รักเร่ร่อน...ของคนจรจัด 17.1 bymod-cup
เร่ร่อน17.1“เล็ก...เล็ก...”
“...”
“ไอ้เล็ก!!”
เฮือก!!
ผมสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจกับเสียงหวีดที่ดังเข้ามาในแก้วหู แล้วก็ต้องกระพริบตาปริบปรับอาการมึนงงเพื่อรับรู้บรรยากาศรอบตัวหลังจากที่หลุดการรับรู้ไปชั่วขณะหนึ่ง
“เป็นอะไรวะ นั่งเหม่อทั้งวัน เลิกงานแล้วไม่กลับบ้านไง” พี่มิ่งยืนท้าวเอวจังก้าอยู่ตรงข้ามเอ่ยเสียงเข้มอย่างหัวเสีย ก็วันนี้แกมาเรียกสติผมตลอดวันเพื่อให้ผมได้ตั้งสมาธิทำงาน แต่พักเดียวความนึกคิดของผมก็หลุดลอยไปอีก
ไม่แปลกที่พี่แกจะหัวเสีย...และเป็นห่วง
เฮ้อ...ทำไมชอบทำให้คนรอบข้างกังวลนะคนเล็กนิสัยไม่ดีเลย
ก็ได้แต่เอ่ยว่าตัวเองไปพลางรวบของเก็บไว้ที่มุมหนึ่งของโต๊ะทำงานเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน ในใจยังอดคิดไปถึงเรื่องที่พานจะนึกถึงมาตลอดวันไม่ได้
ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าคิดมากมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
เมื่อวานเช้าตอนสิบโมงผมออกไปพบคุณเฟยเฟิ่งตามนัดหลังจากที่ไปส่งคุณตาและน้องดาวกลับเชียงรายแล้ว และสิ่งที่ผ่านการบอกเล่าจากปากบางสวยเกินชายของเขาก็ทำให้ผมทั้งอึดอัด กดดันตื่นเต้นกับเรื่องราวของใหญ่ในมุมที่ผมไม่รู้ แต่ต่อมามันก็ทั้งสับสน มึนงงและหน่วงไปทั้งหัวใจอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปกับสิ่งที่ ‘เจ้าของชีวิต’ ของใหญ่ต้องการ
ไม่ใช่สิ...ต้องเรียกว่านาย ‘จิ่นสือ’ ถึงจะถูก
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนพาร่างตัวเองมายังรถส่วนตัวแล้วขับไปยังริมหนองที่ตั้งร้านกินเส้นอย่างที่ทำเป็นกิจวัตรประจำวัน
“คุณเล็ก เดี๋ยวน้ำซุปลวกใส่” นายเจ้าของร้านกินเส้นเบี่ยงกระบวยลวกเส้นหนีก่อนใช้มืออีกข้างดันผมที่ยืนชิดกอดเอวเขาไว้หลบไปด้านหลัง ซึ่งผมก็ยอมถอยไปนั่งที่เก้าอี้แต่โดยดีให้ใหญ่ทำก๋วยเตี๋ยวให้ลูกค้าต่อ สักพักผมก็ย้ายตัวไปเล่นกับเจ้าตี๋น้อยตรงมุมกำแพง
เดี๋ยวนี้กลับจากทำงานผมไม่ต้องมาช่วยใหญ่เสิร์ฟก๋วยเตี๋ยวแล้ว จะมีบ้างก็ตอนช่วงหัวค่ำที่คนเยอะๆแต่ก็ไม่หนักเหมือนเก่าเนื่องด้วยใหญ่ได้จ้างน้องหลงหลานชายป้าแขกที่ขายกล้วยปิ้งอยู่ตรงข้ามมาช่วยงานหลังเลิกเรียน โดยให้ค่าจ้างชั่วโมงละยี่สิบห้าบาท ซึ่งหลงก็เป็นเด็กที่ขยันมากทั้งที่อายุแค่สิบขวบ
