ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
ดู: 796|ตอบกลับ: 6

จ้าวธารา 11 จบภาค 1 ต่อ ภาค 2 ตอนที่ 1

[คัดลอกลิงก์]

โสด

   ศาสตราจารย์เอื้ออาทร
อาจารย์พิเศษ
ถ้าหากว่าซ้ำต้องขออภัยนะครับและขอโทษเจ้าของเรื่องด้วยนะครับเพราะว่าคัดลอกมาอีกที
ความเดิมตอนที่แล้ว
   …สงคราม…ก่อให้เกิดการเข่นฆ่ามากมายโดยไม่จำเป็น…
   “น้องพันวัง…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ โปรดจำไว้เพียงว่า…”
   คำนั้นทำให้เด็กหนุ่มสะอึกสะอื้นออกมาอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งที่ดวงตายังจับจ้องเพียงคนตรงหน้าไม่ได้เบือนหลบไปไหน
   “...‘ดวงใจข้า’…จะไม่หวนคืนสู่ห้วงธารา…”

   ..เพียงเจ้า..เท่านั้น..
ตอนที่ 11 จบภาค 1 ต่อภาค 2 ตอนที่ 1
-๑๑-
   สัมผัสอ้อมกอดอุ่น  ริมฝีปากที่ยังมีรสเลือดคละคลุ้งและรสเค็มของน้ำตา  เด็กหนุ่มทิ้งกายลงในอ้อมแขนนั้น  
ปล่อยให้สัมผัสของอีกคนทำให้ทุกอย่างหายไป  ไม่เว้นแม้กระทั่งเปลวเพลิงโลกันต์ที่เผาไหม้เงาไม้จนราบ
เป็นหน้ากลอง
   ไม่นานชายหนุ่มก็ละออกไป ดวงตาทั้งสองข้างมีหยดน้ำตาไหลอาบคละเคล้าไปด้วยฝุ่นเถ้าสีดำ แต่สองมือน้อยไม่ยอมปล่อยให้อีกคนไปไหน  ร่างโปร่งยังคงเหนี่ยวรั้งอีกคนเอาไว้อย่างสุดกำลัง
   อ้ายพี่แสนตา…
ข้ารักท่าน
   ข้ารักท่าน…

   ข้ารักท่าน…
   ข้า…..
   “….วัง  พันวัง”
   “น้องพันวัง”
   หลังเปลือกตาคือภาพดำมืดกับเปลวเพลิงสีส้มที่ลุกโชนไปทั่วทุกหนแห่งดั่งภาพหลอน ยามลืมตาขึ้นอีกครั้งกลับเป็นความสว่างไสวจนแสบตา  เปลือกตาสีเข้มหลุบลงอีกครั้งหนึ่ง..หัวคิ้วขมวดขยับไปมา  ก่อนจะค่อยปรือขึ้นเพื่อรับแสงตะวันนั้นใหม่อีกคราด้วยจับสัมผัสได้
   ความรู้สึกปวดร้าวแล่นปราดวิ่งพล่านไปทั่วร่างกายจนไม่กล้าแม้จะขยับตัวลุกขึ้นนั่ง เขาหรี่ตาลง  
ผ่อนลมหายใจอ่อนเพื่อมองหาเจ้าของเสียงทุ้มที่พร่ำเรียกชื่อเขาอยู่จนถึงเมื่อครู่
   “จ้าวพี่..โคจร…?”

   เจ้าของนามยิ้มกว้างรับ  ดวงหน้าคมมีร่องรอยความโล่งใจอยู่เต็มเปี่ยม  ก่อนก้มลงมาประทับจูบปลอบที่หน้าผากเสียหนึ่งที
   “เป็นเช่นไรบ้าง?  เจ็บตรงไหนอยู่รึเปล่า?”

   เด็กหนุ่มโคลงศีรษะช้าๆ  ดวงตายังไม่ชินกับแสงสว่างนัก
“ที่นี่…?”
   “เรือนของเจ้า” อีกฝ่ายตอบ
“พิจิตร”
   …พิจิตร?
   ร่างโปร่งหอบหายใจแรงขึ้นเรื่อยๆ ภาพความทรงจำอันเลวร้ายหวนย้อนกลับมาอย่างช้าๆในสมอง  และเขาแทบจะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย  กระนั้นสัมผัสอุ่นที่ยังติดอยู่ที่ผิวกาย กับเสียงกรีดร้องที่ดังอยู่ในสมองก็ทำให้อะไรๆมันชัดเจนขึ้นมาได้โดยง่าย
   นอกจากเรื่องเรือนที่อโยธยาโดนโจมตีจนมอดไหม้ เปลวไฟลุกท่วมไปทั่วทุกแผ่นไม้  กลิ่นคาวและเลือดที่ไหลซึมขึ้นมาตามผิวน้ำ ขบวนเรือของฝ่ายตรงข้ามที่มาเพิ่มเรื่อยๆไม่หยุดหย่อน…เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองมาถึงที่นี่ได้ยังไง
ด้วยซ้ำ   แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น…
   เด็กหนุ่มเม้มปาก  กลืนน้ำตาที่เกือบจะหยดนั้นลงไปเสีย
   “ข้า…หลับไปแค่ไหนรึ?”

   เสียงตอบที่แสนแหบแห้ง  ลำคอเจ็บแปลบจนเหมือนจะแตกออกได้
   “เพิ่งเช้าวันที่สองเท่านั้น” จ้าวหนุ่มตอบ  มือใหญ่เกลี่ยลูบที่ข้างแก้ม “เจ้าสิรอตรงนี้ก่อน  ข้าจักไปตามอ้ายแม่พิกุล
มาดูอาการ
   “..ขอรับ”
   “พร้อมสำรับข้าวต้มสักมื้อ…เจ้าคงหิวสินะ”
   “ขอบพระคุณขอรับ…จ้าวพี่โคจร”
   อีกคนมองหน้าเขานิ่ง  มือใหญ่ลูบที่หน้าผากลงมาถึงข้างแก้ม
   “เจ้าปลอดภัยแล้ว..”

   คำพูดนั้นเอ่ยปลอบ  ก่อนร่างสูงจะดันตัวลุกขึ้น
   “อยู่ที่นี่…เจ้าจะปลอดภัย พันวัง”

   เจ้าของนามกลั้นใจอยู่นาน…จนกระทั่งอีกคนออกไปสักพักน้ำตาหยดหนึ่งถึงได้ไหลอาบแก้ม  เขาค่อยๆยกมือที่ถลอกปอกเปิกเป็นรอยไหม้ทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นมาดู ถึงเขาจะไม่สามารถหาคำตอบของบาดแผลกว่าครึ่งหนึ่งของร่างกายได้   แต่สองมือข้างนี้…เขาจำได้…
   ยามที่อ้ายพี่แสนตาถอดรูปกายดำลงน้ำ แปลงร่างเป็นจ้าวกุมภาขนาดมหึมา…ยอมให้ร่างกายใหญ่โตที่เปี่ยมไปด้วยบาดแผลนั่นเป็นเป้านิ่งให้โรมรันฟันแทง ทั้งหอกดาบอาวุธอาคมมากมากที่ทิ่มเข้าผิวหนังที่เคยแข็งแกร่ง แต่อ่อนแอลงเพียงแค่ในคราวนั้น…เรียกให้หยาดเลือดข้นซึมไหล หากจ้าวหนุ่มกลับกลั้นเสียงกรีดร้องไว้ไม่อ้อนวอนขอความเห็นใจ…เป็นเหยื่อ…ให้จระเข้น้อยใหญ่มีเวลามากพอจะหนีไป…
   เท่าที่เขาจำได้  แน่นอนว่าตัวเองอยู่ข้างกายจ้าวไม่ได้หลบไปไหน  หากแต่เสาเอกต้นหนึ่งที่ถูกเพลิงไหม้ไม่หมดลมเอนลงมาทับกาย….นั่นกลับเป็นภาพสุดท้ายที่เขาเห็น   และตัวเองที่มาอยู่ที่พิจิตรนี่…ก็ดูราวกับว่าจะบอกอะไรได้มากมายแล้ว…
   “อ้ายพี่แสนตา…”
   เขาสะอื้นไห้จนตัวโยน  รู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วทั้งร่าง..ไม่ว่าจะเป็นฝ่าเท้าสองข้าง  แผ่นหลัง  ลำคอ  นิ้วมือ
มวนท้อง  หว่างขา หรือแม้กระทั่ง…หัวใจ
   “อ้ายพี่แสนตา…อ้ายพี่แสนตา…”

