ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
ดู: 464|ตอบกลับ: 4

จ้าวธารา

[คัดลอกลิงก์]

โสด

   ศาสตราจารย์เอื้ออาทร
อาจารย์พิเศษ
คัดลอกมาครับ

-๙-
   “พี่ทองดี  อ้ายพี่ทองดี”
   ร่างโปร่งวิ่งทั่กๆลงบันได  เผลอกระแทกส้นเท้าลั่นจนคนฟังต้องเอ็ดขึ้นมา
   “เบาๆหน่อยสิอ้ายพันวัง  วิ่งซุกซนเป็นเด็กไปได้”

   คนถูกดุยิ้มแหย  เปลี่ยนเป็นค่อยๆย่องลงจากบันไดแทน  แล้ววิ่งอ้อมเข้ามายังใต้ถุนเรือน จระเข้ที่มีอายุหน่อยจะได้อยู่ประจำเรือนคอยทำความสะอาดทำครัว จระเข้ที่ยังหนุ่มยังแน่นจะถูกส่งออกไปทำนาตามบริเวณรอบๆเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตกับมนุษย์ หลังจากอยู่มาสักพักพันวังจึงเริ่มเคยชินกับสภาพนี้
   ทองดีนั่งชันเข่าอยู่บนแคร่ด้านล่าง
กำลังเด็ดดอกแคเตรียมมื่อเย็น
   “เรียกข้าซะเสียงดัง  จะว่ากระไรรึ?”

   เด็กหนุ่มพุ่งตรงไปหา  แล้วนั่งคุกเข่าฝั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ข้าจะถามว่า..เย็นนี้มีอะไรกินบ้างขอรับ?”
   “ก็มิมีอันใดมากดอก  ก็แค่ผักจิ้มน้ำพริกเท่านั้นเอง”
   “แค่นั้นรึขอรับ?”
   พอเห็นไอ้หนุ่มคะยั้นคยอนัก  ชายวัยกลางจึงได้หมุ่นคิ้วมองด้วยนึกสงสัย  ร้อยวันมันก็ไม่เห็นจะเข้าครัวมาเจ้ากี้เจ้าการเรื่องอาหารการกิน ออกจะเลี้ยงง่ายอยู่ง่ายมาเสียนาน  พอมาวันนี้ดันอยากจะถามขึ้นมาเสียอย่างนั้น
   “รึเจ้าอยากกินอะไรเป็นพิเศษเล่า?”ทองดีถามกลับ

“ข้าจะได้เตรียมไว้ให้”
   “มิใช่เช่นนั้นดอก”
   “แล้วอะไรเล่า  แน่ะ  ยังมาทำตาระริกระรี้มีพิรุธอีก”
   “เอ่อ…ข้า-ข้าคงเริ่มต้นคำถามผิดไป…”
   พันวังคล้ายกำลังอ้ำอึ้ง  เขายิ้มไม่หุบมาตั้งแต่เมื่อสักครู่นี้ด้วยเหตุผลหลายๆประการ   ก่อนจะเอ่ยต่อประโยคมา
   “อ้ายพี่แสนตาให้มาถามน่ะขอรับว่า ข้าวเย็นนี้มีอะไรกินบ้าง?”

   เท่านั้นแหละบรรดาคนที่ได้ยินในบริเวณนั้นถึงกับถลึงตาโต โดยเฉพาะอ้ายทองดีที่แทบจะลุกไปหยิบครกมาแทบไม่ทัน  โดยไร้ซึ่งการสั่งการใดๆอื่นเพิ่มเติม
   “ข้าสิจะไปเด็ดชะอมมาทอดไข่บัดเดี๋ยวนี้”

   “ข้าจะตำเครื่องแกงส้มไว้รอ  เจ้ารีบไปตักน้ำมาเสีย”
   “ปลาตากแห้งนี่ได้ที่รึยังนะ”
   “แล้วไฟเล่า  ใครว่างรีบจุดไฟที”
   เด็กหนุ่มอมยิ้มแก้มปริ  ความเต็มตื้นจนแทบทะลักออกมาจากอกนี่ทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อย ตั้งแต่เมื่อเช้าที่อ้ายพี่แสนตายอมลุกขึ้นจากเตียงเดินมานั่งที่เก้าอี้ ตั้งแต่ที่อ้ายพี่แสนตากินข้าวเช้าข้าวกลางวันจนหมดไม่เหลือสักเม็ด ตั้งแต่ที่เมื่อครู่นี้…อ้ายพี่แสนตาถามคำถามคำนั้นออกมา ให้เขารีบลงมาถามอ้ายพี่ทองดีเสียอีกทีหนึ่ง
   “แล้วท่านจ้าวบอกรึไม่  จะให้เตรียมสำรับเข้าไปฤๅจะกินด้านนอกเล่า”

   “ถึงขั้นนี้แล้ว…ข้าจะทำทุกทางเข็นอ้ายพี่ให้ออกมาจากห้องให้ได้ขอรับ”พันวังว่า  มองท่าทางเปี่ยมสุขของทุกคนด้วยรอยยิ้มกว้าง“เอาแต่อุดอู้คุดคู้อยู่เพียงในห้องคงไม่ดีนัก  ออกมาเปลี่ยนบรรยากาศเสียหน่อยคงจะดีขึ้น”
   “เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าอีกแรง”
   “แน่นอนขอรับ!”
   “อ้ายพันวัง…” ใครคนหนึ่งบอก ตรงเข้ามากอดเขา

“พวกข้าสิขอบใจเจ้ามาก”
   “ร้ายดีเช่นไรอย่างน้อยก็มีเจ้าอยู่ คอยเอาอกเอาใจท่าน”
   “นับแต่ที่อ้ายพันตราเสียไป  หากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกข้าก็มิรู้จะทำเช่นไรเหมือนกัน”
   “ขอบใจเจ้ายิ่งนัก”
   “ไม่เป็นไรดอกอ้ายพี่ทั้งหลาย ข้าสิยินดีนักที่ได้รับใช้อ้ายพี่แสนตา” เขาตอบ จับมืออีกคนอย่างทะนุถนอม

“ถ้านี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าทำได้  ข้าสิเต็มใจนัก”
   “เจ้านี่ช่างเป็นเด็กดีนัก”
   “แล้วจ้าวโคจรจะเสียใจ  ที่ทิ้งเพชรน้ำงามอย่างเจ้าไว้ที่นี่”
   ทุกคนหัวเราะร่วน  ขนาดพันวังยังอมยิ้มออกมาเล็กน้อย  คล้ายกับว่ามีคนปล่อยข่าวเรื่องสัญญาแลกตัวระหว่างเขากับอ้ายแม่หญิงบุหลันเพียงชั่วครู่ชั่ววัน ซึ่งแม้เรื่องนั้นจะเป็นความเท็จทั้งปวง  แต่ก็พอจะคลายความสงสัยของบรรดาจระเข้ที่พำนักที่นี่ไปได้บ้าง
   “ว่าแต่…พวกท่านเห็นอ้ายพี่สหัสบ้างรึไม่ขอรับ? อ้ายพี่แสนตาถามหาเช่นกัน”

   “อ้ายสหัสน่ะรึ?  ออกไปสำรวจตั้งแต่สองสามวันที่แล้ว  ยังมิได้กลับมาเลย”
   “ชะอ้าว”
   หัวใจแทบจะหล่นไปกองที่ตาตุ่ม   เขานึกถึงคำที่อ้ายสหัสพูดเมื่อวันก่อน..ความว่ามนุษย์ช่างอันตรายนัก..
   “เกิดเหตุร้ายอันใดขึ้นรึเปล่าขอรับ?”

   “มิเป็นไรดอก  มันสิส่งคนมาบอกเราแล้วว่าจะประจำการอยู่ตรงนั้นสักอาทิตย์สักเดือน มิต้องเป็นห่วงไป”
   “แล้วข้าจักบอกอ้ายพี่แสนตาว่าเช่นไรดี?”
   “ก็เพ็จทูลไปตามตรงนั่นแล”
   “มิมีเหตุร้ายใดเกิดขึ้นดอก  อ้ายพันวัง…พระแม่คงคาสิเฝ้าคุ้มครองพวกเราอยู่”
   รอยยิ้มของอ้ายทองดีทำให้คนฟังยิ้มตาม และเป็นเช่นนั้นจริงๆ…
   เคยมีนิทานเรื่องหนึ่งเล่าว่า ในดวงใจของจระเข้ทุกดวงเต็มไปด้วยธารน้ำใส  ที่พระแม่คงคาเป็นผู้ให้กำเนิดมาแต่กาลก่อน  ปั้นร่างจากเม็ดดินละเอียด…และใส่จิตวิญญาณของสายน้ำลงไป  เช่นสักวันร่างกายนี้ก็จะเน่าเปื่อยลง

สู่ดิน  มีเพียงดวงใจเท่านั้นที่กลับคืนสู่ห้วงธารา   นั่นคือชาวเรา…ที่เป็นหนึ่งเดียวกับสายน้ำ
   ...ที่ทั้งได้รับการคุ้มครอง…และปกป้องมันเรื่อยมา…

