รักเร่ร่อน...ของคนจรจัด 11 bymod-cup
เร่ร่อน11แอ๊ดดดด
ผมเปิดประตูเข้าไปสิ่งแรกที่เจอคือคนตัวใหญ่คับเตียงนั่งหลังพิงหมอนมองมาทางนี้พอดี เหมือนกับว่าเขาจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว ผมประสานสายตาส่งยิ้มให้ก่อนเดินเข้าไปหา
วันนี้ใหญ่จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วหลังจากสองวันที่ผ่านมาอยู่ในความดูแลของหมออย่างใกล้ชิดจนวางใจเรื่องแผลจะไม่ติดเชื้อ แต่ช่วงนี้ยังต้องระวังไม่ให้แผลถูกน้ำและห้ามเคลื่อนไหวมากจนกว่าเหล็กที่ดามกระดูกสะโพกจะเข้าที่ เมื่อครู่ผมเพิ่งไปรับยาและจัดการเรื่องค่ารักษาพยาบาลมา
“จะได้กลับบ้านแล้วดีใจมั้ย” ใหญ่พยักหน้า “งั้นเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเนอะ”
ผมผละตัวไปหยิบกางเกงเลสีน้ำตาลมาผลัดเปลี่ยนให้แทนชุดของโรงพยาบาล กางเกงของเขาที่มีทั้งหมดเป็นกางเกงยางยืดกับสามส่วนติดกระดุมซึ่งจะกดทับทำให้เจ็บแผล ผมจึงไปหาซื้อกางเกงเลเพื่อตอนใส่จะได้ผูกเอวไว้หลวมๆเท่านั้น
ส่วนเสื้อใส่ไม่ได้อยู่แล้ว ต้องถอดโชว์แผงอกล่ำๆกับผ้าก๊อซสีขาวที่ปิดพันบาดแผลทั้งซีกขวาของร่างกาย
“เดี๋ยวผมเปลี่ยนเอง”
“นายทำเองไม่ได้หรอก อย่าเกรงใจผิดเวลา” ผมเค้นเสียงดุ ขยับตัวยังไม่ค่อยจะได้ โอเค อาจจะพอลุกขึ้นยืนได้แต่นั่นก็ต้องมีคนคอยประคอง แล้วจะมาเปลี่ยนกางเกงเองได้ยังไง ถ้าจะนั่งเปลี่ยนยิ่งแล้วใหญ่โน้มตัวลงมาได้ที่ไหนกัน
สรุปหน้าที่เปลี่ยนผ้าต้องผมเท่านั้น
“หรือจะให้นางพยาบาลมาเปลี่ยนให้ล่ะ” ใหญ่รีบส่ายหน้าหวือทันที แน่ล่ะเขามีประเด็นกับนางพยาบาลอยู่ ทำแผลทีอย่างกับขัดกระดาษทรายลงบนพื้นไม้ เธอคงลืมว่านี่คือเนื้อหนังมนุษย์ไม่ใช่เนื้อไม้ที่ไว้ขูดหาเลข
ใหญ่ขยาดจนแขยงเลยล่ะ
“งั้นอยู่เฉยๆฉันจะทำอย่างเบามือที่สุด โอเค๊”
ผมหยิบผ้าห่มมากางออกก่อนปิดคลุมเข้าส่วนกลางลำตัวแล้วสอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่ม ค่อยๆดึงกางเกงสีฟ้าประทับตราโรงพยาบาลออกมาอย่างระวังไม่ให้เนื้อครูดกับบาดแผล ใหญ่ช่วยยกสะโพกเท่าที่ร่างกายเขาจะเอื้ออำนวยจนสุดท้ายก็ถอดออกมาได้เฮ้อ
ผมถอยตัวออกมานิดหน่อยเพื่อหันไปหยิบกางเกงเลที่พาดไว้บนพนักเก้าอี้ จังหวะที่หันกลับมาเพื่อช่วยสวมกางเกงตัวใหม่ให้แก้มสองข้างก็ร้อนซู่อย่างห้ามไม่ได้ รูปร่างสมส่วนกำยำเปลือยเปล่าของคนตัวโตเหยียดยาวบนเตียง มีผ้าห่มสีขาวผืนบางปิดพาดตัดกับกล้ามเนื้อสีแทน มุมผ้าตกลู่เผยเห็นแผลผ่าตัดบริเวณสะโพกส่วนเดียวของร่างกายด้านขวาที่ไม่พันผ้าก๊อซ อึก ผมรู้สึกตาลายหายใจไม่ทั่วท้อง ให้ตายสิ!!