   พันวังไม่รู้ว่าร้องไห้หนักขนาดนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เขาร้องจนเสียงแหบ  ร้องจนราวกับว่าน้ำทุกหยดในร่างกาย
ได้ถูกใช้ไป
   ร่างโปร่งนอนคุดคู้มุดตัวอยู่ในผ้าห่ม กดมือทั้งสองข้างที่ยังปวดแปลบลงที่กลางอก  เฝ้าฟังเสียงหัวใจตัวเองกรีดร้องด้วยความทรมาน

   …..ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น…..ดวงใจข้า…จะไม่หวนคืนสู่ห้วงธารา….เพียงท่าน…
เท่านั้น
   พิธีศพของจ้าวแสนตาถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ รวมไปถึงสหัส  ทองดี และจระเข้ตัวอื่นๆที่ต่อสู้ศึกนั้น
อย่างกล้าหาญ
   ไม่มีศพ..ไม่มีร่างกายกลับมา เพียงแค่บวงสรวงสักการะพระแม่คงคาเหมือนเช่นพิธีปกติ  และปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปกับสายน้ำ  ทั้งข้าวของเครื่องใช้ ดอกไม้ธูปเทียน  รวมไปถึงความทรงจำทั้งหลายเหล่านั้น…ทิ้งอดีตทุกอย่างลงให้กลายเป็นเพียงภาพเลือนราง
   เรือนที่พิจิตรไม่ได้จัดงานศพบ่อยนัก..จึงเป็นภาพที่ไม่ได้ชินตาเท่าไหร่ พอคิดเช่นนั้นแล้วจ้าวโคจรก็นึกเสียใจ
ทุกครั้งที่ไม่ได้ไปช่วยเหลือเพื่อนรักด้วยตนเอง   เคราะห์ร้ายครั้งนั้นทำให้พิธีไว้ทุกข์เงียบงัน..และความเศร้าก็ดูราวกับจะสามารถยืดเยื้อยาวนานไปได้นับปี
   จระเข้ที่รอดจากอโยธยาก็ไม่ได้มากมายนัก และทั้งหมดยังคงอยู่ในสภาวะฟื้นตัว  บางคนไม่อาจมีร่างกายที่สมบูรณ์เหมือนเดิมได้อีก...เช่นกัน  พันวังก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น…

   มันคือความเงียบ…ที่เงียบอยู่นานมากพอจะทำให้เสียงลมดูน่ากลัวขึ้นมาได้ ระยะห่างระหว่างพันวังกับอ้ายแม่พิกุลมีเพียงสายลมคั่น ดวงตาสีอำพันกลมโตไม่ได้รับรู้ถึงอะไรมากนัก  กลับกันกับอีกคน…ที่ดูวิตกกังวลมากกว่า
   ก่อนเขาจะเบือนสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง
แล้วรำพึงรำพัน
   “จริงหรือขอรับ…?”

   น้ำเสียงนั้นบอกไม่ได้ว่าคนพูดกำลังรู้สึกอย่างไร และคู่สนทนาก็ไม่อยากตอกย้ำ  เลยทำเพียงพยักหน้ากลับไป
   แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการไม่ใช่ความเงียบ เขาเม้มปาก  
แล้วถามย้ำอีกครั้ง
   “…ข้า…ไม่สามารถมี ‘ลูก’ ได้…อย่างนั้นหรือขอรับ?”

   “..บาดแผลที่ช่วงท้องเจ้านั้นสาหัสนัก”หญิงชราเอ่ย “ถ้าพิจตามที่เจ้าเล่า ไอ้เสาสุมเพลิงนั่นสร้งบาดแผลให้เจ้า
ไม่น้อย…กระนั้นจงมองโลกในแง่บวกไว้เสีย ช้าเร็วเจ้าก็ต้องทำหมัน  มิเช่นนั้นต้องเผชิญกับฤดูผสมพันธุ์ที่แสนทรมานในทุกช่วงปี”
   “อ่า…” พันวังพยักหน้าช้าๆ
“จริงดั่งที่ท่านว่า…”
   “ปัญหาของเจ้าคงไม่ได้มีเพียงแค่นั้นเป็นแน่ จากนี้คงลำบากนัก  เจ้าสิต้องเข็มแข็งไว้”
   คนฟังยิ้มน้อยๆ
“วางใจเถอะอ้ายแม่พิกุล  นั่นหาใช่สิ่งที่ข้ากังวลไม่”
   “เด็กเอ๋ย…มาทางนี้สิ”
   แขนผอมอ่อนแรงกางออก  เรียกให้อีกคนเข้ามาแล้วลูบหลังปลอบ
   ด้วยกับคนตรงหน้าที่เห็นกันมาตั้งแต่ตีนเท่าหอย แม้จะไม่ใช่คนร่าเริงมีอารมณ์ขันตลอดเวลา  แต่พันวังก็เป็น
เด็กดีมาก  คอยปรนนิบัติรับใช้ท่านจ้าวมาตั้งแต่ยังไม่รู้ภาษา แต่ก็มิเคยเห็นเศร้าซึมเช่นในตอนนี้  และแม่เฒ่าก็รู้เหตุผลข้อนั้นดี…จ้าวแสนตา…
   เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กดีมากมาตลอด ซึ่งครั้งหนึ่งได้ทำตามสิ่งที่ตัวเองปรารถนาอย่างแท้จริง…เพียงครั้งเดียว  
นั่นคือตอนที่ทุกตัวจะเดินทางกลับจากอโยธยา  และเจ้าตัวกลับพูดขึ้นมาว่า ‘ไม่’
   “ความรู้สึกนั้นเป็นเช่นไรรึ..” รอยยิ้มอ่อนทาบอยู่ที่ใบหน้า
“…ที่พวกมนุษย์เรียกว่า ‘ความรัก’น่ะ”
   เด็กหนุ่มยิ้มออกมาได้สำเร็จ แล้วร้องหวือ
“อ้ายแม่พิกุล!”
   “เอ้า  เจ้าจะเขินกระไรเล่า…ชาวเราน้อยคนนักจะได้รู้จักกับความรู้สึกเช่นนั้นนะ”
   พันวังหลุบตาคิดตาม  สิ่งที่อีกคนพูดมานั้นเป็นความจริงทุกประการ…เพราะเขาเองก็เพิ่งเข้าใจเรื่องนั้นได้เพียงไม่นานเท่านั้น เวลาเพียงไม่นาน…ที่จบลงอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับอายุขัยเป็นร้อยปี
   “อบอุ่น…”เขาเอ่ยต่อ…เสียงเบา
“…และหอมหวานมากขอรับ…”
   “รู้สึกดีใช่รึไม่?”
   “ขอรับ” พันวังพยักหน้า หลุบตาลงเล็กน้อย
“แต่ข้ากลับ..ทุกข์มากเหลือเกิน..”
   มือหุ้มกระดูกค่อยบรรจงลูบปลอบอีกคนช้าๆ
“เจ้าเป็นเด็กเข้มแข็ง…พันวัง”
   “ข้าไม่อยากเข้มแข็งอีกแล้ว…”
   “เด็กโง่”
   “ข้าสงสัยนัก….”
   เขาหลับตาลง  รำพึงรำพัน…น่าแปลกใจที่ไม่มีน้ำตาออกมา
   “เหตุใดสวรรค์ถึงให้เราเกิดมา เหตุใดจึงให้เราเผชิญความโศกาเช่นนี้…เราเป็นเพียงจระเข้ เรา…เราไม่ได้อยากมีความรู้สึกเฉกเช่นนี้มิใช่รึ? เพียงแหวกว่ายตามลำน้ำ  ปกป้องพระแม่คงคา และสืบเผ่าพันธุ์ต่อไปเพียงแค่นั้นก็เพียงพอแล้วมิใช่รึ?”

