รักเร่ร่อน...ของคนจรจัด bymod-cup ตอนที่2
เร่ร่อน2เมื่อคืนพายุฤดูร้อนเข้า ฝนตกหนักและลมกรรโชกแรง
ดูจากพยากรณ์อากาศคาดว่าจะตกหนักอย่างนี้ไปอีกร่วมอาทิตย์
ยังดีที่ฝนตกหนักเฉพาะกลางคืนการดำเนินชีวิตเลยไม่แย่สักเท่าไหร่
วันนี้ก่อนไปทำงานผมเลยรื้อเสื้อแจ๊คเก็ตแขนยาวตัวที่คิดว่าหนาและใหญ่ที่สุด แต่โถ่ถัง...ผมตัวแค่นี้จะใช้ได้ที่ไหนกันชายเร่ร่อนคนนั้นสูงร้อยเก้าสิบกว่าเชียวนะ เฮ้ออ เอาเถอะ เดี๋ยวลองไปขอเสื้อเก่าๆของไอ้ปอนด์แล้วกันมันสูงประมาณร้อยแปดสิบสามแถมลำตัวก็ใหญ่กว่าผมน่าจะถูไถพอใส่กันได้
แต่จะไปรบกวนมันตอนเช้าๆแบบนี้ก็เกรงใจ
เอาไว้เจอกันที่ทำงานค่อยบอกมันแล้วกันงั้นเดี๋ยวค่อยเอาไปให้เขาพร้อมข้าวมื้อเย็น
ผมตรงไปยังนิสสันมาร์ชสีขาวที่จอดอยู่ใต้คอนโด ผมกับไอ้ปอนด์ไม่ได้ไปทำงานพร้อมกัน มันมีรถส่วนตัวอีกคันเป็นรุ่นซีอาร์วีก่อนไปทำงานมันต้องแวะไปส่งพิณที่ทำงานธนาคารในห้างสรรพสินค้าเสียก่อนถึงจะวนรถมาที่ทำงาน มีบ้างบางวันพิณต้องไปเป็นวิทยากรให้กับนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยจะขับรถไปเองแล้วไอ้ปอนด์จะติดรถมากับผม
“เล็กหัวหน้าเรียกพบแน่ะ” ผมยกมือสวัสดีพี่เกรียงก่อนขอบคุณแล้วขอตัวเข้าไปพบหัวหน้า มาแต่เช้าเชียวนะครับให้ผมดื่มกาแฟนั่งสูดหายใจเอาแอร์ของบริษัทเข้าปอดก่อนสักนิดก็ยังดี
ว่าแต่เรียกพนักงานฝึกหัดอย่างผมไปทำไมนะ หวังว่าคงไม่ไล่ออกทั้งที่เพิ่งทำงานได้อาทิตย์เดียวหรอกนะคราวนี้ได้โดนเรียกตัวกลับระยองแบบไม่ต้องรอขอวีซ่าเลย
“สวัสดีครับหัวหน้าเรียกหาผมหรือครับ”
“นั่งสิ”
ผมนั่งลงก่อนที่หัวหน้าจะพูดถึงงานใหญ่ที่เข้ามา ประเด็นหลักๆคือผมต้องย้ายทีมไปช่วยงานอีกแผนกซึ่งเป็นงานด่วนงานยักษ์ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปอาจจะต้องกลับดึกสักหน่อย แล้วผมจะค้านอะไรได้นอกจากรับคำและทำงานนี้อย่างสุดความสามารถ ผมเพิ่งเข้ามาทำงานได้หนึ่งอาทิตย์ยังไม่ผ่านโปรด้วยซ้ำ
แต่หัวหน้าบอกไม่ต้องกังวลจะบวกค่าทำงานล่วงเวลาให้
สำหรับผมเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ไม่ใช่เพราะผมรวย ผมแค่อยากจะทำงานให้ดีเพื่อพิสูจน์ตัวเองนำความรู้ที่ได้ตรากตรำร่ำเรียนมาตลอดสี่ปีมาช่วยพัฒนาองค์กรให้เติบโตก้าวหน้า ถ้าทำได้ผมคงภูมิใจในตัวเองไม่น้อย
