รักเร่ร่อน...ของคนจรจัด8 bymod-cup
เร่ร่อน8เป็นแบบนี้ไม่ดีเลยจริงๆ
สิ่งที่สมองคิดกับสิ่งที่รู้สึกมันสวนทางตีกันมั่วไปหมด
ความคิด...บอกว่าถูกแล้ว ดีแล้ว เขามีอาชีพ ทั้งยังรู้จักเข้าสังคมคือสิ่งที่เหมาะที่ควรและผมก็ยินดีกับเขาจากใจจริง
แต่...
ความรู้สึก...จิตใจกลับคับแคบอยากเก็บเขาไว้คนเดียว เพื่อบรรเทาเบาบางความเหงาและเพิ่มพูนความสุขในหัวใจ
‘เหงา’ ที่คนๆหนึ่งช่วยให้ผมลืมเลือนคำนี้ไปเนิ่นนาน
‘เหงา’ ที่คนๆเดียวกันทำให้ผมรู้สึกได้อย่างจับขั้วหัวใจ
แกร๊ก
“กลับมาแล้วหรอ” ผมเผยยิ้มดีใจเดินตรงเข้าไปหานายหมาตูบตัวใหญ่ในชุดทำงานเสื้อกล้ามกางเกงสามส่วน สีผิวนอกเนื้อผ้าเป็นสีแทนคร้ามแดดขึ้น
ใหญ่มองมาก่อนมุ่นหัวคิ้วหันไปดูนาฬิกาบนผนังที่บ่งบอกว่าเป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว
“คุณรอกินข้าวอีกแล้วหรอ”
ผมพยักหน้า
“ก็กินคนเดียวมันเหงา”
ใหญ่ถอนหายใจเฮือกก่อนเดินเข้าครัวไปอุ่นกับข้าวพร้อมตั้งโต๊ะให้ ซึ่งกับข้าวที่ว่าก็ไม่ได้มาจากไหนเขาทำทิ้งไว้แต่เช้าก่อนออกไปทำงานนั่นแหละ
ใหญ่จะตื่นตั้งแต่ตีสี่ดูได้จากแสงไฟที่ลอดผ่านช่องประตูเข้ามายังห้องนอนของผม หลังจากนั้นเขาจะเข้าครัวไปทำกับข้าวเตรียมมื้อเช้าสำหรับผมครอบไว้บนโต๊ะ และมื้อเย็นจะทำใส่กล่องทัพเพอร์แวร์แช่ไว้ในตู้เย็นเพื่อผมกลับมาจะได้เอามาอุ่นพร้อมกิน
แต่มันก็ช่วยคลายความคิดถึงที่มีต่อเขาไม่ได้อยู่ดี
มันเป็นความคิดถึงคนละแบบ...
เมื่อก่อนมันเป็นความคิดถึงที่ทำให้ใจเต้นแรงเหมือนรู้ว่ามีคนรออยู่ที่บ้าน แตกต่างจากเดี๋ยวนี้ที่คิดถึงแบบเสียดแทงหัวใจเมื่อกลับมาเจอห้องว่างเปล่าดังเดิม
มันดูงี่เง่าใช่มั้ยล่ะ!
ผมรู้ว่าตัวเองงี่เง่าสิ้นดี!!ไม่อยากจะเป็นแบบนี้เหมือนกัน!!
“งานวันนี้เป็นไงบ้าง” ผมเดินมานั่งตำแหน่งประจำบนโต๊ะเตี้ยในห้องนั่งเล่นเมื่อใหญ่จัดโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เขาเดินเข้าห้องน้ำไปล้างมือล้างเท้าก่อนเดินกลับมานั่งอีกด้านของโต๊ะ ตักไข่พะโล้ใส่จานผมก่อนเล่า
"วันนี้ไปส่งของที่อุทัยมา"
“ไปกับรถส่งของหรอ”
ใหญ่พยักหน้า
“ไปกับใคร” คนงานของอาแปะส่วนมากเป็นพวกชาวต่างด้าวจำพวกคนพม่าเขมร ให้ขับรถไปส่งของต่างจังหวัดไม่กลัวเจอด่านหรือไง
จะพาใหญ่ซวยไปด้วยน่ะสิ
“กับคนงานด้วยกันคุณอย่าเขี่ยข้าวเล่นสิ”
“คนไทยใช่มั้ย”
ใหญ่พยักหน้าตอบ เหมือนพยักส่งๆไปมากกว่าเพราะตอนนี้เขาง่วนอยู่กับการสับไข่ลูกเขยให้ผมถ้ามันเหนียวขนาดนั้นผมกินทั้งซีกเลยก็ได้นะ
“ใหญ่...พวกไปส่งของไกลๆเนี่ยถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปนะ มีคนอื่นก็ให้เขาไปแทนพวกคนต่างด้าวเขายังมีบัตรแต่ใหญ่ไม่มีอะไรเลยนะ โดนจับขึ้นมามันจะได้ไม่คุ้มเสีย”
“ผมจะระวัง”
หลังจากนั้นมื้ออาหารก็เป็นเสียงผมถามสลับเสียงเขาตอบ ความจริงแล้วเหมือนผมตะล่อมกลายๆให้เขาเล่าการทำงานในหนึ่งวันให้ฟังมากกว่า เขาไม่ค่อยพูดถ้าไม่ซักถามผมเลยต้องถามเพื่อให้เขาพูด ให้เราแชร์เรื่องราวในแต่ละวันที่ห่างให้กันและกันได้รับรู้