   มิช้านานนักขบวนอาหารมากมายก่ายกองประหนึ่งมีงานเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่ก็ถูกลำเลียงไปให้ถึงศาลาริมน้ำ บ่าวไพร่นั่งเฝ้ารับตั้งแต่หัวกระไดเลียบไปจนตามทาง  พอได้เวลาจ้าวบ้านหนุ่มจึงปรากฏตัว  เคียงคู่มากับคนงามต่างเมืองที่เกาะแขนพยุงเดินมาจนถึงตั่งนั่ง
   ยามเย็นที่พระอาทิตย์สีแดงก่ำใกล้จะหลุบหายเข้าหมู่ไม้ช่างงดงามนัก ม่านฟ้าที่เคยเป็นสีครามยามกลางวันเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงอ่อนๆไล่ขึ้นไปจากเส้นขอบฟ้า เสียงนกเพรียกร้องเรียกหากันกลับรังเป็นฝูงใหญ่  โดยที่ใคร

ต่อใครคงทึกทักเอาเองว่าบรรยากาศระรื่นตาเช่นนี้ช่างเป็นใจให้จ้าวแสนตานัก
   “อ้ายพี่สิกินเข้าไปเยอะๆ”
   “อื้อๆ”
   “แกงส้มชะอมทอดนี้รสดีนัก  กุ้งก็ตัวโต๊โต”
   “อื้อๆ”
   “ฤๅจะปลาจาระเม็ดทอดนี่ก็ได้ มาเถิด  ข้าตักให้”
   “อื้อๆ”
   “อ้ายพี่กินอีกสิ  กินเยอะๆนะขอรับ”
   “เอ๊ะเจ้านี่”เสียงทุ้มว่า

“ช้าๆก็ได้…เยอะขนาดนี้ข้ากินไม่หมดหรอก”
   “เอ้า!  หากอ้ายพี่กินไม่หมดแล้วจะมีเรี่ยวแรงไปทำสิ่งใดได้เล่า”
   คนฟังลอบยิ้มบาง

“แล้ว ‘สิ่งใด’ ที่เจ้าว่าน่ะ…มีนัยอันใดรึเปล่าล่ะ?”
   คู่สนทนาหมุ่นคิ้ว  ฟาดป้าบไปเสียที
   “อ้ายพี่นี่พูดอะไรมิอายฟ้าดิน หรือต่อให้มิอายฟ้าดินก็อายพวกอ้ายพี่คนอื่นที่นั่งอยู่นี่บ้างสิ!”

   บรรดาบ่าวไพร่ที่นั่งเรียงอยู่โดยรอบพากันหัวเราะคิกคักประกอบฉาก คนถูกค่อนแคะหมุ่นคิ้ว  เพ่งสายตามองไปยังจระเข้น้อยใหญ่ที่แอบมานั่งจ้องยามที่ตนรับประทานอาหาร เลยชี้หน้าเป็นเชิงบอกให้หยุดหัวเราะกันสักที  ซึ่งก็ไม่มีผู้ใดทำตามเสียเท่าไหร่   เลยว่าไปตามเรื่อง
   “แล้วพวกเจ้าเล่ามิมีกิจอันใดไปทำรึ มานั่งจ้องข้าแดกข้าวอยู่ได้”

   อ้ายทองดีแสร้งทำเป็นประนมมือเทอดเกล้า แล้วว่า

“กิจของพวกข้าก็คือดูแลความเป็นอยู่ของท่านจ้าวเนี่ยแหละขอรับ ใยจะไปไหนได้”
   “อ้ายทองดี…”
   “ขอรับ?”
   “ฤๅยังไม่ไสหัวไปอีก  เดี๋ยวจะโดนตีน……แค่ก!”
   อาการไอเช่นนั้นทำเอาทุกคนตกใจนัก บ่าวหลายคนพากันวิ่งไปแย่งกระโถนมาบริการถึงที่  ส่วนท่านจ้าวผู้แสนดีก็โบกมือควับ  แทบจะสะบัดตีนยันหน้าทุกผู้
   “แค่กๆ! ไปได้แล้วไป”

   “ท่านจ้าวเป็นอะไรรึเปล่าขอรับ?”
   “เพียงอาหารติดคอเท่านั้น  ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้”
   “ค่อยยังชั่วหน่อย…”
   แสนตาหมุ่นคิ้ว

“บ๊ะ  ยังไม่รีบไปอีก! ดูแลข้าแค่น้องพันวังคนเดียวก็เพียงพอแล้วมิใช่รึ!”
   “เอ้า  ฉไนจึงปฏิเสธความหวังดีพวกข้าเช่นนั้นเล่า”
   “พวกข้าเพียงมาดูให้เห็นกับตา ว่าจ้าวแสนตาผู้ยิ่งใหญ่ของพวกข้ายังมีชีวิตอยู่ดีน่ะขอรับ”
   “อ้ายนี่  ริมาสาปแช่งข้า…..”
   เท่านั้นแหละอ้ายพี่ทองดีเลยลุกพรวด

“เอ้าพวกเรา  จะชักช้าอยู่ใย รีบไปได้แล้วไป  อาหารเย็นของพวกเราอยู่ที่เรือนบ่าวกระนู้นโน่น”
   ฝูงจระเข้พากันหัวเราะคิกคักไม่หยุด แต่ก็ยอมลุกขึ้นทยอยเดินจากไปดั่งที่หัวหน้าฝ่ายตนเองว่า แม้คนมองจะหงุดหงิดใจที่สั่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง  ก็มิอาจเอ่ยด่าไปมากกว่านั้นได้  ด้วยรู้ว่าไอ้บรรดาที่มันมานั่งจ้องหน้าดูเขาเนี่ยเพราะเป็นห่วงด้วยกันทั้งนั้น
   “..ทำเป็นเปลี่ยนเรื่องนะ  อ้ายพวกนี้” จ้าวแสนตาหันมาบ่นอิดออดในลำคอ เบือนสายตาไปมองคนดีที่นั่งอยู่

เคียงกาย

“เอ๊ะเจ้านี่  ยังมิวายล้อเลียนข้าเช่นเดียวกับไอ้พวกนั้นอีกรึ?”
   “อะไรรึ?  ข้ามิได้ล้อเลียนท่านสักหน่อย!”
   “แล้วไอ้ที่อมยิ้มจนแก้มตุ่ยอยู่นี่มันกระไรกันเล่า”
   “อย่างน้อยก็มิได้มีเจตนา..”
   “…ชิชะ  เดี๋ยวข้าจะคิดบัญชีทบต้นทบดอกเสียให้เข็ด”
   “บัญชีกระไรเล่า  ก่อนหน้านั้นท่านกินอาหารดื่มยาให้แข็งแรงก่อนดีกว่าไหม” พันวังว่า  สุรเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “ไว้ถึงตอนนั้นจะคิดบัญชีเช่นไรกับข้าก็ย่อมได้”
   ชายหนุ่มชะงัก  ทอดสายตาหวานลึกมองมา

“จริงรึ?”
   “จริงสิ”
   “เช่นนั้นก็เตรียมใจไว้ได้เลย”
   “หายดีแข็งแรงให้ได้ก่อนเถิด”
   “อย่าได้ท้าข้าเชียว  เพียงช้ำรักเท่านี้มิถึงตายดอก”
   เด็กหนุ่มระบายยิ้มกว้าง  ยกมือถูที่ข้างแก้มแก้เขิน  พิจมองร่างสูงตรงหน้าที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวอีกครั้งหนึ่ง
   จริงอยู่ที่อ้ายพี่แสนตาของตนอารมณ์ดีมากพอจะออกมาเดินข้างนอกได้เป็นครั้งแรกของเดือน แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าชายหนุ่มอยู่ในสภาพอาการที่ดีมากนัก ผิวเข้มที่เคยมีสเน่ห์ร้อนแรงยามต้องแสงตะวันกลายเป็น

ซีดเซียว  ทั้งร่างกายใหญ่โตยังดูผอมโซลงไปเสียมากนัก กว่าจะฟื้นฟูทุกอย่างให้กลับมาเป็นสภาพเดิมได้คงเสียเวลามิใช่น้อย
   แต่ก็มิใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไรขนาดทำไม่ได้ เพียงแค่ครั้งนี้อ้ายพี่แสนตายอมขยับตัวจากอาการซึมเศร้าบ้างก็เป็นความก้าวหน้าขั้นหนึ่งแล้ว…เพียงดวงตาคมคายที่ยังมีประกายสดใสนั่น…ก็เพียงพอแล้ว…

   …เพียงได้มองอีกคนที่ยังมีรอยยิ้มอยู่เช่นตอนนี้…เท่านั้น ‘ดวงใจ’ ก็สุขมากเกินพอแล้ว…
   …แต่ความสุขกลับอยู่ได้เพียงไม่นานนัก…
   เด็กหนุ่มปรือตาขึ้นอีกครั้งเมื่อสัมผัสได้ว่าอีกคนขยับตัว ค่อยเลื่อนศีรษะกลมมนให้นอนหนุนที่หมอนนุ่มแทนแผ่นอกกว้าง กับไออุ่นที่ละออกไปแทบจะในทันที
   ร่างโปร่งปรือตามองคนข้างๆที่เคลื่อนกายลุกขึ้นจากเตียงในความมืดมิด เพียงแสงจันทร์ที่ส่องเล็ดลอดม่านผืนบางเข้ามาเท่านั้นที่พอจะให้เห็นเค้าร่างสูงใหญ่นั่งอยู่เช่นนั้นสักพักหนึ่ง
ถึงจะยอมลุกขึ้นยืนตั้งท่าจะเดินไปถึงบานประตู
   “อ้ายพี่แสนตา..?”

