tor_8915 โพสต์ 2020-4-22 15:29:21

รักเร่ร่อน...ของคนจรจัด 17.1 bymod-cup

เร่ร่อน17.1


“เล็ก...เล็ก...”


“...”


“ไอ้เล็ก!!”


เฮือก!!


ผมสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจกับเสียงหวีดที่ดังเข้ามาในแก้วหู แล้วก็ต้องกระพริบตาปริบปรับอาการมึนงงเพื่อรับรู้บรรยากาศรอบตัวหลังจากที่หลุดการรับรู้ไปชั่วขณะหนึ่ง


“เป็นอะไรวะ นั่งเหม่อทั้งวัน เลิกงานแล้วไม่กลับบ้านไง” พี่มิ่งยืนท้าวเอวจังก้าอยู่ตรงข้ามเอ่ยเสียงเข้มอย่างหัวเสีย ก็วันนี้แกมาเรียกสติผมตลอดวันเพื่อให้ผมได้ตั้งสมาธิทำงาน แต่พักเดียวความนึกคิดของผมก็หลุดลอยไปอีก


ไม่แปลกที่พี่แกจะหัวเสีย...และเป็นห่วง


เฮ้อ...ทำไมชอบทำให้คนรอบข้างกังวลนะคนเล็กนิสัยไม่ดีเลย


ก็ได้แต่เอ่ยว่าตัวเองไปพลางรวบของเก็บไว้ที่มุมหนึ่งของโต๊ะทำงานเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน ในใจยังอดคิดไปถึงเรื่องที่พานจะนึกถึงมาตลอดวันไม่ได้


ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าคิดมากมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว


เมื่อวานเช้าตอนสิบโมงผมออกไปพบคุณเฟยเฟิ่งตามนัดหลังจากที่ไปส่งคุณตาและน้องดาวกลับเชียงรายแล้ว และสิ่งที่ผ่านการบอกเล่าจากปากบางสวยเกินชายของเขาก็ทำให้ผมทั้งอึดอัด กดดันตื่นเต้นกับเรื่องราวของใหญ่ในมุมที่ผมไม่รู้ แต่ต่อมามันก็ทั้งสับสน มึนงงและหน่วงไปทั้งหัวใจอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปกับสิ่งที่ ‘เจ้าของชีวิต’ ของใหญ่ต้องการ


ไม่ใช่สิ...ต้องเรียกว่านาย ‘จิ่นสือ’ ถึงจะถูก


ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนพาร่างตัวเองมายังรถส่วนตัวแล้วขับไปยังริมหนองที่ตั้งร้านกินเส้นอย่างที่ทำเป็นกิจวัตรประจำวัน


“คุณเล็ก เดี๋ยวน้ำซุปลวกใส่” นายเจ้าของร้านกินเส้นเบี่ยงกระบวยลวกเส้นหนีก่อนใช้มืออีกข้างดันผมที่ยืนชิดกอดเอวเขาไว้หลบไปด้านหลัง ซึ่งผมก็ยอมถอยไปนั่งที่เก้าอี้แต่โดยดีให้ใหญ่ทำก๋วยเตี๋ยวให้ลูกค้าต่อ สักพักผมก็ย้ายตัวไปเล่นกับเจ้าตี๋น้อยตรงมุมกำแพง


เดี๋ยวนี้กลับจากทำงานผมไม่ต้องมาช่วยใหญ่เสิร์ฟก๋วยเตี๋ยวแล้ว จะมีบ้างก็ตอนช่วงหัวค่ำที่คนเยอะๆแต่ก็ไม่หนักเหมือนเก่าเนื่องด้วยใหญ่ได้จ้างน้องหลงหลานชายป้าแขกที่ขายกล้วยปิ้งอยู่ตรงข้ามมาช่วยงานหลังเลิกเรียน โดยให้ค่าจ้างชั่วโมงละยี่สิบห้าบาท ซึ่งหลงก็เป็นเด็กที่ขยันมากทั้งที่อายุแค่สิบขวบ