“คุณเล็ก...”
“เอ่อ...อ้อฉันแค่กำลังคิดว่าจะใส่กางเกงนายยังไงไม่ให้ถูกแผลน่ะ ไม่ได้คิดเป็นอื่นนะ”
ใหญ่ยิ้มยิ้มที่อ่านได้ว่าเขายังไม่ได้ว่าอะไรเลย ยิ้มบางๆที่ทำให้ผมอาย
แกมันร้อนตัวเกินไปมั้ยคนเล็กกกกกกใหญ่เลยรู้หมดว่าแกมันหื่นกามแค่ไหน ฮือ
แล้วผมจะทำอะไรได้ อย่างดีที่สุดก็ก้มหน้างุดซ่อนใบหน้าแดงซ่าน หลบตาด้วยการหันไปม้วนขากางเกงเลแต่ละข้างให้สั้นเป็นม้วนกลมๆแล้วค่อยๆสวมเข้าไปในเรียวขายาวทีละข้าง ขยับให้ขอบกางเกงเกี่ยวสะโพก ก่อนตลบผ้าห่มออกวาดแขนคร่อมเอวหนาเพื่อหยิบหางเชือกทั้งสองข้างมาผูกกันไว้อย่างหลวมๆ
“เจ็บแผลมั้ย”
เขาส่ายหน้า “พอดีแล้ว”
“งั้นฉันไปเก็บของก่อนนะ เดี๋ยวบุรุษพยาบาลเอาวีลแชร์มารับเราจะได้กลับบ้านกัน” ผมเดินเข้าไปเก็บของใช้ส่วนตัวในห้องน้ำใส่กระเป๋าเป้ เอาผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาให้พอสดชื่น จะได้ลืมหูลืมตาหลุดจะความหมกมุ่นลามกสักที ซ้ำสองวันมานี้ยังนอนไม่ค่อยหลับมักสะดุ้งตัวตื่นตลอดด้วยกังวลว่าใหญ่จะเจ็บแผลหรือเปล่า หิวน้ำมั้ย ปวดท้องหนักท้องเบาหรือไม่
ซึ่งส่วนมากมักเป็นผมที่ระแวงไปเอง เพราะช่วงกลางวันใหญ่จะฉี่แค่สองครั้งคือเช้าและเย็น ส่วนกลางคืนใหญ่จะเอากระบอกฉี่(พลาสติกแบบมีฝาปิด)ไว้บนเตียงข้างตัวเมื่อปวดเขาจะจัดการเอง ให้ผมนำไปเททิ้งในชักโครกตอนเช้าตรู่เท่านั้น เรื่องปวดหนักเขาไม่ถ่ายมาสองวันแล้ว ผมข่มความอายถามเนื่องจากกลัวเขาจะอั้นไว้จนไม่สบายท้องเพราะเกรงใจผม แต่ไม่...ใหญ่บอกเขาไม่ปวดถ่ายหนักเลยผมอย่าได้คิดมาก
ส่วนเรื่องน้ำดื่มเขาพอเอื้อมหยิบถึงแต่ผมไม่ค่อยให้เขาหยิบเองอย่างกลัวว่าแผลผ่าตัดจะเปิด
สรุปผมนี่แหละที่จิตตกไปเสียทุกเรื่อง
ขณะที่ผมออกมาจากห้องน้ำบุรุษพยาบาลก็เข็นวีลแชร์เข้ามาพอดี เราช่วยกันถ่ายโอนคนเจ็บนั่งบนรถ ก่อนที่ผมจะเป็นคนถือสัมภาระและให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลทำหน้าที่เข็นนายหมาป่วยไปที่โรงจอดรถด้านหลัง
เมื่อนายหมาตูบขึ้นไปนั่งหน้าแป้นในรถด้วยฝีมือของบุรุษพยาบาลใจงามคนเดิม ผมก็จัดการนำสัมภาระทั้งหมดไว้ที่เบาะหลังก่อนเข้าประจำที่นั่งคนขับ เมื่อสตาร์ทรถก่อนขับเคลื่อนนายตี๋ใหญ่ก็พูดคำที่ทำให้มือข้างสับเปลี่ยนเกียร์สะดุดอย่างเสียจังหวะ