สี่ทุ่มเราสองคนต่างแยกย้ายกันเข้านอน ผมหอบผ้านวมผืนหนาในตู้ออกมาให้เขาเนื่องจากตอนนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว อากาศเย็นลงมาก จากปกติเขาใส่แค่เสื้อกล้ามไปทำงานผมว่าจะบอกให้เขาสวมแจ๊คเก็ตด้วยแล้ว ถึงจะแข็งแรงยังไงแต่ทำงานตั้งแต่เช้าตรู่จนมืดค่ำสักวันได้ป่วยเป็นแน่
“ฝันดีนะ”
ผมยิ้มบอกลาก่อนเดินเข้าห้องนอนปิดไฟจนทุกอย่างมืดสนิทก่อนหลับตาลง
หมดไปอีกหนึ่งวัน ผมยิ้มรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นความเหงาก็ไม่ได้แย่สักทีเดียว การได้เห็นเขาได้เติบใหญ่ในโลกที่กว้างขึ้นมันทำให้รู้สึกคับพองในอก เหมือนพ่อแม่ที่ได้เห็นลูกน้อยค่อยๆเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
มันเป็นความรู้สึกที่เดี๋ยวก็รู้สึกห่อเหี่ยวจนอยากร้องไห้แต่บางทีหัวใจก็ยินดีจนยิ้มกว้าง
จนบางทีผมก็คิดว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่
แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนในใจคือ...ใหญ่มีอิทธิพลต่อผมมากมายจริงๆ
จากวันกลายเป็นเดือน...
เป็นเวลาร่วมสามเดือนแล้วที่ใหญ่ทำงานกับอาแปะ ผมเคยขับรถผ่านแวบดูสองสามครั้งก็ประจักได้ว่าเขาเป็นคนขยันมาก ไม่ว่าจะเป็นกล่องลังใบใหญ่หรือกระสอบข้าวอันเท่าแท่นปูน เขาสามารถยกมันได้สบายๆประหนึ่งมันเป็นปุยนุ่นที่ไม่มีน้ำหนักอะไร
เดินเข้าออกร้านยกกล่องเหมือนเขาไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยอึดและถึกมากจริงๆ
แล้ววันนี้ผมก็มาร้านที่ใหญ่ทำงานอยู่ไม่ใช่ในฐานะนักถ้ำมองเหมือนที่แล้วมา แต่วันนี้ผมมาในฐานะลูกค้าคนหนึ่ง
พอดีที่บริษัทจะจัดงานเลี้ยงอำลาหัวหน้าคนเก่าที่จะไปประจำสาขาที่เชียงใหม่และเลี้ยงต้อนรับหัวหน้าคนใหม่ในอีกสองวันข้างหน้า โดยช่วงเช้าเราจะไปทำบุญที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและช่วงเย็นถึงจะขนทัพกันไปโยนโบว์ลิ่งที่ห้างสรรพสินค้า โดยทางบริษัทได้ติดต่อขอปิดโซนพร้อมสั่งอาหารบุฟเฟ่ต์มาส่งถึงที่ เรียกได้ว่าเป็นเสมือนงานเลี้ยงกลายๆ
เพราะฉะนั้นวันนี้ผมเลยมาซื้อขนมสำหรับแจกน้องๆที่สถานเลี้ยงเด็ก และผมก็เป็นคนเสนอให้มาซื้อร้านขายส่งเพื่อประหยัดงบประมาณ ไม่มีอะไรอื่นแอบแฝง เชื่อได้
“ทำไมต้องร้านนี้วะ” พี่มิ่งที่ขับรถกระบะของบริษัทมายืนเต๊ะท่าพิงประตูรถถามผมเฮ้อ ถึงจะหล่อแต่มีเมียแล้วก็ไม่เกิดผลนะพี่
“คนรู้จักทำงานที่นี่” ผมขยิบตากวนตีนก่อนเดินนำเข้าไปในร้าน กวาดตามองทั่วหน้าร้านไม่เห็นใหญ่สงสัยไปส่งของอีกแน่เลย ผมล่ะห่วงจริงๆว่าจะโดนตำรวจซิวเข้าสักวัน
ถึงข้อดีของการโดนตำรวจจับอาจจะทำให้เขาได้พบญาติ ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเองแต่อีกด้าน...ถ้าเขาไม่มีญาติล่ะ ถ้าเขาโดนลอบทำร้าย...
