“แล้วคุณไปเจอเขาได้ยังไงกันครับสวรรค์สองชั้นอยู่ห่างกันตั้งแสนหกหมื่นกิโลเมตร คุณบินไปเหรอ?” ผมชักเพลิดเพลินกับเรื่องราวน่าตื่นตาของนครดาวดึงส์ตามที่เขาเล่า “คราวที่พระพุทธเจ้ามาโปรดพระมารดา พวกเทพกึ่งเทพและสัตว์ในชั้นจาตุฯที่สามารถเข้าใจพระธรรมได้รับอนุญาตให้มาร่วมฟังธรรมได้ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น” “โอ้โห โรแมนติกจังครับแล้วเจอคุณธันวาตอนไหนล่ะครับ?” “เจอตอนฟังธรรม เขานั่งอยู่ไกลลิบแต่ผมก็มองเห็นเขาได้ถนัด ผมมองเขาอยู่นาน” “สายตาของคุณนี่มองไกลจังนะครับ” ผมยันตัวขึ้นมาแล้วเอาฝ่ามือยันคางเอาไว้สายตาและหูจับอยู่ที่เขา “จากนั้นมา เราก็เจอกันแล้วก็ได้คุยกัน” คุณเวณวัฒน์เล่าต่อ “เจอกันได้ไงครับ อยู่คนละชั้นกัน?” “ผมก็...ดักรอเขาที่เชิงเขาสิเนรุ” คุณเวณวัฒน์พูดแล้วยิ้ม “อดีตคุณธันวาเขาลงมาทำอะไรชั้นล่างเหรอครับ?” “มาเก็บผลไม้” “บนดาวดึงส์ก็มีสวนผลไม้ เขาลงมาทำไมกันหรือว่าเขาอยากเจอคุณ?” “ผลไม้บนดาวดึงส์รสชาติต่างออกไปจากชั้นจาตุฯผลไม้ของจาตุฯนั้นมีรสชาติใกล้เคียงกับผลไม้บนโลกเทพบุตรคงอยากเก็บผลไม้ไปถวายพระชายาของท้าวสักกะ” “แปลกจริง เป็นเทวดานางฟ้าแล้วยังอยากกินผลไม้รสชาติเหมือนมนุษย์ไม่ยักกินผลไม้ทิพย์ของสวรรค์ชั้นตัวเอง” “เทวดานางฟ้าที่กลับไปเกิดบนสวรรค์บางครั้งก็ยังติดนิสัยมนุษย์ ติดรสชาติและพฤติกรรมของมนุษย์ บางทีผมยังเห็นเทวดากับนางฟ้าแปลงลงมาซื้อน้ำผลไม้กล่องในร้านสะดวกซื้อบนโลกมนุษย์นี้อยู่เลย” ผมหัวเราะเพราะคิดว่าคุณเวณวัฒน์แกล้งพูดตลก “ผมพูดจริงๆพวกเขาแปลงเป็นมนุษย์แล้วลงมาซื้อของ เป็นพวกที่ยังตัดนิสัยมนุษย์ไม่ขาดเป็นเทวดานางฟ้าชั้นล่างที่มีบารมีไม่สูงนัก ไม่สามารถเนรมิตบางอย่างเองได้” “อื้ม สนุกจัง เหมือนนิยายเลยแล้วคุณธันวามาเจอคุณบ่อยมั้ยครับ?” “ไม่บ่อย เวลาบนดาวดึงส์กับจาตุฯนั้นต่างกันบางครั้งผมก็ไม่เจอเขานาน นานจนแทบรอไม่ไหว” “แล้วรักกันตอนไหนล่ะครับ คุณขอเขาเป็นแฟนตอนไหน?” “วันหนึ่งที่เทพบุตรมีราศีมัวหมองลงเขารู้ตัวว่าต้องจุติบนโลก เราสองคนรู้สึกห่วงหาและเกิดความรู้สึกประหลาดวันนั้นผมรู้ตัวว่าไม่อยากจากเขาไป ส่วนตัวเขาเอง ผมไม่รู้ว่าเขาคิดว่ายังไงอันนี้ต้องรอให้คุณระลึกชาติได้เอง คุณถึงจะจำได้ ว่าตอนคุยกับผมที่เชิงเขาสิเนรุคุณคิดอะไรอยู่” ผมนอนพลิกไปมาบนเบาะนุ่มๆหลังจากปวดแก้มจนทนไม่ไหว ผมก็พูดขึ้นมาว่า “ผมคิดว่า อยากจะหนีงานบนดาวดึงส์มานอนกับคุณที่วิมานต้นงิ้วขี้เกียจทำงานแล้ว มานอนเฉยๆให้คุณหาเลี้ยงดีกว่าเป็นไหนๆ เสียดายที่ผมกำลังจะตายลงไปในแดนมนุษย์ไม่งั้นคุณไม่รอดหรอก เวณวัฒน์” ผมพูดแล้วก็หัวเราะคุณเวณวัฒน์พยักหน้าแล้วก็ยิ้ม “ผมหวังว่าเทพบุตรจะคิดเหมือนคุณ” “จริงๆนะ แม่บอกว่าผมไม่ระวังขืนให้ทำงานเติมน้ำมันหน้าเจดีย์ วันนึงผมอาจจะเผาเจดีย์ก็ได้สู้ลงมานอนวิมานสิมพลีให้คุณเลี้ยงดีกว่า” เสียงฝนตกยังดังต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะหยุดผมเริ่มรู้สึกหิวหลังจากผ่านเวลามานานหลายชั่วโมง “คุณเวณวัฒน์ครับ?” ผมลุกขึ้นมานั่งเขาหันมาทางผมแล้วทำท่าเหมือนรอให้ผมพูด “ผม...หิวแล้ว” คุณเวณวัฒน์ลุกขึ้นยืนแทบจะทันทีที่ผมพูดจบ “งั้นไปกินข้าวชั้นล่าง” เขาพาผมเดินลงมาชั้นล่างผมเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่แห้งสนิทจากเครื่องขึ้นมาแขวนไว้จากนั้นก็ตามเขาเข้าไปในครัว คุณเวณวัฒน์ยืนนิ่งอยู่หน้าเตาซักพักก่อนจะเปิดช่องเก็บของด้านบนหัวซึ่งทำเป็นประตูไม้เล็กๆ เขาหยิบพาสต้ารูปปล้องตัดเฉียงออกมา “คุณคงไม่ชินกับอาหารแบบผมคิดว่าวัยรุ่นน่าจะชอบกินของพวกนี้นะ” เขาวางถุงพาสต้าไว้บนแท่นกลางห้อง ด้านบนแท่นหินแกรนิตขัดเงาสีดำสนิท มีหม้อกระทะและอุปกรณ์ทำครัวมากมายแขวนอยู่ คุณเวณวัฒน์เลือกหยิบหม้อสเตนเลสสองชั้นสำหรับต้มพาสต้าออกมาอย่างแม่นยำ เขาเปิดน้ำล้างหม้อตั้งหม้อชั้นนอกบนเตาแม่เหล็กและเทพาสต้าครึ่งถุงลงไปในหม้อชั้นในที่เป็นเหมือนตะแกรงเมื่อน้ำเดือดก็ใส่หม้อชั้นในลงไปซ้อนกัน “ผมทำอาหารไม่อร่อยนัก คุณควรช่วยผมปรุงอาหาร ไม่งั้นคุณจะกินไม่ได้” “คราวก่อนคุณทำข้าวต้มก็อร่อยดี” ผมยิ้ม “เรื่องบังเอิญไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ” เขาพูดแล้วก็เปิดตู้จากนั้นก็หยิบผักออกมาวางไว้ให้ผม มีหัวหอม มันฝรั่ง พริกตุ้มสีเหลืองสีเขียวสีแดง แล้วก็มีก้อนสี่เหลี่ยมคล้ายเต้าหู้หรือเนื้อหมูวางอยู่ “บ้านเราไม่มีเนื้อสัตว์ คุณอาจไม่ชิน” “ผมกินแบบคุณได้” ผมหยิบผักไปล้างแล้วก็หยิบฟอยล์มาห่อมันฝรั่งผมเอามันฝรั่งสองหัวไปอบในเตาข้างล่างถ้าสุกแล้วจะเอามีดไปผ่าสี่แล้วก็ตักเนยเค็มลงไป