ออกจากห้องหัวหน้ามาผมก็กลับมานั่งทำงานทักทายไอ้ปอนด์พลางบอกเรื่องเสื้อผ้าว่าจะเข้าไปค้นตู้มันเย็นนี้ด้วยมันหัวเราะแหะๆกลับมา
“โทษทีว่ะเมียเพิ่งโละเสื้อผ้าเก่ากูไปบริจาคเมื่อวันก่อนนี้เอง”
แล้วผมจะพูดอะไรต่อได้ เฮ้อออ ถือเป็นช่วงดวงตกของนายแล้วกันนะชายเร่ร่อน เอาไว้กลับไปเยี่ยมบ้านแล้วนายยังอยู่จะไปรื้อเสื้อพี่ชายมาให้แล้วกัน
ความจริงตรอกที่เขาอาศัยอยู่มันก็พอหลบฝนหลบพายุได้ แต่คงหนีไม่พ้นปลายฝนที่มาตามแรงลมเสื้อผ้าเขาคงมีกลิ่นอับชื้นไม่น้อย ผมกลัวมันจะส่งกลิ่นเหม็นซ้ำยังขึ้นราด้วยนะสิถ้าเขาไม่จัดการกับมันให้ดี
ตกเย็นเลิกงานผมขับรถกลับคอนโดตามปกติ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสบายๆก่อนออกมาหาซื้อข้าวเย็นทาน ผมไม่ชอบมานั่งเบียดเสียดในร้านอาหารที่มีเสียงช้งเช้งล้งเล้งมันทำให้ผมหูอื้อไม่เจริญอาหารแต่ถ้าเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อนหรือครอบครัวอันนั้นพอได้ ผมชอบซื้อไปทานในห้องมากกว่า ทานข้าวไปดูทีวีไปหรือไม่ก็ฟังเพลงคลอมันเป็นช่วงเวลาผ่อนคลายหลังเลิกงานที่ผมชอบทำ
วันนี้มีตลาดนัดถนนคนเดินผมเห็นจากแผ่นป้ายโฆษณาเลยเอารถออกแทนที่จะเดินไปซื้อข้าวเหมือนทุกครั้ง ถึงผมจะอยู่ในเมืองเช่นเดียวกับตลาดนัดถนนคนเดินแต่ผมอยู่คอนโดแถวอุทยานสวรรค์หรือที่คนพื้นเพเรียกว่าหนองสมบุญ ส่วนตลาดนัดถนนคนเดินอยู่ไปทางริมแม่น้ำเจ้าพระยาคาดว่าถ้าเดินไปคงเหนื่อยจนลมจับก่อนได้เดินตลาดนัดเป็นแน่
มาถึงผมก็ไม่ผิดหวังทั้งของกินเสื้อผ้าหรือข้าวของเครื่องใช้มีครบครัน ผมมาครั้งแรกตั้งแต่มาเยือนจังหวัดนี้ จากที่สังเกตส่วนมากจะเป็นเด็กวัยรุ่นซะมากกว่าที่มาเดินเที่ยวทั้งชุดนักเรียน นักศึกษาชุดไพรเวทก็มีแต่ดูจากอายุไม่น่าเกินวัยนี้ แต่มาแบบครอบครัวก็มีนะจูงมือกันมาพ่อแม่ลูกน่ารักเชียว
เอ๊ะ! ผมว่าผมเลิกคนใจคนแล้วมาสนใจของเถอะ ผมเดินดูของทั้งสองข้างซ้ายขวาได้ของติดไม้ติดมือมาสองสามถุงส่วนมากเป็นของกินซะมากกว่า แล้วผมก็มาสะดุดที่ร้านหนึ่งเป็นร้านแบบปูผ้าใบเรียบง่ายบนพื้นมีของเก่าวางขายอยู่ ผมมองไปยังตะเกียงโป๊ะสีเขียวแก่ที่ปิดรอยสนิมไม่มิดตรงหูถือสีลอกแล้วเป็นสนิมทั้งหมด มันไม่ใช่ตะเกียงรุ่นโบราณหายากแล้วผมก็ไม่ได้สนใจเรื่องสะสมของเก่าด้วย เพียงแค่ตอนผมเห็นมันแล้วพานให้นึกถึงบางคน