ดังนั้นหน้าที่หลักๆของผมคือช่วยใหญ่เก็บร้านตอนสี่ทุ่ม ซึ่งเจ้าของร้านก็ช่างขยันไล่ผมกลับไปพักผ่อนนอนหลับที่ห้องเสียเหลือเกิน แต่ผมไม่ไปหรอก...อยากใช้เวลาที่เหลืออยู่ด้วยกันให้มากที่สุด
“อ๊ะ ตี๋น้อย...จริงๆเลยติดสาวซะได้” ผมที่นั่งเกาคาง ลูบหัวเจ้าตี๋น้อยอยู่สะดุ้งผละตัวออกห่างเมื่ออยู่ๆเจ้าหมาหนุ่มตัวโตก็กระโจนวิ่งเข้าไปในหนองทันทีที่เห็นเจ้าหมาสาวพันธุ์บางแก้วที่เจ้าของพามาเดินเล่น
ดูสิ กระดิกหางยิกๆเชียว
เมื่อเจ้าตี๋น้อยจากไป ผมจึงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวเตี้ย ใช้สองมือกอดเข่าแล้วจ้องมองไปยังคนตัวโตที่ยืนทำก๋วยเตี๋ยวตามเมนูอย่างเพลิดเพลิน...และเหม่อลอย
‘ทำไมถึงเรียกเขาว่าใหญ่ล่ะครับ’
คุณเฟยเฟิ่งเอ่ยปากถามขึ้นหลังจากที่เราทักทายชวนคุยนอกประเด็นกันมานานแล้ว ผมจึงสูดหายใจเข้าลึกเตรียมรับฟังทุกเรื่องและถามทุกอย่างที่ผมอยากรู้ในวันนี้
แต่ก่อนอื่นผมต้องตอบคำถามเขาก่อนสินะ
‘ผมเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้เขาเองครับเขาจำอะไรไม่ได้...’
‘เป็นอย่างที่ผมให้คนไปสืบมาจริงๆด้วยสินะ’ เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางที่เหมือนรู้เรื่องทุกอย่างอยู่ก่อนแล้ว
‘คุณรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว’
‘ครับไม่ใช่เรื่องที่สืบยากอะไร’
‘แล้วใหญ่...’
‘ความจริงเขาชื่อจิ่นสือน่ะ...จิ่นสือ พี่ชายของจิ่นตั้ง’ลมหายใจผมสะดุดไปช่วงจังหวะหนึ่ง...จิ่นสือ...อย่างนั้นเหรอ...ถึงว่าทำไมทั้งสองคนถึงได้มีหน้าตาและท่าทางคล้ายกันนัก
‘ขะเขา...จิ่นสือ...เขาทำงานกับคุณเหรอครับ...’
‘จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิดนักเขาเป็นบอดี้การ์ดของผม และผมมาที่นี่ก็เพื่อจะมารับเขากลับฮ่องกงด้วยกัน’
ประโยคข้างต้นทำให้ร่างกายของผมเย็นเยียบและสั่นสะท้าน แม้คำพูดของคุณเฟยเฟิ่งจะนิ่มนวลใบหน้าอ่อนโยนประดับด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร แต่ความคิดด้านมืดแวบหนึ่งของผมกลับเห็นเขาเป็นศัตรูด้วยรู้สึกว่าคำพูดของเขามันช่างโหดร้ายเหลือเกิน
‘แล้วทำไมถึงจะมาพากลับไปตอนนี้ล่ะครับ นี่ก็ผ่านมาตั้งห้าเดือนแล้วตอนนี้ใหญ่ก็ปรับตัวกับที่นี่ได้ ร้านก็กำลังไปได้ดี แล้ว...แล้ว...เขาก็จำอะไรไม่ได้จะกลับไปได้ยังไง...ให้เขาอยู่กับผมที่นี่...’