   ในที่สุดเขาก็เอ่ยทักออกไปจนได้
   เจ้าของนามสะดุ้งเล็กน้อย  เบือนดวงเนตรสีอำพันมาสบ…เป็นดวงตาที่เจิดจ้าในความมืดจนน่ากลัว
ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นกระแสอ่อนโยนอย่างรวดเร็ว
   ชายหนุ่มขยับตัวกลับมานั่งที่เตียงอีกครั้ง
ลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ
   “ข้าทำให้เจ้าตื่นกระนั้นรึ?”

   อีกฝ่ายยกมือขยี้ตา  ดันกายให้ลุกขึ้นนั่งโดยไม่ได้ตอบคำถามนั้น

“จะไปไหนรึขอรับ?”
   “เปล่าหรอก  ข้าเพียงได้ยินเสียงประหลาดเท่านั้น”
   เด็กหนุ่มหมุ่นคิ้ว  เงี่ยหูฟังดั่งคำว่า…แต่มิได้ยินเสียงใด
   “…อาจจะไม่มีอะไรก็ได้  มิต้องกังวลนัก” กลีบปากหยักจุมพิตที่หน้าผาก

“..หลับเถิดแก้วตา”
   “ไม่เอา” พันวังส่ายหน้าหวือ

“อ้ายพี่แสนตาไปไหน  ข้าจักไปกับท่านด้วย”
   “แต่…”
   ว่าแล้วก็รีบหยิบยกคำอ้าง

“ตื่นขึ้นมาแล้วก็หลับมิลงดอกขอรับ  หากมิมีสิ่งใดจริง…จึงถือว่าเดินเล่นชมจันทร์กับอ้ายพี่ มิเสียเปล่าสักหน่อย”
   รอยยิ้มกว้างประทับอยู่ในอกคนมองให้ชุ่มชื่นหัวใจนัก ก่อนคนตัวเล็กกว่าจะพลิกกายลุกขึ้นจากเตียง  เหนี่ยวแขนแกร่งให้ลุกตามเพื่อเดินออกไปสูดกลิ่นดอกแก้วและบรรยากาศยามราตรีที่ภายนอก
   ดวงตากลมโตสอดส่ายมองไปรอบด้าน เพื่อสำรวจหาต้นตอ ‘เสียงประหลาด’ ดั่งที่อ้ายพี่ของตนว่า  แต่พิจมองรอบตัวเท่าใดก็เห็นเพียงความมืดสลัวนัก นอกจากพวกเขาสองคนแล้วแทบไม่เห็นเงาร่างของสิ่งใด  
แม้ตะเกียงน้ำมันก็ยังจุดเพียงบางหัวเรือนเอกเท่านั้น
   “นั่นประไร  มิเห็นมีสิ่งใดมากวนอ้ายพี่เลย กังวลไปใยเล่า”

   เด็กหนุ่มว่า  แต่เมื่อเงยหน้ามองคนข้างตัวถึงได้ชะงัก
   
เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ทำสีหน้าโล่งอกหรือสบายใจแบบที่ตัวเองกำลังทำอยู่เลยสักนิด
   เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่นจนแทบเป็นเส้นเดียว ทุกเส้นประสาทตึงเขม็งจนจับเส้นขึ้นที่ขมับ  ดวงตาสีอำพันวาวโรจน์จ้องเขม็งไปยังตลิ่งด้านล่าง  
ก่อนร่างสูงจะรุดเดินไปที่หัวกระได
   “อ้ายพี่?”

   วินาทีนั้นพันวังนึกกลัวนัก  แต่ไอ้ครั้นจะให้เดินหนีไปก็ใช่ที
   “อ้ายพี่แสนตา  มีอะไรรึขอรับ?”

   ชายหนุ่มเบือนสายตามาสบ  แผ่นอกกว้างกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะหายใจที่รุนแรงนัก  ดวงตาคู่นั้นกำลังสั่นเทาด้วยใช้ความคิดหนัก  ก่อนจะรุดตรงไปยังฆ้องใหญ่หน้าเรือนเพื่อตีป่าวปลุกบรรดาจระเข้น้อยใหญ่ให้คืนสติในความมืดมิด
   คนตัวเล็กยกมือปิดหูโดยพลัน  
ด้วยไม่เคยได้ยินจังหวะฆ้องที่รุนแรงเช่นนี้
   “….อ้ายพี่…..”

   “สถานการณ์มิสู้ดีนัก  เจ้าสิหลบไปอยู่ที่ยุ้งข้าวด้านหลังก่อน”
   “แต่อ้ายพี่แสนตา…”
   “นี่เป็นคำสั่ง  เจ้าได้ยินชัดรึไม่!?”
   คำตะคอกจนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง  เขารู้สึกได้ถึงริมฝีปากสั่นเทาของตัวเอง  จึงพยักหน้ารับ..แล้วกลับหลังหันวิ่งออกไปตามคำสั่งจ้าว
   …เกิดอะไรขึ้น…?

   …ใยอ้ายพี่แสนตาจึงได้ร้อนรนเช่นนั้นกันเล่า…?
   ร่างโปร่งวิ่งทั่กๆลงกระไดที่ด้านหลัง ก่อนมองลอดใต้ถุนเรือนไปยังเรือนบ่าวด้านหน้า  คบเพลิงมากมายถูกจุดขึ้นจนสว่างจ้าพร้อมเสียงเอ็ดตะโรของบรรดาบ่าวไพร่ที่กรูกันออกมาจากเรือนใหญ่ เขาเงี่ยหูฟัง  พยายามแปรกระแสเสียงอื้ออึ้งเหล่านั้นเพื่อจับความ…แต่ไม่ได้อะไรสักนิด
   หัวใจที่เต้นอยู่กลางอกดังระรัวเหมือนกลองจนต้องยกมือกดมันเอาไว้  เรียวขาที่ก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆก็คล้ายจะสิ้นเรี่ยวแรง เด็กหนุ่มเม้มปากแน่น  
กลืนน้ำลาย..ก่อนจะหันหลังกลับไปมุ่งหน้าสู่ยุ้งข้าวที่ตั้งอยู่แยกออกไป
   
พลั่ก!
   เพราะรีบร้อนนักจึงสะดุดล้มไม่เป็นท่า เนื้อตัวเปื้อนดินเพียงเล็กน้อยไม่เท่ากับแผลถลอกที่หัวเข่า พันวังกลั้นน้ำตาลุกขึ้นมาอีกครั้ง  
แล้วตรงไปขึ้นกระไดยุ้งฉาง
   ด้วยขั้นบันไดที่ชันกว่าเรือนใหญ่นักกอปรกับความลนลานทำให้เขาแทบจะล้มเสียได้ตลอดเวลา เมื่อปีนป่ายขึ้นมาถึงขั้นสุดท้ายถึงได้มองย้อนกลับไปอีกครั้งหนึ่ง..จากจุดนี้ทัศนียภาพยามค่ำคืนถูกเงาเรือนบดบังเสียสิ้น
แทบไม่เห็นสิ่งใดนอกจากแสงไฟสุมลึกเช่นนั้น
   …อ้ายพี่แสนตา…

   “อึก…”
   เขาเผลอกัดฟันจนเจ็บ  ยินเสียงกรีดร้องโวยวายมาไม่ใกล้ไม่ไกล  เขาไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงสิ่งนั้นไม่ใคร่จะดีนัก   และรู้เพียงว่า..บัดนี้เขาอยู่คนเดียว...
   “ข้าแต่พระแม่คงคา….” สิบนิ้วยกขึ้นประนม  เทอดอยู่เหนือศีรษะ

“โปรดอย่าให้มีเรื่องร้ายๆใดๆเกิดขึ้นอีกเลย…โปรดอย่าให้ชาวเราต้องบาดเจ็บล้มตายกันอีกเลย  ได้โปรดเถิด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย…ได้โปรดเถิด”
   …เราก็แค่…อยากอยู่อย่างสงบเพียงแค่นั้น…แค่อยากมีชีวิตอยู่เพียงเท่านั้น…
   เขาสัมผัสได้ถึงหยาดน้ำตาที่รินไหลลงมาอาบแก้ม  และแรงสะดุ้งทุกครั้งที่ได้ยินเสียงดังเปรี้ยงปร้าง
   เมื่อเงยหน้ามองฟ้า  เมฆดำครึ้มเข้าปกคลุมผืนนภากว้าง…จากเมื่อครู่ที่ดวงจันทร์กลมโตเคยส่องสว่าง
ทำได้เพียงส่องแสงจากๆอยู่แง้มกลีบเมฆ
   
