C h a p t e r 2 9
❖
สู ญ เ สี ย
สภาพของมิเกลไม่ได้มีรอยแผลหรืออาการบาดเจ็บอะไรคิดว่าเจ้าตัวคงจะเหนื่อยและรีบร้อนมากจน หายใจหอบ ยูโรส่งแก้วที่มีน้ำเย็นรินใส่จนเต็มให้คนที่ถูกพามานั่งพักที่โซฟา
พอคนในห้องเห็นบุคคลที่ 3 ที่ขึ้นมาพร้อมกับยูโรและอาร์มินก็ต้องเลิกคิ้วแปลกใจแล้วเดินเข้ามาหา
“พี่มิเกล พี่มาได้ไงน่ะครับ?” อัลฟาผละออกจากเอ็กซ์แล้วเดินมานั่งลงข้างๆ มิเกล
มิเกลสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วยกแก้วน้ำขึ้นจิบก่อนจะหันมามองหน้าเด็กตัวเล็กข้างๆ
“ผมหนีออกมาจากคอนโดคุณไคลด์”
“ตอนนี้มิสเตอร์ไคลด์ยังไม่กลับอังกฤษเหรอครับ?!แล้วมัม! เอ่อ..ร่างมัม”
อัลฟาตะโกนอย่างลืมตัวก่อนจะชะงักเสียงไปแล้วค่อยๆ เอ่ยปาก
มิเกลเหลือบตามองอติกานต์เล็กน้อยแล้วลากสายตาไปที่กระเป๋าเดินทางหลายใบตรงด้านข้าง
“นี่ทุกคนกำลังจะกลับอังกฤษกันเหรอครับ” มิเกลเอ่ยปากถาม แล้วเม้มปากครุ่นคิดถึงเรื่องร่างของลอว์เรน
นึกสงสัยในใจว่าอติกานต์คงจะรู้เรื่องนี้แล้ว
เขาไม่แปลกใจที่อัลฟาจะยอมเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้วหลังจากที่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นที่ คอนโดคุณไคลด์ แต่หากคาดไม่ถึงว่าจะได้เจออติกานต์ที่นี่ในเวลานี้…
“เรื่องของลอว์เรนคือยังไงมิเกล”
แล้วสุดท้ายคำถามที่ไม่อยากได้ยินที่สุดจากปากของคนที่ยังไม่อยากเจอที่สุดก็ออกมาจนได้
“…ผม”
“มันเกิดอะไรขึ้น ที่ผ่านมาเธอทำอะไรกันแน่”
“…”
มิเกลยังคงนิ่งเงียบ และไม่ได้ตอบคำถามนั่นและเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องพูดไปเสียเฉยๆ
“ผมมาที่นี่เพราะมั่นใจว่าคุณอัลฟาจะต้องกลับไปที่อังกฤษแน่ๆ”
อัลฟาขมวดคิ้วแล้วมองหน้ามิเกลอย่างไม่เข้าใจ “ครับ ยังไงผมก็ต้องไป ผม…หักหลังมิสเตอร์ไคลด์”
อัลฟาเอ่ยปากอย่างสับสนแน่นอนว่าการที่เขาทำให้มิสเตอร์ไคลด์ไม่พอใจนั่นเท่ากับแม่ของเขาย่อมเป็นอันตราย ความจริงเขาถอยหลังไม่ได้แล้ว
หากแต่พี่เอ็กซ์...พี่เอ็กซ์ก็สำคัญสำหรับเขาไม่แพ้กัน
“เพราะฉะนั้นร่างของมัมจะต้อง-” แต่ไม่ทันที่เจ้าตัวเล็กจะได้พูดจบ มิเกลก็สวนคำแทรกขึ้น
“คุณลอว์เรนไม่อยู่แล้วครับ”
คำที่ทำให้คนทั้งห้องนิ่งงัน…อัลฟาอ้าปากเปิดปิดอยู่หลายครั้ง นัยน์ตาสั่นระริกอย่างคนตกใจ
เอ็กซ์รุดเข้ามารวดเดียวก็ถึงตัวเจ้าตัวเล็กเขาคว้าอัลฟาที่เริ่มจะสติแตกเข้าหาตัว ยูโรเองก็วางมือที่บ่าอัลฟาแล้วบีบเบาๆ
“หมายความว่ายังไง? ลอว์เรนอยู่ที่ไหน?!”
