โรคท้องร่วงในฤดูร้อน หมายถึงการที่ถ่ายอุจาระเหลวหรือเป็นน้ำมากกว่า 3ครั้งต่อวันหรือถ่ายเหลวมีเลือดปนเพียง 1 ครั้งใน24 ชั่วโมงโดยทั่วไปอาการท้องร่วงมักหายได้เองใน 2-3 วันโดยที่ไม่ต้องรักษา ถ้าเป็นนานกว่านั้นต้องมีปัญหาอื่น ท้องร่วงทำให้เกิดผลเสียคือร่างกายขาดน้ำซึ่งถ้าเป็นมากอาจจะอันตรายถึงกับเสียชีวิตได้ อาการ
ท้องร่วง
ท้องร่วง ท้องเดิน ท้องเสีย หรือลงท้องคือ มีการถ่ายอุจจาระที่มีจำนวนมากกว่าปกติตั้งแต่3 ครั้งขึ้นไปใน 1 วัน หรือถ่ายเป็นน้ำจำนวนมากหรือเป็นมูกเลือดแม้เพียง 1 ครั้งต่อวัน แบ่ง
อาการท้องร่วงได้2 ชนิด 1. อาการท้องร่วงอย่างเฉียบพลัน หมายถึง อาการท้องร่วงที่เป็นทันทีทันใดแต่เป็นระยะสั้นๆ ไม่เกินสองสัปดาห์ 2. อาการท้องร่วงชนิดเรื้อรัง หมายถึง อาการท้องร่วงที่เป็นติดต่อกันนานกว่าสองสัปดาห์และ บางรายอาจเป็นเดือนหรือหลายเดือนติดต่อกัน หรือมีอาการเป็นพักๆ
อาการแสดงของโรคที่
ทำให้เกิดอาการท้องร่วงมีได้กว้างขวางมากมายตามสาเหตุของโรคแต่เราสามารถแบ่งได้เป็น 2ชนิด คือ 1. ท้องร่วงจากการ
ติดเชื้อ ทั้งจากเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย จะมีลักษณะอาการและลักษณะอุจจาระที่ออกมาแตกต่างกันที่น่ารับรู้และให้สังเกตไว้ ได้แก่ อหิวาตกโรค จะมีลักษณะอุจจาระคล้ายน้ำซาวข้าว ผู้ป่วยจะมีการอาเจียนอ่อนเพลีย และซึมร่วมด้วย ท้องร่วงจากเชื้อบิดมักจะถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือดร่วมกับมีอาการอาเจียนมีไข้สูง อ่อนเพลีย 2. ท้องร่วงชนิดไม่มีการติดเชื้อ โรคที่พบได้บ่อยในบ้านเราได้แก่ การขาดเอ็นไซม์แลคเตส ที่ทำการย่อยน้ำตาลนม จากการศึกษาเรื่องแลคเตสในเยื่อบุของเซลล์ลำไส้ของคนไทยพบว่า80-90 เปอร์เซ็นต์ ขาดเอ็นไซม์ตัวนี้ อาการของผู้ป่วยโรคนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่ดื่มนมสดไปแล้วประมาณ1 ถึง 2 ชั่วโมง คือรู้สึกโครกครากในท้อง ปวดท้องแบบปวดบิดๆ และมีอาการท้องร่วงเป็นน้ำ 1-2 ครั้งแล้วจึงค่อยหายไป
การป้องกันการ
เกิดโรคท้องร่วง
1. ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่บ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังจากเข้าห้องน้ำ
2. ล้างผักผลไม้ให้สะอาด โดยล้างผ่านน้ำหลายๆครั้ง หรือแช่ในน้ำเกลือหรือแช่ในน้ำละลายด่างทับทิม หรือน้ำผสมเบกกิ้งโซดา
3. ล้างภาชนะให้สะอาดทุกครั้ง เช่น เขียง มีด ช้อน ส้อม ถ้วย จาน แก้วน้ำและควรใช้ช้อนกลางทุกครั้งในการรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
4. รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆและผ่านการปรุงที่ถูกต้องปลอดภัย ถ้าจำเป็นต้องนำมารับประทานอีกควรทำให้ร้อนจึงจะปลอดภัย โดยมีวิธีสังเกตง่ายๆคือ ถ้าน้ำเดือดปุดๆคืออุณหภูมิถึง 100 องศาเซลเซียส
5. ไม่ควรรับประทานอาหารที่ปรุงทิ้งไว้ เพราะอาหารอาจบูดเน่าก่อนที่เราจะนำมารับประทาน
6. ลวกหอยแครงให้ถูกต้อง โดยลวกในน้ำเดือดอย่างน้อย 1-2 นาทีจึงจะมั่นใจในการรับประทานว่า อร่อยอย่างปลอดภัยซึ่งจะฆ่าเชื้อโรคและคงรสชาติไว้ได้อีกด้วย
7. ควรต้มน้ำให้สุกทุกครั้งก่อนนำมาดื่ม โดยเฉพาะน้ำที่กดจากตู้กดทั่วไปเพราะอาจจะมีการปนเปื้อนเชื้อโรคได้
8. ควรเลือกวัตถุดิบที่ถูกสุขลักษณะ เลือกผักผลไม้ที่สดและสะอาด ใช้เวลาในการเลือกให้พิถีพิถันขึ้นเพื่อให้ได้ของที่มีคุณภาพดีที่สุด
9. ต้องแยกอาหารที่เป็นวัตถุดิบและอาหารที่ปรุงสุกแล้ว เพราะเนื้อสัตว์ดิบอาจจะปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียมาอาหารที่ปรุงสุกควรใส่ภาชนะที่ปิดสนิท ไม่ควรวางปะปนกัน
