้ายแสนตาก็มีอ้ายแม่หญิงบุหลันอะไรนั่นโยนมาลัยให้แล้ว ข้านึกอิจฉานัก..เลยบอกอ้ายแม่พิกุลร้อยมาลัยเพิ่มอีกสักพวง เพียงจะรอเจ้าหนุ่มน้ำใจงามคนไหนจะมาโยนให้ข้า หรือจะให้พวงมะลิเป็นหม้ายก็ตามใจเจ้า”
…ดูสิ…ทั้งคำพูดคำจา น้ำเสียงท่าทางเช่นนั้น …มันยากเหลือเกินที่จะไม่ให้ตนคิดเป็นอื่น
คนตัวเล็กกว่าเม้มปาก รู้สึกถึงความร้อนที่วิ่งขึ้นมาผะผ่าวบนใบหน้า ด้วยรู้ว่าอีกคนก็เอาใจเขามาเช่นนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ก็รู้อีกว่าที่พูดจาหวานละไมเช่นนั้นมันเรียกว่า ‘สันดานคนเจ้าชู้’ ...หาใช่ความรู้สึกที่แท้จริงไม่
…กระนั้นก็อดจะตื่นเต้นตามมิได้
“ท่านจ้าวขอรับ”
พลันเสียงทักก็ดังขึ้นจากด้านหลังอีกครั้ง เรียกให้คนทั้งสามหันไปมอง
อ้ายอินทรเกาแก้มเก้อเขิน ท่าทางจะยืนรอจังหวะรายงานมาสักพักแล้ว
“มาลัยเตรียมพร้อมแล้วขอรับ หากมิรีบตีระฆังหยุดมวยคู่นั้น ไม่อ้ายรดินก็อ้ายสหัสนี่แหละจะหมดแรงกันไปเสียก่อน จะเริ่มคู่เอกเลยรึไม่ขอรับ?”
“เอาสิ” จ้าวโคจรหัวเราะในลำคอ
“จักรอช้าอยู่ใยล่ะ”
สิ้นสุรเสียงรับสั่ง จ้าวแสนตาจึ่งได้หยิบท่อนไม้มาตีระฆังเล็กข้างตัวเหง่งหง่าง เป็นอันยุติยกมวยคู่นั้น เสียงโห่ร้องอย่างเสียดายดังขึ้นจากทั่วทั้งวง แต่ก็ด้วยรู้กันว่าความสนุกต่อไปสิกำลังจะเริ่ม
“เอ้า น้องพันวัง..จะนั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้เล่า”
อ้ายแสนตาหัวเราะลั่น พยักเพยิดขึ้นไปบนชานเรือน
“มิรีบไปเตรียมตัวโยนมาลัย สิได้เห็นจ้าวโคจรแหกปากร้อง ‘อุแว๊’ เป็นแน่ เอ้า! รีบไป!”
คนถูกสั่งอดจะยิ้มไม่ได้ เลยรีบดันตัวลุกขึ้น
ส่วนคนถูกด่าถึงกลับอ้าปากพะงาบๆ “ปากคอเจ้านี่ช่างน่าเอาตีนยันเสียจริง อ้ายแสนตา…ให้ตายเถอะ”
“จ้าวพี่โคจร”
“หืม?”