‘คุณเล็กครับ’ น้ำเสียงนุ่มนวลต่างจากประกายตาเฉียบขาดดึงรั้งสติของผมกลับมา สายตาของคุณเฟยเฟิ่งบ่งบอกว่ารับรู้อะไรที่มากกว่านั้นและช่างเห็นใจผมเหลือเกิน
ถ้าเห็นใจก็ได้โปรดอย่าพรากเขาไปจากผมเลย...
‘เหตุผลที่คุณเล็กยกมาผมเข้าใจ แต่ยังไงสักวันเสี่ยวสือก็ต้องกลับฮ่องกงเขามีหน้าที่ดูแลคนตระกูลเฟย เป็นสมบัติของตระกูลเฟยลูกศิษย์อีกมากมายรอให้เขากลับไปสอน ไหนจะครอบครัวของเขาอีก เสี่ยวสือไม่ใช่บอดี้การ์ดทั่วไปแต่เขาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลจิ่นที่รับใช้เรามาหลายชั่วอายุคนและมีมีอิทธิพลทั้งในฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่’
‘เขาดูยิ่งใหญ่จัง’
‘อืม ที่คุณพูดก็ไม่ผิดนักเสี่ยวสือของผมเขาเป็นคนเก่ง มีพรสวรรค์ทั้งด้านบุ๊นและบู๊มาตั้งแต่เกิด แน่ล่ะเขามีอาจารย์ที่เก่งมากถึงสองคน...’ แววตาที่สะท้อนออกมาบ่งบอกว่าเข้าภูมิใจกับเสี่ยวสือของเขามากแค่ไหน เขายิ้มบางให้ผมแล้วเอ่ยต่อ‘พ่อแม่ของเขาน่ะครับ’
‘งั้นคุณจิ่นตั้งก็คงเก่งมากเหมือนกัน’ ผมเหลือบมองไปยังผู้ชายที่ยืนตัวตรงนิ่งอยู่ด้านหลังคุณเฟยเฟิ่ง ซึ่งเขาไม่ได้หันไปมองเพียงแค่ใช้ปลายนิ้วไล้ขอบแก้วกาแฟแล้วยกยิ้มมุมปาก
‘ครับเขาเก่งมาก แต่เก่งแค่ไหนเขาก็เป็นคนของพี่ชาย ไม่ใช่ของผม’
‘เอ๊ะ??’
‘จิ่นตั้งเป็นคนของพี่ชายผมน่ะครับ...เขาทำคนของผมหายเลยเอาคนที่เก่งเท่าเทียมมาใช้คืน’ ผมไม่ได้รู้สึกถึงความยินดีในน้ำเสียงนั้นเลย หนำซ้ำยังเต็มไปด้วยการประชดประชัน
ผมบีบมือชื้นเหงื่อแน่นพลางเค้นเสียงผ่านลำคอตีบตันรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่พาใหญ่มาหาผม ‘ยังไงเหรอครับ’
‘เมื่อห้าเดือนก่อน พี่ชายผม...เฟยหลงมางานประมูลเพชรที่ประเทศไทย มันเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งของตระกูลเรา...เพชรในงานมีมูลค่าหลายร้อยล้านจึงต้องมีคนควบคุมดูแลที่เก่ง ฉลาดและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและฉับไว ซึ่งตัวเลือกก็คงไม่พ้นสองพี่น้องตระกูลจิ่น ผมจึงต้องยอมให้เสี่ยวสือมาไทย’ แล้วใบหน้าเขาก็หม่นลงเมื่อเอ่ยประโยคถัดมา ‘แต่พองานเสร็จกลับไม่มีแม้แต่เงาของเสี่ยวสือเลย’
น้ำเสียงสั่นไหวพาหัวใจของผมกระตุกตาม เพราะการแสดงออกของเขาที่บอกว่าเสี่ยวสือสำคัญกับเขามากเท่าไร...เช่นเดียวกัน...ใหญ่ก็สำคัญกับผม...
