รักเร่ร่อน...ของคนจรจัด 17.2 bymod-cup
เร่ร่อน17.2สุดท้ายสิ่งที่ผมกลัวก็เกิดขึ้นจนได้...ใหญ่ต้องกลับไป กลับฮ่องกง กลับไปเป็นจิ่นสือ...กลับไปดำเนินชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงของเขาสักที
‘ไม่ว่าผมจะเป็นใคร...ผมก็คือนายตี๋ใหญ่ของคุณเล็กเสมอ’
ถึงใหญ่จะพูดอย่างนั้น และผมก็พยายามปลอบใจว่าเป็นเช่นนั้น แต่ในใจลึกๆผมก็รู้ดีว่า...เขาไม่มีทางเป็นนายตี๋ใหญ่ของผมได้เหมือนเก่า...
นายตี๋ใหญ่..ชายเร่ร่อนที่ภายนอกน่าเกลียดน่ากลัวแต่เนื้อแท้ข้างในกลับเป็นคนดี
นายตี๋ใหญ่...เจ้าของเจ้าตี๋น้อยที่ขยันดุสุนัขตัวโตซะเหลือเกินแต่ก็หัดมันจนเป็นสุนัขที่ฉลาดและน่ารักมากเช่นกัน
นายตี๋ใหญ่...เจ้าของร้านกินเส้นอันเลื่องชื่อ จากนี้คงต้องปิดร้านลงทั้งที่ยังไม่ได้ขยายร้านตามที่คาดหวังไว้ ซ้ำยังต้องปิดถาวรเลยด้วยซ้ำ
นายตี๋ใหญ่...ใหญ่...ของผม
จากนี้คงมีแต่คุณจิ่นสือ บอดี้การ์ดคนสำคัญของตระกูลเฟยคนสนิทของคุณเฟยเฟิ่ง อาจารย์ผู้นำด้านการสอนศิลปะการต่อสู้ให้บอดี้การ์ดรุ่นต่อไป
คิดแล้วช่างน่าขันสิ้นดี...นายตี๋ใหญ่ไม่มีอะไรสู้คุณจิ่นสือได้เลย...
กำหนดการกลับฮ่องกงคือนับจากนี้อีกสามวัน...มันช่างน้อยนิดเสียจริง
หรือถึงจะให้เป็นสามสัปดาห์ สามเดือน สามปีมันก็ยังน้อยอยู่ดีสำหรับผม สำหรับเวลาของเรา
“ใหญ่ตกลงวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เราสองคนที่เปลือยเปล่านอนกอดกันโดยที่ร่างกายส่วนบนของผมขึ้นไปเกยบนอกของเขาหลังจากผ่านกิจกรรมร่วมรักกันเสร็จสิ้น มันเต็มไปด้วยความวาบหวามเสียวซ่านเช่นเดิม แต่จะต่างตรงความอิ่มสุขที่เคยเปี่ยมล้นจนเต็มตื้นบัดนี้มันมีความขมปร่าปะปนเข้ามา
และเมื่อลมหายใจหอบเมื่อห้านาทีก่อนค่อยๆกลับมาปกติผมก็เอ่ยถามอีกฝ่าย ถึงจะพอรู้เรื่องมาจากคุณเฟยเฟิ่งบ้าง แต่ผมก็ยังอยากรู้จากปากของใหญ่...อยากฟังเสียงทุ้มต่ำนี้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้ฟัง
จุ๊บ
ใหญ่ก้มลงจูบศีรษะผมก่อนจะค่อยๆเอ่ยเล่าสู่กันฟัง
“ระหว่างที่รอเครื่องบินของตระกูลเฟยมารับหลังจากงานประมูลเพชรสิ้นสุดลง ไม่รู้ศัตรูฝ่ายไหนลอบเล่นงานเรา มันเล็งยิงเข้าที่ศีรษะของคุณเฟยหลงแต่โชคดีที่ฝีมือมันห่วยเลยพลาดเป้า เราจึงรีบพาคุณเฟยหลงขึ้นรถ จิ่นตั้งเป็นคนขับรถพาคุณหลงหนีไป ส่วนผมนำคนที่เหลือยิงสกัดเราจัดการมันได้ทั้งหมด แต่ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น...” ฝ่ามือที่ลูบแผ่นหลังอย่างแผ่วเบาราวปลอบประโลมไม่ให้ผมรู้สึกช็อกกับสิ่งที่ได้ฟังไม่ทำให้หัวใจผมเต้นเบาลงได้เลย ใหญ่คงรู้...ว่าคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายไปวันๆอย่างผมเมื่อมาฟังเรื่องราวนองเลือดคงรู้สึกไม่ดี
และใช่...ผมกำลังรู้สึกไม่ดี
ผมกำลังจะปล่อยให้ใหญ่ของผมกลับไปทำร้ายคนอีกหรือ...บ้านเมืองมีขื่อมีแปไม่ใช่หรือจะเที่ยวฆ่าฟันกันตามใจชอบได้อย่างไรกัน
“มันวางระเบิดไว้ใต้ท้องรถด้วย...”