“คุณช่วยไปส่งผมที่ห้องเช่าได้มั้ยครับ”
“ห้องเช่า??” ผมผ่อนเท้าที่เหยียบคันเร่งออกเพื่อไม่ให้รถเคลื่อนไปข้างหน้า
“แยกจากคุณมาผมก็ไปเช่าห้องอยู่”
“อ้อ อ๋อ ได้สิ” ผมหันกลับไปสนใจภาพตรงหน้าพร้อมกับเท้าแตะคันเร่ง กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอเมื่อรับรู้ความจริงที่ว่า ‘บ้าน’ ของผมกับ‘บ้าน’ ของเขาไม่ใช่ที่เดียวกัน
ไม่มี ‘บ้าน’ ของเราแล้ว
ผมว่าสถานที่ที่ใหญ่อาศัยอยู่ไม่ควรเรียกว่า ‘บ้าน’ สักนิด
มันเป็นสิ่งก่อสร้างจากปูนซีเมนต์รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหน้าแคบยาวลึก ความกว้างของห้องเพียงกางแขนสองข้างขนานลำตัว ประตูบานไม้ผุที่เมื่อต้องการเข้าไปภายในห้องต้องหันข้างลำตัวเพราะขนาดที่กว้างเพียงครึ่งของประตูปกติ เมื่อแทรกตัวเข้าไปในห้องได้แทบไม่ต้องก้าวขาไปไหน ถ้าใครเคยเต้นลีลาศจังหวะบีกิน ก้าวขา หนึ่ง สองสาม พัก เพียงแค่นั้นก็สามารถเดินได้ทั่วบริเวณห้องนี้แล้ว
สิ่งอัศจรรย์ใจที่ทำให้ห้องนี้สามารถยัดหนึ่งคนกับหนึ่งสุนัขได้คงเป็นห้องที่โล่งไม่มีข้าวของเฟอร์นิเจอร์สักชิ้นเบียดเบียนพื้นที่ใช้สอย มีเพียงผ้าหนึ่งกอง(นับแล้วมีเสื้อกับกางเกงอย่างละตัว) กับขวดน้ำโพลาริสตัดครึ่งที่มีน้ำแกงเขียวหวานขึ้นฟองบูดอยู่และกระดาษหนังสือพิมพ์ที่แผ่นหนึ่งรองรับข้าวสวย อีกแผ่นรองรับอาหารเม็ดสุนัข
โดยที่ทุกอย่างวางอยู่บนเสื่อน้ำมันสีน้ำตาลคร่ำครึ
ภายในห้องไม่มีห้องน้ำ หน้าต่างสักบานหรือแม้แต่ช่องระบายลม มีเพียงหลอดไฟห้อยโตงเตงกลางห้องหนึ่งดวงเท่านั้น
เหมือนมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเก็บของ ไม่ใช่เพื่อพักอาศัย
น้ำตาผมรื้นขึ้นผมไม่รู้เลยว่าความเห็นแก่ตัวความกลัวของตัวเองจะทำร้ายเขาได้ขนาดนี้มันไม่ต่างจากตรอกมืดๆนั่นเลยสักนิด
ทุกคืนเขาก็คงทิ้งตัวนอนตรงนี้ตรงที่ผมยืนอยู่...
เมื่อสามวันก่อนผมไปรับตี๋น้อยที่ร้านอาแปะเพราะว่าใหญ่เอาไปทำงานด้วย โดยเป็นเพื่อนเล่นชั่วคราวของหลานอาแปะ ตอนแรกผมก็สงสัยว่าทำไมไม่เอาไว้ในห้องเหมือนตอนที่เราอยู่ด้วยกัน...ตอนนี้ผมรู้แล้ว...ถ้าเอาไว้ในห้องอับๆห้องนี้ในตอนกลางวันด้วยสภาพอากาศที่ร้อนจัดมันคงไม่รอด...