ดังนั้นหน้าที่หลักๆของผมคือช่วยใหญ่เก็บร้านตอนสี่ทุ่ม ซึ่งเจ้าของร้านก็ช่างขยันไล่ผมกลับไปพักผ่อนนอนหลับที่ห้องเสียเหลือเกิน แต่ผมไม่ไปหรอก...อยากใช้เวลาที่เหลืออยู่ด้วยกันให้มากที่สุด


“อ๊ะ ตี๋น้อย...จริงๆเลยติดสาวซะได้” ผมที่นั่งเกาคาง ลูบหัวเจ้าตี๋น้อยอยู่สะดุ้งผละตัวออกห่างเมื่ออยู่ๆเจ้าหมาหนุ่มตัวโตก็กระโจนวิ่งเข้าไปในหนองทันทีที่เห็นเจ้าหมาสาวพันธุ์บางแก้วที่เจ้าของพามาเดินเล่น


ดูสิ กระดิกหางยิกๆเชียว


เมื่อเจ้าตี๋น้อยจากไป ผมจึงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวเตี้ย ใช้สองมือกอดเข่าแล้วจ้องมองไปยังคนตัวโตที่ยืนทำก๋วยเตี๋ยวตามเมนูอย่างเพลิดเพลิน...และเหม่อลอย



‘ทำไมถึงเรียกเขาว่าใหญ่ล่ะครับ’


คุณเฟยเฟิ่งเอ่ยปากถามขึ้นหลังจากที่เราทักทายชวนคุยนอกประเด็นกันมานานแล้ว ผมจึงสูดหายใจเข้าลึกเตรียมรับฟังทุกเรื่องและถามทุกอย่างที่ผมอยากรู้ในวันนี้


แต่ก่อนอื่นผมต้องตอบคำถามเขาก่อนสินะ


‘ผมเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้เขาเองครับเขาจำอะไรไม่ได้...’


‘เป็นอย่างที่ผมให้คนไปสืบมาจริงๆด้วยสินะ’ เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางที่เหมือนรู้เรื่องทุกอย่างอยู่ก่อนแล้ว


‘คุณรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว’


‘ครับไม่ใช่เรื่องที่สืบยากอะไร’


‘แล้วใหญ่...’


‘ความจริงเขาชื่อจิ่นสือน่ะ...จิ่นสือ พี่ชายของจิ่นตั้ง’ลมหายใจผมสะดุดไปช่วงจังหวะหนึ่ง...จิ่นสือ...อย่างนั้นเหรอ...ถึงว่าทำไมทั้งสองคนถึงได้มีหน้าตาและท่าทางคล้ายกันนัก


‘ขะเขา...จิ่นสือ...เขาทำงานกับคุณเหรอครับ...’


‘จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิดนักเขาเป็นบอดี้การ์ดของผม และผมมาที่นี่ก็เพื่อจะมารับเขากลับฮ่องกงด้วยกัน’


ประโยคข้างต้นทำให้ร่างกายของผมเย็นเยียบและสั่นสะท้าน แม้คำพูดของคุณเฟยเฟิ่งจะนิ่มนวลใบหน้าอ่อนโยนประดับด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร แต่ความคิดด้านมืดแวบหนึ่งของผมกลับเห็นเขาเป็นศัตรูด้วยรู้สึกว่าคำพูดของเขามันช่างโหดร้ายเหลือเกิน


‘แล้วทำไมถึงจะมาพากลับไปตอนนี้ล่ะครับ นี่ก็ผ่านมาตั้งห้าเดือนแล้วตอนนี้ใหญ่ก็ปรับตัวกับที่นี่ได้ ร้านก็กำลังไปได้ดี แล้ว...แล้ว...เขาก็จำอะไรไม่ได้จะกลับไปได้ยังไง...ให้เขาอยู่กับผมที่นี่...’


‘คุณเล็กครับ’ น้ำเสียงนุ่มนวลต่างจากประกายตาเฉียบขาดดึงรั้งสติของผมกลับมา สายตาของคุณเฟยเฟิ่งบ่งบอกว่ารับรู้อะไรที่มากกว่านั้นและช่างเห็นใจผมเหลือเกิน


ถ้าเห็นใจก็ได้โปรดอย่าพรากเขาไปจากผมเลย...