เอาไว้กินกับพาสต้า คุณเวณวัฒน์ทำทุกอย่างได้คล่องแคล่ว แม้มองไม่เห็นแต่เขาก็จำสิ่งที่วางอยู่ตามที่ต่างๆในครัวได้อย่างแม่นยำ ผมคิดว่าเขาดูทำครัวถนัดกว่าผมซะอีก เขายกหม้อชั้นในออกมาวางไว้ในซิงค์น้ำระหว่างนั้นผมก็ผัดผักในกระทะไปพลางๆ “แล้วปกติคุณกินอะไรบ้างล่ะครับ?” ผมมองดูผักในกระทะแล้วก็ชวนเขาคุย “ธัญพืชทั้งที่เป็นเม็ดหรือแปรรูปแล้ว พวกขนมปังกินผักผลไม้ น้ำผึ้ง” “พาสต้าคุณก็กินได้สินะครับ มันทำมาจากแป้งสาลี”ผมถาม “ผมกินได้ทุกอย่างที่คุณทำเมื่อก่อนคุณทำอาหารอร่อยมาก เดี๋ยวนี้ก็คงเหมือนกัน” “สงสัยจะเข้าใจผิด” ผมยิ้ม . . . เราสองคนนั่งกินข้าวกันในห้องครัวเสียงฝนตกยังดังต่อเนื่อง บรรยากาศด้านนอกมืดลงเหมือนตอนค่ำผมมองนาฬิกาก็เห็นว่ามันเลยเข้ามาถึงเวลาทุ่มกว่าแล้ว ผมวางช้อนไว้กับจานแล้วตั้งใจจะขึ้นไปหยิบโทรศัพท์มาโทรหาพ่อกับแม่ ผมนั่งลงกับโซฟาบนชั้นที่ตั้งเปียโนไฟสีเหลืองทองเปิดพอให้เห็นทาง ผมหยิบโทรศัพท์ต่อสายไปที่บ้าน เสียงแม่ดังออกมาแทบจะทันที่ผมต่อสายไป “ตาน แม่โทรหาไม่ติดเลย ปิดโทรศัพท์ไว้หรือเปล่าหรือว่าแบตฯหมด?” “ไม่หมดนะแม่ เครื่องก็เปิดไว้ตลอด” “แล้วตอนนี้อยู่ไหน พี่มิทเขามารอที่บ้านบอกว่าติดต่อตานได้ครั้งสุดท้ายตอนบ่าย” “ผมอยู่บ้านดงไม้ครับ” แม่เงียบไปแล้วก็ส่งโทรศัพท์ไปให้พ่อ “เหลวไหลใหญ่แล้วนะ กลับบ้านตอนนี้เลยไปทำอะไรอยู่ที่นั่น” พ่อส่งเสียงมาผมได้ยินเสียงแม่คุยกับพี่มิทด้วยเช่นกัน เป็นเสียงเบาๆ แทรกมาในโทรศัพท์ “จะกลับเดี๋ยวนี้ล่ะครับ พอดีเพิ่งกินข้าวเสร็จนึกขึ้นได้ก็รีบกดโทรศัพท์มา” “ส่งที่อยู่มา เดี๋ยวให้พี่เขาไปรับ” พ่อตอบกลับมา “เดี๋ยวตานกลับเองครับ จะไปกวนคนอื่นทำไม” “พี่เขามารอที่บ้านตั้งแต่เย็นเสียมารยาทจริงเชียว คราวหน้าจะไปไหนก็บอกพ่อกับแม่ก่อน ไม่ใช่อยู่ดีๆก็หายตัวไป” “ปกติตานก็ออกไปไหนต่อไหนคนเดียว” ผมถอนหายใจ ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องขึ้นมาได้บางครั้งผมก็ไปที่บ้านยายจนถึงค่ำแล้วค่อยโทรบอกแม่ “ตกลงอยู่ที่ไหน พ่อจะได้ให้พี่มิทไปรับ?” “พ่อ เดี๋ยวตานกลับเองมัวแต่รอให้คนมารับก็ดึกพอดี กว่าจะมากว่าจะกลับ สู้ตานกลับเองจะเร็วกว่าแค่นี้นะครับ” ผมกดวางแล้วก็เดินลงไปชั้นล่าง คุณเวณวัฒน์ล้างจานเสร็จพอดี เขาคว่ำจานลงกับตะแกรงแล้วก็ส่งน้ำเย็นๆในแก้วให้ผมดื่ม “ผมเรียกรถเอาไว้ให้แล้วเดี๋ยวผมไปส่งคุณที่หน้าบ้าน รีบกลับเถอะ พ่อกับแม่จะเป็นห่วง” ผมพยักหน้าแล้วก็ล้างแก้วไปคว่ำไว้ . . . รถที่คุณเวณวัฒน์เรียกมาเป็นรถยนต์นั่งสีดำสนิทคนขับดูท่าทางเป็นคนคุยสนุก ผมลาคุณเวณวัฒน์แล้วก็ก้าวขึ้นรถไปและก็รู้สึกตัวว่าอีกามันไต่ขึ้นรถมาด้วย “เดี๋ยวถ้าไปถึงที่บ้านแล้วมันจะบินกลับมาเอง”เขายกฝ่ามือขึ้นลา กระจกรถปิดลงรถยนต์นั่งขับเคลื่อนออกจากหน้าบ้านของเขาไปตามทางเส้นเล็กๆ คนขับมองดูกระจกหลังแล้วก็ยิ้ม “ผ่านมาแถวนี้หลายครั้ง ไม่รู้มาก่อนเลยว่ามีบ้านคนอยู่ท้ายซอย”คนขับชวนผมคุย “ซอยตันน่ะครับ คุณคงไม่เคยขับเข้ามาถึงที่นี่”ผมตอบ “คงงั้นมั้งครับ นั่นนกของคุณเหรอครับ?” คนขับเปลี่ยนเรื่องมาคุยเรื่องอีกา “ครับ” ผมตอบแล้วก็ก้มดูอีกาที่นอนนิ่งอยู่บนตัก รถยนต์ขับไปตามท้องถนนที่มีแสงไฟยามค่ำคืนของกรุงเทพนานเท่าไหร่ไม่รู้ ผมไม่รู้สึกตัวเพราะมัวแต่คิดเรื่องดาวดึงส์อยู่ . . . ผมปิดประตูรถยนต์ลงจากนั้นก็ผลักประตูเข้าไปในบ้าน รถยนต์สีขาวสะอาดที่ไม่คุ้นตาจอดอยู่คู่กันกับรถยนต์ของพ่อ อีกาขยุ้มกรงเล็บบนไหล่ผมเบาๆแล้วก็ทำท่าขยับปีก “จะไปแล้วเหรอ อย่าเพิ่งนะจะฝากของไปให้เจ้านายแกหน่อย” ผมอุ้มอีกาลงกับม้านั่งนอกบ้านแล้วก็วิ่งไปค้นกระดาษกับปากกาจากกล่องพัสดุไปรษณีย์มาได้ ผมเขียนข้อความเล็กๆลงในกระดาษจัดการม้วนแล้วผูกด้ายที่ดึงจากตะเข็บเอวกางเกงผมพันม้วนกระดาษลงกับขาที่สามของอีกา “อย่าให้หล่นนะ ส่งให้ถึงเขาล่ะ” ผมอุ้มอีกาขึ้นมาจากม้านั่งมันร้องกาเบาๆ เหมือนรับคำผม จากนั้นผมก็อุ้มมันโยนขึ้นไปในอากาศ นกสีดำบินผ่านความมืดไป แทบไม่มีร่องรอยอะไรเลยระหว่างนั้น เจ้าเงิน แมวของผมก็มุดช่องใต้ประตูออกมาคลอเคลียที่ขา ผมอุ้มแมวไว้กับอก จากนั้นก็เดินเข้าไปในบ้านผมกับเจ้าเงินยืนนิ่งหน้าชุดรับแขกของบ้านผมดูเหมือนกับเป็นแขกแปลกหน้าที่มาเจอเจ้าของบ้านสามคน พ่อ แม่ และพี่มิทจ้องผมเหมือนไม่เคยเห็น “ไปเอาชุดใครมาใส่กันล่ะลูก?” พ่อถามขึ้นมาผมเพิ่งนึกได้ว่าใส่ชุดของคุณเวณวัฒน์กลับมาด้วย เพราะความรีบร้อนแท้ๆ “พอดีเปียกฝนน่ะครับ เลยเปลี่ยนชุดมา” ผมตอบพ่อจากนั้นก็หาที่นั่งได้ข้างๆแม่ เจ้าเงินมุดลงจากอกแล้วก็ขึ้นลงมานั่งบนตักแทน “พี่โทรไปตอนเย็นก็ไม่ติดคิดว่าตานปิดโทรศัพท์ซะอีก” พี่มิทพูดขึ้นมาเขานั่งอยู่ข้างๆกับพ่อ “คงไม่มีสัญญานมั้งครับ อากาศไม่ค่อยดี ตอนบ่ายติดตอนเย็นหลุด” “เหลวไหลใหญ่แล้ว คราวหน้าให้บอกพ่อกับแม่หรือไม่ก็บอกพี่มิทเอาไว้ อย่าไปไหนเองคนเดียว เข้าใจมั้ย?” พ่อทำเสียงดุ “ครับ” ผมขมวดคิ้วแล้วก็พยักหน้ารับเดี๋ยวนี้พี่มิทก้าวหน้าขนาดเข้ามาเป็นผู้ปกครองของผมอีกคนแล้ว “หิวมั้ย แม่ทำราดหน้าไว้ให้ อยู่ในครัว”แม่ทำเสียงอ่อนลงเมื่อรู้ว่าผมโดนพ่อดุ “ตานกินมาแล้วครับ กินแล้วก็กลับมา” ผมตอบแม่“ถ้าดึกๆหิวอีก เดี๋ยวลงมากินครับ” “ไม่ได้รู้จักมักจี่กันไปกินข้าวบ้านคนอื่นได้ไงลูก คราวหน้าไม่เอาแล้วนะ” พ่อพูดต่อ“แล้วไปบ้านใครมา พ่อรู้จักหรือเปล่า?” “ไปบ้านคุณเวณวัฒน์ครับ พ่อไม่รู้จักเขา”ผมตอบพ่อ “เวณวัฒน์ไหน?” “เวณวัฒน์ ทิชากรครับ เป็นนักดนตรี” พ่อกับแม่หันมามองหน้ากันส่วนพี่มิทมองผมแล้วทำหน้าสงสัย “ไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?” พี่มิทถามผมถอนหายใจแล้วก็ตอบช้าๆ “ก็ซักพักแล้วครับ เขาให้บัตรคอนเสิร์ตมาแล้วผมก็ไปหาเขาที่บ้าน” “เกิดเป็นพวกมิจฉาชีพขึ้นมาจะทำยังไงหรือเป็นพวกคนไม่ดีที่ซ่องสุมกันเล่นยา ทำไมไว้ใจคนง่ายอย่างนี้นะลูก” พ่อพูดแล้วส่ายหัว แม่ตัดสินใจตัดบทสนทนาทั้งหมดด้วยการไล่ผมขึ้นไปอาบน้ำ “ปล่อยแมวแล้วก็ขึ้นไปอาบน้ำนอนได้แล้ว” แม่พูด ผมอยากจะกอดแม่ซักร้อยครั้งที่กันผมออกจากหน่วยสอบสวนที่มีพ่อกับพี่มิทเป็นหัวหน้าจริงๆแล้ว เรื่องไม่ได้มีอะไรเลย พ่อกับพี่มิทตกใจกันไปเอง ผมไม่อยากคิดไปในทางร้ายเลยว่า ตานกำลังถูกหลอกพ่อกับแม่ของตานตกใจมากที่รู้ว่าตานไปรู้จักกับคนแบบนั้น นายเวณวัฒน์ ทิชากร เป็นนักดนตรีตาบอดรับจ้างแสดงดนตรีตามศูนย์การค้า ผมค้นประวัติเขาได้แค่นี้และคิดว่าพรุ่งนี้จะให้คนที่บริษัทไปสืบต่อ พ่อของตานดูเป็นกังวลมากพ่อไม่รู้มาก่อนว่าตานรู้จักและสนิทกับคนแปลกหน้าจนไปหากันที่บ้าน “อาว่าปล่อยเอาไว้แบบนี้ไม่ดีแน่ตานไม่เคยเหลวไหลแบบนี้มาก่อน คนที่ชื่อเวณวัฒน์อาจจะหลอกตาน” พ่อของตานกุมขมับ “คุณอาใจเย็นก่อนนะครับพรุ่งนี้ผมจะให้คนไปสืบประวัติของเขา