“ระเบิดเหรอ...ทะทำไมถึง...”
“ผมถึงบอกว่ามันเป็นโลกที่คุณไม่มีความสุขกับมันได้หรอก” ใหญ่บอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ก็ยังสั่นจนผมรู้สึกได้“คืน
ก่อนงานประมูลเพชรคุณหลงหนีออกไปเที่ยวโดยออกคำสั่งไม่ให้พวกเราตามไปพวกมันที่ซุ่มตามอยู่คงอาศัยโอกาสนี้ติดตั้งระเบิดไว้”
ฟังดูโหดร้ายกันจัง...
“จิ่นตั้งที่อยู่รถคันเดียวกับคุณหลงบอกผมผ่านเครื่องมือสื่อสารของเรา จะจอดก็ไม่ได้เพราะมีรถอีกคันที่ดักซุ่มรออยู่อีกทางขับตามอยู่ แต่จะยังอยู่บนรถก็ไม่ได้อีก สุดท้าย...” เสียงทุ้มหยุดชะงักไปชั่วครู่เหมือนเหตุการณ์ต่อจากนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากพูดถึง
ผมไล้ปลายนิ้วลูบแผงอกสีแทนเบาๆก่อนเงยหน้าสบตาเอาคางวางบนอก“แต่ใหญ่ไม่อยากเล่า ไม่เป็นไรนะ”
ใหญ่ส่ายศีรษะก่อนยิ้มบางให้
“...สุดท้าย จิ่นตั้งจึงตัดสินใจให้คุณหลงเป็นคนขับแทน ส่วนตัวเองก็ลงไปเพื่อปลดระเบิด” ผมเงียบต่างจากจังหวะหัวใจที่เต้นรัวแรงขึ้น เหมือนในหนังฝรั่งที่ผมเคยดูเลยแต่เรื่องจริงมันคงไม่สนุกเหมือนในหนังแน่ ต้องปลดระเบิดทั้งที่รถยังวิ่งด้วยความเร็วสูงระวังลูกกระสุนจากผู้ไล่ล่า ซ้ำยังต้องปกป้องนายเหนือหัว
นี่หรือชีวิตที่ดีกว่าที่คุณเฟยเฟิ่งพูดถึง
“ผมที่ขับรถตามไปจนทันเห็น...จิ่นตั้งโผล่ตัวออกมานอกรถเพื่อปลดระเบิดมีเพียงขาที่เกี่ยวภายในตัวรถเอาไว้ และ...ปืน RPG ที่เล็งมาจากอีกมุมหนึ่งของถนน ตอนนั้นแผนการในสมองผมรวนไปหมดมันอยู่ไกลเกินกว่าที่ผมจะยิงสกัด ผมทำได้แค่เร่งเครื่องยนต์ให้เร็วที่สุดเพื่อช่วยคุณหลงออกมาจากรถคันนั้นให้ได้ ในหัวผมมีเพียงต้องช่วยคุณหลง แต่ในจังหวะจ่อท้ายรถและกำลังจะขับขึ้นไปตีคู่คุณหลงก็เหลือบไปเห็นRPG ที่กำลังจะพุ่งมา คุณหลงปล่อยพวงมาลัยรถและพุ่งเข้าไปดึงร่างจิ่นตั้งเข้ามาและกอดไว้ทั้งตัวก่อนจะเปิดประตูกระโดดลงไปอีกทาง ผมไม่มีทางเลือกต้องขับรถพุ่งไปรับลูกปืนเอาไว้แทนก่อนมันจะพุ่งโดนร่างทั้งสองคน”
“แล้วนายก็ลอยตกลงมาในน้ำเหรอ”
“เรียกว่าลงมาทั้งคนทั้งรถไฟลุกท่วมเลยล่ะ”
“แล้วต่อจากนั้น”
“ผมจำไม่ได้แล้ว”
แล้วความเงียบก็ปกคุลมทั่วห้องอีกครั้งเหมือนต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
สำหรับผมที่ใหญ่รอดชีวิตมาได้ถือเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมาก ถึงจะไม่รู้เรื่องปืน RPG มากแต่ก็รู้ว่ามันสามารถระเบิดรถได้ทั้งคัน แต่ใหญ่ที่อยู่ในรถกลับรอดมาได้!! ไม่รู้เป็นเพราะบุญเก่าหรือร่างกายกระดูกเหล็กกันแน่