‘ทุกคนปิดปากเงียบไม่มีใครเอ่ยปากบอกอะไรผมสักคำ จนพี่เฟยหลงมาบอกเองว่า...เขาตายแล้ว...ตอนนั้นผมรู้สึกแย่มาก...ในหัวคิดเพียงแค่ว่าเสี่ยวสือของผมน่ะเหรอ คนที่โดนดาบฟันเข้าที่หัวใจยังรอดมาได้...แล้วทำไม...ทำไม...คุณเล็กครับ...’ เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมอย่างร้องขอ
‘ให้เขากลับไปกับผมเถอะครับ ผมมาไทยก็เพราะไม่เชื่อว่าเขาตายตามหาทุกทาง สำหรับผมเขาไม่ใช่แค่บอดี้การ์ดหรือคนดูแลเขาเป็นทั้งเพื่อน ญาติ เป็นพี่ชายทั้งๆที่เขาอายุน้อยกว่าผมเป็นคนเดียวที่ผมวางใจ...’
‘อายุน้อยกว่าเหรอครับ งั้นใหญ่อายุก็ไม่น่าเกินยี่สิบห้า??’ ไม่น่าเชื่อ คุณเฟยเฟิ่งดูอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบห้า ผมคิดว่าเขาจะอายุน้อยกว่าใหญ่สักสามสี่ปีจริงสินะ เขาเรียกใหญ่ว่า...เสี่ยวสือ...
‘ฮะๆผิดแล้วล่ะครับ เสี่ยวสืออายุน้อยกว่าผมห้าปีส่วนผมปีนี้ก็สี่สิบแล้ว’ ผมเบิ่งตาโตอย่างตกใจ สี่สิบ!? ชายผู้มีใบหน้างดงามที่นั่งตรงข้ามผมอายุสี่สิบแล้ว ผมเข้าใจมาตลอดว่าเขาน่าจะรุ่นเดียวกับผมโอ้ว...เขาเป็นน้าผมได้เลยนะ
งั้นใหญ่ก็อายุ...สามสิบห้า!!ส่วนผม...ยี่สิบสอง!!
เขาแก่กว่าผมสิบสามปี...นี่ผมมีสามีที่อายุมากกว่าหนึ่งทศวรรษ!!
แล้วเสียงหนึ่งก็ทำให้ผมหลุดความคิดออกมาจากเรื่องอายุเพื่อได้ยินสิ่งที่แย่กว่านั้น
‘คุณเล็กได้โปรด...คืนเสี่ยวสือมาได้ไหมครับ’
‘...!’
‘นะครับ’
‘ละแล้วทำไมมาเอาป่านนี้ล่ะครับ’ ทำไมจะมาเอาเขาไปในวันที่ผมขาดเขาไม่ได้แล้ว
‘ผมไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อไหม แต่เราตามหาเขามาตลอด แทบพลิกเมืองพิษณุโลกหา...แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะลอยแม่น้ำมาถึงนครสวรรค์ได้ ทันทีที่เราเห็นเขาจากรายการอาหารทางทีวีเราก็รีบตามมา จะมาพาเขากลับแต่มารู้ว่าเขาจำอะไรไม่ได้เลยจึงค่อยเป็นค่อยไป จิ่นตั้งแนะนำให้ตีหัวลากกลับฮ่องกงด้วยซ้ำ แต่เชื่อเถอะต่อให้ยกคนมาทั้งตระกูลเฟยก็ล้มเขาไม่ได้ ทางเดียวที่จะลอบพาเขากลับไปได้คือ...จับตาย...ซึ่งผมไม่ต้องการแบบนั้น’
‘ถ้าเก่งขนาดนั้นทำไมเขาถึงโดนทำร้ายได้ล่ะครับ’
‘เพราะเขาบ้าระห่ำเกินไปเอาชีวิตตัวเองเข้าแลกกับทายาทตระกูลเฟย...ซึ่งก็คือพี่ชายของผม’ คงเหมือนวันที่เขาเข้าไปช่วยผมในกองเพลิง
‘ตะต้องเอาเขาไปจริงๆเหรอครับ...’