เด็กหนุ่มอ้อมแอ้ม เอ่ยเสียงเบา
“…ขอบคุณ…นะขอรับ”
และคนฟังได้ยินเต็มหู
ชายหนุ่มระบายยิ้มกว้าง ยีเรือนผมสีขนกาของอีกคนอย่างเอ็นดู แล้วลุกขึ้นยืนตามหยิบผ้ามาพันที่มือ
เตรียมมวย ระหว่างที่ใจกลางของลานกำลังเก็บกวาดศึกในคราที่แล้ว
ร่างโปร่งสัมผัสได้ถึงหัวใจตัวเองที่เต้นระรัวยิ่งนัก…เพียงแค่อีกคนสัมผัสกายเขาอย่างอ่อนโยนเช่นนั้นก็ทำให้ข้างในร้อนผะผ่าว บางทีอาจจะมากกว่าความตื่นเต้นที่ได้เชียร์มวยพวกนั้นก็เป็นได้ และถึงแม้จะรู้ดีว่าควรจะระงับหักห้ามใจ ก็ใช่จะทำได้ในทันที
พันวังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เตรียมตัวจะขึ้นเรือนไปรับมาลัยจากอ้ายแม่พิกุลที่ว่า
…แต่กลับต้องชะงักเสียก่อน เมื่อจระเข้แทบทุกตนในนั้น…เงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนเฉกเช่นกัน
ที่ปลายของจุดรวมสายตา…มีใครบางคนยืนค้ำอยู่บนหัวกระไดขึ้นแรกเคียงคู่กับอ้ายแม่พิกุลที่พวกเขาเห็นกันจนชินชานั่นเอง
..เธอยืนอยู่ตรงนั้น
ร่างอรชรในชุดกระโจงอกสีเลือดนกและผ้าถุงสีน้ำตาลรับกับเรือนร่างเต็มอิ่มในรูปแบบของสตรีเพศโตเต็มวัย
ที่พวกเขาไม่ได้เห็นกันเสียนาน เรือนผมสีขนกายาวกล่อมสะโพกตรงเกลี่ยลงมาที่ข้างแก้มกลมทั้งสองข้างดูน่ารักน่าทะนุถนอม แม้ผิวกายจะไม่ได้ขาวสว่างแต่ก็เป็นสีน้ำผึ้งที่ต้องแสงตะวันอ่อนๆกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ ทั้งกลีบปากอวบอิ่มสีกุหลาบก็ดูเย้ายวน…จนลืมหายใจไปชั่วขณะ และเมื่อนางช้อนดวงตาหวานล้ำคู่นั้นมองมา….
“แม่หญิงของข้า”
คำนั้นอ้ายแสนตาทักขึ้นมาก่อน เรียกสติให้คนตัวเล็กหลุดจากภวังค์มนต์สะกด
เด็กหนุ่มคิดว่าตัวเองหน้าแดง อาจเป็นเพราะสัญชาติญาณเพศผู้ที่ยังอยู่ข้างในลึกๆ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากเกินไปกว่าคำชมเต็มหัว เขาไม่รู้ว่าคำว่า‘สวย’ นี่หมายถึงสิ่งใด ด้วยเติบโตท่ามกลางหมู่ผู้ชายมากมาย แต่ก็ต้องยอมรับจริงๆว่านางช่างเปี่ยมไปด้วยสเน่ห์เหลือเกิน
จนอดไม่ได้ที่จะหันไปสะกิดอย่างใคร่รู้
“จ้าวพี่ๆ นั่นน่ะรึอ้ายพี่หญิงของอ้ายพี่แสน----”
ไม่มีเสียงตอบรับ ..หรือพูดให้ถูกก็คือ…อีกคนแทบไม่รู้สึกตัวเลยเสียมากกว่า
เมื่อเงยหน้ามองถึงได้รู้ว่าร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้ๆตนนั้นแทบจะแข็งเป็นหิน ดวงตาคู่คมทอดมองออกไปยังด้านบน ของชานอย่างไม่วางตา ทั้งรอยยิ้มจางๆที่ฉาบอยู่บนใบหน้ารูปสลักคล้ายกับว่า…เวลา…ได้หยุดอยู่ตรงนั้น
มันทำให้พันวังชะงัก มือที่เหนี่ยวแขนอีกคนถึงค่อยปล่อยลงอย่างช้าๆ
…ดั่งดอกไม้แรกแย้ม…ที่ผุดขึ้นมากลางดวงตาสีอำพันคู่นั้น …และหนามแหลมคม…ที่บาดลึกอยู่ในดวงใจดวงนี้
|