   “พันวัง….”
   “เจ็บเหลือเกิน…อ้ายแม่พิกุล ข้าสิเจ็บเหลือเกิน”
   เด็กหนุ่มซบหน้าลงกับไหล่ผอมแห้งของอีกคน เขาควรจะร้องไห้..แต่ไม่เลย  เพียงเพราะน้ำตาเหล่านั้นได้เหือดแห้งไปหมดแล้ว
   “ใยมนุษย์…จึงโหดร้ายเช่นนี้…?”

   มันคือช่วงว่างให้สายลมอ่อนๆพัดผ่านมา
   เด็กหนุ่มรู้ดีว่าคำถามนั้นคงไม่ได้คำตอบ และมันคือข้อสงสัย…ว่าทำไมพวกเขาตองมีร่างแปลงที่เสมือนมนุษย์เช่นนี้ด้วย ทำไมจ้าวรำไพถึงใช้ลูกแก้ววิเศษพวกนี้แปลงร่างเป็นมนุษย์…เป็น…
สิ่งมีชีวิตที่โหดร้ายเช่นนั้นด้วย
   
..เพียงเพราะอยากเป็นมนุษย์
   ..เพียงเพราะอยากสัมผัสความรู้สึกที่ทรมานเช่นนั้นอย่างนั้นรึ..?

   ในทุกๆวันที่เขาทำได้เพียงนอนพักอยู่บนเตียง เขาเฝ้าคิดถึงใบหน้าของชายอันเป็นที่รักซ้ำแล้วซ้ำเล่า เฝ้าหาเหตุผลที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น  ทั้งความโหดเหี้ยมของมนุษย์ที่มองพวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตอันตรายมาตลอด
   …แต่เราก็มองพวกเขาไม่ต่างกัน…

   จระเข้และหมออาคมรบรากันมานาน…นานมากพอที่จะเรียกว่าสงครามยืดเยื้อ  ไม่ว่าจะสูญเสียไปมากมายเท่าไหร่ ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายนึงยอมลดราวาศอกต่อกัน  ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และจะเป็นเช่นนี้จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหมดไป
   แม้ว่าฝ่ายเราจะเพลี่ยงพล้ำด้วยจำนวนคน แต่ก็จัดว่าสูสีมาตลอดด้วยสายเลือดของ ‘จ้าว’ที่เข้มแข็ง  พลังที่แข็งแกร่ง และสมรภูมิในน้ำที่ได้เปรียบนัก…

   แต่จ้าวแสนตากลับอ่อนแอ
   …เพียงแค่ในวาระนั้น…คมดาบเดียวที่แทงหัวใจของจ้าวได้….

   อ้ายแม่พิกุลยังคงกอดปลอบเด็กหนุ่มต่อไปด้วยคิดว่าอีกคนคงกำลังหลั่งน้ำตาอยู่ หาได้รู้ไม่ว่าในดวงตาสีอำพันคู่นั้นมีเพียงเค้าลางของความแค้นที่กลบความโศกเสียใจไปเสียสิ้น
   “เจ้ายังมีชีวิตอยู่…”

   หญิงชรากล่าวเสียงเครือนัก
   “มิใช่ว่าข้าจักไม่เข้าใจเจ้า ชั่วดีเช่นไรเจ้าก็ต้องเดินหน้าต่อไป”

   “ขอรับ” พันวังพยักหน้าช้าๆ
“ข้า…ต้องเดินหน้าต่อไป”
   จากนี้อีกสักกี่สิบกี่ร้อยปี…ความแค้นนี้…ข้าต้องสะสางมันให้สำเร็จ….ไม่ว่าจะมนุษย์  แม่หญิงบุหลัน
   หรือกระทั่ง…จ้าวพี่โคจร
                                                                                  จบภาค
ครั้งนั้น
วันเจ้าพระยายังสดใส
ยังมีจ้าวกุมภาเกรียงไกร
สถิตอยู่ใต้ห้วงชลธาร
เซซัดจากถิ่นฐานบ้านเกิด
หนีตะเลิดเปิดใจมิอาจหาญ
เจ้ามนุษย์ผู้ร้ายใจมาร
ผู้รุกรานทำร้ายใจตน
รอนแรมมาไกลถึงเมืองหลวง
ฝูงทั้งปวงล้มตายเป็นสายฝน
จ้าวยักษ์ใหญ่ตั้งคำในบัดดล
มันสักคนต้องได้..ชดใช้กรรม

                                     ################################################
-๑-   
เปรี้ยง!
   เสียงกัมปนาทฟาดลงมาดังลั่นจนทุกคนในห้องสะดุ้งเฮือก สายตาทุกคู่จับจ้องมองไปยังนอกหน้าต่าง..ฟ้าครึ้ม
เมฆหม่น  ที่สำคัญที่สุดคือสายฝนที่ตกกระหน่ำอย่างหนักจนไม่ได้ลืมหูลืมตา…จนน่ากลัว
   หญิงวัยกลางที่โต๊ะหน้าห้องมองลอดแว่นสายตายาวของหล่อนสบตากับนักศึกษาทุกคน ก่อนจะก้มมองนาฬิกา
ที่ทุกคนในที่นั้นรู้อยู่แล้วว่ามันเลยคาบมาเกือบๆสิบห้านาทีแล้ว
   “นักศึกษา” เสียงเนิบนาบเอ่ยขึ้น
   “วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
   คำพูดแบบนั้นคงเหมือนเสียงสวรรค์จากฟากฟ้าในวันปกติ เพียงแต่วันนี้บรรยากาศไม่เป็นใจให้ใครสักคนได้เฮฮา..ปล่อยตอนนี้ก็ยังกลับบ้านไม่ได้อยู่ดี ขนาดเสียงเลื่อนเก้าอี้ยังถูกกลบด้วยเสียงฝนกระหน่ำด้านนอกเลย
   แต่อย่างน้อยที่สุด..ผมก็ถอนหายใจออกมาได้สำเร็จ