‘เหตุผลที่คุณเล็กยกมาผมเข้าใจ แต่ยังไงสักวันเสี่ยวสือก็ต้องกลับฮ่องกงเขามีหน้าที่ดูแลคนตระกูลเฟย เป็นสมบัติของตระกูลเฟยลูกศิษย์อีกมากมายรอให้เขากลับไปสอน ไหนจะครอบครัวของเขาอีก เสี่ยวสือไม่ใช่บอดี้การ์ดทั่วไปแต่เขาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลจิ่นที่รับใช้เรามาหลายชั่วอายุคนและมีมีอิทธิพลทั้งในฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่’


‘เขาดูยิ่งใหญ่จัง’


‘อืม ที่คุณพูดก็ไม่ผิดนักเสี่ยวสือของผมเขาเป็นคนเก่ง มีพรสวรรค์ทั้งด้านบุ๊นและบู๊มาตั้งแต่เกิด แน่ล่ะเขามีอาจารย์ที่เก่งมากถึงสองคน...’ แววตาที่สะท้อนออกมาบ่งบอกว่าเข้าภูมิใจกับเสี่ยวสือของเขามากแค่ไหน เขายิ้มบางให้ผมแล้วเอ่ยต่อ‘พ่อแม่ของเขาน่ะครับ’


‘งั้นคุณจิ่นตั้งก็คงเก่งมากเหมือนกัน’ ผมเหลือบมองไปยังผู้ชายที่ยืนตัวตรงนิ่งอยู่ด้านหลังคุณเฟยเฟิ่ง ซึ่งเขาไม่ได้หันไปมองเพียงแค่ใช้ปลายนิ้วไล้ขอบแก้วกาแฟแล้วยกยิ้มมุมปาก


‘ครับเขาเก่งมาก แต่เก่งแค่ไหนเขาก็เป็นคนของพี่ชาย ไม่ใช่ของผม’


‘เอ๊ะ??’


‘จิ่นตั้งเป็นคนของพี่ชายผมน่ะครับ...เขาทำคนของผมหายเลยเอาคนที่เก่งเท่าเทียมมาใช้คืน’ ผมไม่ได้รู้สึกถึงความยินดีในน้ำเสียงนั้นเลย หนำซ้ำยังเต็มไปด้วยการประชดประชัน


ผมบีบมือชื้นเหงื่อแน่นพลางเค้นเสียงผ่านลำคอตีบตันรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่พาใหญ่มาหาผม ‘ยังไงเหรอครับ’


‘เมื่อห้าเดือนก่อน พี่ชายผม...เฟยหลงมางานประมูลเพชรที่ประเทศไทย มันเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งของตระกูลเรา...เพชรในงานมีมูลค่าหลายร้อยล้านจึงต้องมีคนควบคุมดูแลที่เก่ง ฉลาดและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและฉับไว ซึ่งตัวเลือกก็คงไม่พ้นสองพี่น้องตระกูลจิ่น ผมจึงต้องยอมให้เสี่ยวสือมาไทย’ แล้วใบหน้าเขาก็หม่นลงเมื่อเอ่ยประโยคถัดมา ‘แต่พองานเสร็จกลับไม่มีแม้แต่เงาของเสี่ยวสือเลย’


น้ำเสียงสั่นไหวพาหัวใจของผมกระตุกตาม เพราะการแสดงออกของเขาที่บอกว่าเสี่ยวสือสำคัญกับเขามากเท่าไร...เช่นเดียวกัน...ใหญ่ก็สำคัญกับผม...


‘ทุกคนปิดปากเงียบไม่มีใครเอ่ยปากบอกอะไรผมสักคำ จนพี่เฟยหลงมาบอกเองว่า...เขาตายแล้ว...ตอนนั้นผมรู้สึกแย่มาก...ในหัวคิดเพียงแค่ว่าเสี่ยวสือของผมน่ะเหรอ คนที่โดนดาบฟันเข้าที่หัวใจยังรอดมาได้...แล้วทำไม...ทำไม...คุณเล็กครับ...’ เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมอย่างร้องขอ


‘ให้เขากลับไปกับผมเถอะครับ ผมมาไทยก็เพราะไม่เชื่อว่าเขาตายตามหาทุกทาง สำหรับผมเขาไม่ใช่แค่บอดี้การ์ดหรือคนดูแลเขาเป็นทั้งเพื่อน ญาติ เป็นพี่ชายทั้งๆที่เขาอายุน้อยกว่าผมเป็นคนเดียวที่ผมวางใจ...’