แล้วผมต้องขอบใจไอ้ RPG ใช่ไหมที่ทำให้เราสองคนมาเจอกัน ==
“ใหญ่...เล็กสงสัย”
“ครับ”
ผมเสหลบสายตาก่อนเอียงเบี่ยงใบหน้าลงมาซบอกแกร่งดังเดิมเม้มปากอย่างชั่งใจก่อนถาม “ทำไมในเวลานั้นถึง...คิดแต่จะช่วยคุณเฟยหลงล่ะ”
เพราะถ้าเป็นผมต่อให้ใจดีกับคนอื่นไปทั่วยังไงแต่ถ้าอยู่ในเวลาเป็นตายแบบนั้นผมคงนึกถึง‘พี่น้อง’ ตัวเองเป็นอันดับแรก
ใหญ่เงียบร่างกายที่ผมเกยอยู่เกร็งขึ้นอย่างรู้สึกได้
“คุณเล็ก พวกผมน่ะ...” ใหญ่คลายกอดออกก่อนประคองผมให้ลงมานอนเคียงข้างพลางดึงผ้านวมขึ้นมาคลุมกายให้ จรดริมฝีปากอุ่นลงบนหน้าผากอย่างอ่อนโยน “ผมขอโทษ แต่พวกเราถูกฝึกมาเพื่อจงรักภักดีไม่ใช่...รัก”
มันเป็นประโยคบอกเล่าที่บีบหัวใจผมเหลือเกิน
เพื่อคนในตระกูลเฟยแล้วแม้แต่ชีวิตตัวเองหรือคนในครอบครัวก็ต้องมองข้ามไปอย่างนั้นหรือ
ใช้ชีวิตแบบนี้ดีกว่าตรงไหนกัน...
“ผิดหวังในตัวผมไหม”
ผมส่ายหน้าทันทีพลางยื่นมือไปลูบแก้มอีกฝ่ายที่นอนตะแคงกอดอยู่เคียงข้าง
“สงสารมากกว่า”
“คุณเล็ก...”
“ไม่ว่าจะเป็นใหญ่หรือจิ่นสืออย่าทิ้งตัวตนตอนนี้ของนายนะ อย่าเป็นคนไร้ความรู้สึกเพราะนั่นคือการสัมผัสถึงความสุขไม่ได้”
“...”
“รับปากสิ”
“...” ใหญ่ยังเงียบผมจึงมองเขาด้วยแววตาร้องขอ เขาจึงพยักหน้าตกลงในที่สุด ผมยิ้มกว้าง
ผมยืนมองรถเข็นที่ถูกคลุมด้วยผ้าใบทั้งคันด้วยแววตาสั่นไหว โต๊ะเหล็กและเก้าอี้ถูกเก็บพับซ้อนกันไว้พร้อมล่ามด้วยโซ่อีกทีหนึ่ง ตลอดระยะเวลาที่ทำการเก็บข้าวของเพื่อปิดร้านเป็นการถาวรกันนั้นมีลูกค้าขาประจำแวะเวียนมาถามถึงสาเหตุ ซึ่งผมกับใหญ่ไม่สามารถพูดอะไรได้นอกจากบอกไปว่า...มีธุระ
ซึ่งทุกคนต่างทำหน้าเสียดายและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า...รอร้านกินเส้นกลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง
“กลับเถอะคุณเล็ก” ใหญ่กุมมือผมไว้ก่อนพาเดินกลับมายังรถเพื่อกลับคอนโคไปเตรียมเก็บข้าวของในการเดินทางกลับฮ่องกงในวันพรุ่งนี้
ผมหันหลังกลับไปมองร้านอีกครั้งจบลงแล้วสินะทุกอย่างที่ร่วมทำกันมา
พอกลับมาถึงห้องผมก็ช่วยใหญ่เก็บของที่ไม่มีอะไรมากมาย เสื้อผ้าก็ไม่ได้เอากลับไปเนื่องจากจิ่นสือคงใส่เสื้อกล้ามกางเกงยีนตัดขารองเท้าแตะไม่ได้ ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวอื่นๆที่นู่นก็มีไว้ให้เสร็จสรรพ เรียกได้ว่าของที่เก็บมีแค่หนังสือคัมภีร์อาหารยอดยุทธ์ กับเสื้อแจ๊คเก็ตสีแดงที่ผมซื้อให้เขาในคราแรก