ตรงตรอกนั้นมืดมาก ขนาดกลางวันยังมองเข้าไปเห็นเพียงเลือนราง กลางคืนคงไม่ต้องคิดเลยว่าตรอกนั่นมันจะมืดแค่ไหนถึงจะมีแสงไฟจากหน้าตึกแถวแต่ใช่ว่าจะส่องถึง
แต่ถ้าเขาไม่ระวังแล้วทำไฟไหม้บ้านคนอื่นล่ะ
เฮ้อออคิดมาถึงตรงนี้ก็ทำได้เพียงตัดใจแล้วเดินจากมา
อย่าเอาความหวังดีเพียงน้อยนิดของเราคนเดียวพาให้คนอื่นอีกเป็นสิบเป็นร้อยเดือดร้อยไปด้วยทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบมองไกลๆนะคนเล็ก
ครับพ่อ คนเล็กจะจำไว้
คลาดจากร้านของเก่ายังมีอีกร้านที่ผมสนใจเป็นร้านขายเสื้อผ้า สามในสี่ด้านของพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสของเขตร้านเต็มไปด้วยเสื้อ กางเกงและกระโปรงหลายขนาดหลายแบบแขวนด้วยไม้แขวนเสื้อไว้ปะปนกันแน่นขนัดไปหมด เหลือพื้นที่ด้านหน้าไว้ให้คนเข้าไปเลือกซื้อเลือกดูกัน ซึ่งคนแน่นร้านมากผมว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะป้ายที่ทำจากกระดาษเอสี่ธรรมดาที่พิมพ์ข้อความว่า ‘ผ้ามือหนึ่ง หกสิบบาททุกตัว’ เสียมากกว่า
ถ้าเป็นเวลาปกติผมไม่มีทางจะเข้าไปอัดเป็นปลากระป๋องปุ้มปุ้ยแน่ๆแต่เพราะเสื้อแจ๊คเก็ตแขนยาวสีแดงทั้งใหญ่และดูหนาตามที่ผมต้องการแขวนล่อตาอยู่มุมขวาของร้าน ดูจากขนาดแล้วเขาต้องใส่ได้แน่ๆ!!
ผมตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านเบียดเสียดบรรดาแม่บ้านและเหล่าหญิงสาวที่ยืนเลือกเสื้อผ้าทาบตัวกันอย่างเมามันเข้าไปคว้าเสื้อตัวนั้นมาจนได้ ดูเหมือนจะไม่มีใครชายตาแลมองเลยคงเป็นเพราะเสื้อขนาดใหญ่เกินปกติและดูเชยสะบัดสิ้นดี แต่ดีแล้วล่ะถ้าผมต้องมาตบตีแย่งกับเหล่าแม่บ้านตาพองผมคงสู้ไม่ไหวแน่ๆ
ผมหิ้วถุงกระดาษออกมาจากร้านอย่างอารมณ์ดีก่อนจ่ายเงินผมยังหยิบกางเกงขายาวและเสื้อยืดมาอีกด้วย อยากจะค้านเหมือนกันว่าทำไมเสื้อยืดถึงราคาหกสิบบาทเท่าเสื้อแขนยาวตัวใหญ่ยักษ์มันต้องถูกกว่าไม่ใช่หรอ แต่พอแม่ค้าลดให้เหลือสามตัวร้อยห้าสิบผมก็ปิดปากเงียบทันที
ก็แค่อยากให้แววตาว่างเปล่าคู่นั้นมีประกายแห่งความดีใจหรือแสดงความรู้สึกอื่นออกมาบ้าง