‘อายุน้อยกว่าเหรอครับ งั้นใหญ่อายุก็ไม่น่าเกินยี่สิบห้า??’ ไม่น่าเชื่อ คุณเฟยเฟิ่งดูอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบห้า ผมคิดว่าเขาจะอายุน้อยกว่าใหญ่สักสามสี่ปีจริงสินะ เขาเรียกใหญ่ว่า...เสี่ยวสือ...


‘ฮะๆผิดแล้วล่ะครับ เสี่ยวสืออายุน้อยกว่าผมห้าปีส่วนผมปีนี้ก็สี่สิบแล้ว’ ผมเบิ่งตาโตอย่างตกใจ สี่สิบ!? ชายผู้มีใบหน้างดงามที่นั่งตรงข้ามผมอายุสี่สิบแล้ว ผมเข้าใจมาตลอดว่าเขาน่าจะรุ่นเดียวกับผมโอ้ว...เขาเป็นน้าผมได้เลยนะ


งั้นใหญ่ก็อายุ...สามสิบห้า!!ส่วนผม...ยี่สิบสอง!!


เขาแก่กว่าผมสิบสามปี...นี่ผมมีสามีที่อายุมากกว่าหนึ่งทศวรรษ!!


แล้วเสียงหนึ่งก็ทำให้ผมหลุดความคิดออกมาจากเรื่องอายุเพื่อได้ยินสิ่งที่แย่กว่านั้น


‘คุณเล็กได้โปรด...คืนเสี่ยวสือมาได้ไหมครับ’


‘...!’


‘นะครับ’


‘ละแล้วทำไมมาเอาป่านนี้ล่ะครับ’ ทำไมจะมาเอาเขาไปในวันที่ผมขาดเขาไม่ได้แล้ว


‘ผมไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อไหม แต่เราตามหาเขามาตลอด แทบพลิกเมืองพิษณุโลกหา...แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะลอยแม่น้ำมาถึงนครสวรรค์ได้ ทันทีที่เราเห็นเขาจากรายการอาหารทางทีวีเราก็รีบตามมา จะมาพาเขากลับแต่มารู้ว่าเขาจำอะไรไม่ได้เลยจึงค่อยเป็นค่อยไป จิ่นตั้งแนะนำให้ตีหัวลากกลับฮ่องกงด้วยซ้ำ แต่เชื่อเถอะต่อให้ยกคนมาทั้งตระกูลเฟยก็ล้มเขาไม่ได้ ทางเดียวที่จะลอบพาเขากลับไปได้คือ...จับตาย...ซึ่งผมไม่ต้องการแบบนั้น’


‘ถ้าเก่งขนาดนั้นทำไมเขาถึงโดนทำร้ายได้ล่ะครับ’


‘เพราะเขาบ้าระห่ำเกินไปเอาชีวิตตัวเองเข้าแลกกับทายาทตระกูลเฟย...ซึ่งก็คือพี่ชายของผม’ คงเหมือนวันที่เขาเข้าไปช่วยผมในกองเพลิง


‘ตะต้องเอาเขาไปจริงๆเหรอครับ...’


‘ต่อให้วันนี้ผมใจอ่อนแต่สักวันเขาก็ต้องกลับไป เขาเป็นคนของตระกูลเฟย ก็เหมือนยกชีวิตให้ตระกูลเฟยแล้ว’


‘...!!’


ทำไมถึงฟังดูโหดร้ายจัง...


‘สำหรับผมยังไงเขาก็เหมาะที่จะเป็นคนดูแลตระกูลเฟย มากกว่า...พ่อค้าขายบะหมี่ถ้าผมพูดแรงไปต้องขอโทษด้วย แต่ผมจำเป็น ยังไงก็ฝากคุณเล็กด้วยนะครับผมรู้ว่าคุณต้องเลือกทางที่ดีที่สุดให้กับเขา’



“คุณเล็ก...เป็นอะไรหืม หน้าตาดูไม่ดีเลย” ผมสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงปลายนิ้วที่ลูบลงบนแก้มอย่างห่วงใย ผมรีบก้มหน้าพลางกระพริบตาไล่น้ำตาที่เริ่มคลอหน่วง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทันเมื่อมือใหญ่เชยปลายคางผมให้เงยหน้าสบตา “ร้องไห้ทำไม...”