โอ้ยยยย ฟุ้งซ่านอีกแล้ว
“อาตี๋ลื้อจะเอาอะรายยย” อาแปะหัวขาวเขี้ยวยาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เดินงกๆเข้ามาถาม
“ตามรายการนี้ครับ” ผมส่งกระดาษจดรายการของที่ต้องการส่งให้ลูกน้องต่างด้าวของอาแปะระหว่างยืนรอผมก็มองหากวาดตาไปทั่วร้าน
“ลื้อมองหาอาใหญ่หรออีจัดของอยู่หลังร้าน” อยู่ๆอาแปะก็พูดขึ้น ผมสะดุ้งหันกลับมามองแกเหวอๆ
“อาแปะรู้...”
“โอ๊ยยยย ทำไมอั๊วจะไม่รู้ ตั้งแต่อีมาทำงานนะ ลูกค้าหน้าใหม่ๆสาวๆหนุ่มๆมากันให้เยอะแยะอั๊วะนะรับทรัพย์เพราะอีอื้อซ่า ฮ่าๆมีลูกจ้างหน้าตาลีๆแบบนี้อีกสักคนอั๊วะคงรวยมีเงินถุงเงินถัง” แล้วแกก็หัวเราะปากบานเข้าหลังร้านไป
เอ้อ นี่สินะเหตุผลที่แกขึ้นค่าจ้างให้เป็น 160 บาท น่าดีใจจริงๆ!!
แล้วสุดท้ายผมก็ไม่ได้เจอใหญ่ รู้สึกหงอยนิดหน่อยแต่พอเข้าใจ เห็นเขาเล่าให้ฟังว่าเวลามีของมาลงล๊อตใหญ่ๆเขาต้องเป็นแรงหลักเพราะขนได้เยอะและเร็ว ต่อไปผมคงต้องเรียกเขาว่านายควายเทียมแทนนายหมาตูบซะละมั้ง
กลับมาถึงบริษัทก็บ่ายโมงกว่าแล้ว ผมกับพี่มิ่งรีบขึ้นไปทำงานที่คั่งค้างไว้เมื่อเช้าให้เสร็จโดยไวเพราะเย็นนี้ต้องไปจ่ายค่ามัดจำกับทางร้านที่สั่งอาหารไว้ ไม่อยากไปดึกไหนจะนัดเวลากับทางผู้จัดการร้านไว้แล้วด้วย ถ้าไปสายคงดูไม่ควรเท่าไหร่
“สวัสดีครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมองบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกฝั่งของโต๊ะทำงาน นึกสบถในใจว่าใครบังอาจมาลูกเล่นกับผมตอนนี้ แต่พอเห็นว่าเป็นใครก็แทบไถเก้าอี้ถอยหลังลุกขึ้นยืนแทบไม่ทัน
“สวัสดีครับหัวหน้า มีอะไรให้ผมช่วยครับ” หัวหน้าคนใหม่ ชื่อคุณพชร มารับตำแหน่งหัวหน้าได้สามวันแล้ว และเป็นสามวันที่พนักงานหญิงดูแช่มชื่นเป็นพิเศษ ก็อย่างว่าหล่อขาวตี๋โปรไฟล์เลิศขนาดนี้แถมยังไม่แต่งงานอีก ปลาทูตัวใหญ่ในหมู่แมวเหมียวเชียวล่ะ
“คือผมเพิ่งอ่านเอกสารจบ ยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงที่ทางแถวนี้ผมก็ยังไม่ค่อยรู้ ถ้ายังไงรบกวนคุณเล็กไปทานเป็นเพื่อนผมหน่อยได้มั้ยครับ”
อ่า... เอ่อ...
ผมก็อยากจะตกลงนะ แต่งานที่คั่งค้างยังทำไม่เสร็จอีกเหตุผลสำคัญคือ...