เป็นเวลาหนึ่งทุ่มสิบนาทีแล้วที่มาถึงตรอกอันคุ้นเคย ช้ากว่าเวลาปกติหนึ่งชั่วโมงเลยแฮะสงสัยเดินตลาดนัดเพลินไปหน่อย ผมเปิดฝากระโปรงหลังรถเพื่อหยิบถุงข้าวและถุงเสื้อผ้าออกมาก่อนเดินเข้าไปตรงปากตรอกซอยที่เป็นทางตันเฉกเช่นทุกวัน
พื้นปูนส่วนด้านหน้ายังมีน้ำขังอยู่ผมเลยไม่ได้เอาข้าวและถุงผ้าวางไว้เลือกที่จะตะโกนเข้าไปแทน
“นาย!” ตะโกนพลางหรี่ตาเพ่งมองเข้าไปในตรอก
เงียบ ผมเลยส่งเสียงเข้าไปอีกครั้งก็ยังเงียบเหมือนเดิม ซึ่งเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
“นายออกมาเอาข้าวหน่อย วันนี้พื้นเปียกฉันวางไว้ไม่ได้” ผมขยายความอีกหน่อย แต่ก็ยังเงียบอยู่ดี จะว่าไม่อยู่ก็ไม่ใช่ยังเห็นเงาตะคุ่มพาดผ่านผนังปูนตึกแถว
“นะ...” ผมกำลังจะตะโกนเข้าไปอีกครั้งแต่เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นทำให้ผมเงียบเสียงลง
ตึก ตึก ตึก
“เฮ้ย!!!” ผมหมุนตัวหันหลังตัวแข็งทื่อหลับตาปี๋ สมองสั่งให้วิ่งหนีแต่ร่างกายกลับไม่ขยับเลยฮือออ ทำไมเวลาผมตกใจหรือกลัวแข็งขาต้องแข็งด้วยนะ “นายแก้ผ้าทำไม!! อย่าทำอะไรฉันเลยนะ!”
เมื่อร่างกายไม่ขยับก็อาศัยแหกปากแทนใครก็ได้ช่วยผ่านมาแถวนี้ทีเถอะ ทำไมทำดีไม่ได้ดีนะคนเล็กเอ๊ย
แปะ
เฮือก!!
ผมสะดุ้งเมื่อมือใหญ่หยาบกร้านแตะมาที่ไหล่
แย่แล้ว
“เปียก...”
หะหือ...??
“ไม่ทำอะไร...”
ชายเร่ร่อนล่อนจ้อนเปล่งเสียงแปร่ง ผมพอจับใจความได้เลยกลั้นใจยื่นถุงในมือไปข้างหลัง หลังมือกระแทกเข้ากับกล้ามเนื้อแข็งๆทำให้รู้ว่าผมยืนใกล้เขามากแค่ไหน ระยะอันตรายเกินไปแล้ว!
“ในถุงกระดาษมีเสื้อผ้า...ใส่ซะ!” เชื่อมั้ย ตั้งแต่ผมหันหลังมายังหลับตาปี๋อยู่เลย
ทันทีที่มือกร้านสัมผัสมือผมตอนรับของในมือไปทำเอาผมสะดุ้งโหยงร้องอ๊ากๆก้าวกระโดดหนีออกมายืนห่าง หมุนตัวกลับไปมองก็เห็นเขาใส่เสื้อแขนยาวสีแดงแรงฤทธิ์ปิดบังร่างกายกันอนาจารแล้ว แต่แบบ...มันยาวเลยเอวเขามาหน่อยเดียวเองอ่ะที่ว่าแค่ขยับนิดหน่อยผมว่าไอ้สิ่งที่แกว่งไกวใต้ร่มผ้ามันต้องโผล่ออกมาดูโลกแน่ๆ
“ชะช่วยเอาถุงปิดมันไว้หน่อยได้มั้ย” อย่าหาว่าผมเป็นผู้ชายเหมือนกันทำไมต้องทำตัวเรื่องมาก สาบานเลยตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเห็นของใครนอกจากของตัวเอง ไม่เกี่ยวกับตอนเด็กๆที่อาบน้ำกับพี่ชาย...