ในที่สุดเด็กหนุ่มก็มิอาจกลั้นน้ำตาที่เกิดจากความกลัวนี้ได้เลย
   พันวังร่ำไห้จนร่างกายสะอึกสะอื้นนัก บางทีอาจจะมากกว่ายามที่ตนร้องไห้ครั้งก่อนเสียอีก  เขานึกถึงภาพของจ้าวโคจรกับแม่หญิงบุหลันในคืนแต่งงานนั่น  ก่อนจะย้อนนึกกลับมาถึงภาพของอ้ายพี่แสนตาของตน  นึกย้อนกลับถึงยามที่ได้รับสัมผัสอบอุ่นและอ้อมกอดอ่อนโยนของคนทั้งคู่
นึกถึงเหตุผลที่น้ำตานี้รินไหลซ้ำแล้วซ้ำเล่า
   ‘ความกลัว’

   …มันไม่ใช่เพียงแค่นั้น ….คือความกลัว…ที่จะสูญเสียคนสำคัญไปตลอดกาล
   นานแสนนาน..กว่าดวงใจที่เต้นระรัวนี้จะสงบลง กว่าที่น้ำตาจะแห้งเหือดไปอย่างไร้เหตุผล  
กว่าที่จะควบคุมลมหายใจของตัวเองไม่ให้ติดขัดได้
   เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวเข่า แผลถลอกทำให้เลือดซึมไหลออกมาไม่น้อย  แต่กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งนี่ก็กลบไปได้แทบทุกอารมณ์ความรู้สึก เขาคลานออกมาจากที่ซ่อนตัว  ชะโงกหน้ามองออกไปยังด้านหน้าเรือนที่ค่อยสงบลงอย่างช้าๆ จึงตัดสินใจปีนลงจากยุ้งข้าว  
แล้ววิ่งกลับไปทางเดิม
   เขาได้กลิ่นเลือดลอยมาตามคุ้งน้ำ กลิ่นที่ไม่คุ้นเคยเจือปนอยู่ด้วย  
บางทีอาจจะเป็นกลิ่นของพวกมนุษย์
   …นั่นเป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่า ‘สงคราม’
คืออะไร
   พันวังกลับเข้าไปที่เรือนใหญ่
สองข้างแก้มยังเต็มด้วยรอยน้ำตา
   ท่ามกลางกลุ่มหนึ่งที่เป็นครึ่งคนครึ่งจระเข้ กับอีกกลุ่มหนึ่งที่กลายร่างเป็นจระเข้เสียเต็มตัวแหวกว่ายอยู่ใน

ท้องน้ำ  ดวงตากลมโตสอดส่ายหาร่างที่คุ้นเคย เด็กหนุ่มมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องไม่เป็นไร
   …
ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่นานก็หาพบ
   “อ้ายพี่แสนตา!”

   เขาวิ่งลงขั้นกระได  ตรงเข้าไปหาร่างสูงที่เดินซัดเซมาจากซากปรักหักพังที่เคยเป็นศาลาท่าน้ำ แขนข้างหนึ่งเปียกน้ำจนแปลงเป็นเกล็ดมาถึงหัวไหล่
   …เพียงแขนอีกข้างหนึ่งซึ่งพาดรอยบาดลึก
ปล่อยให้เลือดไหลซึมจงท่วมไปทั้งแขน
   “อ้ายพี่แสนตา  อ้ายพี่แสนตา”

   คนตัวเล็กสอดกายเข้าไปประคองเจ้าของนาม พร่ำเรียกชื่ออีกคนปากสั่นมือสั่นไปเสียหมด  ปล่อยหยาดน้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง…แต่คนมองกลับส่งยิ้มอ่อนๆให้ แล้วใช้มือข้างที่ไม่ได้เจ็บปาดเกล็ดน้ำตาออกให้เสีย
   “น้องพันวัง  เจ้าสิมิเป็นไรนะ?”

   “ขอรับ” อีกฝ่ายสูดลมหายใจ พยุงคนเจ็บไปนอนที่แคร่ใต้ถุนบ้าน

“ข้าไม่เป็นไร  อ้ายพี่เล่า…โปรดรอประเดี๋ยวก่อน  ประเดี๋ยวก่อนเพียงเท่านั้น ข้าจักนำยามาทาให้”
   “ใจเย็นๆก่อน  ข้ามิเป็นไรดอก”
   “แต่…แต่เลือด…”
   “แผลแค่นี้คงมิทำให้ถึงตาย  เพียงดูสาหัสนัก”
   ชายหนุ่มระบายยิ้มเอ็นดู
   “ก่อนอื่นเจ้าสิควรสงบอารมณ์เสีย ตื่นตระหนักเช่นนี้จะทายาให้ข้าได้เช่นไรเล่า”

   แม้จะร้องไห้เสียหนักนัก  แต่เด็กหนุ่มก็พยักหน้า
   บ่าวรับใช้นายหนึ่งก็นำยาและผ้าสะอาดมาให้ พันวังก็ก้มหน้าก้มตาทำแผลเสียให้ง่วน  ทั้งที่ตนเองก็ยังหายใจหายคอไม่ปกตินัก สองมือสั่นเทาจนเบามือไม่เป็น  กระนั้นคนเจ็บก็ไม่ได้ว่ากระไร มิได้แหกปากกรีดร้องให้ยุ่งยาก

มากความ  ทำเพียงแค่ส่งทอดสายตาเอ็นดูมอง แล้วยิ้มบางเท่านั้น
   ไม่นานท่านจ้าวจึงโบกมือเรียกให้บรรดาขุนพลต่างๆมานั่งประชุมกันเสีย ทั้งที่ยังพันแผลไม่เสร็จดีนัก…
พันวังจึงได้นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย
   “เราเสียอ้ายสหัสไปกับการโจมตีครั้งนี้ นอกเหนือจากนั้นมีผู้ใดอีกเล่า”

   “ข้าสิเร่งนับจำนวนและพยาบาลคนเจ็บอยู่ ค่ายที่ต้นน้ำคงแตกไม่มีชิ้นดี”
   “เคราะห์ร้ายของอ้ายสหัสนักแล”
   “ถึงกระนั้นมันยังทำความชอบไว้” จ้าวแสนตากล่าว

“หากมิได้มันที่เป่าแตรสัญญาณเตือนมาแต่ไกล เราคงจะพ่ายศึกนี้เป็นแม่นมั่น”
   “แล้วเราจักทำอย่างไรกันดีขอรับ?”
   “นั่นสิ  ยามนี้อ้ายพวกมนุษย์รู้ตัวแล้ว พวกที่หนีรอดคงกลับไปเตรียมแผนการ”
   “ช้าเร็วคงเร่งบุกมาอีก  ถึงยามนั้นทางเราคงรับมือไม่ไหว”
   “ฤๅจะต้องยอมเสียเรือนนี้ไปอีกเล่า”
   “ท่านจ้าวขอรับ”
   คำนั้นทำให้ทุกคนในบริเวณเงียบเสียงลงเป็นแถบ เพื่อรอฟังคำพูดจากนายเหนือหัวเพียงผู้เดียว
   คนถูกเรียกนิ่งเงียบไปนาน…นานมากพอที่พันวังจะผูกปมสุดท้ายเสร็จแล้วผละออกมานั่งคุกเข่าเฝ้าอยู่ห่างๆ

ชายหนุ่มมีสีหน้าวิตกนัก  แต่บรรดาบ่าวรับใช้ทั้งหลายก็มิต่างกัน
   “เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”

   จ้าวแสนตากล่าวในที่สุด  บ่าวหนึ่งจึงชิงพูดก่อน
   “ถ้ามิเช่นนั้น  เราอาจจะตายกันยกเรือนนะขอรับ”

   “โปรดทบทวนดูใหม่”
   “ข้ามิปล่อยให้ตายทั้งเรือนดอก พวกเจ้าสิไปเก็บข้าวของซะ” คำสั่งนั้นทำให้ทุกคนเงียบลงทันที

“เตรียมพาพลพรรคจำนวนหนึ่งอพยพไปยังเมืองพิจิตร ฝ่ายนั้นยังมีไมตรีต่อกันอยู่  คงยินยอมรับพวกเจ้าให้พำนักพักพิงเป็นแน่”
   “แล้ว…แล้วท่านจ้าวเล่าขอรับ?”
   “ข้าสิอยู่เป็นเมืองหน้าด่าน หากไม่มีใครอยู่เลยพวกนั้นคงได้ตามร่องรอยไปถึงเมืองสระหลวง ถึงตอนนั้นคงได้ตายห่ากันหมดจริงดั่งปากเจ้าว่า”
   “ถ้าเช่นนั้นข้าจักอยู่เอง” นายหนึ่งกล่าวขึ้นมา