ไม่ใช่อัลฟาที่เป็นฝ่ายอาละวาดด้วยความตระหนกหากแต่เป็นอติกานต์ที่เริ่มจะกำหมัดแน่น แล้วกัดฟันอย่างโทสะ
“คุณอติกานต์ครับ ใจเย็นๆ ก่อนร่างของคุณลอว์เรนผมนำไปฝังที่โลงศพของเธอแล้วครับ”
อติกานต์ขมวดคิ้วแน่นขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ เขาเริ่มร้อนรนขึ้นทุกขณะเมื่อพบว่าจนถึงวันนี้มีเรื่องราวมากมากเกิดขึ้นในขณะที่เขาไม่รู้ ซ้ำยังเป็นเรื่องของครอบครัวเขา
“มิเกล เธอควรเล่าเรื่องทุกอย่างออกมาก่อนที่ฉันจะเป็นบ้า” อติกานต์กดเสียงต่ำแล้วทรุดตัวนั่งลงที่โซฟายกมือกุมขมับ
มิเกลสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วระบายออกมาช้าๆก่อนจะเงยหน้ามองอติกานต์แล้วลากสายตามาทางอัลฟา
“หลังจากวันที่คุณอัลฟาได้เห็นร่างของคุณลอว์เรนวันนั้นเป็นเวลาเกือบ6 ปีที่คุณไคลด์รักษาสภาพกาย ของคุณลอว์เรนเอาไว้และให้คุณอัลฟาได้เข้าไปพบทุกเดือน”
มิเกลว่าเสียงเรียบ “จนถึงวันที่คุณอติกานต์ถูกส่งไปทำงานที่ต่างแดน และคุณอัลฟามาอาศัยอยู่ที่เมืองไทยคุณไคลด์สั่งให้ผมทำลายร่างคุณลอว์เรนเพื่อยุติปัจจัยที่เสี่ยงทั้งหมด”
“ปัจจัยที่เสี่ยง? มิสเตอร์ไคลด์ต้องการทำอะไรกันแน่ครับ?!จะจับซาไลย์ทำไมกันแน่!”
อัลฟาตะโกนสวนไปทันทีที่มิเกลพูดจบนัยน์ตาสองสีเริ่มวาวขึ้นด้วยอารมณ์ แบบที่เอ็กซ์ก็รีบคว้าใบหน้าอัลฟาปิดตาเจ้าตัวเล็กแน่น พลางเอ่ยคำกล่อมข้างหู
“ใจเย็นๆ อัลฟา ฟังเสียงพี่…ไม่เป็นไร ชู่ว..”