   ..การเรียนในห้องแอร์เย็นๆวันที่ฟ้าสลัวๆแบบนี้มันไม่เป็นผลดีต่อสมองเลยสักนิด…หรือพูดให้ตรงกว่านี้
ก็คือ  แม่ง สัสเอ้ย  ง่วงฉิบหาย
   อาจารย์ผู้สอนเก็บของเดินออกจากห้องไปก่อนเป็นคนแรก นั่นถึงเป็นสัญญาณให้พวกเราได้ขยับกายลุกจาก
ที่นั่งบ้าง  แลคเชอร์นานติดกันสามชั่วโมงเต็มพาลให้ปวดหลัง เพราะเก้าอี้แลคเชอร์ไม่ได้เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อให้หลับ ฟุบงีบ  กินข้าว  ตากผ้า  หรือทำกิจกรรมใดๆนอกจาก...เรียนหนังสือ ซึ่งเอ่อ..ตามประสาครับ พวกเราทุกคนชอบเรียนมาก
   “เฮ้ย  เฮ้ย”

   ผมสะกิดเรียกเพื่อนสนิทที่นอนหลับมาตั้งกะต้นคาบ
   “ไอ้โป๊ย  ตื่น ตื่นว้อย  หมดคาบแล้ว”

   แน่นอน  เจ้าของนามแม่งไม่สะดุ้งสะเทือนหรอกครับ ซึ่งผมก็ชินแล้วล่ะ…เลยต้องโบกหัว ‘ผลัวะ’ ไปทีนึง
อย่างแรง  เพื่อให้อย่างน้อยมันก็เงยหน้าขึ้นมาเคี้ยวน้ำลายตัวเองแจ๊บๆ…แล้ว…หลับต่อ
   
..เจริญจริงๆ..
   ผมส่ายหัว  หันมาเก็บข้าวของตัวเองบ้าง ซึ่งก็มีเยอะมากครับ  สมุดเล่มนึงกับปากกาหนึ่งด้าม
พับเก็บเหน็บไว้กับเอวก็เสร็จสิ้นกระบวนการแล้วล่ะ..
   “ไกร  ไกร”

   เสียงใสเรียกผมจากด้านหลัง  เป็นเสี้ยววินาทีก่อนผมจะลุกขึ้นยืนพอดี
   
ให้ตายเถอะ..หัวใจผมพองจนคับอกเลยตอนที่รู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร
   ดวงหน้าใสยื่นเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้ม ใกล้จนได้กลิ่นแชมพูอ่อนๆจากเรือนผมสีน้ำตาลเข้มนั่น  
ก่อนเธอจะยกมือประนมให้แล้วส่งดวงตากลมโตใสวิ้งนั่นเพื่อกราบอ้อนวอนผมในที
   “แก้วยืมสมุดแลคเชอร์หน่อยได้มั้ยจ้ะ?”

   “อา  ได้สิ”
   ผมหยิบมันอย่างรวดเร็วเอ่อ..เร็วไปหน่อยจนน่าขัน  แหม  ต่อหน้าดาวมหา’ลัยใครมันจะไปตั้งสติทันล่ะ ผมเองก็ผู้ชายคนนึงที่หวังจะเด็ดดอกฟ้าเหมือนกันนะ
   เธอยิ้ม  รับแลคเชอร์ผมไปราวกับมันเป็นของล้ำค่าที่สุด
“ขอบใจนะ”
   ..วิญญาณจะล่องลอยไปแล้วล่ะครับ..
   “แก้วจดไม่ทันเหรอ?”

   “ฮะๆ  แก้วเผลอหลับไปช่วงนึงน่ะ”รอยยิ้มของเธอทำให้ผู้ชายมีบาดแผล “แล้ว’จารย์มาลัยบอกให้แก้วเขียนรายงานแก้คะแนนด้วยอ่ะ  กังวลชะมัด”
   “อ้าว  แก้วไม่ผ่านมีนเหรอ?”
   “อืม  แหะๆ”
   “วันหลังบอกเรานะ  เราติวให้ได้”
   “อะแฮ่ม  ไอ้คุณเพื่อนครับ”
   
การกระแอมกระไอที่ฟังแล้วรู้เลยว่าเฟคนั่นเรียกให้พวกเราทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมอง
   “…ปลุกกูขึ้นมาเพื่อฟังมึงจีบสาวเหรอฟะ? ไปเร็ว!”

   “ไปห่าไรล่ะ  ฝนตกยังกะเทกะละมัง”ผมโบ้ย
   “รอให้ซาก่อนดิ”
   โป๊ยหันไปมองตามผม  แล้วทำปากเป็นรูปตัวโอ..มันเพิ่งเห็นมั้งครับว่าสภาพอากาศวันนี้ไม่ดี สมแล้วที่เป็นจอมเอ๋อโป๊ยเซียน…ผู้ที่ต่อให้ทั้งอาคารกำลังลุกไหม้แต่ถ้าไฟไม่ติดที่ตูดมันก็ไม่รู้เรื่อง
   แต่ผมก็ลืมๆเพื่อนรัก  
แล้วหันไปยิ้มกับแก้วต่อ
   “ไม่เข้าใจตรงไหนถามเราได้นะแก้ว”

   “จ้ะ  ไกรน่ารักจังเลย~หล่อแล้วยังใจดีอีกเนาะ~”
   ไม่ต้องบอกใช่มั้ยครับ  คนที่พูดไม่ใช่แก้วหรอก..เพื่อนรักสุดจะกวนอวัยวะเบื้องล่างของผมต่างหากที่ทำทีเป็นดัดเสียงพูด ซึ่งบอกเลยลีลาขนาดนี้…กระเทยจริงๆยังอายแทน
   “ไหนมามะมาดจ๊วบที~  ม๊วฟ”

   “จูบตีนกูไปก่อนก็แล้วกัน…”
   “ว้อย  ล้อเล่นว้อย! ไม่เห็นต้องยกขึ้นมาจริงๆจังๆเลย”
   ผมหันไปมองแก้วอีกครั้ง  เธอหัวเราะอยู่..และให้ตาย  
โลกทั้งใบหยุดหมุนตรงนั้นครับท่านผู้ชม!
   ครับ  
เห็นลีลาการเอาใจสาวแบบนี้ก็ต้องขอแนะนำตัวกันสักหน่อย
   ผม ‘เกรียงไกร’ ครับ..หรือที่เพื่อนๆก็เรียกกันสั้นๆแหละครับว่า ‘ไกร’(และมีฉายาว่า ‘เกรียนไกล’
แต่ไม่ได้เกรียนเหมือนฉายาหรอกนะครับ..แค่ทรงผมไถข้างเปิดเกรียนข้างหนึ่งของผมมันโดดเด่นมากก็เท่านั้นเอง..)เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ของมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
   นี่ไอ้ ‘โป๊ยเซียน’ หนุ่มอารมณ์ดีขี้เล่นโคตรกวนประสาท  จนผมชักสงสัยว่าเออ เป็นเพื่อนกับมันเข้าไปได้ยังไง..
ซึ่งเรื่องนั้นช่างมันก่อน  ไอ้โป๊ยน่ะจบจากโรงเรียนเดียวกับ ‘แก้ว’ ดาวคณะและดาวมหา’ลัยคนสวยที่ผมหมายตา…แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไอ้โป๊ยแม่งก็เสือกไม่เหมาะจะเป็นสะพานให้ผมเดินข้ามไปเด็ดดอกฟ้า จนสุดท้ายก็ต้องใช้ลีลาเกี้ยวพาราสีที่สืบทอดมาในตระกูลนี่แหละเข้าสู้
   …
แต่ยอมรับว่าไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าไหร่หรอก
   “แก้ว  พี่รอข้างล่างนะ..เดี๋ยวลงไปหาอาจารย์แปปนึง”