“ท่านจ้าวสิเร่งเตรียมตัวเดินทางเสีย”
   “ใช่ขอรับ  พวกข้าสิจะอยู่เอง”
   “เจ้าจะขัดคำสั่งข้ากระนั้นรึ?”
   “ท่านจ้าว…”
   “อย่าดื้อดึงไปเลยขอรับ  เทียบชีวิตพวกข้ากับท่านยังมิได้  ฉะนั้น….”
   จ้าวหนุ่มส่ายหน้า  มิใช่เพียงแค่อยากปกป้องพวกพ้องแค่นั้น  หากความเจ็บปวดเบื้องลึกที่ยังปักฝังอยู่ภายในอกนี้…ทำให้ดวงตาคู่คมเผลอทอดมองออกไปไกลแสนไกล
   “…หากต้องตาย  ข้าจักยอมตายอยู่ที่นี่”

   …เพียงทิฐินี้เท่านั้น…เพียงมิปรารถนา…จะพบหน้าใครบางคนเท่านั้น…

-๑๐-
   ขบวนลำเรือเตรียมอพยพถูกจัดเตรียมขึ้นอย่างเร่งด่วนอีกครั้งหนึ่งตอนเช้ามืด เหล่าจระเข้แทบทุกตัวเก็บข้าวของด้วยใบหน้าเศร้าหมองและอิดโรยนัก มีเพียงกลุ่มหนึ่งที่อาสาจะอยู่ยั้งเฝ้าเรือนนี้  หากโชคดีสถานการณ์สงบลงจึงจะตามเผ่าพันธุ์กลับมาดังเดิม
   …
และพันวังเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
   
แม้ว่าจะมีปากเสียงกับจ้าวแสนตาไม่น้อยเลยก็ตาม
   “เจ้าไปเสีย!”

   “ข้าไม่ไป!”
   “เด็กดื้อ!”สุรเสียงแหบทุ้มร้องลั่น ตรงไปเก็บข้าวของอีกคนยัดใส่ถุงย่ามแบบรวกๆ “รีบไปเสีย ก่อนจะไม่มีโอกาส”
   “ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น”
   “พันวัง”
   “ข้าจะอยู่ที่นี่  หากต้องตาย…จักตายกับอ้ายพี่”
   ชายหนุ่มยกมือลูบหน้า “ข้าสั่งให้เจ้าไปเสีย”
   “ข้าไม่ไป!”
   “เจ้ามิเชื่อฟังข้ารึ!?”
   “หากข้ามิเชื่อฟังแล้วท่านจะทำเช่นไรรึ? จะเฆี่ยมตีหรือประหารข้าเล่า?” ดวงหน้าน่ารักเชิดขึ้นอย่างรู้หน้าที่ ก่อนจะเอ่ยคำต่อ

“ถ้าเช่นนั้นก็มาเลย…ข้ามิกลัวดอก”
   คำท้าทายเช่นนั้นหากไม่ได้เอ่ยออกมาจากคนตัวเล็กก็ไม่รู้เลยว่าจะเป็นเช่นไร หากเป็นบ่าวคงอื่นคงไม่ยากที่จะจับเฆี่ยนตีดั่งคำนั้นว่า อีกฝ่ายยกมือลูบหน้าอีกครั้งด้วยปลงในสถานการณ์  เขาลุกขึ้นปล่อยให้ถุงย่ามสีเข้มตกลง

กองที่พื้น  แล้วเดินกลับเข้ามาหาเจ้าตัวดีที่ถอยหลังกรูด ตรงไปกอดเสาเตียงไม่ยอมปล่อย
   “ท่าน…ต่อให้ท่านใช้กำลังข้าก็ไม่ไปไหน”

   มือเล็กกอดเสาเตียงแน่น  ใช้ดวงตากลมโตจ้องมองตรงมา
   “เอาดาบเอาหอกมาแทงข้าเสีย  แล้วลากศพข้าขึ้นเรือก็แล้วกัน”

   คนฟังยกมือก่ายหน้าผาก

“เจ้าไปเอาคำเปรียบเปรยเช่นนั้นมาจากไหนกันน่ะ…”
   “ข้าแค่จะบอกว่าข้าไม่ไป”
   “เจ้าก็เห็น…อยู่ที่นี่อันตรายนัก”ร่างสูงใหญ่เอ่ยเสียงเบา  ทิ้งตัวนั่งลงที่ข้างตัวก่อนเอื้อมมือไปรั้งเอวบางมานั่งที่ตัก“หากวันนั้นเจ้าดื้อกว่านี้  รั้นจะอยู่ข้างกายข้ายามรบมิยอมไปหลบซ่อนตัว ข้าก็มิรู้จะปกป้องเจ้าได้รึไม่”
   มือกร้านเกลี่ยแตะที่ข้างแก้มแผ่วเบาคล้ายกำลังสัมผัสประติมากรรมแก้วละเอียด เด็กหนุ่มเอียงหน้ารับเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสนั้น…ก่อนริมฝีปากหยักจะกดทบแนบลงมา  แล้วเกลี่ยรสจูบหอมหวานจนร่างกายร้อนผ่าวอีกครา
   “…ข้าจะอยู่กับอ้ายพี่” เสียงหวานกล่าวออดอ้อน

“ได้โปรด  ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
   “เจ้านี่ช่างดื้อนัก”
   “ข้าสิดื้อได้มากกว่านี้อีก”
   “ให้ตายสิ…”
   “ได้โปรด…อย่าไล่ให้ข้าไปไหน”
   ร่างโปร่งกระซิบบอกแผ่วเบา  กอดเกี่ยวอีกคนไว้แน่น
   “หากท่านปล่อยข้าไป  จะกี่ร้อยกี่พันหนข้าก็จะกลับมา”

   น้ำคำนั้นหวานนัก  จนอีกฝ่ายอดจะปรือตามองยอดรักของตนมิได้  ความดื้อรั้นของคนตรงหน้าก็เขาเองเนี่ยแหละที่รู้ดียิ่งกว่าใคร
   “ดวงใจข้า…”

   ชายหนุ่มกระซิบเสียงพร่า  บดจุมพิตลงที่ริมฝีปากนุ่มอีกครั้ง
   “…หากเจ้าเป็นอะไรไป…ข้าคงมิต่างจากตายทั้งเป็น…”

   “อ้ายพี่แสนตา…”
   ครึ่งหนึ่งของทั้งหมดคืออาการใจอ่อนยวบ อีกครึ่งหนึ่งคือความปรารถนาจากส่วนลึกของจิตใจ
   ด้วยไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม  ร้ายดีเพียงไรก็ตาม  หากเพียงอีกคนยืนอยู่เคียงข้างจวบจนลมหายใจสุดท้ายเท่านั้น

ก็เกินพอ  แต่กว่าครึ่งนั้นก็เจ็บปวดนักยามนึกถึงภาพคนรักถูกสังหารด้วยน้ำมือมนุษย์ใจหยาบช้าพวกนั้น
   …ดวงใจจึงจะแหลกลงเสียให้ได้…

   “ตอนนี้เจ้าจักอยู่ที่นี่ก็ตามแต่ใจเจ้า หากถึงยามนั้น…โปรดฟังข้า  ไม่ว่าข้าจะสั่งอะไรก็ตาม”
   “เพียงไม่ไล่ข้าไปให้พ้นตา  ข้าจักทำตามที่อ้ายพี่ปรารถนาทุกประการ”
   “ที่นี่ต่างหากบ้านเดิมเจ้านัก” ดวงหน้าคมคายละออกไป  ประคองสะโพกมนให้นั่งหนัดบนตักแต่ดี

“เต็มไปด้วยสงครามสู้รบฆ่าฟัน  ข้ามิอาจนึกภาพยามเจ้าเผชิญหน้ากับศัตรูได้เลย”
   “อ้ายพี่สิดูถูกข้านัก  อยู่บ้านโน้นวิชาดาบข้าก็เรียนรู้มาบ้าง”
   คนฟังยกยิ้มนิดๆ

“จริงรึ?”
   “จริงสิ  ถึงจะไม่เชี่ยวชาญนักก็คงพอเอาตัวรอดได้บ้าง”
   “งั้นข้าขอชมสักตั้ง”
   “ไม่ได้ดอก” คนตัวเล็กส่ายหน้าหวือ“ข้าสิเก็บไม้ตายไว้ใช้ตอนสุดท้ายน่ะขอรับ”
   “เจ้านี่….ช่างน่าตีนัก”
   เด็กหนุ่มหัวเราะคิกคัก

“คิดตีข้าเท่าไหร่ก็ตามแต่ประสงค์จ้าว  กายข้าเป็นของท่าน  ดวงใจข้าเป็นของท่าน จะต้มยำทำแกงเช่นไรขอเพียงได้อยู่ข้างกายท่านเท่านั้น  ด้วยน้ำมือของท่าน…ข้ามิปรารถนาสิ่งใดอีก”
   ในอกจ้าวแสนตาสั่นไหวนัก  ราวน้ำหนึ่งหยดที่ตกกระทบผิวใจ  เร่งให้ข้างในชุ่มฉ่ำหอมหวาน พันวังช่างเหมือนปาฏิหาริย์นักที่ทำให้เขารู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นนี้
   เขาหยิกจมูกอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว   คนถูกกระทำแสร้งทำเป็นร้องโอดโอย  
ก่อนจะเปลี่ยนมาถาม
   “แล้วใยอ้ายพี่ถึงไม่อพยพไปด้วยเล่า…ยังโกรธเคืองจ้าวพี่โคจรอยู่กระนั้นรึ?”