‘ต่อให้วันนี้ผมใจอ่อนแต่สักวันเขาก็ต้องกลับไป เขาเป็นคนของตระกูลเฟย ก็เหมือนยกชีวิตให้ตระกูลเฟยแล้ว’
‘...!!’
ทำไมถึงฟังดูโหดร้ายจัง...
‘สำหรับผมยังไงเขาก็เหมาะที่จะเป็นคนดูแลตระกูลเฟย มากกว่า...พ่อค้าขายบะหมี่ถ้าผมพูดแรงไปต้องขอโทษด้วย แต่ผมจำเป็น ยังไงก็ฝากคุณเล็กด้วยนะครับผมรู้ว่าคุณต้องเลือกทางที่ดีที่สุดให้กับเขา’
“คุณเล็ก...เป็นอะไรหืม หน้าตาดูไม่ดีเลย” ผมสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงปลายนิ้วที่ลูบลงบนแก้มอย่างห่วงใย ผมรีบก้มหน้าพลางกระพริบตาไล่น้ำตาที่เริ่มคลอหน่วง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทันเมื่อมือใหญ่เชยปลายคางผมให้เงยหน้าสบตา “ร้องไห้ทำไม...”
“เปล่าแค่ปวดหัวน่ะ”
“งั้นกลับห้องไหม” ผมส่ายหน้าพลางจับฝ่ามือใหญ่มาแนบแก้ม
“วันนี้ปิดร้านเร็วหน่อยได้ไหม”
“ได้สิงั้นเดี๋ยวลูกค้าชุดนี้หมดเรากลับห้องกันนะ”
“ของที่เหลือล่ะจะไม่เป็นอะไรเหรอ”
“ไม่หรอก วันนี้สิ้นเดือนนะคุณจำไม่ได้หรือไง” ผมยิ้มบางออกมาซึ่งเป็นรอยยิ้มจริงๆของวันนี้ที่ผลักดันออกมาจากหัวใจอันเต็มตื้น จริงสิ วันนี้สิ้นเดือน...วันที่เราตกลงกันว่าจะปิดร้านกันตอนสองทุ่ม และเปิดให้คนเร่ร่อนไร้บ้านหรือแม้แต่คนมีบ้านแต่ยากจนเข้ามาทานฟรี
เพียงแค่วันนี้เราเลื่อนปิดร้านเร็วขึ้นเพื่อให้คนยากไร้ที่รออยู่ได้อิ่มท้องเร็วขึ้นด้วยเท่านั้น
เพียงแค่เราจะได้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มและอิ่มสุขของพวกเขาเร็วขึ้น...ก็เท่านั้นเอง...
แต่เป็นเรื่อง...เท่านั้นเอง...ที่ทำให้ผมมีความสุขทุกครั้งที่นึกถึง ยังจำได้...เมื่อเดือนที่แล้วใหญ่เดินมาบอกด้วยใบหน้าเรียบเฉยสวนทางกับความปรารถนาดีต่อผู้อื่นโดยสิ้นเชิง
‘ตอนนี้ผมก็ขายก๋วยเตี๋ยวได้กำไรพอมีเงินเหลือเก็บแล้วคุณจะว่ายังไงถ้าผมจะแบ่งกำไรส่วนนี้ไปช่วยคนอื่นที่เคยเป็นเหมือนผมบ้าง’
‘ฉันจะว่าอะไรได้ล่ะนอกจากดีใจ’
‘ถ้าอย่างนั้นเป็นทุกวันที่สิบห้าและสามสิบของทุกเดือนดีไหม’
‘อื้มวันไหนก็ดีทั้งนั้นแหละ’
20.30 น.