นี่คงเป็นวิธีเดียวที่ซาไลย์อย่างเอ็กซ์ออกในเวลาอย่างนี้ เวลาที่เจ้าตัวเล็กของเขากำลังควบคุมอารมณ์ และพลังไม่ได้… การปิดสัมผัสทางการมองเห็นและพูดปลอบข้างหูคงสามารถลดแรงกระตุ้นความโทสะได้ ไม่มากก็น้อย มิเกลนิ่งรอจนอัลฟาค่อยๆสงบลงแล้วจึงเอ่ยปากต่อ “…เลือดของซาไลย์มีค่ามากนะครับคุณอัลฟา”
อัลฟาหายเข้าใจลึกๆ ยามที่เอ็กซ์ละมือออกจากช่วงตาเขา
“เลือดซาไลย์ชุบชีวิตคนไม่ได้...มัมไม่มีทางฟื้น”
เสียงสั่นเล็กน้อยยามเอื้อนเอ่ยความจริงอันบาดใจมือเล็กบีบอุ้งมือใหญ่ของคนข้างๆ แน่น ราวกับต้องการพลังใจ แบบที่เอ็กซ์ก็กอบกุมมือนั้นตอบทันที
“ครับ…คนตายแล้วไร้สิ้นประโยชน์หากแต่กับคนที่ยังมีชีวิตมันกลับเป็นดั่งยาทิพย์”
มิเกลเอ่ยปากสีหน้าเคร่งเครียดเขาเว้นช่วงไปนิดแล้วหันมองทางสเปเชียลที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“คุณสเปเชียลทราบดีใช่ไหมครับว่าตัวคุณเองก็ไม่ต่างกัน”
แน่นอนว่าหากเลือดซาไลย์เป็นวัคซีนเลือดสเปเชียลเองก็เป็นเสมือนเข็มฉีดยา
หากไม่มีเข็มฉีดยา…ก็คงไม่อาจนำวัคซีนพุ่งตรงเข้าเส้นเลือดได้
“…”
“คุณคือปัจจัยและตัวแปรเดียวที่มีอยู่บนโลกใบนี้”
คำมิเกลทำซีขยับขึ้นมาบังสเปเชียลไว้ด้วยแผ่นหลังกว้าง นัยน์ตาสีทองฉายแววไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดมิเกลเผลอกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างไม่รู้ตัว เขาขยับตัวเล็กน้อยแล้วกระแอมด้วยความอึดอัด
“ผมมาที่นี่ก็เพื่อห้ามไม่ให้พวกคุณกลับไปที่อังกฤษผมเองหนีออกมาจากคอนโด คิดว่าคุณไคลด์คงจะทราบเร็วๆ นี้แน่ว่าผมมาหาพวกคุณ...และผมขอย้ำว่าการที่จะบุกไปหาเขาเป็นเรื่องอันตรายที่ไม่สมควรกระทำในตอนนี้ครับ”
อติกานต์มองเด็กหนุ่มตรงหน้านิ่งๆ เด็กหนุ่มที่มีอายุไม่ได้มากไปกว่าพวกเด็กๆในห้องเลย
มิเกลเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อแม่เสียชีวิตในขณะทำงานให้รัฐ
ซึ่งไคลด์เป็นคนรับมาเลี้ยงดูตั้งแต่อายุยังไม่เกิน5 ปีได้การที่หักหลังผู้มีพระคุณของตัวเองเพื่อมาเตือนเขาที่นี่
แม้จะเพิกเฉยเสียนานจนไม่น่าให้อภัย แต่สำหรับเขา…นั่นนับว่าต้องขอบคุณแล้ว
“...ผมคงปล่อยมิสเตอร์ไคลด์ไปเฉยๆ ไม่ได้หรอกครับพี่มิเกล”
อัลฟาสบตากับมิเกลนิ่งเอ่ยถ้อยคำด้วยน้ำเสียงมั่นคงจนคนฟังต้องหนักใจ
“ผมเห็นด้วยนะครับ”
หากแต่คราวนี้ความหนักใจนั้นกลับต้องมีความประหลาดใจเข้ามาผสมอยู่ด้วยเมื่อสเปเชียลเป็นคนเอ่ยปากเสริมขึ้นมา
“ถ้าเราไม่บุกไปยังไงสักวันมิสเตอร์ไคลด์ก็ต้องหาวิธีบุกมาอยู่ดีถึงขั้นนี้แล้วผมไม่คิดว่ามิสเตอร์ไคลด์ จะยอมถอยง่ายๆ แน่ยิ่งเราบุกไปในขณะที่เขายังไม่ทันตั้งตัวยิ่งดี”
สเปเชียลว่าเสียงเครียดให้มิเกลขมวดคิ้วมองอย่างไม่เห็นด้วยแต่เรื่องที่อีกฝ่ายพูดมาก็เป็นเรื่องจริงที่เถียงไม่ได้
“แต่ผมคิดว่าคุณสเปเชียลไม่ควรไปนะครับ”
“ผมคงนั่งรอที่คอนโดเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลยในขณะที่ให้พวกอัลฟาไปเจอเรื่องอันตรายขนาดนั้นไม่ได้หรอกครับ”