   คนฟังชะงักเพียงชั่วครู่หนึ่ง ก่อนโคลงศีรษะช้าๆ
   
มิใช่ความโกรธเกลียดแค้นเคือง..
   …
เพียงมิรู้จะทำสีหน้าเช่นไรยามที่เห็นเขาสองคนอยู่ด้วยกันเพียงเท่านั้น
   หากเวลาคือยาที่รักษาได้ทุกบาดแผล แสดงว่าเขาคงยังใช้ยาไม่เพียงพอ  ทั้งที่หมดใจคือให้อภัยแล้วสิ้น หนำซ้ำยังได้สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่ามาครอบครอง  
ไร้เรื่องบาดหมางใดให้รู้สึกคลางแคลงใจ
   กระนั้นอีกฝ่ายเล่าจะเป็นเช่นไร..?

   หลังจากแย่งภรรยาของเพื่อนไป…จะสะดวกใจมากพออย่างนั้นหรือ?
   “ทั้งข้าทั้งเจ้านั้น…คงไม่สะดวกที่จะพบหน้ากันในยามนี้เท่าไหร่” เขาตอบ “ฤๅเจ้าจะเปลี่ยนใจลงเรือเดินทางตามไปก็ย่อมได้  ข้ามิเหนี่ยวรั้งเจ้าไว้ดอก”
   “เหตุใดจึงพูดเช่นนั้นเล่า  ข้าสิบอกกี่ร้อยกี่พันหนแล้วว่าข้าจักอยู่กับท่าน”
   “…ยอดรัก  ข้าแค่เป็นห่วงเจ้าเพียงเท่านั้น”
   “ข้าก็เป็นห่วงท่านมิแพ้กันดอก ทำมาพูดดีไป”
   ดวงใจเจ้ากรรมเต้นโครมครามกระหน่ำยามที่ดวงเนตรทั้งสองเบือนมาสบกัน มือเล็กแตะลงบนแขนแกร่งที่กรำบาดแผลใหญ่อย่างแผ่วเบา  เลื่อนปลายนิ้วขึ้นมาถึงไหล่กว้าง  ก่อนจะสอดมือทั้งสองคล้องลำคออีกคนไว้
   คนตัวเล็กแหงนหน้าประทับริมฝีปากลงบนคางสาก
คลอเคลียอยู่ที่กรามแข็งอยู่นานจนคนถูกกระทำครางฮืมในลำคอ
   “อ้ายพี่แสนตา…”

   เสียงหวานเอื้อนเอ่ยออกไป  สั่นระริกคล้ายเก้อเขินนัก
   “ข้ามีเรื่อง…ที่ต้องบอกท่าน…”

   ชายหนุ่มหลุบตามองพวงแก้มใสที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ ก่อนจูบลงที่ข้างแก้มอย่างเผลอไผล
   “อ้ายพี่…”

   “มีอะไรรึ  ข้าสิฟังอยู่”
   พันวังปรือนัยน์ตาลง  สัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นดังจนคล้ายกับว่าจะหลุดออกจากอกข้างซ้ายของตัวเอง
   …เพียงคำรัก…

   …เพียงคำรักเท่านั้น…
   “อ้ายพี่แสนตา….จริงๆแล้วข้าน่ะ…..”
   ก๊อกๆๆ
   เสียงเคาะประตูที่ดังขัดขึ้นเสียก่อนทำให้ดวงใจเจ้ากรรมแทบจะทะลักออกมาทางปาก เด็กหนุ่มก้มหน้าฉับเคลื่อนตัวลงจากตักของอีกฝ่าย  ส่วนแสนตาน่ะหรือถึงกับตบเข่าฉาดใหญ่  
แล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู
   “มีอะไรรึ?”

   บ่าวคนสนิทกระพริบตาปริบๆมองด้วยสายตามากคำถาม ประการแรกคือเหตุใดนายเหนือหัวของตนจึงได้ทำท่าทางหงุดหงิดนัก แต่ก็ต้องโคลงศีรษะ
   “ข้าแค่จะมาเรียนว่า  พอคุยไปคุยมาแล้วจระเข้ทุกตัวไม่ยอมอพยพน่ะขอรับ”

   “อะไรนะ!?”
   “เอ่อ…คงจะเป็นความผิดข้าเองกระมังขอรับ ที่เผลอหลุดปากบอกไปว่าท่านจ้าวจะไม่ไปกับพวกเขาด้วย”

ทองดีกระอักกระอ่วน  แต่ก็พูดออกมาจนได้

“ข้าก็มิรู้จะพูดเช่นไร  เพราะตัวข้าเองก็มิได้อยากจะจากเรือนจากบ้าน จากนายเหนือหัวของข้าไปด้วย”
   “อ้ายทองดี….!”
   “เฆี่ยนเลยขอรับ  ถ้าหากจะทำให้ข้าอยู่รับใช้ได้ก็เฆี่ยนมาเลยขอรับ!”
   “บ๊ะ!!  ไอ้พวกนี้ จะตนใดๆก็บอกให้ข้าเฆี่ยนทั้งนั้น  ฤๅจะบอกว่าข้าเป็นคนใจร้ายกระนั้นรึ!?”
   “มิได้ขอรับ  ข้าเพียงแค่อยากจะตายที่นี่ มิต้องการเดินทางไปตายที่ใด”
   “อ้ายทองดี!”
   พันวังกระพริบตาปริบๆ  ขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงมาที่ประตูบ้าง
   อ้ายพี่แสนตาของตนมีท่าทางกระวนกระวายนัก เขาทอดมองออกไปเห็นตะวันใกล้จะขึ้นอยู่ลิบตา  ชะรอยจะออกเรือไม่ทันกาล  
จึงเคาะมือกับขอบประตูเพื่อตริตรองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี่อีกสักครั้งหนึ่ง
   ก่อนร่างสูงจะสาวเท้าเดินออกจากเรือนอีกครั้งหนึ่งเพื่อเผชิญหน้ากับบรรดาบ่าวไพร่ของตนที่นั่งคุกเข่าดั่งปูพรมอยู่ที่พื้นด้านล่าง เมื่อหยุดยืนที่หัวกระไดจึงก้มสบตากับทุกผู้ที่ยกสิบนิ้วประนมแนบอก
สบดวงตาสีอำพันสว่างแน่วแน่ไม่บิดเผือนทุกคู่ที่ต้องมองตรงมา
   มันเป็นบรรยากาศที่ไม่มีใครพูดอะไร…
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ
   ด้วยสายตานั้น…เปี่ยมมากกว่าแค่คำว่า‘ภักดี’

  พันวังไม่เคยออกรบมาก่อน   มิใช่เพียงแค่นั้น...แม้แต่คำว่า ‘สงคราม’ เขายังไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำไป

   เด็กหนุ่มเดินวนไปมาที่ใต้ถุนบ้าน ท่ามกลางจระเข้กลุ่มหนึ่งที่นั่งทำข้าวต้มมัดยามยากอยู่ เขาพยายามเร่วิ่งถามเสียตั้งแต่หัววันว่าตนสามารถช่วยสิ่งใดได้บ้าง คำตอบคือไม่เลย  เพราะเขาเองก็ไม่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้

มาก่อน  จึงไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นจากสิ่งใดดี
   เช้าวันนั้นสถานการณ์ปกติดีทุกอย่าง แต่อ้ายทองดีบอกว่ายามพายุจะมีผิวน้ำจะสงบฉันใดก็ฉันนั้น จระเข้บางตัวหลุบนอนพักผ่อนตามเปลญวณ  มิมีใครกล้าแตกฝูงไปทำนา
นอกจากพวกอ้ายพี่แสนตาที่ล่องเรือไปสำรวจค่ายต้นน้ำเสียแต่หัววัน
   แม่น้ำที่เมื่อย่ำรุ่งเพิ่งถูกย้อมด้วยสีแดงละลายจางหายไป
คงเหลือไว้เพียงกลิ่นคาวที่ยังแตะอยู่ปลายจมูกที่ขยี้เช่นไรก็ไม่หาย
   เขารู้ดีว่าหนึ่งในที่มาของกลิ่นน้ำคือจระเข้ฝั่งเราเอง และอดไม่ได้ที่จะนึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นนี้  สิ่งเหล่านั้นตอกย้ำลงไปกับคำถามที่ว่าเหตุใดมนุษย์ถึงโหดร้ายนัก
เมื่อพวกเราเพียงแค่ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่เพียงเท่านั้น
   พันวังเดินออกมายังจุดที่เคยเป็นศาลาริมน้ำ บัดนี้ถูกเพลิงเผาไหม้เหลือเพียงตอตะโกสีดำสนิท  เขาเฝ้าชะโงกหน้าอยู่ตรงท่าเรือกว่าครึ่งวันก็ยังไม่เห็นวี่แววกองเรือสำรวจ ทั้งร้อนกายร้อนใจ  
หากทำได้ก็คงมุดดำกายลงใต้น้ำและแหวกว่ายไปหา
   “เดี๋ยวก็มา” อ้ายทองดีย้ำรอบที่สามล้านเห็นจะได้