แอ๊ดดดดด
ปัง
“ใหญ่...เดี๋ยวให้อาหารตี๋น้อยเสร็จแล้วไปอาบน้ำนะเล็กมีเรื่องจะคุยด้วย”
ทันทีที่เข้ามาในห้องถอดรองเท้าไว้บนชั้นวางเรียบร้อยผมก็หันไปบอกนายหมาตูบก่อนจะเขย่งตัวขึ้นไปหอมแก้มสากและเดินแยกตัวเข้ามาในห้องนอน ล้มตัวนั่งลงบนพื้นเอนแผ่นหลังพิงปลายเตียง สองแขนกอดเข่าทั้งสองข้างที่ยกชันขึ้น
ใหญ่คงคิดว่าผมมาอาบน้ำ...
แต่เปล่าเลย...ผมเข้ามาทำใจกับเรื่องราวที่ผมจะคุยกับเขา...
ถ้าถามใจผม...ไม่อยากให้เขากลับไปเลย แต่เรื่องของหัวใจก็เป็นเรื่องหนึ่ง...สิ่งที่ผมยกมาเป็นเหตุผลคือชีวิตที่เหลือของใหญ่ต่างหาก...
ถ้าเขาใช้ชีวิตเป็นนายตี๋ใหญ่...เป็นแค่พ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยว...เขาอาจจะมีเงินไม่มาก ไม่มีอำนาจ เป็นคนไร้ตระกูลใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ในจังหวัดเล็กๆ...
กลับกัน...ถ้าเขาใช้ชีวิตเป็นจิ่นสือ...บอดี้การ์ดมากฝีมือผู้ดูแลรักษาชีวิตคนตระกูลเฟยที่มีธุรกิจทั้งอสังหาริมทรัพย์ เหมืองเพชรพลอย คาสิโนและธุรกิจยิบย่อยอีกมากมายทั่วเอเชีย...แน่นอน รายได้ของจิ่นสือที่ดูแลบุคคลสำคัญเหล่านี้คงประเมินค่าไม่ได้ ไหนจะเป็นลูกชายคนโตของตระกูลจิ่นซึ่งฟังดูแล้วก็คงไม่ธรรมดา ประกอบกันแล้วเขาก็เป็นคุณชายในคราบบอดี้การ์ดดีๆนี่เอง...แต่ต้องใช้ชีวิตเป็นโล่ป้องกันฝ่ายตนและพร้อมที่จะเป็นอาวุธคร่าชีวิตฝ่ายตรงข้าม อยู่ท่ามกลางอันตราย...
...ต้องสวมหัวโขนเป็นใครกันที่จะทำให้เขามีความสุข
ซึ่งเรื่องนี้ผมคงคิดแทนเขาไม่ได้ ตัดสินใจแทนเขาไม่ได้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่ต้องเลือกเส้นทางจะเดินต่อจากนี้...ไปข้างหน้า...หรือเลี้ยวกลับเส้นทางเดิม...
...จะทางไหนเพียงแค่เขาเลือกผมก็พร้อมจะยอมรับและอยู่เคียงข้างขอเพียงอย่างเดียวไม่ว่าจะเลือกทางไหน...เลือกผมด้วยก็พอ...
“นั่งสิ”
“คุณเล็ก...ดึกแล้วน้ำค้างจะลงนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก”
ผมดึงใหญ่ให้นั่งลงเคียงข้างบนพื้นที่ระเบียงห้อง หลังพิงกระจกใสสองขาวางเหยียดไปตามแนวพื้นกระเบื้อง ใบหน้าแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดทึบไปด้วยเมฆหมอกไร้แสงดาว
นายหมาตูบเลียนแบบท่านั่งผม จะต่างก็ตรงเรียวขายาวทั้งสองข้างที่เหยียดพื้นอ้าออกเพื่อจะยกร่างผมเข้าไปนั่งระหว่างขา สองแขนกอดรั้งเอวผมไว้แล้วดึงรั้งให้แผ่นหลังเอนซบบนแผ่นอกอบอุ่นของเขา
ฟอด
“วันนี้คุณดูซึมๆเกี่ยวกับเรื่องที่จะคุยกับผมหรือเปล่า” เสียงเข้มดังชิดริมหู แน่ล่ะนายหมาตูบพูดไปหอมแก้มผมไป ถามไปคลอเคลียแถวซอกคอไป ตั้งแต่ลึกซึ้งกันก็เหมือนเขาจะค้ากำไรจากร่างกายผมซะเกินควร...เหมือนกับว่าผมเป็นสมบัติของเขาแล้ว
“อืม” ผมแหงนใบหน้าพลางเอียงคอเพื่อเปิดรับให้เขาสัมผัสอย่างถนัดถนี่แต่สักพักก็เป็นเขาที่หยุดซะเอง
“มีอะไรเหรอ...”