แน่นอนว่าหากอัลฟาไป อติกานต์เองก็คงไม่อยู่เฉยยูโรก็คงไม่นั่งรออยู่ที่บ้าน เอ็กซ์เองก็ไม่มีทางห่างจากเจ้าตัวเล็กแน่ๆและหากเอ็กซ์ไป อาร์มินก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ตาม
ในเมื่อความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นจนเป็นลูกโซ่ต่อกันขนาดนี้แล้ว จะให้แยกกันอยู่คนละที่คนละทางย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ทางด้านซีก็ยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงความเห็น เพราะเขาเองไม่มีความคิดที่จะห้ามปรามหรือปิดบังเรื่องราวอะไรกับเด็กของเขาอีกแล้ว นับตั้งแต่เกิดเรื่องราวมากมายที่ผิดพลาดที่ผ่านมา เขามั่นใจมากกว่าสิ่งใดว่าการตั้งรับปัญหาที่ดีที่สุดคือการที่เขากับสเปเชียลอยู่ด้วยกัน
ไม่ว่าจะเจอสภาวะแบบไหน ขอแค่สเปเชียลอยู่ในสายตาอยู่ข้างกาย แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
“…”
มิเกลยังคงตีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างชัดเจนกับเหตุผลนั้น
“คุณสเปเชียลเป็นเป้าหมายหนึ่งที่สำคัญนอกเหนือจากซาไลย์การที่คุณไปที่นั่นก็ไม่ต่างจากการนำเนื้อโยนเข้าไปในปากเสือ”
สเปเชียลหันมองทางน้องชายตนเล็กน้อยก่อนจะหันเหความสนใจมาทางมิเกลอีกครั้ง
“พี่มิเกลเลิกกล่อมผมเถอะครับ…ยังไงผมก็คงไม่ใช่แค่เนื้อที่ถูกแล่ใส่จานไว้แล้วแน่ๆ”
วาจาเด็ดขาดที่ไม่มีกระแสเสียงของความลังเลสักนิด
สเปเชียลยังคงนิ่งและตั้งรับกับความกลัวได้ดีเสมอ “แล้วตอนนี้สถานการณ์ทางนั้นเป็นยังไงบ้างครับ”
มิเกลสบตาจริงจังคู่นั้นของสเปเชียลกลับไปและคนตรงหน้าก็ดูไม่มีอาการจะเปลี่ยนใจเลยสักนิด
เขาถอนหายใจอย่างยอมแพ้แล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย
“หลังจากที่พวกผมฟื้น ตัวคุณไคลด์เองได้รับผลกระทบจากพลังคุณอัลฟาไปเสียมากเพราะพุ่งเข้าตัวโดยตรง ต้องพักฟื้นอีกระยะ
คิดว่าน่าจะเดินทางไปอังกฤษคืนนี้แต่หากเห็นว่าผมหายไปคงจะทราบว่าผมหนีมาหาพวกคุณแน่นอนว่าเขาจะต้องไม่ไปจากประเทศไทยแน่ๆ”
มิเกลร่ายยาวหลังจากวิเคราะห์ข้อมูลสถานการณ์และคาดคะเนเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
“หากจะบุกผมเองก็เห็นด้วยว่าควรจะเป็นวันนี้…เพราะยิ่งนานเท่าไหร่จะยิ่งเสียเปรียบคุณไคลด์จะตั้งรับได้แน่นหนามากขึ้นตามลำดับเวลา”
“ผมภาวนาให้ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าพี่หายไป…”สเปเชียลเอ่ยเสียงเรียบ แบบที่มิเกลก็พยักหน้ารับ
เพราะหากทางนั้นไม่รู้จะต้องยังคิดว่าพวกเขาจะบุกไปที่อังกฤษอยู่แน่นอน ซึ่งหากคิดเช่นนั้นที่คอนโดจะต้องไม่มีการป้องกันและหละหลวมในเรื่องของความปลอดภัยเป็นแน่ คงจะไม่ต้องเสียเวลาคิดอีกแล้ว…
“เราควรออกไปตั้งแต่ตอนนี้”
ระหว่างเดินทางจากคอนโดซีไปยังจุดหมายด้วยรถตู้ขนาดใหญ่ของบ้านสเปเชียลที่ให้คนรถขับมาส่งให้แล้ว
เอ็กซ์นั่งเงียบมาตลอดเขาเหลือบตามองเพื่อนรักข้างกายอยู่หลายครั้ง...