“เจ้าจักกังวลไปใย”
   “แต่ข้ากังวลนัก  ครั้งล่าสุดที่ข้าเห็นอ้ายพี่สหัสออกไป  ข้าก็มิได้เห็นเขากลับมา”
   “นั่นคือจ้าวแสนตา  มิใช่อ้ายสหัสเสียหน่อย”
   “ข้าเป็นห่วง…”
   “จ้าวแสนตาแข็งแกร่งนัก  บาดแผลเมื่อวานเพียงเพราะปกป้องชาวเราด้วยกันเอง  ซ้ำอาการชอกช้ำในอก

ยังมิหายดี…แต่มิระคายผิวอันใดให้เจ้าต้องวิตก”
   “แต่…”
   “ท่านจ้าวต้องกลับมาหาเจ้าแน่” ชายวัยกลางกล่าวด้วยรอยยิ้มใคร่รู้นัก

“นั่นเป็นสิ่งที่ท่านปรารถนามากกว่าสิ่งใดทั้งหมด”
   “อ…อ้ายพี่ทองดีพูดอะไรเล่า”
   “เจ้าสิทำมาเขิน  ข้าอยู่มานานมีรึจะไม่รู้”
   “อ้ายพี่ทองดี!”
   “วางใจเถิด  ข้ามิบอกผู้ใดหรอก”คู่สนทนาพยักหน้าอย่างมุ่งมั่น

“เพราะเขารู้กันทั้งเรือนแล้ว”
   “อ้ายพี่ทองดี!”
   “กิริยาเช่นนั้นเก็บไปทำกับท่านจ้าวเถิด ฮ่าๆ”
   ..ปล่อยระเบิดแล้วก็เดินจากไป..
   เด็กหนุ่มยังคงยืนฮึดฮัดอยู่ที่ท่าน้ำ เขาหมุนซ้ายทีขวาทีมองไปรอบๆ  จึงได้ทิ้งตัวนั่งขัดสมาธิลงเช่นนั้น สองมือเท้าคางจ้องมองออกไปที่สุดคุ้งน้ำ  
เฝ้าหวังว่ามิช้านานคงได้เห็นเงาอ้ายพี่ของตนเอง
   
..แต่จวบจนเย็นย่ำก็มิได้กลับมา..
   ค่ำคืนนั้นช่างร้อนระอุนัก  อาจเพราะแสงไฟจากคบเพลิงสว่างจ้ากว่ายามปกติ  จระเข้ทุกตัวมานั่งรวมกันที่

ใต้ถุนเรือน  สีหน้าของทุกคนเปี่ยมไปด้วยหลากหลายความรู้สึก อาจจะเป็นความตื่นกลัว  กระวนกระวาย หรืออาจจะมากกว่านั้น

   การรอคอยสิ่งที่รู้ว่ามันจะเกิด แต่ไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่…คือภาวะกดดันที่ทำให้พันวังนั่งไม่ติด เขากระสับกระส่ายคอยลุกขึ้นจ้องมองไปยังท่าน้ำตลอดเวลา แล้วนั่งลงใหม่
   “เดี๋ยวก็มา” อ้ายท้องดีย้ำรอบที่แปดล้าน“เจ้าจักกังวัลไปใย”

   “ฤๅท่านไม่กังวลรึ?  อ้ายพี่แสนตาสีออกเดินทางไปตั้งแต่เช้ามืด  จนตะวันตกดินก็แล้ว พระจันทร์ขึ้นก็แล้ว  ใยจึงไม่เห็นแม้แต่เงาเล่า”
   “เจ้าเห็นว่าพายเรือไปกลับจากค่ายต้นน้ำมันไวเช่นนั้นเลยรึ”
   “ข-ข้าจะไปรู้รึไร  ก็เห็นอ้ายพี่ไม่กลับมา….”
   “ข้าก็รู้ว่าเข้าเป็นห่วงนัก พวกเราก็เป็นห่วงมิได้ต่างกันดอก”
   “ข้ารู้…แต่…”
   “เจ้าสิเรื่องมากนัก  บอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ”
   ชายวัยกลางโคลงศีรษะ  ขยี้เรือนผมอีกคนอย่างเอ็นดู…ก่อนจะหันไปมองที่ลำน้ำนั่น ไม่นานเสียงไม้พายกระทบผิวน้ำจ๋อมก็ดังขึ้นเรียกให้ทุกผู้ลุกขึ้นชะโงกดู
   “นั่นประไร…พูดยังมิทันขาดคำ ขบวนเรือจ้าวแสนตาก็มาพอ…..”

   ยังมิทำจะสิ้นคำประโยคบอกกล่าว ร่างโปร่งก็ผลุนลุกพรวดกระโจนไปพรวดเดียวถึงท่าน้ำ  เล่นเอาคนที่นั่งเครียดๆกันอยู่จนถึงเมื่อครู่หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
   “อ้าวเฮ้ย  เจ้ามิเห็นต้องรีบร้อนขนาดนั้นเลยนี่เว้ย”

   “พุ่งไปรอรับเจ้าของก่อนใครเช่นนี้ เรียกว่าอะไรนะ?”
   “สุนัข”
   “ใช่! สุนัข!”
   “สัตว์เลี้ยงของมนุษย์”
   คนถูกค่อนแคะหันมาแยกเขี้ยว

“ข-ข้าสิเพียงเป็นห่วงเท่านั้น  ใยต้องเปรียบเปรยให้น่าขันด้วยเล่า”
   ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังคงยืนระริกระรี้อยู่ที่ท่าน้ำ ดวงตากลมโตสอดมองออกไปด้านนอก  จับจ้องลำเรือที่แล่นแหวกเลียบน้ำมาอย่างเงียบกริบนั่น
   บางทีอาจจะเพราะมันไกลจนสุดสายตา ทำให้เขาต้องเพ่งมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ในความมืดนั้นไม่เห็นสิ่งใดนอกจากเงาร่างของขบวนเรือที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
กับเสียงของผืนน้ำที่ถูกแหวกออกและไม้พายโบกสะบัด
   “อ้ายพี่…” พันวังเลิกคิ้ว ตัดสินใจโบกมือเรียกออกไป

“อ้ายพี่แสนตา”
   มีบางอย่างขยับไหว  ใครสักคนคงเห็นที่เขาโบกมือเรียกแล้ว
   
..แต่ไม่มีใครตอบกลับมา
   คนตัวเล็กชะงัก  
ลดแขนที่โบกอยู่จนถึงเมื่อครู่ลงมาช้าๆ..
   “เฮ้  ข้าว่า…มันแปลกๆอยู่นะ”

   “นั่นสิ”
   “เฮ้!  ท่านจ้าวขอรับ!”ใครสักคนตะโกนขึ้นบ้าง  แล้วโบกไม้โบกมือ
   
..เงียบ..
   “เหตุใดจึงไม่จุดตะเกียงเล่า?”

   “แล้วเหตุใด…ถึงไม่ตอบอะไรกลับมาเลยเล่า..?”
   ช่วงจังหวะนั้นที่ความมึนตึงเข้าครอบงำทุกคน พันวังถัดขาถอยหลังจากพื้นไม้บริเวณท่าน้ำมายืนบนผืนดินอีกครั้งอย่างเชื่องช้า เขารู้สึกไม่ชอบมาพากล…ซึ่งที่จริงมันก็ประหลาดมาเสียตั้งแต่แรกแล้ว
   “นั่นไม่ใช่…อ้ายพี่แสนตา…”

   อ้ายทองดีได้สติโดยพลัน  รีบหันมาตะโกนลั่น
   “ลางไม่ดีแล้ว!  ไปพวกเจ้า!  หลบไปจากตรงนี้!  ไปหยิบอาวุธมาให้…….”

   ฟ้าว

   
ฉึก!
   แท่งโลหะบางอย่างวิ่งผ่านอากาศเสียงหวิวจนเด็กหนุ่มเผลอหดตัวด้วยอัตโนมัติ
ศรดอกหนึ่งปักลงที่กลางแผ่นหลังคนตรงหน้าอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว
   ชายวัยกลางเบิกตาโพลงมองหน้าเขา
มันเป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่เหมือนกับยาวนานเหลือเกินกว่าที่ร่างสูงกว่านั้นจะค่อยๆทรุดลงไป
   “ศรอาคม!”