“เมื่อวานเล็กไปพบคุณเฟยเฟิ่งมา”
กึก
ใหญ่ชะงักไป เสี้ยววินาทีแววตาคมดุสั่นไหวก่อนจะกลับมาอบอุ่นดังเดิม
“เขาเล่าให้คุณฟังหมดแล้วสินะ”
“ใหญ่จำได้แล้วเหรอ” ผมเอี้ยวหน้าหันกลับมามองเขาอย่างแปลกใจ หัวใจเต้นรัวแรงจนรู้สึกแน่นหน้าอก ใหญ่พูดเหมือนกับว่าเขารู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว หรือถ้ามากไปกว่านั้น...ก็จำทุกอย่างได้แล้ว
แรงกอดรัดแน่นขึ้นกับใบหน้าคมที่ซุกซบลงบนไหล่จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดต้นคอไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ความคิดในหัวผมตีกันจนยุ่งเหยิงมึนงงไปหมด
และยิ่งได้รับการยืนยันจากอีกฝ่ายโดยการพยักหน้าก็ยิ่งเหมือนโดนตีแสกหน้าจนคิดอะไรไม่ออก
“มะเมื่อไหร่...”
“เมื่อวาน...คุณลืมนามบัตรคุณเฟิ่งไว้บนโต๊ะคอมฯและประวัติล่าสุดที่คุณใช้อินเทอร์เน็ต ผมเข้าไปดูมา”
“แค่นั้นก็รู้แล้วเหรอ”
“อืมผมก็พอจำได้บ้างแล้ว ยิ่งเห็นภาพก็เหมือนปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้”
แล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง มีเพียงอ้อมแขนที่สอดรัดบนเอวผมกับแผ่นอกอุ่นที่เคลื่อนไหวขึ้นลงเป็นจังหวะสอดประสานกับเสียงเต้นของหัวใจ คอยร้องเตือนว่าทุกอย่างเป็นความจริง...ที่พัดเข้ามารวดเร็วปานกระแสคลื่นจนผมแทบตั้งตัวไม่ทัน
“เมื่อก่อนใหญ่ดูดีมาก” ผมเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“แล้วคุณชอบแบบไหนมากกว่ากัน”
“ไม่สำคัญหรอกว่าเล็กชอบแบบไหนสำคัญที่ใหญ่มากกว่าว่าชอบแบบไหน...”
“ผมเอาความชอบมาตัดสินไม่ได้หรอก...”
“แล้วใหญ่ชอบแบบไหนล่ะ”
“...”
“...”
“ผมชอบแบบ ‘นายตี๋ใหญ่’ มากกว่า”
“อืมแค่นี้ก็พอแล้วล่ะ”
ขอบคุณมากนะครับ{:5_130:} ขอบคุณครับ {:5_141:} ;P;P;P อย่าไปไหนนะ ชอบแค่ตี๋ใหญ่ โอย น่ารัก {:5_135:} ขอบคุณมากเลยครับ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณครับ {:5_124:}ขอบคุณครับ{:5_119:} จะจบเศร้าไหมครับ{:5_139:} สุดท้ายจะได้อยู่ด้วยกันไหมนะ เขียนดีจังครับ กระชับ เดินเรื่องไว สนุก ฟิน ครบรส ขอบคุณครับ สนุกดี ขอบคุณครับ สนุกมากเลยครับ ขอบคุณครับ ชอบมากตามต่อ ขอบคุณครับ