...และถ้าไม่นับเมื่อกี้นี่นะฮือ T_T
ยังโชคดีที่เขาทำตามคำขอ
เอาล่ะตั้งสติซะคนเล็ก!!
“ทำไมถึงได้เอ่อ...ล่อนจ้อนออกมาแบบนั้นล่ะ” ผมพยายามมองหน้าเขาอย่างเดียวและรักษาระยะห่างไว้อย่างเหมาะสม
ชายเร่ร่อนไม่ตอบแค่เบี่ยงตัวชี้เข้าไปในตรอกมืดๆที่เขาอาศัยอยู่ ผมขมวดคิ้วแต่ยังไม่กล้าเดินเข้าไปดูอยู่ดี เหมือนเขาจะเข้าใจเลยก้าวถอยหลังเข้าไปในตรอกสามก้าว ผมก็ก้าวเข้าไปใกล้สามก้าวเช่นกันซึ่งอยู่ปากทางเข้าพอดี
ผมมองเขาอย่างระแวดระวังพลางควักโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดโปรแกรมไฟฉายส่องฝ่าความมืดเข้าไปผ้าที่ตากอยู่บนราวเชือกปอทำเอาใจโล่งอก ความหวาดกลัวที่ผุดขึ้นในใจหายวับไปทันทีโถ่เอ๊ย! ที่แท้ก็เสื้อผ้าเปียกนี่เอง แต่ในตรอกนี้ก็เป็นที่กันฝนได้ประมาณหนึ่งไม่น่าจะเปียกขนาดนั้น
เสียงครางหงิงๆที่ได้ยินทำให้ผมเปลี่ยนทิศทางแสงไปยังมุมขวาของซอกตึก
“ฝ่าฝนไปช่วยน้องหมามาหรอ” มีการเอาเสื้อยืดเพียงตัวเดียวของตัวเองไปห่อห่มให้มันเสร็จสรรพ
ชายเร่ร่อนพยักหน้า
ผมระบายยิ้มกว้าง ใจดีเหมือนกันน้า ^^
“น่ารักจัง” ถึงจะเห็นไม่ค่อยชัดแต่หน้าจิ้มลิ้มที่มีสีดำแต้มตาข้างซ้ายก็ทำเอาผมหลงรักตั้งแต่แรกเห็น ทำให้นึกถึงหมาแต้มในหนังสือภาษาไทยตอนประถม
ชายเร่ร่อนเดินหายเข้าไปในตรอกโดยมีแสงไฟฉายจากโทรศัพท์ในมือผมส่องนำทาง เขาอุ้มน้องหมาขึ้นมาก่อนเดินกลับมาหาทำเอาผมตื่นเต้นดีใจ ตากลมบ๊องที่จ้องมองมาให้ผมอดไม่ได้ส่งมืออีกข้างไปลูบหัวมันอย่างเอ็นดู
“ยังเล็กอยู่เลย น่าสงสารจังดูสิตัวสั่นใหญ่เลยถ้าไม่ได้นายมันคงแย่” ผมเงยหน้าขึ้นมอง ระยะสายตาสองคู่ที่สบกันทำให้รู้ว่าผมสูงแค่ไหล่เขาเท่านั้น ลำตัวกว้างล่ำสันกว้างเท่ากับเอาผมสองคนมายืนคู่กัน น้ำฝนเมื่อคืนชะล้างใบหน้าเปื้อนคราบไคลให้หลุดออกเหลือเพียงใบหน้าคมเข้ม จมูกโด่ง ปากบางเฉียบ ดวงตาคมเฉี่ยวคิ้วเข้มตวัดเฉียงรับกับดวงตา ถึงผิวหน้าจะหยาบกร้านคล้ำแดด
แต่ให้ตายเถอะ!!คนเร่ร่อนจรจัดเดี๋ยวนี้เขาอัพเกรดเบ้าหน้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ!!!!