“ฉันไม่มีทางให้นายพักที่นี่!” ผมออกมาบอกคนตัวโตที่นั่งรออยู่บนรถ โดยผมจะเอาของไปเก็บในห้องแล้วจะมาช่วยประคองเขาเข้าไปทีหลัง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมคิดไว้ก่อนเห็นสภาพห้อง
แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว!
แม้สามสัปดาห์ก่อนอากาศจะหนาวจับขั้วหัวใจ แต่ ณ ตอนนี้มันร้อนมากถึง 38 องศาเซลเซียส!! แล้วดูท่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเขาอยู่ในรูนี่มีหวังเขาต้องร้อนจนเหงื่อโทรมกายเป็นผลให้แผลอับชื้นสุดท้ายมันก็จะเน่าและติดเชื้อในที่สุด
ใหญ่ประคองตัวเองลุกขึ้นกยืนพิงร่างเข้ากับประตูรถ
“ที่นี่บ้านผม”
“มันไม่สมควรถูกเรียกว่าบ้านด้วยซ้ำ”
“ไม่ว่าคุณจะเรียกยังไงมันก็คือบ้านของผมที่ซุกหัวนอนที่สุดท้ายที่เหลืออยู่...”
อึก ผมกระตุก เผลอกัดปากตัวเองจนได้กลิ่นคาวเลือด
“ขอโทษ...” ผมไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำนี้เลยจริงๆ
“คุณไม่ผิดขอร้อง อย่าร้องไห้...จะช้าหรือเร็วผมก็ต้องออกมาอยู่ดี”
“กลับไปอยู่ด้วยกันได้มั้ย...” ผมขอเสียงแผ่ว
กึก
ใหญ่ชะงัก มองเข้ามาในแววตาผมอย่างค้นหาชั่วอึดใจ เสียงทุ้มก็พูดขึ้น
“คุณไม่ต้องห่วงถึงผมเจ็บ...”
“ไม่ใช่...” ผมแทรก
“...”
“อาจจะ...นายเจ็บก็ส่วนหนึ่ง...ฉันอยากดูแล....ให้นายอยู่ในสายตาว่าไม่เป็นไร...” ผมสบตาเขาอย่างอ้อนวอน “แต่จริงๆแล้ว ฉันรู้สึกผิด เพราะความเห็นแก่ตัวของฉัน...ฉันกลัวตัวเองต้องเจ็บ...น้อยใจที่นายไปมีอะไรกับผู้หญิงพวกนั้น...กลัวว่านายจะรังเกียจความรู้สึกล้ำเส้นของฉัน...รังเกียจที่ฉันรักนาย...”
ม่านตาเขาเบิกโพลงขึ้นเมื่อผมพูดคำว่า ‘รัก’ ออกไปแต่ก็ไม่สามารถหยุดคำพูดพรั่งพรูของผมได้ เปรียบเหมือนรถพ่วงที่บรรทุกข้าวสารมาเต็มคันรถ เมื่อยกกระบะด้านหน้าขึ้นสูงเพื่อเทข้าวลงมามันก็ร่วงพรูออกมาจนหมดสิ้น
“ฉันจึงชิงผลักไสนาย...เพราะทุกครั้งที่อยู่ใกล้ความรู้สึกมากมายมันตีขึ้นมาแน่นในอกจนอึดอัด ปะทุแน่นรัดจนฉันหายใจไม่สะดวก...เลยคิดว่าห่างจากนายคงเป็นทางที่ดีที่สุด” พูดมาถึงตรงนี้ทำนบน้ำตาที่เหือดแห้งไปนานก็ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง “แต่ไม่ใช่เลย...ไม่เลย...การไม่มีนายอยู่ข้างๆมันทำให้ฉันเจ็บปวดกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าพันเท่า”
ผมประชิดเข้าที่ร่างหนาก่อนเอนศีรษะซบลงบนแผงอกด้านซ้ายของเขา
“...ตอนมีนายถึงจะเจ็บแต่ก็อบอุ่นไม่เหมือนตอนนี้...มันทั้งเจ็บปวด ทรมาน อ้างว้างเหลือเกิน...”
หลังประโยคนั้นจบลงความเงียบก็เข้าปกคลุม ส่วนผม...คนระบายทุกอย่างที่ใจคิดไปจนหมดได้แต่นิ่งเงียบด้วยความละอายที่ฉายชัดขึ้น หลังจากปากปิดสนิทสติก็ฟื้นคืน นี่ผมกำลังทำอะไร...ทำไมจากการร้องขอให้อยู่ด้วยกัน...กลายเป็นการสารภาพรักไปเสียนี่
ผมผละตัวเองออกห่าง พยายามจะหาคำมาอธิบายให้ดีขึ้นแต่เหมือนทุกอย่างจะน้ำท่วมปากไปหมด ใหญ่คงเห็นใจกับอาการประหม่าของผมจึงยกมือข้างซ้ายขยี้ศีรษะผมเบาๆด้วยใบหน้าเรียบนิ่งที่ถึงไม่มีรอยยิ้มก็ทำให้ผมสงบลงได้ ก่อนที่เขาจะกระเผลกตัวถอยห่างจากรถเพื่อเปิดประตูและสอดร่างเข้าไปนั่ง
การกระทำที่สื่อว่าเขายอมกลับไปอยู่ด้วยกันตามคำขอ
เขายอมผมแล้ว...ใจอ่อนกับผมเหมือนทุกครั้ง
ผมยิ้มพลางยกหลังมือป้ายน้ำตาทิ้ง สองขาก้าวเร็วขึ้นรถความหนักอึ้งในใจตอนนี้เบาบางลง เอาน่า แค่เขายอมกลับไปด้วยกันก็แปลว่าเขาไม่ได้รังเกียจแค่นั้นก็ดีมากมายแล้ว
เมื่อถึงคอนโด...ใช่ว่าปัญหาจะจบ
“ผมนอนโซฟาเหมือนเดิมได้”
“ไม่ได้”
“ที่พื้น...”
“ไม่เอา!”
รอบที่แปดที่เราเถียงกันเรื่องที่นอนของเขา ผมจะให้เขานอนบนเตียงในห้องผมแต่ใหญ่ยืนยันจะนอนโซฟาเหมือนเดิมให้ได้ เขามีเหตุผลแค่เกรงใจ แต่ผมมีมากกว่านั้น ดูตัวเขาสิ!! ใหญ่อย่างกับหมีป่าซ้ำยังเจ็บหนักขนาดนี้ ไม่เหมาะอย่างแรงกับการไปนอนตัวลีบบนโซฟา ร่างกายบอบช้ำของเขาต้องการพื้นที่ขนาดห้าฟุตขึ้นไปเท่านั้น!! เขาก็เถียงมาอีกว่างั้นนอนพื้นก็ได้! กระดูกคงลั่นกรอบแกรบแนบพื้นแข็งๆสนุกเลยล่ะงานนี้!
เห็นมั้ย! บนเตียงเหมาะที่สุด!!
“คุณเล็กผมไม่อยากไปนอนเบียดให้คุณไม่สบายตัว”
“แล้วใครว่าฉันจะนอนบนเตียงกับนาย ฉันนอนที่พื้นได้!” ไม่ใช่ว่าหวงเนื้อหวงตัวไม่ร่วมเตียงกับผู้ชายหรอกนะครับ เพียงแต่ผมจะไม่เสี่ยงเอาตัวเองที่โคตรนอนนิ่งไปอยู่ร่วมฟูกเดียวกับคนเจ็บเด็ดขาด
“งั้นยิ่งไม่ได้ใหญ่คุณจะไปนอนบนพื้นแข็งๆได้ยังไง”
“ฉันนอนได้แล้วกันน่าฉันมีฟูก!”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะนอนฟูกเอง”
“แต่นายเป็นคนเจ็บ!!” ผมเริ่มขึ้นเสียง ใหญ่จึงเงียบเหมือนทุกครั้งเมื่อผมร้อนเขาจะเย็น หยุดมองผมชั่วครู่ก่อนใช้เสียงอ่อนโยนตอบกลับมา
“คุณกำลังทำให้ผมลำบากใจ...” ท่าทีเหนื่อยหน่ายส่งให้ผมเม้มปากแน่น “...อย่างมาก”
การที่ผมอยากให้เขานอนที่ดีๆทำให้เขาลำบากใจหรอ....ถ้าลำบากใจก็จะอึดอัด...เมื่ออึดอัดก็ไม่อยากอยู่ใกล้งั้นสิ...