ช่วงนี้ก็ต้องดูน้องไว้ไม่ให้ไปเจอเขาอีกผมว่าเขาอาจจะมีวิธีพูดหรือโน้มน้าวให้น้องไขว้เขวไป” “อาขอบใจมิทมากที่เป็นห่วงน้องตานโชคดีที่มีคนดีๆอย่างมิทคอยเป็นห่วง อาสองคนทำแต่งาน บางทีก็ดูแลลูกได้ไม่ดีตานเป็นคนหัวอ่อน บางทีก็ไม่ทันคน” “ผมเต็มใจครับคุณอาผมว่าหมอนั่นทำตัวไม่น่าไว้ใจเลย เขาไปหาตานถึงค่ายที่ต่างจังหวัดนัดแนะตานออกไปคุยในที่ลับตาคน ผมเจอเขานัดตานออกไปคุยกันในป่าช้าตอนใกล้ค่ำมองอะไรแทบไม่เห็น” “ตายจริง” แม่ของตานอุทานแล้วก็กุมหน้าอก “นี่ก็คงเป็นนักดนตรีตกอับ ไม่มีงานไม่มีเงินต้องมาหลอกเด็ก คนสมัยนี้นี่มันไว้ใจไม่ได้จริงๆ อาฝากมิทดูน้องด้วยนะอาให้สิทธิ์เต็มที่ ถ้าน้องดื้อหรือไม่เชื่อฟังก็ให้มิทโทรมาหาอาอาจะจัดการเอง ตานไม่ใช่เด็กดื้อที่ไม่ฟังพ่อกับแม่ ถ้าอาพูดเขาต้องฟังแน่” “ผมกลัวว่าเขาจะแอบนัดตานตอนเราไม่รู้น่ะสิครับเขาทำเหมือนเป็นมืออาชีพ ไปไหนมาไหนเงียบๆ นี่คงจ้องตานมานานแล้ว” “จับได้เมื่อไหร่ จะให้ตำรวจเล่นให้หนัก”พ่อของตานพูด “ตานไม่เคยดื้อ อาพูดอะไรก็เชื่อปกติก็ไม่ไปไหนไกลหูไกลตา ถ้าไม่อยู่ที่บ้านนี้ก็ออกไปที่บ้านยายตานไม่ใช่คนเชื่อใจคนง่ายๆ อาไม่รู้ว่าหมอนั่นมีอะไรถึงได้กล่อมตานได้ขนาดนี้” “คนพวกนี้ชำนาญเรื่องพูดโน้มน้าวใจคนครับอาจจะจับประเด็นได้ว่าตานชอบอะไร พอรู้แล้วก็จะเจาะตรงนั้น หาของที่ตานชอบมาล่อ” “อาฝากมิทด้วยนะ ตอนตานไปเรียนอาฝากเป็นหูเป็นตาหน่อยตอนกลับมาที่บ้านจะให้แม่เขาดู” “ได้ครับ” ผมรับปาก“นี่ก็ดึกแล้ว ผมขอตัวนะครับคุณอา” “นอนซะที่นี่เลยสิ จะขับรถกลับไปทำไมเดี๋ยวให้อาผู้หญิงไปจัดที่นอนให้ พรุ่งนี้ก็วันหยุด ไม่ได้ไปเรียนไม่ใช่เหรอ?”พ่อของตานถาม “ครับ ไม่ได้ไปไหน แต่อย่าเลยครับ ผมเกรงใจมารบกวนตั้งแต่เย็นแล้ว” “เกรงใจอะไรกัน คนกันเองแท้ๆอาต้องให้มิทช่วยอีกเยอะ นอนซะที่นี่แหละ” พ่อของตานตบหลังผมแล้วก็พยักหน้าให้คุณอาผู้หญิงขึ้นไปจัดห้องข้างบน “มีห้องว่างอยู่ข้างบน มิทนอนได้สบายเลยไม่ต้องเกรงใจอา คิดซะว่าเป็นบ้านของมิทละกัน” “ขอบคุณครับ” ผมนั่งคุยอยู่กับพ่อของตานอีกซักพักจนกระทั่งอาผู้หญิงเดินลงมา “อาจัดห้องไว้ให้แล้วเดี๋ยวมิทขึ้นไปอาบน้ำแล้วนอนเลยนะ ถ้าหิวก็ลงมากินข้าวข้างล่างนี้ได้เลยมีน้ำกับนมอยู่ในตู้เย็น