ถ้าไม่นับทรงผมรังนกกับเสื้อสีแดงเชยสะบัดที่เขาใส่อยู่ล่ะก็ผมนึกว่านายแบบปลอมตัวมาซะอีก!!
“เออจริงสิ!” ผมละใบหน้าออกมาเมื่อรู้สึกว่าตัวเองจ้องหน้าเขานานเกินไปทั้งที่เขาไม่ได้เคลิบเคลิ้มตามผมเลยสักนิด บ้า! บ้าๆๆ ไอ้คนเล็กจอมหื่นเอ๊ย!!แม้แต่คนเร่ร่อนมึงก็ไม่เว้นเนอะ
ผมเดินกลับไปที่รถเปิดฝากระโปรงด้านหลังอีกครั้งพลางหยิบนมรสจืดแกลลอนใหญ่ออกมาแล้วเดินมายื่นให้ชายเร่ร่อนที่ยืนมองผมอย่างไม่เข้าใจและไม่ยอมยื่นมือมารับแต่มองไปทางด้านหลังที่มีกล่องข้าววางอยู่ ผมจึงขยายความเพิ่มเติม
“เอาไว้ให้น้องหมามันยังเล็กอยู่อย่าเพิ่งให้กินข้าวป้อนนมไปก่อน” เขาไม่ตอบรับไม่พยักหน้าแค่ยื่นมือมารับไปเฉยๆ
ซึ่งผมเริ่มชินกับท่าทางแบบนี้แล้ว วันนี้ถือว่าแปลกด้วยซ้ำที่เขาออกมาเอาข้าวของด้วยตัวเองซ้ำยังพูดกับผมตั้งสองประโยคแน่ะ!! ทุกทีหรอ นู่นนน หมกตัวอยู่ในซอกหลืบของตึก
“งั้นฉันไปก่อนนะฝนเริ่มตั้งเค้ามาแล้วส่วนนาย...” ผมมองไปยังชุดไม่สิเรียกว่าผ้าชิ้นเดียวที่ปกปิดร่างกายเขาอยู่
“ในถุงมีเสื้อยืดกับกางเกงใส่ซะให้เรียบร้อยเดี๋ยวใครมาเห็นจะไล่ตะเพิดนายไปซะก่อน” สีแดงแรงฤทธิ์เชียวดูโรคจิตใช่ย่อย
เฮ้ออ แล้วผมก็เพิ่งมานึกได้เนอะยืนคุยกันตั้งนานสองนาน
ไม่สิ ผมพูดอยู่คนเดียวซะมากกว่า
แต่อย่างน้อยวันนี้ก็ทำให้ผมรู้อะไรมากขึ้น...
คนที่ผมช่วยเหลือเขาก็เป็นคนดีมีน้ำใจ
ผมช่วยไม่ผิดคน
แค่นี้ก็พอแล้ว...
ขอบคุณครับ{:5_119:} ขอบคุณครับ หล่อจริงด้วย ขอบคุณครับ ขอบคุณนะครับ หมายความตามนี้จริงๆ {:5_119:}ขอบคุณครับ{:5_119:} ขอบคุณครับ สนุกมากเลยครับ จะพาไปอาบน้ำไหมหนอ แบบนี้ ขอบคุณครับ รอลุ้นตอนต่อไปนะครับ{:5_130:} ขอบคุณครับ ขอบคุณมากเลยครับ ขอบคุณมากครับ เริ่มติดแล้วอะ ขอบคุณ ตามต่อ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