   น่ะ..พูดยังไม่ทันขาดคำ…เดินมาพอดี…
   ร่างสูงโปร่งชะโงกหน้าเข้ามาในห้องแลคเชอร์ของปีต่ำกว่า เพื่อร้องบอกราวต้องการจะเรียกความสนใจจากคน
ทั้งห้อง  ซึ่งก็ได้ไปเต็มๆน่ะแหละครับ
   “จ้ะ” เธอยิ้ม..ยิ้มหวานกว่าที่ยิ้มให้ผมเสียอีก
“เดี๋ยวแก้วลอกแลคเชอร์แปปนึง  จะตามลงไปนะคะ”
   ..น่าเจ็บใจฉิบ..
   หมอนั่นชื่อ ‘ทิวัน’ เอ่อ…ผมต้องแนะนำมั้ยว่านี่คือ ‘แฟนแก้ว’

   และทุกครั้งที่เจอหน้ามันผมก็จะเผลอปล่อยเสียง‘จิ๊’
ออกไปอย่างช่วยไม่ได้
   นายทิวัน…และผมขอเรียกมันสั้นๆละกันว่า‘ไอ้วัน’….แหม  ชื่อไทยแท๊แท้ (ไม่ดูตัวเอง..)  เป็นนักศึกษาปี4 รุ่นพี่ผมนี่เอง  มันเป็นแฟนแก้ว (จะย้ำทำไม) เป็นจอมมารความสุขที่ทำลายหัวใจผู้ชายทั้งคณะ  บอกตามตรงครับ..
คณะผมน่ะมีผู้หญิงไม่มากเท่าไหร่  แล้วผู้หญิงน่ารักระดับแก้วน่ะเค้าว่ากันว่าสิบปีจะมีสักคน..แต่ให้ตาย สุดท้ายก็โดนชายหนุ่มที่..เอ่อ..ยอมรับก็ได้ครับว่าหน้าตาดีนิดๆคาบไปกินจนได้
   และที่ดูเหมือนจะให้อภัยไม่ได้มากที่สุดก็ตรงที่…เพื่อนผม  รุ่นน้อง  คนทั้งคณะต่างพากันยอมรับในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่  แถมยังเปรียบเปรยสำเนียงโบราณว่านี่แหละคือ
‘กิ่งทองใบหยก’
   ตรงไหนกันวะ..!?!
   ผมมองเขาตาเขียวปั๊ด  อีกฝ่ายเห็น…แล้วยักคิ้วให้ประหนึ่งผู้ชนะก็ไม่ปาน
   “ไอ้…!”
   ..จะด่าก็ไม่ทันล่ะครับ แม่งผลุบหายออกจากห้องไปซะงั้น..!
   เออ  แม่งไม่มีใครสังเกตสักคนเลยเหรอครับว่า‘มัน’ แม่งกวนตีนแค่ไหน!  
เผลอๆจะมากกว่าไอ้โป๊ยเซียนนี่ซะอีก!
   “มึงนี่ก็..อ้าปากได้ก็จะกัดเลยนะเว้ย”ไอ้โป๊ยหัวเราะ “ใส่ตะกร้อไว้ท่าจะดีกว่านะเนี่ย”

   “พ่องสิ  มึงดูมัน..”ผมสบถ
   “กวนตีนฉิบ”
   “พี่เค้ายังไม่ทันพูดอะไรเลย มึงก็หาเรื่องพี่เค้าตลอดอ่ะ”
   “ดูแม่งยักคิ้วใส่กู”
   “ยักคิ้วแล้วไงวะ  มึงยักไม่ได้เรอะ  นี่ไง”
   แล้วไอ้โป๊ยก็ยื่นหน้าเข้ามายักคิ้วใส่ผมรัวๆเหมือนเป็นโรคชักกระตุกชนิดหนึ่ง จนผมต้องดันหน้ามันออก..แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะพรืดจากคนที่นั่งอยู่ด้านหลังพอดี  และการที่แก้วขำออกมานั้น  ทำให้ผมรู้ตัว
   “อ๊ะ  ‘โทษทีครับ เราไม่น่าพูดจาไม่ดีกับแฟนแก้วใช่มั้ย?”

   ..กับผู้หญิงน่ะผมเป็นสุภาพบุรุษเสมอ..ใช่มั้ยล่ะ?
   “ฮะๆ  ไม่หรอกจ้ะ ตามสบายเถอะ” แก้วยิ้ม
   “ไกรนี่ตลกดีนะ”
   ..ไกรนี่ตลกดีนะ..
   ..
ไกรนี่ตลกดีนะ..
   ..
ไกรนี่ตลกดีนะ..
   เอาล่ะ  วินาทีนั้นผมอยากจะไปหยิบวิกอัลโฟ่สีเขียวมาสวม ทาหน้าขาวทั้งหน้า  ติดจมูกแดง
แล้วเต้นแทปไปโยนลูกบอกห้าลูกไปรอบๆห้องเสียเหลือเกิน..
   “เอานี่  เสร็จแล้ว”

   แก้วพูดขึ้นขัดจังหวะที่ผมกำลังหาลูกบอล พร้อมยื่นสมุดแลคเชอร์คืนให้
   “ขอบคุณมากจ้ะ  เราไปก่อนนะ”

   ..เสียงท่อแปปที่ผุดจากเนินหญ้าสีเขียวขึ้นมาเปล่งเสียงร้องดังก้องไปว่า
‘หมดเวลาสนุกแล้วสิ~ หมดเวลาสนุกแล้วสิ~’ ดังอยู่ในหัวผมวนเวียนไปมา..
   แล้วแก้วก็เดินจากไป…

   ….ไม่ต้องคิดตามครับ  อีกฝ่ายไม่หันกลับมาหรอก
   “เฮ้อ……”

   “ถอนหายใจไรของมึงวะ”
   “กูนี่มีโอกาสจะได้คุยกับแก้วแค่ตอนยืมแลคเชอร์รึไงวะ”
   ผมเปรย  คนฟังตบหัวผลัวะ
   “มึงเอาจริงดิ  แก้วมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วนะว้อย”

   “โหยสัส  กูไม่ได้จะแย่งแฟนเค้า แค่..อยากคุยกันให้นานกว่านี้” ผมละเมอ
   “คนอะไรวะ งามยังกะนางฟ้า~”
   “เออ เออ เออ”
   “อะไรของมึงวะ  มึงไม่เห็นว่าแก้วสวยรึไง?”
   “ไม่นี่” มันไหวไหล่
   “กูเห็นมาตั้งกะเด็ก”
   ครับ  ย้ำอีกครั้งว่าแก้วกะโป๊ยเซียนจบจากโรงเรียนเดียวกันมา หรือพูดให้ถูกก็คือเรียนที่เดียวกันตั้งกะสมัยประถมน่ะแหละ แต่โป๊ยก็บอกนะว่าไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับแก้วมากนัก โป๊ยเป็นคนประเภทไม่เข้าหาผู้หญิงครับ  
แถมผู้หญิงเรียบร้อยจิ้มลิ้มแบบแก้วมันยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ซึ่งผมเข้าใจจุดนั้นนะ
   “เออ  แล้วมึงจะตั้งท่ากัดกับพี่วันเขาไปถึงไหนวะ?”