“เปล่าแค่ปวดหัวน่ะ”


“งั้นกลับห้องไหม” ผมส่ายหน้าพลางจับฝ่ามือใหญ่มาแนบแก้ม


“วันนี้ปิดร้านเร็วหน่อยได้ไหม”


“ได้สิงั้นเดี๋ยวลูกค้าชุดนี้หมดเรากลับห้องกันนะ”


“ของที่เหลือล่ะจะไม่เป็นอะไรเหรอ”


“ไม่หรอก วันนี้สิ้นเดือนนะคุณจำไม่ได้หรือไง” ผมยิ้มบางออกมาซึ่งเป็นรอยยิ้มจริงๆของวันนี้ที่ผลักดันออกมาจากหัวใจอันเต็มตื้น จริงสิ วันนี้สิ้นเดือน...วันที่เราตกลงกันว่าจะปิดร้านกันตอนสองทุ่ม และเปิดให้คนเร่ร่อนไร้บ้านหรือแม้แต่คนมีบ้านแต่ยากจนเข้ามาทานฟรี


เพียงแค่วันนี้เราเลื่อนปิดร้านเร็วขึ้นเพื่อให้คนยากไร้ที่รออยู่ได้อิ่มท้องเร็วขึ้นด้วยเท่านั้น


เพียงแค่เราจะได้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มและอิ่มสุขของพวกเขาเร็วขึ้น...ก็เท่านั้นเอง...


แต่เป็นเรื่อง...เท่านั้นเอง...ที่ทำให้ผมมีความสุขทุกครั้งที่นึกถึง ยังจำได้...เมื่อเดือนที่แล้วใหญ่เดินมาบอกด้วยใบหน้าเรียบเฉยสวนทางกับความปรารถนาดีต่อผู้อื่นโดยสิ้นเชิง



‘ตอนนี้ผมก็ขายก๋วยเตี๋ยวได้กำไรพอมีเงินเหลือเก็บแล้วคุณจะว่ายังไงถ้าผมจะแบ่งกำไรส่วนนี้ไปช่วยคนอื่นที่เคยเป็นเหมือนผมบ้าง’


‘ฉันจะว่าอะไรได้ล่ะนอกจากดีใจ’


‘ถ้าอย่างนั้นเป็นทุกวันที่สิบห้าและสามสิบของทุกเดือนดีไหม’


‘อื้มวันไหนก็ดีทั้งนั้นแหละ’





20.30 น.


แอ๊ดดดดด


ปัง


“ใหญ่...เดี๋ยวให้อาหารตี๋น้อยเสร็จแล้วไปอาบน้ำนะเล็กมีเรื่องจะคุยด้วย”


ทันทีที่เข้ามาในห้องถอดรองเท้าไว้บนชั้นวางเรียบร้อยผมก็หันไปบอกนายหมาตูบก่อนจะเขย่งตัวขึ้นไปหอมแก้มสากและเดินแยกตัวเข้ามาในห้องนอน ล้มตัวนั่งลงบนพื้นเอนแผ่นหลังพิงปลายเตียง สองแขนกอดเข่าทั้งสองข้างที่ยกชันขึ้น


ใหญ่คงคิดว่าผมมาอาบน้ำ...


แต่เปล่าเลย...ผมเข้ามาทำใจกับเรื่องราวที่ผมจะคุยกับเขา...


ถ้าถามใจผม...ไม่อยากให้เขากลับไปเลย แต่เรื่องของหัวใจก็เป็นเรื่องหนึ่ง...สิ่งที่ผมยกมาเป็นเหตุผลคือชีวิตที่เหลือของใหญ่ต่างหาก...


ถ้าเขาใช้ชีวิตเป็นนายตี๋ใหญ่...เป็นแค่พ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยว...เขาอาจจะมีเงินไม่มาก ไม่มีอำนาจ เป็นคนไร้ตระกูลใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ในจังหวัดเล็กๆ...