   ใครอีกคนหนึ่งร้องต่อ
   “หาที่กำบัง!”

   จราจลเกิดขึ้นทันทีหลังการหลั่งเลือดครั้งแรกเกิดขึ้น ชายกลุ่มหนึ่งไม่ลังเลที่จะกระโจนลงน้ำแหวกว่ายกลายร่างเป็นกุมภาทั้งฝูงตรงไปยังขบวนเรือ เงาร่างของคนที่อยู่ไกลๆนั้นพากันขยับไหวด้วยกันทั้งหมด ต่างคว้าหยิบทั้งหอกทั้งดาบออกมาเตรียมพร้อมเผชิญหน้า
   เสียงม่านน้ำแตกกระเซ็นยามชนสองฝ่ายตรงเข้าโรมรัน เหล่าจระเข้ร่วมใจจมเรือลำแรกที่ลอยเข้ามาได้ก่อน  

เสียงกรีดร้องโหยหวนของมนุษย์ดังขึ้น ทันทีที่เสียงหอกคมแหวกอากาศดังอีกครั้ง…จึงเป็นเสียงของจระเข้
   ฝูงชนที่มุงรอรับท่านจ้าวของตนอยู่จนถึงเมื่อครู่แตกหือกันไปเตรียมการ บ้างวิ่งไปเก็บข้าวของใต้ถุนเรือน  

บ้างตรงไปหยิบคว้าดาบคว้าธนูมาเล็งเป้า
   ทว่าเด็กหนุ่มยังตื่นตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่หาย เขายังคงยืนอยู่ที่นั้น  พร้อมประคองรับร่างแรกที่โดนการโจมตีแล้วทรุดไปด้วยกัน
   “อ้ายพี่ทองดี!  อ้ายพี่ทองดี!”

   เขาพร่ำเรียกด้วยอารามตกใจ  ยามโอบแผ่นหลังกว้าง…ของเหลวเหนียวหนืดจึงติดมือกลับมาให้สะท้าน สัมผัส

ของโลหิตช่างน่าขยะแขยงนัก  แต่ความตกใจทำให้ลืมเลือนเรื่องนั้นไปเสียสิ้น
   “อ้ายพี่ทองดี!”

   “…อ่อก” เจ้าของนามสำลักออกมาเป็นเลือด สีคล้ำเข้มฉาบตั้งแต่ริมฝีปากลงมาถึงลำคอ

“…รีบ…ไปซ่อน….”
   “อ้ายพี่….”
   “ไปซ่อนเสีย…ไป!”
   ฟิ้ว....!

   อีกครั้งหนึ่งที่เสียงลูกธนูแหวกอากาศดังกระหึ่ม และครานี้ไม่ได้มาเพียงดอกเดียว  
เมื่อพันวังเงยหน้าขึ้นเห็นแห่ฝนลูกศรจึงหลับตาแน่น
   
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
   ปลายศรฝังลงบนผิวเนื้อ  
เสียงกรีดร้องอย่างปวดร้าวดังระงมจนใบไม้ไหว
   
ทว่าเด็กหนุ่มกลับยังปลอดภัยไร้ริ้วรอย
   ทองดีขยับตัวเฮือกสุดท้ายขึ้นแทนตัวเองดั่งเกราะกำบังใหญ่
ก่อนจะทรุดกายแน่นิ่งไปในอ้อมกอด
   “อ้ายพี่…อ้ายพี่ทองดี..!”

   แม้พยายามจะเรียกขานชื่อมากมายเท่าไหร่ แต่คนถูกเรียกก็ไม่แม้แต่จะขยับขึ้นมาใหม่  เด็กหนุ่มรู้สึกลำคอ

แห้งผาก  ราวหยดน้ำทุกหยดของร่างไปกองอยู่ที่ดวงตา แล้วหลั่งไหลออกมาเป็นความเสียใจ
   ใครบางคนฉุดเขาให้ลุกขึ้นจากตรงนั้นทั้งแรงสะอื้น เด็กหนุ่มร้องไห้จนตาพร่าเลือน  
เขารู้ดีว่าที่ตนทำอยู่ช่างไร้ประโยชน์นัก..แถมยังเป็นภาระให้กับคนทั้งบ้าน
   
..โหดร้ายนัก..โหดร้ายนัก..ใยมนุษย์จึงต้องโหดร้ายได้ขนาดนั้น..
   
ตูม!
   เสียงดินปืนระเบิดดังกึกก้องไปทั่วทั้งคุ้งน้ำ พันวังพยายามเบือนดวงหน้ากลับไปมองจนเห็นเศษร่างของเผ่าพันธุ์เดียวกันกระเด็นมาตกอยู่ที่ปลายเท้า เขากรีดร้องลั่น  
แต่ก็โดนฉุดรั้งให้หลบไปอยู่เสียใต้ถุนบ้าน
   “พันวัง  เจ้าสิไปเสีย”

   ใครคนนั้นเขย่าแขนเขาเรียกสติ
   “ลงน้ำแล้วว่ายกลับพิจิตรไปเสีย! ถ้าเพียงเจ้าคนเดียวย่อมทำได้แน่!”

   คนถูกสั่งยังคงหอบหายใจ  เขายกมือปาดน้ำตา
   “ข้าไปไหนมิได้….ข้าจักอยู่กับอ้ายพี่แสนตา…”

   “เจ้าดื้อ!”
   “ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น”
   “ข้าบอกแล้วมิใช่รึ…ยามนี้ให้ฟังคำข้า”
   จ้าวแสนตาร้องลั่น  ตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มถึงได้รู้ว่าในโพรงปากนั้นกลบไปด้วยเลือด ซ้ำยังด้วยบาดแผลทางร่างกายและร่องรอยของแผลเก่าที่เปิดออก
   “ทำไมถึงได้ดื้อขนาดนี้  ต้องให้ข้าบอกเจ้ากี่ร้อยกี่พันหนกันว่าข้าน่ะ…..”


   “ข้ารักท่าน!  จ้าวแสนตา!”
   เด็กหนุ่มโพล่งลั่น  จ้องหน้าอีกคนแน่วแน่
   “ข้าไม่มีวันไปไหน...โดยไม่มีท่าน”

   สิ่งที่วิ่งเข้ามาคั่นกลางระหว่างระหว่างเขาสองคนคือเสียงกรีดร้องและการสู้กัน เพียงสิ่งเหล่านั้นกลับอยู่ไกลออกไปในยามนี้
   “…หากทำได้…ข้าเพียงปรารถนาจะรั้งกายเจ้ามากอด จูบปลอบให้หายหวาดกลัวหรือร้องไห้..”ชายหนุ่มกระซิบเสียงเบา…ปรือดวงตามองอย่างห่วงหา

“สวรรค์ช่างใจร้ายนัก  ให้เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง…ในวันสุดท้าย…”
   “อ้ายพี่แสนตา…”
   มือหยาบเกลี่ยลงมาที่ข้างแก้มใส ประคองให้ดวงหน้านั้นเงยขึ้นมาสบตา…พันวังจึงเพิ่งสังเกตเห็นในความมืด
ว่าดวงตาข้างหนึ่งของอ้ายพี่แสนตาที่ตนรักนั้นมีรอยคมมีดบาดจนมิอาจลืมขึ้นได้อีก
   ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ต่างเปียกชุ่มจนกลายเป็นสีเลือด
เช่นเดียวกับแขนข้างขวา..ที่แม้แต่จะขยับยกยังทำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
   …สงคราม…ก่อให้เกิดการเข่นฆ่ามากมายโดยไม่จำเป็น…

   “น้องพันวัง…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ โปรดจำไว้เพียงว่า…”
   คำนั้นทำให้เด็กหนุ่มสะอึกสะอื้นออกมาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งที่ดวงตายังจับจ้องเพียงคนตรงหน้าไม่ได้เบือนหลบไปไหน
   “...‘ดวงใจข้า’…จะไม่หวนคืนสู่ห้วงธารา…”

   ..เพียงเจ้า..เท่านั้น..


มหาลัยซีเนียร์

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
2573
Zenny
583
ออนไลน์
440 ชั่วโมง
โพสต์ 2015-3-26 14:35:05 | ดูโพสต์ทั้งหมด

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
19415
Zenny
2198
ออนไลน์
1152 ชั่วโมง
โพสต์ 2017-2-20 04:38:05 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณมาก

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
7
พลังน้ำใจ
40786
Zenny
35240
ออนไลน์
3552 ชั่วโมง
โพสต์ 2017-2-24 06:18:31 | ดูโพสต์ทั้งหมด
สงสารจังเลย เศร้ามากๆ

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
30190
Zenny
21874
ออนไลน์
2288 ชั่วโมง
โพสต์ 2019-4-23 12:21:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม

ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2024-11-24 16:28 , Processed in 0.148866 second(s), 27 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.8

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้