“เฮ้ยเล็กมึงทำงานไปเถอะเดี๋ยวกูพาหัวหน้าไปเอง คงไม่รังเกียจนะครับคุณพชร”
“เอ่อ...ก็ได้ครับ”
“งั้นเชิญครับ” ไอ้ปอนด์ผายมือนำทางสบตาผมแวบหนึ่งเป็นเชิงรู้กัน
ขอบใจว่ะไอ้ปอนด์กูเพิ่งเห็นข้อดีของความขี้เสือกของมึงก็วันนี้
เมื่อทั้งสองคนเดินลงบันไดจนลับสายตา (ผมทำงานอยู่ชั้นสอง) ทั้งร่างก็ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้พลางทิ้งตัวไปยังพนักพิงด้วยความโล่งอกระคนหนักใจ
จะว่าผีเห็นผีก็เป็นได้
ตอนแรกผมไม่แน่ใจนัก คิดว่าเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดีคนหนึ่ง ใครจะไปหลงตัวเองคิดว่าเขามาชอบตั้งแต่ครั้งแรกจริงมั้ย อีกอย่างเป็นผู้ชายทั้งคู่อีกต่างหาก
เพิ่งมาเริ่มตะขิดตะขวงใจก็เมื่อวาน คงไม่มีหัวหน้าคนไหนที่มีลูกน้องเป็นสิบแต่ชวนพนักงานธรรมดาหน้าใหม่ไร้ประสบการณ์อย่างผมไปทานอาหารเย็นด้วยกัน
พี่มิ่งเป็นผู้ชายแท้ๆยังรู้สึกได้ผมจะมาแอ๊บแบ๊วทำโลกสวยก็กระไรอยู่
เอาเป็นว่าทั้งออฟฟิศรู้กันหมดแล้วว่าผมกำลังโดนหัวหน้าคนใหม่ตามจีบอยู่
คุณพชรจัดเป็นผู้ชายในอุดมคติของผมเลยก็ว่าได้เสียอยู่สองอย่าง ขี้ตื้อออกนอกหน้าและสายตาแพรวพราวไปหน่อย
สายตาที่คนอื่นอาจมองว่ามีเสน่ห์แต่สำหรับผมมันดูบ้ากามชอบกล
อย่างที่ถ้าวันใดวันหนึ่งผมชะล่าใจเมื่อไหร่โดนจับเขมือบแน่
หลังห้าโมงเย็นเวลาเลิกงานผมกับพี่มิ่งก็ไปยังร้านเจ้าของอาหารบุฟเฟ่ต์ที่เราได้จัดสั่งไว้เพื่อจ่ายเงินค่ามัดจำครึ่งหนึ่ง รวมถึงปรับแก้เมนูอาหารที่เสนอไปแล้วแต่ขาดวัตถุดิบที่ไม่สามารถทำได้ ซึ่งโดยรวมแล้วทุกอย่างก็เป็นไปอย่างเรียบร้อย
ขามผมให้พี่มิ่งนั่งรถผมมาส่วนรถพี่แกให้จอดทิ้งไว้ที่บริษัท ดังนั้นเมื่อเสร็จธุระผมต้องวนไปส่งพี่มิ่งที่บริษัทก่อน ดูเวลาก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว อืมแวะไปรับใหญ่ดีกว่า ถึงร้านอาแปะกับคอนโดจะอยู่ไม่ห่างกันเท่าไหร่แต่เดินตัดมาอีกสองช่วงตึกคนที่ทำงานมาเหนื่อยๆก็ต้องมีล้าบ้าง
คิดได้อย่างนั้นผมก็ควงพวงมาลัยรถเลี้ยวขวาเข้าซอยที่อยู่ก่อนคอนโดผมสองซอย เคลื่อนรถไปจอดเลียบริมฟุตบาทบริเวณหลังร้าน (หน้าและหลังร้านจะเข้าคนละซอย) ก้มมองดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้งเห็นเป็นเวลาเลิกงานของใหญ่แล้ว แต่คงต้องรออีกสักพักเพราะส่วนมากใหญ่จะถึงห้องช้ากว่าเวลาเลิกงานครึ่งชั่วโมง คาดเดาจากผมได้ว่าอาแปะคงใช้ปิดร้านเก็บของนู่นนี่จนเกินเวลา
แต่วันนี้ดูเหมือนจะเป็นโชคดีของผมที่ไม่ต้องนั่งรอ เมื่อผมหันไปมองทางประตูหลังร้านก็เห็นนายหมาตูบตัวใหญ่กำลังปิดประตูเหล็กพานพับอยู่พอดี
สักพักนายหมาตูบก็หมุนตัวเดินตรงมา
ผมระบายยิ้มขณะปลดเข็มขัดนิรภัยออก มือกำลังจะเปิดประตูรถแต่แล้วสายตาก็ปะทะเข้ากับร่างของหญิงสาวที่ย่างกรายออกมาจากมุมหนึ่ง...ตรงเข้าไปหาใหญ่...เข้าประชิด...และวาดแขนสองข้างโอบรอบลำคอ...