ซีไม่ใช่ซาไลย์ขี้ลืม
ซีเป็นซาไลย์ที่ฉลาด ไหวพริบดีและแทบไม่มีช่องโหว่อะไร
ซ้ำยังมีสิ่งที่พิเศษจนต้องขนลุกเสียอีก...
ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่านั้นทำให้เอ็กซ์มั่นใจว่าซีไม่มีทางลืมคิดถึงข้อนั้น แต่ที่เขากำลังคิดสงสัยในหัวนั่นก็คือ…ทำไมเจ้าตัวถึงไม่พูดถึง
เอ็กซ์ขมวดคิ้วแน่นขณะครุ่นคิด จนอัลฟาสังเกตเห็นความผิดปกติทางอารมณ์เล็กๆนั่น
ให้คนที่กำลังใช้ความคิดก็ต้องหันมาสนใจเด็กตัวเล็กที่นั่งเกยตักเขาอยู่เมื่อมือเล็กกำมือของเขาแน่น
“พี่เอ็กซ์…”
เอ็กซ์เลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้ากังวลของอัลฟาเขาคว้าเอวเจ้าตัวเล็กให้ขึ้นมาบนตักเต็มตัว
“พี่เอ็กซ์เครียดอะไรรึเปล่าครับต้องการเอนไซม์เหรอ?”
เอ็กซ์ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วกดจมูกลงที่กระหม่อมของคนบนตัก สัมผัสและกลิ่นกายอ่อนๆ นั่นยิ่งทำให้รู้สึกหวงมากขึ้นไปอีก ความจริงแล้วเขาอาจจะเป็นซาไลย์ขี้หวงมากกว่าซีหลายเท่านัก แค่คิดว่าอัลฟากำลังจะต้องกลับไปที่นั่นอีกก็ทนแทบไม่ไหว
ไอ้ที่นิ่งๆ มาได้นั้นความจริงแล้วแค่ภายนอกหากใครจะรู้ว่าข้างในกำลังรวนและวิ่งวนจนร้อนเป็นไฟ
และในเมื่อตัวเขาเองหากจะบุกเข้าไปแค่คนเดียวอัลฟาก็คงจะไม่มีวันยอม แต่วิธีที่จะไม่ต้องมีการประจันหน้ากัน…วิธีที่จะทำให้ทุกอย่างจบลงง่ายๆ ในพริบตาเดียว เป็นหนทางที่จะไม่ต้องทำให้เจ้าตัวเล็กของเขาเข้าไปเสี่ยงในที่แบบนั้นอีก…
แค่คิดว่าต้องห่างกันอีกสักครั้งก็ทำให้เขาสามารถอาละวาดจนเป็นบ้าได้...ไม่เอาอีกแล้วกำแพงเปราะโง่ๆ ที่ขวางเขาไว้
คิดถึงตรงนั้นแล้วคนที่นั่งเงียบอยู่ตลอดตั้งแต่เมื่อครู่ก็เอ่ยปากกับซี ให้คนขับรถเหยียบเบรกแล้วหักเข้าข้างทาง ก่อนที่ทุกคนบนรถหันมามอง
“ทำไมนายไม่ใช้ไวรัส”
เอ็กซ์ว่าบนรถที่หยุดขับเคลื่อนแล้วยังคงเงียบสนิท “ให้ฉันกับอาร์มินเข้าไปด้วยก็ได้”
เจ้าของนัยน์ตาสีทองที่เป็นฝ่ายถูกตั้งคำถามหันกลับไปสบตานิ่งๆปากหยักลึกนั่นไม่ได้ขยับเอื้อนเอ่ยคำตอบใดๆ ซีทำเพียงมองหน้าเอ็กซ์เฉยๆหากแต่เข้าใจในเป้าหมายและเหตุผลของประโยคคำถามนั้นดี
ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดแต่กลับเอ่ยปากเสนอกับเด็กของเขาไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะนั่นก็เป็นวิธีที่เขาคิดว่ามันสมเหตุสมผลที่สุดแล้วเช่นกัน
การกำจัดสิ่งมีชีวิตที่เป็นอันตรายต่อดวงใจของเขาให้สิ้นซากไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ย่อมดีกว่า
ซึ่งยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แต่การพูดคุยกับสเปเชียลนั้นทำให้เขาเองเลือกที่จะยอมรับสนับสนุนเด็กนี่
และคอยอยู่ข้างๆ แทนที่จะหนีไปปล่อยไวรัสคนเดียวให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นซ้ำสองเสียจะดีกว่า
อาการมองหน้าเงียบๆ นั้นของซีทำให้สเปเชียลที่นั่งอยู่ข้างๆเอ่ยสวนตอบเอ็กซ์กลับไปแทน
“เอ็กซ์…วิธีแบบนั้นจะไม่เอามาใช้”
เอ็กซ์เหลือบนัยน์ตาสีเงินดุๆ คู่นั้นมามองสเปเชียลอย่างไม่เข้าใจ แต่คนอย่างสเปเชียลไม่ได้หลบตา กลับมองสบกลับไปอย่างไม่กลัว แล้วเอ่ยคำที่ทำให้รถยนต์เคลื่อนตัวอีกครั้ง
“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาตลอดหลายปี…ต้องมีคำอธิบาย”
“คุณไคลด์ครับ”
ชายชุดดำสองคนที่ถูกใช้ให้ตามหาคนที่เจ้านายตนต้องการมาจนทั่ววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงานผล
ทางไคลด์ที่กำลังสวมชุดสูทหันมามองนิ่งๆ
“ว่าไง เจอมิเกลมั้ย” เขาว่าแล้วสอดมือเข้าไปในแขนเสื้ออีกข้าง “หมอนั่นหายไปตั้งแต่เช้าแล้ว”
“คุณมิเกลไม่อยู่ในคอนโดครับ หาจนทั่วแล้ว”
คิ้วสีอ่อนขมวดเข้าหากันทันทีที่ฟังจบไคลด์ยกแขนที่สวมสูทเสร็จแล้วขึ้นเหยียดตรง สืบเท้าเข้ามาหาลูกน้อง
แต่ก่อนจะถึงตัวก็ต้องชะงักเมื่ออุปกรณ์ควบคุมบนโต๊ะไม้สีเข้มส่งเสียงเตือน พลางมีเสียงคนดูแลความปลอดภัยส่งเสียงมาพร้อมร่างที่พรวดเข้ามาในห้อง ความรีบร้อนที่ทำให้ลูกน้องผู้มาใหม่ลืมแม้แต่มารยาทการเคาะประตู ส่งผลให้ไคลด์ต้องหันไปมองอย่างสงสัยระคนหงุดหงิด
แต่สิ่งที่อีกฝ่ายนำมารายงานทำให้เขาต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจกว่าที่เป็น
“พวกคุณอัลฟาบุกเข้ามาทางช่องลิฟท์ครับ!ตอนนี้ถึงส่วนกลางด้านในแล้ว!”
|