กลับกัน...ถ้าเขาใช้ชีวิตเป็นจิ่นสือ...บอดี้การ์ดมากฝีมือผู้ดูแลรักษาชีวิตคนตระกูลเฟยที่มีธุรกิจทั้งอสังหาริมทรัพย์ เหมืองเพชรพลอย คาสิโนและธุรกิจยิบย่อยอีกมากมายทั่วเอเชีย...แน่นอน รายได้ของจิ่นสือที่ดูแลบุคคลสำคัญเหล่านี้คงประเมินค่าไม่ได้ ไหนจะเป็นลูกชายคนโตของตระกูลจิ่นซึ่งฟังดูแล้วก็คงไม่ธรรมดา ประกอบกันแล้วเขาก็เป็นคุณชายในคราบบอดี้การ์ดดีๆนี่เอง...แต่ต้องใช้ชีวิตเป็นโล่ป้องกันฝ่ายตนและพร้อมที่จะเป็นอาวุธคร่าชีวิตฝ่ายตรงข้าม อยู่ท่ามกลางอันตราย...


...ต้องสวมหัวโขนเป็นใครกันที่จะทำให้เขามีความสุข


ซึ่งเรื่องนี้ผมคงคิดแทนเขาไม่ได้ ตัดสินใจแทนเขาไม่ได้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่ต้องเลือกเส้นทางจะเดินต่อจากนี้...ไปข้างหน้า...หรือเลี้ยวกลับเส้นทางเดิม...


...จะทางไหนเพียงแค่เขาเลือกผมก็พร้อมจะยอมรับและอยู่เคียงข้างขอเพียงอย่างเดียวไม่ว่าจะเลือกทางไหน...เลือกผมด้วยก็พอ...





“นั่งสิ”


“คุณเล็ก...ดึกแล้วน้ำค้างจะลงนะ”


“ไม่เป็นไรหรอก”


ผมดึงใหญ่ให้นั่งลงเคียงข้างบนพื้นที่ระเบียงห้อง หลังพิงกระจกใสสองขาวางเหยียดไปตามแนวพื้นกระเบื้อง ใบหน้าแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดทึบไปด้วยเมฆหมอกไร้แสงดาว


นายหมาตูบเลียนแบบท่านั่งผม จะต่างก็ตรงเรียวขายาวทั้งสองข้างที่เหยียดพื้นอ้าออกเพื่อจะยกร่างผมเข้าไปนั่งระหว่างขา สองแขนกอดรั้งเอวผมไว้แล้วดึงรั้งให้แผ่นหลังเอนซบบนแผ่นอกอบอุ่นของเขา


ฟอด


“วันนี้คุณดูซึมๆเกี่ยวกับเรื่องที่จะคุยกับผมหรือเปล่า” เสียงเข้มดังชิดริมหู แน่ล่ะนายหมาตูบพูดไปหอมแก้มผมไป ถามไปคลอเคลียแถวซอกคอไป ตั้งแต่ลึกซึ้งกันก็เหมือนเขาจะค้ากำไรจากร่างกายผมซะเกินควร...เหมือนกับว่าผมเป็นสมบัติของเขาแล้ว


“อืม” ผมแหงนใบหน้าพลางเอียงคอเพื่อเปิดรับให้เขาสัมผัสอย่างถนัดถนี่แต่สักพักก็เป็นเขาที่หยุดซะเอง


“มีอะไรเหรอ...”


“เมื่อวานเล็กไปพบคุณเฟยเฟิ่งมา”


กึก


ใหญ่ชะงักไป เสี้ยววินาทีแววตาคมดุสั่นไหวก่อนจะกลับมาอบอุ่นดังเดิม


“เขาเล่าให้คุณฟังหมดแล้วสินะ”


“ใหญ่จำได้แล้วเหรอ” ผมเอี้ยวหน้าหันกลับมามองเขาอย่างแปลกใจ หัวใจเต้นรัวแรงจนรู้สึกแน่นหน้าอก ใหญ่พูดเหมือนกับว่าเขารู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว หรือถ้ามากไปกว่านั้น...ก็จำทุกอย่างได้แล้ว


แรงกอดรัดแน่นขึ้นกับใบหน้าคมที่ซุกซบลงบนไหล่จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดต้นคอไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ความคิดในหัวผมตีกันจนยุ่งเหยิงมึนงงไปหมด


และยิ่งได้รับการยืนยันจากอีกฝ่ายโดยการพยักหน้าก็ยิ่งเหมือนโดนตีแสกหน้าจนคิดอะไรไม่ออก


“มะเมื่อไหร่...”