ผมตาโตตกใจ
เอาแล้วไง เขาต้องเจอผู้หญิงดักทำมิดีมิร้ายบ่อยแค่ไหนกัน
ผมรีบผลักประตูรถออกสองขาวางลงบนพื้นหวังเข้าไปช่วยนายหมาตูบของผมให้รอดมือเสือสมิง
แต่แล้วขาสองข้างที่แตะพื้นก็ชาวาบทุกส่วนของร่างกายเจ็บแปลบทั้งเย็นเฉียบเหมือนโดนก้อนน้ำแข็งสาดใส่
ผู้ชายแสนซื่อที่ผมคิดว่าเขาต้องทำตัวไม่ถูกเมื่อโดนคนแปลกหน้าถึงเนื้อถึงตัวกำลังวาดแขนข้างหนึ่งรอบเอวคอดแล้วออกแรงยกอีกฝ่ายชิดกำแพง อีกมือทาบลงบนก้อนเนื้อนูนบริเวณหน้าอกก่อนลงแรงบดคลึง ริมฝีปากของทั้งสองตะโบมจูบเข้าหากัน ขณะที่มือของหญิงสาวปัดป่ายถอดเสื้อผ้าทั้งของตัวเองและคนตัวใหญ่ที่ผมคุ้นเคยอย่างรีบร้อน เหมือนเธอไม่ไหวที่จะรีรออะไรแล้ว
สมองผมขาวโพลนหนักอึ้งจนภาพเคลื่อนไหวร้อนแรงตรงหน้าเป็นเหมือนภาพปัดผ่าน เหม่อมองอย่างเลื่อนลอย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ร่างสูงใหญ่รั้งขาเรียวเล็กข้างหนึ่งเกาะเกี่ยวเอวหนา สามนิ้วยาวสอดหายเข้าไปใต้หว่างขาก่อนจะ...
พรึบ!!
รั้งร่างตัวเองเข้ามาในรถทั้งหมดก่อนปิดประตูลงหลับตาแน่นอย่างกับภาพตรงหน้าคือสิ่งแสลงไม่น่ามอง
วินาทีนั้นเองที่ทำให้ผมรู้ว่า...ตัวเองร้องไห้...
น้ำตามากมายไหลผ่านร่องแก้มตกกระทบบนหน้าตักกางเกงยีนเปียกชื้นขยายขนาดเป็นวงกว้างขึ้น ตอกย้ำให้รู้ว่าผมเจ็บปวดมากเพียงใด
ผมประคองสติขับรถกลับมาถึงห้องด้วยแรงเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ เปิดประตูห้องนอนด้วยมือไม้ที่ยังไม่หายสั่นก่อนทั้งร่างจะฟุบลงบนเตียงอย่างไม่เข้าใจในตัวเองหรือรู้แต่ไม่อยากยอมรับ
ทำไมต้องรู้สึกแย่ขนาดนี้ ไม่สิ มันเลยคำว่า ‘แย่’ แต่มันคือ...เสียใจ...เจ็บปวด...ผิดหวัง...จากคนที่รัก
ใช่...ผมคงรักเขาเข้าแล้ว รักนายตี๋ใหญ่ชายเร่ร่อนที่ผมช่วยเหลือเขามาด้วยเจตนาบริสุทธิ์ แต่บัดนี้ความปรารถนาดี ความสงสาร มันก่อเกิดเป็น‘ความผูกพัน’ และ‘รัก’ โดยไม่รู้ตัว
ช่างน่าสมเพชตัวเองสิ้นดี
ในวันที่รู้ว่า ‘ รัก’ หัวใจกลับ ‘เจ็บปวด’ ที่สุด
หลังเหตุการณ์นั้นทุกอย่างยังดำเนินไปอย่างปกติ ผมยังทานอาหารเช้าที่เขาทำให้ รอเขาทานข้าวเย็น ยังได้รับการดูแลเอาใจใส่จากใหญ่เหมือนเดิม
จะไม่เหมือนเดิมก็แค่ผมไม่ได้ชวนเขาคุยตอนทานข้าว ไม่ได้ชวนดูหนังแผ่นช่วงหัวค่ำ และไม่ได้ถามความเป็นไปของชีวิตอย่างเช่นทุกวัน แต่ใหญ่คงนึกชอบใจเมื่อเขาไม่ชอบพูดอยู่แล้ว
ภายนอกที่ดูปกติแต่ใครจะรู้ว่าภายในใจผมอึดอัดเพียงใด ต้องแสร้งทำตัวปกติทั้งที่ผมไม่กล้าจะสบตาเขาตรงๆด้วยซ้ำ กลัวว่าความรู้สึกข้างในจะสื่อออกมาจนเขารู้ตัว
รู้ว่าผมผิดหวัง น้อยใจ เสียใจ เจ็บปวด...และรัก
ภาพร่วมรักของเขากับผู้หญิงคนนั้นมันชัดเจนติดตาขับเคลื่อนให้หัวใจรวดร้าวขณะเดียวกันเมื่อใกล้ชิดหัวใจกลับเต้นแรงระรัวอย่างสวนทาง
ทำยังไงให้ความรักแปรเปลี่ยนเป็นความสงสารดังเดิม...ทำอย่างไรดี
ผมไม่ชอบเลยที่ต้องทำตัวนิ่งเหมือนทุกอย่างโอเค ทั้งที่มันไม่โอเคเลยสักนิดผมไม่โกรธเพราะเขาไม่ผิด เขาไม่มีพันธะผูกพันทางใจกับใครจะทำเช่นนั้นย่อมได้
บางที...เขาและเธออาจไม่ใช่เพียงสัมพันธ์ทางร่างกาย
บางที...เขาทั้งสองอาจรักกัน
แล้วผมล่ะ???