10. เก็บอาหารไว้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส อุณหภูมิที่เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดีคือ 5-60 องศาเซลเซียส ถ้าต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียสเชื้อโรคจะไม่เจริญเติบโตแต่ไม่ตายจึงควรอุ่นอาหารที่เก็บไว้ในตู้เย็นก่อนนำมารับประทานทุกครั้ง
การรักษาและ
ดูแลผู้ป่วยโรคท้องร่วง
1. ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่โออาร์เอส สูตรขององค์การเภสัชกรรมหรือองค์การอนามัยโลกให้จิบทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง ในปริมาณที่เท่ากับปริมาณอุจจาระที่ถ่ายออกมาในแต่ละครั้งเพื่อป้องกันการขาดน้ำและเกลือแร่
หากผู้ป่วยเป็นเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ควรให้ดื่มครั้งละ 1/4-1/2 แก้ว โดยใช้ช้อนค่อยๆป้อนที่ละ1 ช้อนชา ทุก 1-2 นาที ไม่ควรให้ดูดจากขวดนมเพราะเด็กจะดูดกินอย่างรวดเร็วเนื่องจากกระหายน้ำซึ่งจะทำให้ร่างกายดูดซึมไม่ทันและอาจทำให้อาเจียนและถ่ายมาก แต่ไม่จำเป็นต้องอดอาหารหรือนมควรให้อาหารเหลวบ่อยครั้ง เช่น น้ำข้าวต้ม น้ำแกงจืด และนมแม่ สำหรับเด็กที่ดื่มนมผสมอาจผสมนมให้เข้มข้นเหมือนเดิมแต่ลดปริมาณลง และให้สลับกับสารละลายน้ำตาลเกลือแร่
หากผู้ป่วยเป็นเด็กอายุมากกว่า 2 ปี ควรให้ดื่มครั้งละ 1/2-1 แก้วให้จิบทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง เมื่ออาการดีขึ้นจึงให้หยุดดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่และให้กินอาหารอ่อน ย่อยง่าย ซึ่งจะทำให้ลำไส้ฟื้นตัวเร็ว
Tip
ถ้า
ไม่มีสารละลายน้ำตาลเกลือแร่สามารถทำเองได้ดังนี้
ผสมน้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่นครึ่งช้อนชา น้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว ใส่ลงในแก้ว คนให้ละลายและเข้ากันดีถ้าดื่มไม่หมดภายใน 24 ชั่วโมงให้ทิ้งไป แล้วผสมใหม่
2. หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาล เช่น ถ่ายหรืออาเจียนไม่หยุดมากกว่า4 ครั้ง หิวน้ำตลอดเวลา หรือปัสสาวะไม่ออกเนื่องจากขาดน้ำมากหน้ามืด ช็อกหรือหมดสติ มีไข้ ปวดท้องรุนแรง หรือเวลาถ่ายจะรู้สึกปวดเบ่งตลอดเวลาเนื่องจากเป็นอาการของบิด
3. ขับถ่ายในสุขภัณฑ์ที่ถูกสุขลักษณะ ล้างมือให้สะอาดเสมอทุกครั้งหลังจากการขับถ่ายด้วยน้ำและสบู่เนื่องจากอหิวาตกโรคเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายและแพร่ระบาดได้อีกด้วย
4. กำจัดอาเจียนของผู้ป่วย โดยเททิ้งลงโถส้วม ราดน้ำให้สะอาดแล้วราดตามด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค เช่น น้ำยาล้างห้องน้ำหรือน้ำยาซักผ้าขาวก็ได้
5. สิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วยรักษาให้สะอาดเสมอ ซึ่งรวมถึงเสื้อผ้า ผ้าปูที่นอนปลอกหมอน ผ้าเช็ดตัว ทำการซักให้สะอาดและนำออกตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อโรคด้วย
6. ผู้ดูแลใกล้ชิดผู้ป่วยควรหมั่นล้างมือ ฟอกสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อเป็นการป้องกันเชื้อปนเปื้อนจากมือสู่อาหารและเกิดการติดโรคได้
ข้อห้ามเมื่อ
มีอาการท้องร่วง
1. ห้ามรับประทานยาฆ่าเชื้อ เพราะท้องร่วงเกิดได้จากหลายสาเหตุอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียซึ่งมียารักษา แต่ยังไม่มียาฆ่าเชื้อถ้าเกิดจากเชื้อไวรัสดังนั้นการกินยาฆ่าเชื้อซึ่งฆ่าได้เฉพาะเชื้อแบคทีเรียก็ไม่สามารถฆ่าเชื้อ ได้และอาจทำให้เชื้อดื้อยาได้
2. ห้ามรับประทานยาหยุดถ่าย การขับถ่ายเป็นขบวนการขับของเสียออกจากร่างกายหากรับประทานยาหยุดถ่ายจะทำให้ลำไส้ทำงานน้อยลง ซึ่งจะส่งผลให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตเข้าสู่กระแสเลือดได้ดีขึ้น
|