“เมื่อวาน...คุณลืมนามบัตรคุณเฟิ่งไว้บนโต๊ะคอมฯและประวัติล่าสุดที่คุณใช้อินเทอร์เน็ต ผมเข้าไปดูมา”


“แค่นั้นก็รู้แล้วเหรอ”


“อืมผมก็พอจำได้บ้างแล้ว ยิ่งเห็นภาพก็เหมือนปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้”


แล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง มีเพียงอ้อมแขนที่สอดรัดบนเอวผมกับแผ่นอกอุ่นที่เคลื่อนไหวขึ้นลงเป็นจังหวะสอดประสานกับเสียงเต้นของหัวใจ คอยร้องเตือนว่าทุกอย่างเป็นความจริง...ที่พัดเข้ามารวดเร็วปานกระแสคลื่นจนผมแทบตั้งตัวไม่ทัน


“เมื่อก่อนใหญ่ดูดีมาก” ผมเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น


“แล้วคุณชอบแบบไหนมากกว่ากัน”


“ไม่สำคัญหรอกว่าเล็กชอบแบบไหนสำคัญที่ใหญ่มากกว่าว่าชอบแบบไหน...”


“ผมเอาความชอบมาตัดสินไม่ได้หรอก...”


“แล้วใหญ่ชอบแบบไหนล่ะ”


“...”


“...”


“ผมชอบแบบ ‘นายตี๋ใหญ่’ มากกว่า”


“อืมแค่นี้ก็พอแล้วล่ะ”

minone โพสต์ 2020-4-22 16:29:15

ขอบคุณ​มาก​นะ​ครับ​{:5_130:}

Wandy โพสต์ 2020-4-22 16:42:33

ขอบคุณครับ

qkung โพสต์ 2020-4-22 17:12:58

{:5_141:}

Aonz003 โพสต์ 2020-4-22 19:14:02

;P;P;P

redboy โพสต์ 2020-4-22 20:38:38

อย่าไปไหนนะ

uglymen โพสต์ 2020-4-22 20:58:40

ชอบแค่ตี๋ใหญ่ โอย น่ารัก {:5_135:}

guide01 โพสต์ 2020-4-22 21:31:53

ขอบคุณมากเลยครับ

mm2013 โพสต์ 2020-4-22 22:43:43

ขอบคุณ​มากครับ​

rowetszaa โพสต์ 2020-4-22 23:41:16

ขอบคุณครับ

pipi1 โพสต์ 2020-4-22 23:51:25

{:5_124:}ขอบคุณครับ{:5_119:}

sa99 โพสต์ 2020-4-23 00:03:38

จะจบเศร้าไหมครับ{:5_139:}

KBKK โพสต์ 2020-4-23 03:12:57

สุดท้ายจะได้อยู่ด้วยกันไหมนะ

sak4 โพสต์ 2020-4-23 03:18:58

เขียนดีจังครับ กระชับ เดินเรื่องไว สนุก ฟิน ครบรส

lnatl โพสต์ 2020-4-23 03:44:28

ขอบคุณครับ สนุกดี

winwin2 โพสต์ 2020-4-23 03:59:26

ขอบคุณครับ

gaybin โพสต์ 2020-4-23 04:33:40

สนุกมากเลยครับ

65gpy โพสต์ 2020-4-23 05:59:24

ขอบคุณครับ

topto โพสต์ 2020-4-23 08:19:26

ชอบมากตามต่อ

bassabassy โพสต์ 2020-4-23 08:43:21

ขอบคุณครับ
หน้า: [1] 2 3
ดูในรูปแบบกติ: รักเร่ร่อน...ของคนจรจัด 17.1 bymod-cup