สมภารกินไก่วัด ช่างอกุศลสิ้นดี!!
“คุณเล็กไปแจกขนมเด็กกันครับ” ผมหลุดจากภวังค์ความคิดเบี่ยงหน้าหลบกระพริบตาถี่เพื่อขับไล่น้ำตา ก่อนหันกลับมาหาบุคคลตรงหน้า
คุณพชร...
เขาจะตามผมไปทุกที่เลยหรือไงกัน
วันนี้เป็นวันที่ทางบริษัทหยุดงาน ให้พนักงานทุกคนเข้าร่วมงานเลี้ยงอำลาหัวหน้าคนเก่าและต้อนรับหัวหน้าคนใหม่ โดยกิจกรรมช่วงเช้าก็คือเลี้ยงอาหารยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตามที่ผมเคยบอกไป
ผมได้ช่วยยกอาหาร ขนม และของบริจาคทั้งหมดเข้าไปไว้ในอาคารหมดแล้ว เหลือแต่การแจกจ่ายและพิธีการบางอย่างเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นหน้าที่ของพนักงานหญิงและบุคคลตำแหน่งสูงๆ เลยได้โอกาสให้ผมเลี่ยงออกมานั่งด้านนอก
แต่ก็เพียงไม่ถึงสิบห้านาทีด้วยซ้ำก็โดนหัวหน้าคนใหม่ตามออกมาจอแจแทนที่จะอยู่เข้าร่วมพิธีการด้านใน
“เชิญคุณพชรเถอะครับเดี๋ยวผมจะไปช่วยพี่มิ่ง...”
“ไปเถอะนะครับวันนี้คุณเหมือนมีเรื่องทุกข์ใจเด็กๆอาจทำให้คุณดีขึ้น” เขาส่งยิ้มกว้างขวางแสดงความจริงใจออกมาผมนิ่งคิดก่อนพยักหน้า
ก็จริง ความน่ารักของเด็กๆอาจทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น
แล้วเด็กๆก็ช่วยผมได้จริงๆ ความน่ารัก ใสซื่อเสมือนผ้าขาวทำให้ผมอยากช่วยแต่งแต้มความสุขให้เด็กเหล่านี้เติบโตไปเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี ไม่ถูกความมืดเทาของสังคมทำลายความบริสุทธิ์ของพวกเขาไป
ผมยังเชื่อเสมอว่า...พวกเขาแค่ขาดความโชคดี แต่ไม่เสมอไป...ถ้าพวกเขายังยึดมั่นในความดีเชื่อในคุณค่าของตัวเอง พวกเขาจะสามารถสร้างความโชคดีได้ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่งและดีงามได้
กึก
ในจังหวะที่เงยหน้าขึ้นมาจากการป้อนข้าวน้องน้อยบนตักผมก็ปะเข้ากับสายตาของคนตรงข้ามที่จ้องมองมาซึ่งไม่ใช่ใครอื่น คุณพชรเจ้าเก่า
“คุณดูอ่อนโยนมากเวลาอยู่กับเด็ก” เขาระบายยิ้มจาง ซึ่งผมก็ยิ้มตอบ
“คงเพราะผมชอบเด็กๆมั้งครับ”
“เหมือนผมเลย ผมน่ะชอบเห็นพวกเขามีความสุขดีใจจึงเสนอให้มีกิจกรรมนี้ขึ้นมาไงครับ” เป็นครั้งแรกที่ผมยิ้มให้เขาจากใจจริงบางทีคุณพชรก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ดูแล้วยังเป็นคนที่ดีคนหนึ่งด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวเสร็จจากนี่ผมติดรถคุณไปงานด้วยนะครับ”
แต่ก็ยังคงนิสัยขี้ตื้อที่น่ารำคาญสำหรับผมอยู่ดี==^^
มาถึงห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี เราสามคน(ผม ไอ้ปอนด์ คุณพชร)ก็ขึ้นบันไดเลื่อนมายังชั้นสาม ที่เป็นโซนของเมเจอร์ซีนีเพล็กเกือบทั้งหมด ส่วนที่เหลือฝั่งขวาเป็นร้านคาราโอเกะแบบ VIP ฝั่งขวาเป็นลานโบว์ลิ่งที่กั้นโซนด้วยกระจกทั้งหมด และส่วนนี้คือส่วนจัดเลี้ยงของเราในค่ำคืนนี้
