ขอโทษนะครับ ที่จำชื่อเรื่องเดิมไม่ได้ เป็นผลงานของคุณแฟนต้า จากบอร์ด G-Gangs ครับ ขออณุญาตมาณ.ที่นี้ด้วยครับ
ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดจากทางภาคกลาง เมื่อสมัยตอนเป็นเด็ก อายุประมาณ 11 ขวบ เคยหนีออกจากบ้านไปเที่่ยวกรุงเทพคนเดียว สาเหตุหลักที่ทำให้ต้องหนีเพราะไม่เคยเห็นกรุงเทพ เคยแต่ได้ยินเพื่อนๆบางคนที่มันเคยไปมาแล้ว เล่าให้ฟัง ถึงความศิวิไลซ์ ความเจริญรุ่งเรืองความสวยงาม ความทันสมัย ตึกรามบ้านช่อง ผู้คนคึกคัก มีโรงหนังโรงแรม มีศูนย์การค้าที่ทันสมัย ทำให้เด็กบ้านนอกอย่างเรา พอได้ยินได้ฟังแล้วตื่นเต้นก็เลยเกิดความคิด อยากจะลองไปสัมผัส ให้เห็นกับตาดูสักครั้งในชีวิต( คิดตามประสาเด็กบ้านนอก ) ครั้นจะไปขออนุญาตพ่อกับแม่ดีๆ คงไม่สำเร็จ เพราะพ่อกับแม่รักและหวงผมมาก ไม่เคยปล่อยให้ลูกไปเที่ยวไหนไกลบ้าน ตามลำพัง เว้นเสียแต่ว่าจะไปกับพ่อแม่ หรือญาติผู้ใหญ่ ที่พ่อแม่ไว้ใจเท่านั้น เนื่องจากผมยังเด็กและพ่อแม่ก็ไม่สนับสนุน ให้ไปเที่ยวไหน ไม่ว่าใกล้หรือไกล ผมรู้คำตอบล่วงหน้าว่าถ้าขอไปดีๆ หรือขอให้พ่อกับแม่พาไป โอกาสแทบไม่มี เพราะทั้งสองคนไม่มีเวลาเนื่องจากแม่ต้องไป ขายผลไม้ที่ตลาดทุกวัน พ่อก็มีงานทุกวันแทบจะไม่ค่อยมีวันหยุด เพราะพ่อเป็นหัวหน้าช่าง เวลามีงานก่อสร้างหรืองานต่อเติม พ่อต้องคอยไปคุมลูกน้อง และงานของพ่อก็มีต่อเนื่องตลอดปี ผมจึงคิดวางแผนหนีออกจากบ้านคนเดียว โดยที่ไม่บอกให้ใครรู้ และได้โขมยเงินทางบ้านไป200 บาท (สมัยนั้นค่ารถไฟ จากจังหวัดที่ผมอยู่ เข้ากรุงเทพราคาแค่ 18 บาท ) พอรถไฟไปถึงสถานีปลายทางกรุงเทพ ( หัวลำโพง ) ก็ไม่กล้าออกจากหัวลำโพงไปไหนเลย ในความรู้สึกของผมตอนนั้นมันสับสน ดูวุ่นวาย ผู้คนจอแจ พอออกไปเดิน บริเวณรอบนอกสถานีหัวลำโพง เห็นตึกสูงๆ ถนนหนทาง มีแต่รถรา วิ่งกันให้ขวักไขว่ รู้สึกกลัวอีกอย่าง ก็ไม่รู้จะไปไหนด้วย เพราะไม่มี จุดหมายปลายทางที่จะไป แค่ได้มาเห็นกรุงเทพก็ตื่นเต้นและดีใจแล้ว เลยได้แต่นั่งๆ เดินๆ อยู่แต่ภายในสถานีรถไฟหัวลำโพงนั่นเอง และพอรุ่งขึ้น ก็เกิดอาการคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อกับแม่เพราะตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยไปไหนคนเดียว โดยเฉพาะต่างจังหวัดไกลๆ ตัดสินใจตีตั๋วกลับบ้าน......ช่วงที่อยู่บนรถก็เริ่มกังวลใจ กลัวกลับไปถึงบ้านแล้วต้องโดนพ่อตี ที่ขโมยเงิน และหนีหายออกจากบ้านไปหนึ่งคืนกับหนึ่งวันเต็ม โดยไม่บอกทางบ้านรู้ ซึ่งเราไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนและก็คิดถึงแม่ด้วย รู้ว่าพ่อกับแม่รักและหวงเรามาก แม่คงจะร้องไห้ทั้งคืน ช่วงที่เราหายออกจากบ้านไป.......... ========================================== พอกลับถึงบ้านพ่อกับแม่ดีใจมาก ที่ผมกลับถึงบ้าน ด้วยความปลอดภัย แม่ร้องไห้เข้ามากอดตัวผมซะแน่น ลูบหัว ลูบหู หอมแก้มฟอดใหญ่ ประมาณว่าทั้งเป็นห่วงทั้งคิดถึงลูกชายมาก พ่อก็ดูตาแดงๆ เอามือมาลูบหัว และผมก็ไม่โดนตีเหมือนครั้งก่อนๆ ที่เคยแอบหนีไป เล่นน้ำคลองหลังบ้านบ้าง หรือหนีไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อน และกลับบ้านค่ำบ้าง ส่วนป้าน้อยและลุงมล พร้อมลูกๆแก รวมทั้ง พี่วุฒิ หลานชาย ป้าน้อยที่แกรักเอ็นดูผม เหมือนน้องชาย ก็เข้ามาแสดงความยินดี กับพ่อแม่ผม ที่ผมรอดกลับมาถึงบ้านด้วยความปลอดภัย ทุกคนเข้ามากอดและหอมผม คนละฟอดสองฟอด โดยเฉพาะพี่วุฒิ ดีใจ จนอุ้มผมชู ขึ้นไปในอากาศ จนผมต้องบอกให้วางเพราะเวียนหัว ป้าน้อยและครอบครัวแกสนิทกับครอบครัวผมมาก เพราะรั้วบ้านเราติดกัน ผมสนิทกับทุกคนในบ้านเป็นอย่างดี แต่ที่สนิทมาก เป็นพิเศษก็คือ พี่วุฒิ เนื่องจากผมไม่เคยหายออกจากบ้านไปไกล และนานขนาดนี้ และในขณะที่ผมหายออกจากบ้าน แม่ก็บนไว้ว่า ถ้าลูกชายรอดปลอดภัย และไม่เป็นอันตรายกลับมาจะให้ลูกชายบวชเณรแก้บนถวาย ^^มันเป็นความเชื่อ ของคนบ้านนอก เกี่ยวกับไสยศาสตร์ เพราะมันคือที่พึ่งสุดท้ายของคนต่างจังหวัด^^ (ซึ่งช่วงนั้น กำลังเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่พอดี พ่อกับแม่จึงจับผมบวช ตามที่แม่บนไว้ ) =========================================== วันแรกที่พ่อกับแม่พาผมมาบวช พ่อกับแม่ก็กราบนมัสการเรียน ท่านเจ้าคุณ ( เจ้าอาวาส ) ถึงสาเหตุที่พาลูกชายมาบวช และก็ถือโอกาส ฝากผมกับท่าน ให้ช่วยอบรมณ์สั่งสอน ถ้าทำอะไรผิดหรือถ้าดื้อ ไม่เชื่อฟัง อนุญาต ให้ท่านสอน และตีได้เต็มที่ ท่านเจ้าคุณได้เรียกเณรนันท์ และ เณรชิน มาแนะนำให้รูจัก พ่อกับแม่ผม และฝากให้เณรทั้งสองคอยเป็นธุระ หรือ เป็นเณรพี่เลี้ยง คอยดูแลคอยสอนเรื่อง ระเบียบวินัย และคอยตักเตือนผม กรณีถ้าผมทำอะไรไม่ถูกไม่ต้อง เพราะเณรทั้งสองเป็นเณร ที่อาวุโสที่สุดในวัด และเป็นเณรที่นิสัยดี วางตัวเหมาะสม ญาติโยมให้ความ เคารพศรัธทา โดยเฉพาะเณรนันท์ เป็นเณรที่เทศน์เก่ง มีโยมอุปัฏฐากเยอะ พ่อกับแม่ยังปรารภกับท่านเจ้าคุณว่า ผมก็ยังคงเป็นเด็กวันยังค่ำ เพราะอายุก็แค่11 ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง กฏระเบียบ ของพระเณรสักเท่าใด อาจมีอะไรที่เด็กอาจยังติดนิสัยเดิมๆ แบบตอนอยู่บ้านบ้างก็ได้ ยังไงก็ฝากท่านเป็นธุระด้วยก็แล้วกัน พร้อมเรียนท่านว่า ทั้งสองคนมีภาระกิจที่ต้องรับผิดชอบ คือต้องออกไปหากินเลี้ยงครอบครัว ทั้งสองคน อาจจะมาเยี่ยมลูกได้ไม่บ่อยนัก ซึ่งเณรนันท์และเณรชิน ก็รับปาก พ่อกับแม่ผมว่า จะเป็นคนคอยดูแลแนะนำเรื่องกฏระเบียบต่างๆเอง ไม่ต้องเป็นห่วงและไม่จำเป็นต้องมาเยี่ยมลูกบ่อยก็ได้ ซึ่งจะเป็นผลดีกับเด็กที่จะได้เรียนรู้ ในการปรับตัว และใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนๆได้ง่ายขึ้น เมื่อพ่อกับแม่ได้ฟังอย่างนั้นก็รู้สึกสบายใจ ยกมือไหว้ขอบคุณพี่นันท์และพี่ชิน ที่รับปากจะดูแลผมอย่างดี พร้อมถือโอกาสกราบลาท่านเจ้าคุณและเณรทั้งสององค์ เพื่อขอตัวกลับ ========================================== เหตุการณ์ไม่คาดคิดต่างๆก็ได้เกิดขึ้นตอน ช่วงที่ผมมาบวชเณรนี่แหละ เนื่องจากผมเป็นเด็กน่ารักแก้มป่องๆ พวกเณรรุ่นพี่ ชอบมาเล่นกับผมและก็ชอบจับแก้มผมเล่น ตอนนั้นในใจลึกๆผมเริ่มมีความรู้สึก ชอบเพศเดียวกันแล้ว แต่ไม่มีใครรู้ เพราะผมไม่ได้แสดงไม่มีอาการตุ้งติ้ง เหมือนกะเทย ตรงข้ามผมจะออกแนวแก่นๆ กวนๆ ซะด้วยซ้ำ ทะลึ่งนิดๆมือบอน ชอบจับหำ คนที่โตกว่าเล่น ประจำ แต่ไม่ได้จับแบบต้องการมีเซ็กส์ หรือ ต้องการจะไปยั่วพี่ๆ ให้พวกเค้าเกิดอารมณ์ทางเพศ แต่อย่างใด แค่จับแบบ หนุกๆ ขำๆ และผมก็จะเล่นแบบนี้กับทุกคนที่ ผมสนิทด้วยเท่านั้น เนื่องจากผมเป็นเด็กที่พูดเก่งช่างซัก ช่างถาม ไม่ค่อยกลัวคน ขณะเดียวกันก็เข้ากับคนง่าย บางครั้งก็มี งอแง มีดื้อ หรืออ้อนบ้างซึ่งก็เป็นธรรมดา ของเด็กวัยนี้ ตามธรรมชาติของเด็กแก่นๆออกแนวรู้มากนิดๆง่ะ เหล่านี้อาจเป็นเสน่ห์ อย่างหนึ่งของผมก็ได้ที่ทำให้พวกพี่ๆ รักและเอ็นดูผมเป็นพิเศษ แต่ยังไม่เคยมีเซ็กส์กับใครและก็ยังไม่รู้จัก การช่วยตัวเอง หรือไม่รู้จักแม้แต่คำว่า ' ชักว่าว ' เพราะยังเด็กเกินไป ที่จะรู้เรื่องเหล่านี้โดยเฉพาะเด็กต่างจังหวัดอย่างผม ที่เป็นสังคมปิดที่ถูกห้าม ไม่พูดถึงเรื่องเพศเด็ดขาด ********************************************
|