ข้าวก็มี อาทำเอาไว้ในตู้เย็น” ผมยกมือไหว้ขอบคุณ แม่ของตานเดินนำขึ้นไปห้องนอนเมื่อเปิดประตูเข้าไป ผมเห็นชั้นวางหนังสือและของต่างๆ ที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ “ไม่อึดอัดใช่มั้ย จริงๆ ชั้นล่างก็มีอีกห้องแต่ไม่ได้ใช้มานานแล้ว กลัวจะอับ นอนไม่สบาย ห้องนี้ตานมาใช้บ่อยๆมาอ่านหนังสือแล้วก็นอนในนี้” แม่ของตานเล่า “ผมไม่ได้มาเบียดน้องนอนใช่มั้ยครับคุณอา?”ผมถาม “ไม่หรอกจ้ะ ตานมีห้องนอนอยู่แล้วแต่หนังสือกับของเขาเยอะเลยจัดห้องนี้แยกออกมา” แม่ของตานพูดแล้วก็ปิดประตูออกไป ผมนั่งลงบนเตียงนุ่มๆห้องนี้มีชั้นวางหนังสือสองด้าน เป็นชั้นวางสีขาวสะอาดฝังอยู่กับผนัง อีกส่วนก็เป็นหนังสือรุ่นและสมุดบันทึกสมัยที่ตานเรียนชั้นอนุบาลจนถึงมัธยมปลาย ผมเห็นพัฒนาการของตานได้ชัดเจนพ่อกับแม่คงสอนให้ตานบันทึกเรื่องราวลงในสมุดลายมือโย้ไปมาตอนเป็นเด็กอนุบาลเริ่มมีระเบียบมากขึ้นเมื่อตานเข้าเรียนชั้นประถม จนถึงชั้นมัธยมผมก็เห็นเรื่องราวต่างๆของตานชัดเจนขึ้น เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอีกครั้งคราวนี้ตานเดินเข้ามาพร้อมกับชุดนอนสีฟ้าอ่อนที่เท้าของตานมีแมวเดินคลอเคลียมาด้วย “เงินลงไปได้แล้ว” ตานหันไปบอกแมวมันร้องหง่าวๆแล้วก็เดินลงบันไดไป “เอาชุดนอนมาให้ครับ ชุดนี้ตัวใหญ่สุดยังไม่เคยใช้” ตานวางชุดนอนไว้บนเตียงนอน “พี่พยายามจับสัญญานโทรศัพท์ อยู่ดีๆมันก็หายไปสุดท้ายก็ติดต่อไม่ได้” “ฝนมันตกหนัก สัญญานมันคงหายไปมั้งครับ” “คงงั้น” ผมตอบกลับไปตานยักไหล่แล้วทำท่าจะเดินออกจากห้องไป “พี่เป็นห่วงเลยรีบมาที่นี่ถ้าพี่ทำให้ตานไม่พอใจก็ขอโทษด้วย” “เปล่าครับ ไม่ได้รู้สึกว่าพี่มิททำอะไรผิดขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ผมไม่ได้ทำอะไรที่น่าเป็นกังวลใจขนาดนั้น ผมแค่ไปเที่ยว” ตานดูเหมือนไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำอะไรอยู่ผมพยายามทำบรรยากาศให้เป็นปกติมากที่สุด “ครับ วันหลังตานไปไหน ให้พี่ไปส่งก็ได้นะครับถ้าอยากคุยกับเพื่อน พี่ก็จะรออยู่ข้างนอก” “ขอบคุณครับ” ตานพูดแล้วก็เดินออกไปประตูปิดอีกครั้ง ผมรู้สึกโล่งอกที่ตานไม่ได้โกรธผม อย่างน้อยๆตานก็คงรู้ว่าผมเป็นห่วงเขาจริงๆ . . .
|