   มันเริ่มบทสนทนาได้แย่มาก  ผมเลยแยกเขี้ยวใส่
   “ไม่ได้กัดว้อย  สัส”

   “เห็นแง่งใส่กันตั้งกะก่อนจะมาเป็นแฟนแก้วล่ะ”มันว่า “พอเค้าไปกันได้ดีกูก็นึกว่ามึงจะเลิก..เปล่าเลย ยังกัดอยู่อีก”
   “ก็ดูมันกวนตีน”
   “ตรงไหนฟะ?  พี่วันเค้าขรึมจะตายห่า”
   ผมเถียงไม่ออก
   “ไม่รู้ว้อย ไม่ถูกชะตา”
   ..ก็ไม่ถูกชะตาจริงๆนั่นแหละ..
   ผมสามารถยืดอกรับอย่างลูกผู้ชายได้เลยนะครับว่าโดยส่วนใหญ่นั้นผมเป็นคนหาเรื่อง‘มัน’ ก่อน..และเออ  ยอมรับความผิดนั่นด้วยก็ได้!  
แต่ขอบอกเลยนะว่าอีกฝ่ายก็กวนประสาทไม่แพ้กันนั่นแหละ!
   ทิวันเป็นผู้ชายขรึมๆครับ..ไม่ได้เงียบ ไม่ได้พูดน้อย  ไม่ได้เก็บตัวหรืออะไร…เค้าแค่ เอ่อ..ขรึม  ดูเป็นผู้ใหญ่…จะว่ายังไงดีล่ะ  
เพราะบุคลิกแบบนั้นแหละทำให้สาวๆในคณะ(ที่มีน้อยเหลือเกินพวกนั้น)พากันปลาบปลื้มยังกะอะไรดี
   …ไม่ต้องเดาหรอกครับ  
ไม่เว้นแม้กระทั่งแก้ว
   และให้ตายเถอะ!  ต่อให้มัน ‘ขรึม’ แค่ไหน…
เวลามองหน้าผมแม่งต้องยักคิ้วใส่เหมือนเยาะเย้ยทู๊กที!
   …แบบนี้ไม่เรียกกวนส้นให้เรียกอะไร?

   ระหว่างรอฝนหยุดพวกผมก็หยิบมือถือขึ้นมากดๆเหมือนที่ฮิตกิจกรรมนี้กันทั้งบ้านทั้งเมืองแหละครับ สไลด์หน้าเฟสบุ๊คเช็คข่าวไปสามรอบ  กดไลค์อินสตราแกรมไปสามที ตอบไลน์เพื่อนไปสามคน  สุดท้ายก็มาตายรัง
จะเปิดเกมเล่น..
   …ก็มีสายเรียกเข้าพอดี
   ตอนแรกผมมึนๆเบลอๆจะหลับอยู่ล่ะ อากาศยามเย็นฝนตกพรำๆมันน่านอนเป็นบ้าเลย  แต่พอเห็นหน้าสายเรียกเข้าปุ๊บตาก็ตื่นปั๊บ  
วิญญาณไหลกลับเข้าร่างทันที
   “ไอ้ฉิบหาย”

   พอผมอุทาน  โป๊ยก็ยื่นหน้ามา
   “ใครโทรมาวะ?”
   ผมมองชื่อที่ขึ้นหราอยู่ด้านหน้าจอ ถอนหายใจเป็นพันรอบก็ไม่พอแล้วล่ะมั้งครับงวดนี้…
   “อาจารย์คง”
   ผมบอกให้โป๊ยกลับไปก่อน แน่นอน..มันไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด  แถมยังวิ่งฝ่าฝนกลับไปเสียอย่างงั้น
   …นี่แหละ  เพื่อนตาย…
เพื่อนตายทั้งคนก็ยังไม่เหลียวหลังครับ
   กว่าที่ระบบทดลองเป็นทาสจะจบสิ้นนั้นเวลาก็เกือบทุ่มนึงแล้ว ปกติแล้วเวลาทุ่มนึงที่คณะ/มหา’ลัยผมไม่ได้เงียบหรอกครับ แต่เพราะฝนมันตกกระมังหลายคนถึงได้รีบกลับไปก่อน  นี่จะว่าไปตอนนี้ฝนก็ยังตกปรอยๆนะนี่…

   แต่ไอ้บรรยากาศเย็นๆอึมครึมนี่ล่ะตัวดี…ทำให้ตึกเรียนเก่ากว่าเจ็ดสิบปีหลังนี้มันดูมีมนต์ขลังขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แสงสว่างจากไฟนีออนบริเวณโถงทุกชั้นไม่ได้สว่างนัก  บางดวงก็ติดๆดับๆ  เงามืดทำให้กำแพงที่เคยคุ้นอยู่ตอนกลางวันดูแตกต่างออกไป จนผมต้องรีบสาวเท้าลงบันไดเร็วๆ
   ให้ตายเถอะ’
จารย์คง..จะใช้งานอะไรกันนักหนาหว่า..
   
ให้ตายเถอะไอ้โป๊ย..จะรีบกลับอะไรนักหนาหว่า..
   
อ๊ะ
   …
ที่กล่าวโทษนี่ไม่ได้แปลว่าผมกลัวผีหรืออะไรเทือกนั้นหรอกนะครับ
   อาจารย์คงเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาผมเองครับ..เอ่อ จะบอกเช่นนั้นก็ไม่เชิง..เพราะท่านไม่ใช่ที่ปรึกษาผมในนาม
น่ะครับ  หมายถึง..ที่ปรึกษาในหลายๆด้าน แกสอนวรรณคดีควบตำแหน่งอาจารย์ผู้คุมขังนักศึกษา(อาจจะงงว่ามีตำแหน่งนี้ด้วยหรือ…) และไม่รู้เพราะอะไรถึงได้ถูกใจผมนักหนาถึงได้เรียกจัง…
   แหม..จะพูดสองแง่สามง่ามแบบนั้นก็เห็นจะไม่ถูกสักทีเดียว ว่ากันตามตรงแล้วตลอดมาผมก็ได้’จารย์คงเนี่ยแหละครับช่วยชีวิต(เว่อร์ไป)ไว้ได้หลายครั้งหลายครา แล้วก็อย่างว่าครับ  ชีวิตมหา’ลัย  สนิทกับอาจารย์สักท่านไว้คุณจะได้บุญไปถึงชาติหน้า..เพราะงั้นเวลาโดนแกเรียกใช้งาน ผมถึงปฏิเสธไม่ได้อย่างนี้ยังไงล่ะ…
   บันไดขั้นสุดท้ายโผล่มาหน้าโถงใหญ่ก่อนขึ้นอาคาร เสียงส้นรองเท้าหนังของผมเองกระทบกับพื้นแกรนิตดังขึ้นแผ่วเบา ก่อนจะก้องไปกับกำแพงช้าๆ  ผมไม่ได้ลงส้นหนักหรืออะไรหรอกครับ แค่ข้างล่างเงียบสนิท…เงียบมากกว่าห้องพักอาจารย์ที่ยังมีคนอยู่บ้างหลายเท่าทีเดียว
   ห้องถ่ายเอกสารใต้ตัวตึกปิดสนิท ห้องนิทรรศการก็ปิดสนิท  ขนาดไฟหน้าโถงลิฟท์ก็ยังปิดสนิท นอกจากไฟหรี่ๆกลางโถงแล้วก็แทบไม่มีแสงใดเล็ดลอดเข้ามา…แต่ก็ไม่ได้มืดขนาดที่ต้องการไฟฉายหรืออะไรนะ  
แต่บรรยากาศแบบนี้แม่งสยองกว่าเยอะ
   