จากที่กวาดตาดูทุกคนก็มากันครบแล้ว ผมโคลงหัวนิดเดินไปนั่งโต๊ะที่มีพี่มิ่งและเพื่อนร่วมงานนั่งอยู่ก่อนแล้ว ไอ้ปอนด์ก็ตามมานั่งหลังจากที่ไปส่งคุณพชรอีกโต๊ะที่จัดไว้ให้ เขาดูละล้าละลังถ้าไม่เพราะมีผู้ใหญ่หลายคนบนโต๊ะนั้นเขาคงแจ้นมานั่งด้วยเป็นแน่
ผมไม่ได้หลงตัวเองเกินไป เชื่อสิ
แต่เมื่อผมนั่งประจำเก้าอี้แล้ว เหมือนกับได้ปลดพันธนาการหน้าที่ทุกอย่างออกไป ผมนั่งดื่มเงียบๆไม่สนใจเสียงพูดคุย การโยนโบว์ หรือกิจกรรมจับของขวัญพนักงาน ร่างกายผมเหมือนแค่ต้องการอยู่เฉยๆได้คิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นและใช้เวลาตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
“เล็ก มึงกลับพร้อมกูมั้ยพิณมารับแล้ว” ผมยกนาฬิกาขึ้นดู สองทุ่มกว่าแล้ว ถ้าเป็นก่อนหน้านี้หนึ่งวันผมคงกระตือรือร้นกับเข็มสั้นของนาฬิกาชี้ที่เลขแปดอยากกลับห้องใจจะขาด แต่ตอนนี้มันเป็นความรู้สึกหน่วงในใจเมื่อคิดว่าเวลานี้เขากำลังทำอะไรอยู่กับใคร
“มึงกลับก่อนเถอะกูยังสนุกอยู่”
“หน้ามึงสนุกมาก”
“ไอ้ปอนด์”
“โอเคๆ แล้วอย่าดื่มหนักล่ะ เดี๋ยวขับรถไม่ไหว” ผมพยักหน้าเนือยพลางยกแก้วที่ไม่ห่างมือจรดริมฝีปากไอ้ปอนด์ส่ายหน้าระอา ถึงมันจะเป็นคนขี้เสือกแต่มันก็รู้ว่าเวลานี้ผมไม่พร้อมจะให้มันคาดคั้น
ผมกลับมาถึงห้องตอนสี่ทุ่มด้วยสภาพกึ่มๆเข้าห้องมาด้วยการคลำแนวกำแพงพอเปิดประตูห้องเข้ามาก็แทบสร่างเมื่อเจอร่างใหญ่โตบดบังทางไว้
“ยังไม่นอนอีกหรอ” ผมถามทั้งยังไม่สบตา
“รอคุณ” เขาตอบพลางเข้ามาช่วยพยุงผมเซตามแรงนำจนมานั่งบนโซฟาได้
“อ๊ะฉันมาแย่งที่นอนนาย”
“ผมยังไม่ง่วงหรอกนั่งเถอะ” มือใหญ่กดไหล่ผมให้นั่งลงที่เดิมก่อนเดินหายเข้าไปในครัวและกลับออกมาพร้อมแก้วบรรจุน้ำเปล่า
ผมรับมาดื่มจนหมดแล้วนั่งก้มหน้าเล่นแก้วอยู่แบบนั้น
“ฉันไปนอนนะรู้สึกปวดหัว” เมื่อเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศชวนอึดอัดจึงตัดสินใจยันตัวลุกขึ้น มีเซนิดหน่อยแต่เขาช่วยจับไว้ “ขอบคุณ”
ดันมือเขาออกเพื่อกลับห้องแต่ยังไม่ทันก้าวขาอีกฝ่ายก็รั้งต้นแขนผมไว้
“คุณโกรธอะไรผมหรือเปล่า”
เขารู้สึกได้ ฮะๆ ผมว่าผมเนียนแล้วนะ
“ไม่นี่”
“ช่วงนี้คุณแปลกๆ”
“ยังไงหรอ” ผมใจกล้าหันไปสบตาเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยเขาขมวดคิ้วจ้องผมอย่างฉงน
“คุณ...ไม่พอใจผม...ใช่มั้ย”
“ทำไมฉันต้องไม่พอใจล่ะ” ใช่...ผมไม่ได้ไม่พอใจเขาเพราะที่เป็นมันมากกว่านั้น
“บอกผมได้มั้ยมันเรื่องอะไร”
ผมจ้องเขานิ่ง บอกหรอ จะบอกได้ยังไงจะพูดออกไปได้หรอ
เมื่อรู้สึกถึงภาพตรงหน้าพร่าเลือนจึงละสายตาออกมาน้ำตาที่คลอหน่วงเต็มหน่วยตาบ่งบอกว่าอีกไม่กี่วินาทีมันจะต้องทักทลายออกมาแน่
“ฉันปวดหัวขอไปนอนนะ”
“คุณ!”