ผมยอมเขาก็ได้...
“เดี๋ยวฉันไปเอาฟูกให้ แต่นอนในห้องนะเผื่อนายต้องการความช่วยเหลือจะได้เรียกฉัน...” ก้มหน้ามองปลายเท้าก่อนเอ่ยเสียงหงอย ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักยิ่งทำให้ใจเสีย แล้วหัวใจที่แห้งเหี่ยวก็พองโตแถมเต้นระรัวคับอกเมื่อเจ้าของอ้อมกอดอุ่นเข้าประชิดและใช้แขนข้างเดียวโอบร่างผมไว้
“ขอบคุณครับปูฟูกเสร็จคุณช่วยผมอาบน้ำได้มั้ย”
เหมือนใหญ่จะช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นด้วยวิธีการแปลกๆของเขาซึ่งชวนให้ผมใจสั่นยิ่งนัก โดยเรื่องอาบน้ำเป็นแค่วิธีการงอนง้อเท่านั้นเพราะในความเป็นจริงเขายังอาบน้ำไม่ได้ยังคงต้องเช็ดตัวไปอีกสักระยะจนกว่าแผลจะแห้งกว่านี้
ผมจึงไปเปิดตู้ลิ้นชักชั้นล่างเพื่อหยิบที่นอนปิกนิกสามตอนแบบพับได้ (ของแถมมาตอนซื้อคอนโด) ออกมากางข้างเตียงนอนวางหมอนและผ้าห่มลงไป ก่อนช่วยประคองร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ปลายเตียงให้ขยับลงมานอนตาม อยากจะให้เขานั่งเล่นดูทีวีด้านนอกก่อนเหมือนกันแต่ไม่อยากให้เขาเคลื่อนไหวมากเลยให้มานอนเลยดีกว่า นอนนิ่งๆเฉยๆจะได้หายไวๆ
จากนั้นผมก็จัดการเช็ดตัวทำความสะอาดร่างกายให้ จับนอนตะแคงพลางเอาหมอนรองหลังเพื่อให้นอนสะดวกขึ้น เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นผมจึงทิ้งตัวนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้าเขา
“มีอะไรจะคุยกับผมใช่มั้ย”
“รู้ดี” ห่างกันเป็นเดือนเขาก็ยังรู้ทันผมเหมือนเดิม“ งั้นเข้าเรื่องเลยนะ”
“...” ใหญ่พยักหน้าให้ผมพูด
“ทำไมนายถึงบอกว่ารักใครไม่ได้” ผมเปิดประเด็นทันทีคนถูกถามนิ่งอึ้งไปทันทีอย่างไม่คิดว่าจะเจอคำถามตรงจุดแบบนี้
ซึ่งผมก่อนจะ ‘ตัดสินใจถามและทำบางอย่าง’ ก็คิดมาหลายรอบแล้วเหมือนกัน
“ทำไมคุณ...”
“ฉันอยากรู้ ฉันไม่อยากจะรักนายข้างเดียวไปจนตายหรอกนะ” ถึงตอนนี้ผมจะยอมรับสภาพนี้ได้ แต่วันข้างหน้าผมกลัวว่าสักวันหนึ่งจะทนไม่ได้ ถ้ามีใครมากะเทาะกำแพงในใจใหญ่ได้ผมไม่เชื่อว่าทั้งชีวิตเขาจะไม่รักใคร แล้วทำไมผมถึงไม่ทำให้เขามารักผมล่ะ
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกับข้างในตัวผมมันร้องเตือนเมื่อผมเริ่มรู้สึกดี”
“รู้สึกดีของนายใช่ฉันหรือเปล่า” ผมสวนทันที
“...”