วันนี้คนมันจะรีบกลับอะไรนักหนาวะครับ(คนมันกลัวว้อย)
   แน่นอน  ผมเชื่อว่าทุกที่มันต้องเคยมีตำนานผีสางนางไม้เหมือนกันหมดแหละครับ ที่จริง..ผมไม่ค่อยได้ฟังใครเค้าเล่ามาเท่าไหร่  ไม่เชื่อแต่ก็ไม่หลบหลู่นะครับ…แค่แบบ  เออ  ไม่ได้อยากรู้  อย่ามาเจอกับตัวกูกูขอร้อง…อะไรประมาณนั้นแหละ
   ผมถอนหายใจ  เดินออกไปสูดกลิ่นฝนจากๆที่หน้าคานูปปี…เสียงน้ำไหลลงมาตามรางน้ำฝนสู่บ่อปลาคาร์ฟดังเป็นเพื่อนผมอยู่แปปนึง แต่เมื่อยื่นมือออกไป  เม็ดฝนเปาะแปะก็ยังคงตกกระทบผิวหนังอยู่
   “ตกนานชะมัด  ให้ตาย…..สิ…”

   ฟืด!
   ยังไม่ทันสิ้นเสียง ‘สิ’ นั้น..เสียงอีกหนึ่งเสียงก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำเอาผมสะดุ้งโหยงกระโดดกอดเสาแทบไม่ทัน!...ไม่สิ ท่าทางอุบาทว์ชะมัด…เอาเป็นว่าผมผู้ซึ่งมีความหาญกล้าอยู่เต็มอกก็หันควับกลับไปมองที่มาของ
ต้นเสียงนั้น
   …ไม่มีอะไร…
   และเสียงก็เงียบหายไปราวกับว่าทุกอย่างของมันไม่เคยเกิดขึ้น…
   อวัยวะภายในอกผมกำลังวาดลวดลายจ้ำบ๊ะอย่างเมามันตอนที่ผมก้าวขากลับเข้าไปในโถงอาคาร แน่นอนล่ะ..
ผมค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่าหูผมไม่ได้ฝาด  ขี้คร้านจะวิ่งหนีไปตอนนี้มันก็ปอดแหกสิ้นดี…หนุ่มหล่อมาดแมน
แฮนซั่มอย่างนี้จะวิ่งหนีได้ยังไง
   ฟืด!
   
เฮือก..!
   อีกครั้งที่ทำให้หัวใจแทบจะลงไปกองที่ตาตุ่ม แต่แน่นอนว่าผมเก็บมันขึ้นมาได้ทันก่อนจะปล่อยเสียงร้องทุเรศๆออกไป ต้องทำเป็นกล้าในเวลาที่ไม่มีใครชมแม่งเป็นอะไรที่ปัญญาอ่อนมาก
และ..เอ่อ..ผมปัญญาอ่อนครับ
   
ผมจรดปลายเท้าดุจนินจากลับชาติมาเกิด..พยายามเงี่ยหูฟังต้นเสียงอีกครั้ง
   
..จะติดใจอะไรกับเสียงประหลาดๆแบบนั้นนักหนาวะไอ้เกรียงไกร..
   ฟืด….

   อีกครั้ง..แต่ครั้งนี้จังหวะของเสียงแตกต่างกันเล็กน้อย ผมขมวดคิ้ว..พยายามคิดถึงทุกเสียงที่ผมเคยได้ยินในโลกมาเปรียบเทียบกัน แต่อย่าหวังเลยครับ…บนโลกนี้จะมีสักกี่คนกันที่สังเกตได้หมดและจำมันได้ บ้าจริง  ผมคิดว่าผมเป็นใครวะ..
   และเพราะครั้งสุดท้ายนั่นเองทำให้ผมจับได้ว่าเสียงมาจากทางไหน ผมเดินตามเสียงไปถึงหน้าโถงลิฟท์..แสงหรี่ๆด้านหลังฉายมาให้เห็นเป็นเงาของผมบนพื้น…
ดูเหมือนหนังอำมหิตสักเรื่องที่ผมต้องปิดตาตอนดูเลยแหะ
   
ไม่มีเสียงอะไรอีก..
   
..นั่นยิ่งน่าสงสัย..
   ข้างโถงลิฟท์มีทางเดินแคบๆกว้างเมตรกว่าๆที่นำไปสู่ห้องน้ำเน่าๆสองห้อง แต่คนส่วนใหญ่ก็ใช้มุมอับสายตานี้ในการเก็บของ  โต๊ะ  กลองคณะ  และสารพัดของที่คุณจะต้องมานั่งสงสัยอีกทีว่าไปขุดมากจากโบราณสถานไหนรึเปล่า
และเสียง..ดังมาจากภายในนั้น
   ผมชะโงกหน้าเข้าไป  
แล้วหรี่ตามอง..
   ..ไม่ไหวครับ…มันมืดเกินไป…

   ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่ออยู่ในความมืดมันจะเห็นเป็นเพียงเงาตะคุ่มๆ และยิ่งดูน่ากลัวเข้าไปใหญ่เมื่อมันรกไปหมดแบบนี้..อารมณ์ว่าถ้าคุณเดินเข้าไปแล้วโดนฆ่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย แม่งยังกะเป็นที่หลบซ่อนของฆาตรกรโรคจิต
   นั่นแหละ…
ผมไม่เดินเข้าไปแน่ๆครับ
   ฟืด….

   เสียงนั้นดังอีกครั้งหนึ่ง  พร้อมๆกับอะไรบางอย่างในความมืดนั้นขยับไหว
   และผมก็รู้ว่าเสียงฟืดๆนั่นเป็นเสียงของอะไรบางอย่างเสียดสีกับพื้น อะไรบางอย่างที่กำลังขยับอยู่ตรงนั้น…
ในความมืดนั่น…ขนาดของมันไม่ใช่แมว ไม่ใช่หมาตัวใหญ่ๆแน่
   
มันคือคน
   …คำถามก็คือ…เขาทำอะไรอยู่คนเดียวในความมืดเช่นนี้…

   ผมกลืนน้ำลาย  ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือ…นึกไม่ออกว่าตัวเองควรจะทำยังไงกันแน่ระหว่าง  หนึ่ง..พุ่งเข้าไปอย่างฮีโร่เพื่อจับคนที่คาดการณ์ว่าจะเป็นขโมย สอง..เดินหนีไปเฉยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  สาม..โทรหาใครสักคนให้มาช่วย
   ซึ่งผมเลือกข้อสามอย่างไม่ลังเล…..

   แต่อะไรๆมันก็ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจหรอกครับ….
   เพล้ง!
   “เชรี้ย!”

   มือถือผมเสือกลื่นหลุดมือตกกระแทกพื้นเสียงดังลั่น ก้องสะท้อนไปกับกำแพง..ตามมาด้วยเสียงโหยหวนประหนึ่งวัวคลอดลูกของผม
   ส่วนสติน่ะเหรอ…
หายวับไปกับเจ้าลูกรักที่นอนอยู่ที่พื้นนั่นน่ะแหละ!!
   “เหยดเป็ดไอโฟนกรูว”

   ร้องห่มร้องไห้ไว้อาลัยให้ลูกรักอยู่ประมาณสามนาทีเห็นจะได้ และสิ่งที่เรียกสติผมให้กลับมาว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ก็คือ ‘หมอนั่น’ น่ะแหละ..!  อีกฝ่ายลนลานจนชนบันไดไม้ไผ่ล้มลงกับพื้นดังโครมคราม สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งชั้น ดูวินาศสันตะโรมากกว่าไอโฟนของผมลิบลับ…
   พอเห็นหน้าจอยังติดดีไม่มีริ้วรอยผมก็งัดมันออกมา
   …
กลั้นใจอยู่เสี้ยววินาที..แล้วเปิดไฟฉายส่องเข้าไปทันที
   “หยุด!  อย่าขยับนะว้อย!”