เขารั้งแขนผมไว้อีกครั้ง
และคราวนี้ทุกสิ่งในใจก็พังทลายลง
ฟุบ
ผมหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้า เป็นวินาทีที่ผมรู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรแต่ไม่สามารถห้ามได้ สองมือตะปบเข้าแก้มสากดึงรั้งอย่างแรงลงมาก่อนนาบริมฝีปากลงบนริมฝีปากหนาบดแรงลงไปอย่างระบายออกทุกความรู้สึก ใหญ่อึ้งไปเสี้ยววินาทีก่อนพยายามผลักออกแต่ผมลงแรงมือรั้งใบหน้าเขาไว้
ผมบดปากลงไปจนได้กลิ่นคาวเลือดจึงหยุดแช่ค้างริมฝีปากเพียงแตะไว้ สะอื้นไห้จนตัวโยน น้ำมูกน้ำตาไหลตามร่องจมูกสู่แนวริมฝีปากที่ยังแตะกันจนรู้สึกถึงรสเค็มปร่า ค่อยๆถอนริมฝีปากออกพลางก้าวถอยหลังช้าๆอย่างคนไม่ได้สติ ก้าวกลับเข้าห้องอย่างกระท่อนกระแท่นอย่างคนหมดแรง...หมดกำลังใจ
โดยไม่มีมือใหญ่รั้งไว้อีกแล้ว
เช้ามา
ผมลุกขึ้นแต่งตัวเพื่อไปทำงานด้วยร่างกายไม่พร้อมเต็มที่ ปวดหัวแทบระเบิด ดวงตาก็ปูดบวมจนแทบลืมไม่ขึ้น ทุกอย่างเป็นผลพวงมาจากการร้องไห้อย่างหนักทั้งคืน
ผมสูดลมหายใจลึกอยู่หน้าประตูห้องนอนก่อนหมุนลูกบิดเปิดประตูออกไปอย่างที่คิดใหญ่ยังไม่ออกไปทำงาน
แน่ล่ะ นี่เพิ่งตีสี่
ผมตื่นก่อนเวลาปกติตั้งสามชั่วโมง
ใหญ่ชะงักไปเมื่อหันมาเจอผม ผมสูดหายใจเรียกขวัญอีกครั้งก่อนเดินนำไปโซฟาห้องนั่งเล่น ซึ่งใหญ่คงรู้ว่าผมมีเรื่องต้องการคุยกับเขาแน่ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ตื่นก่อนเวลาขนาดนี้
“เอาน้ำผลไม้สักแก้วมั้ย” ผมส่ายหน้าเขามองมาทางผมก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่และพูดเกริ่นเรื่องก่อน “เมื่อคืน...”
“ฉันขอโทษสำหรับเรื่องบ้าๆนั่นฉันไม่ได้จะคุยเรื่องนั้นหรอก”
“…??”
“นายทำงานมาสองเดือนแล้วใช่มั้ย”
เขาขมวดคิ้วงงแต่ก็พยักหน้า
“คงมีเงินเก็บประมาณแปดพันได้” ผมพูดต่อ ยิ่งทำให้เขาขมวดคิ้วสงสัยมากกว่าเดิม
“คุณต้องการจะพูดอะไรกันแน่”
แค่ประโยคเดียวของใหญ่ก็ทำให้กระบอกตาผมร้อนผ่าวขึ้นได้ น้ำลายหนืดเหนียวปิดกั้นหลอดลมจนเปล่งเสียงออกมาได้อย่างยากเย็นเหลือเกิน แต่ถ่วงเวลาไปก็ไม่ช่วยอะไรอยู่ดี
“ฉันคิดว่านาย...” ผมใช้หลังมือปาดน้ำตาพลางกลั้นสะอื้น “...ควรออกไปอยู่ด้วยตัวเองเสียที”
ถูกต้องแล้ว ผมไม่ควรถลำลึกไปมากกว่านี้
ผมจะลืมจุดมุ่งหมายแรกที่ช่วยเหลือเข้าไม่ได้
ถึงเวลาที่ผมต้องทำตามความตั้งใจเดิมของตัวเองเสียที
“ฉันคงช่วยนายได้เท่านี้”
ขอบคุนนะครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ;:(:(:( ขอบคุณครับ น่าสงสาร ขอบคุนคาบ เข้าใจผิดหรือเปล่าหนอ อ่านกี่รอบก็เสียวทุกที ขอบคุณนะครับ ขอบคุณมากนะครับ{:5_130:} ขอบคุณครับ{:5_119:} {:5_119:} ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ{:5_142:} {:5_119:}ขอบคุณครับ{:5_136:} ขอบคุณมากเลยครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