“ตอบสิ”
เขาค่อยๆพยักหน้าเมื่อถูกคาดคั้นซึ่งทำให้ผมยิ้มออกมา
“แต่ยังไม่รักใช่มั้ย”
เขาพยักหน้าอีกครั้ง “ผมห้ามตัวเองไว้ทัน”
“เพราะเจียมตัว??”
“ส่วนหนึ่ง...”
“งั้นดี!!” ผมเปลี่ยนท่าจากขัดสมาธิเป็นนั่งทับขาทั้งสองข้าง“ฉันขอโอกาส เปิดใจรักฉันได้มั้ย”
คนเจ็บที่นอนอยู่เบิกตาโพลงตกใจมากทำท่าจะลุกขึ้นแต่ผมดันให้นอนลงเหมือนเดิม
“บางอย่างข้างในตัวนาย นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไรฉันต่างหากที่นายจับต้องได้ นายเลือกที่จะเชื่อบางอย่างนั่นแล้วทำร้ายฉันแทนอย่างนั้นหรอ” ผมคว้าจับมือใหญ่พลางซบหน้าลงหาความอบอุ่นอย่างร้องขอ
“คุณเล็กอย่าทำแบบนี้” เขาพูดเสียงเข้มลนลานพยายามดึงมือออกผมขืนไว้พลางร้องถามอย่างอ้อนวอน
“ไม่ได้หรอ...”
“...”
“ใหญ่...”
เขานิ่งไปชั่วอึดใจเหมือนตัดสินใจ
“มีอะไรที่คุณขอแล้วผมให้ไม่ได้บ้าง”
ผมรีบเงยหน้าขึ้นตาเป็นประกาย “จริงนะ!”
“อืม ผมเชื่อคุณ จะไม่ให้บางอย่างมาทำร้ายเราผมขอโทษในเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด ผมจะไม่ปิดกั้นตัวเองอีกแต่คงไม่สามารถรักคุณได้ในทันที”
“ค่อยๆรักฉันก็ได้” ไม่ต้องรีบร้อน แค่ขอให้ผมมีหวังก็พอผมเชื่อว่าผมจะทำให้ใหญ่รักได้ แม้จะต้องใช้เล่ห์บ้างก็ตาม
“คุณเล็กจะไม่อายคนอื่นใช่มั้ยผมมีแต่ตัว...ไม่คู่ควร...”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอกของแบบนั้นเราสร้างกันได้”
“ยังไงผมคงกลับไปทำงานร้านเถ้าแก่ไม่ได้แล้ว” นั่นสิเขี้ยวขนาดนั้นมีหวังกลับไปทำงานคงไม่เหลือเงิน โดนอ้างหักค่าซ่อมรถหมด
“ฉันคิดไว้แล้วว่าจะให้นายทำอะไร”
เขาดูสนใจขึ้นมาทันที ซึ่งเรื่องนี้ผมคิดมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เพราะเดาได้ว่าใหญ่หายดีเมื่อไหร่คงไม่ยอมนิ่งเฉยแน่ ผมไม่อยากให้เขากลับไปทำงานภายใต้สภาวะการโดนเอาเปรียบอีก
“นายสนใจจะเป็นพ่อค้ามั้ย”
“หืมคุณหมายถึงขายของหรอ”
“ใช่คัมภีร์อาหารยอดยุทธ์ของนายไง”
สนุกครับขอบคุณ ขอบคุณมาก ขอบคุณมากนะครับ{:5_130:} ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ สนุกมากเลยครับ ขอบคุณครับ {:5_146:} เปิดร้านอาหาร รวย ๆๆๆๆ {:5_146:} เริ่มละๆ{:5_119:} ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ กลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว ดีใจ{:5_153:} ขอบคุณครับ{:5_119:} กลับมาแล้วดีใจจัง ขอบคุณครับ ขอให้กลับมาดีเร็วๆครับ ขอบคุณครับ เปิดใจกันเสียที ขอบคุณครับ