   ได้ผลชะงัด!  อีกฝ่ายมุดตัวซ่อนอยู่หลัง..เอ่อ..อะไรบางอย่างที่ถูกคลุมผ้าไว้…ทันที  แต่ไม่อาจหายไปจากสายตาอันเฉียบแหลมของผมได้หรอก
  …ผมเห็นชุดนักศึกษาเต็มๆเลยล่ะครับ…

   “ใครวะ  ทำอะไรอยู่?”
   ถ้ามันตอบแม่งก็โง่มากแล้วครับ เสือกทำตัวมีพิรุธสุดชีวิตขนาดนี้มันคงจะหันมาบอกผมหรอกว่า ‘เฮ้  ไงครับพี่  
ผมเอง  A  ปีหนึ่งรหัสxxxxx  กำลังตามหาสายฟ้าที่หายไปอยู่’…หรือจะยกตัวอย่างอะไรดีวะ  ช่างแม่งล่ะกัน
   และความที่รู้ว่าเป็นคนกันเองเนี่ยแหละ ผมก็เดินดุ่มๆเข้าไปประหนึ่งแบรด  พิทท์พิชิตซอมบี้ฆ่าไม่ตายในเรื่องWWZ

   …นี่ถ้าสาวๆอยู่ด้วยคงกรี๊ดกันตรึม…
   ผมเดินเข้าไปใกล้พร้อมโทรศัพท์ฉายแสงในมือ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้..ผมก็ยิ่งต้องขมวดคิ้วเพ่งหนัก  อะไรบางอย่างบอกให้ผมรู้ว่ามันดู..ประหลาด…เอ่อ…สี…ลักษณะ…ของผิวหนังที่มัน……….
   ผลัวะ!
   แต่ยังไม่ทันจะตั้งข้อสังเกตไปมากกว่านี่หมอนั่นก็พุ่งเข้ามาด้วยความไวชนิดที่ตาเกือบมองไม่ทัน มือใหญ่..
และหยาบกร้าน..บีบข้อมือผมแน่นจนเผลอปล่อยไอโฟนลงบนพื้นอีกครั้ง(โธ่ลูกพ่อยังผ่อนไม่หมด!!)  เขาเตะมันหลบวูบเข้าไปใต้กองผ้าให้แสงสุดท้ายแห่งความหวังผมมลายสิ้น
   แน่นอน  จังหวะนั่นเองที่ผมตกใจมากพอจะอ้าปากร้องขอความช่วยเหลือ แต่มืออีกข้างของเขาก็กดปิดปากผมไว้…และความรุนแรงนั้นทำให้ผมเซลงไปบนกองข้าวของอะไรสักอย่างโดยไม่ทันตั้งตัว ได้ยินเสียงอะไรแตกหักอยู่ใต้ตัวผม..อาจจะเป็นโมเดลไม้ของใครสักคน…
แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน!
   อิพ่อเอ้ย  กูจะโดนฆ่ามั้ยเนี่ย…!

   เบื้องหน้าของผมที่ยังไม่ชินกับความมืด…มีเพียงเงาตะคุ่มที่กำลังล็อคผมไว้ไม่ให้ขยับตัว
   มือหนาใหญ่ที่ปิดปากผมอยู่แน่นและแรง..จนผมต้องใช้ทุกกระบวนท่าเพื่อหาอากาศให้ตัวเองได้หายใจ…ซึ่งอีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้  
เขาถึงได้คลายแรงบีบออกนิดหน่อย
   ผมได้กลิ่นน้ำ..กลิ่นของน้ำชื้นๆจากผิวแห้งๆนี่…และผมไม่ได้คิดไปเอง…

   …สัมผัสของ ‘เกล็ด’….
   …มันคือ…เกล็ดสีเขียว….
   “ไกร”
   เสียงทุ้มนั้นเอ่ยชื่อผมขึ้นมา มันฟังดูคุ้นหู…คุ้นจนผมต้องเบิกตาโพลง
   
แต่เขายังพูดต่อ
   “สัญญานะ  ถ้าปล่อย…แล้วจะไม่ส่งเสียงอะไร”

   ผมมีทางเลือกอื่นมั้ยล่ะครับ..แหม
   หลังจากเสี้ยววินาทีที่ใช้พิจารณาข้อเสนอนั้น..ผมก็พยักหน้าหงึก
รู้สึกได้เลยว่าตาตัวเองแห้งจากการเบิกโพลงคาไว้ตั้งกะเมื่อกี้
   
และผมก็เป็นอิสระในไม่กี่วินาทีถัดมา
   อีกฝ่ายถอยหลังไปพิงกำแพงอีกด้าน จังหวะนั้นสายตาผมเริ่มชินกับความมืดอย่างช้าๆ…มองเห็นดวงตาสีทอง
ลุกวาวในความมืด  เห็นผิวหนังสีครีมเลื่อมเขียวที่แปลกตา..เห็นรอยเกล็ดจางๆบนผิวกายนั่น…
   …เห็นเรียวคิ้วที่ยักทักทายผม..และกวนตีนเหมือนที่เขาเคยทำมาตลอด…
   คอผมแห้งผาก  สติด้านหนึ่งบอกให้ผมกรีดร้องอย่าไปรักษาสัญญา ส่วนอีกสติก็บอกผมว่าใจเย็นๆเรื่องนี้เรา
คุยกันได้
   แต่ผมไม่เชื่อสติครับ  ผมไม่เชื่อแม้กระทั่งสายตาตัวเองด้วยซ้ำ…
   ….เพราะกว่าจะเปล่งเสียงทักคำแรกออกไปได้แม่งก็กินเวลาหลายนาที…
   “…..ไอ้วัน?”
   ผมนึกโทษไอ้โป๊ยเซียน  นึกโทษอาจารย์คง  นึกโทษแก้ว  นึกโทษทุกคนทุกสิ่งบนโลกที่ทำให้ผมมีวันนี้
   …...วันที่แม่งเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล
แต่เอยแต่ใด
จ้าวกุมภีล์ผู้ใหญ่ยิ่งนักหนา
ได้ครอบครองแก้ววิเศษเรืองฤทธา
ด้วยเดชาเปลี่ยนกุมภาเป็นรูปคน
สีอำพันสุกใสเป็นนัยน์เนตร
ร่างวิเศษเสมอเหมือนไม่สับสน
สองมือห้านิ้วครบจบในตน
รูปโฉมงามล้นให้พ้นภัย
หากแต่ต้องแตะน้ำจึงหวนกลับ
กายแปลงลับลาสิ้นมิอาจไห้
ผิวกายอ่อนกลับเป็นเกล็ดมิดั่งใจ
ตระหนักไว้เราคือใคร..มิใช่ ‘คน’


นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
45985
Zenny
3809
ออนไลน์
9002 ชั่วโมง
โพสต์ 2015-7-18 04:35:46 | ดูโพสต์ทั้งหมด
 นักศึกษาภาคพิเศษ (M.D.A)
ปริญญากิตติมศักดิ์
โพสต์ 2015-7-21 16:11:03 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณครับ

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
16571
Zenny
3456
ออนไลน์
3484 ชั่วโมง
โพสต์ 2015-8-2 23:55:36 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณครับ

นักศึกษาหน้าใหม่

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
42
Zenny
100
ออนไลน์
1 ชั่วโมง
โพสต์ 2015-8-3 00:11:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณครับ

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
19415
Zenny
2198
ออนไลน์
1152 ชั่วโมง
โพสต์ 2017-2-20 01:54:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณมาก

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
7
พลังน้ำใจ
40821
Zenny
35264
ออนไลน์
3561 ชั่วโมง
โพสต์ 2017-2-24 06:53:11 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม

ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2024-11-28 10:04 , Processed in 0.097179 second(s), 26 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.8

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้