แต่ที่อ้างว่าเก็บของก็คงเพียงเพื่อต้องการใช้เวลาอยู่ด้วยกันก็เท่านั้น
ผมไปกับเขาไม่ได้ ผมเข้าใจ
‘คุณเล็กเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมจะกลับมารับคุณนะ’
‘ขอไปด้วยไม่ได้เหรอเล็กเป็นห่วง แล้วเราก็ค่อยกลับมาพร้อมกัน’
‘คุณไปไม่ได้และผมก็กลับมาอยู่ที่นี่ไม่ได้ แต่ผมจะกลับมา ขอคุณเล็กกับครอบครัวของคุณรับคุณไปอยู่ด้วยกัน’
‘ก็ได้แต่ต้องกลับมานะ แล้วห้ามขาดการติดต่อด้วย’
‘ครับ’
แม้ผมจะเห็นแววตาวูบไหวในดวงตาคมของอีกฝ่ายแต่ผมจะเชื่อใจเขา ผมต้องเชื่อมั่นในรักของเรา
“ใหญ่พรุ่งนี้คุณเฟยเฟิ่งจะมารับกี่โมงเหรอ”
“สิบโมงด้านล่างคอนโด”
“อืม”
ผมพยักหน้ารับรู้ด้วยใบหน้าเหงาหงอยที่ปิดไม่มิด แล้วใหญ่ก็คงสังเกตเห็นจึงเดินเข้ามารวบร่างผมเข้าไปกอด “อย่าทำหน้าอย่างนี้สิ ผมไม่สบายใจนะ”
“ขอโทษ...”
“โฮ่ง” แล้วเสียงของตัวขัดจังหวะก็ดังขึ้นแต่ก็ช่วยให้ใจผมอุ่นขึ้นมากเช่นกัน
ผมผละออกจากอ้อมกอดของนายหมาตูบลงไปลูบหัวของเจ้าหมาตากลม
อย่างน้อยผมก็ยังมีตี๋น้อยอยู่ด้วยนี่เนอะเราจะรอวันที่เขากลับมาด้วยกันนะ
ปัง! ปัง! ปัง!
ลูกปืนสาดกระสุนเข้ามาในจังหวะที่ศีรษะผมถูกกดให้ก้มลงและถูกกระชากจนลอยหวือเข้าไปในรถ
บรืนนนนนน
จากนั้นรถก็ถูกขับกระชากออกไปอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือของจิ่นตั้ง ผมที่ยังมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่หายได้แต่ซุกตัวลงในอ้อมกอดที่โอบรัดผมแน่น ร่างกายสะดุ้งโหยงทุกครั้งที่ได้ยินเสียงลูกปืนกระทบกับโครงเหล็กของรถ
ปัง ปัง
เคร้ง เคร้ง
“ขอปืน!!” เสียงคำรามลั่นของเจ้าของอ้อมกอดก่อนปืนสีดำขลับจะถูกโยนส่งมาจากด้านหน้า ใหญ่ตวัดมือรับอย่างชำนาญก่อนลดกระจกลง กดร่างผมให้ลงไปหมอบบนพื้นด้านล่างเบาะ ก่อนยื่นตัวออกไปสาดกระสุนใส่ฝั่งตรงข้ามบ้าง
ปัง ปัง ปัง
“อารักขาคุณเฟิ่งก่อน!!” ในจังหวะที่ใหญ่เอาตัวเข้ามาในรถเพื่อเปลี่ยนปลอกกระสุน ร่างกายกำยำของเขาก้มลงต่ำเพื่อบดบังร่างผมเอาไว้ เสียงตะโกนของคนขับรถเร็วท้านรกก็ดังขึ้น สองมือที่จัดการกับปืนในมือชะงักไปเสี้ยววินาทีเมื่อได้ยินก่อนตวัดสายตาไปมองอีกหนึ่งคนที่นั่งก้มศีรษะลงต่ำอยู่อีกฝั่งประตูของเบาะด้านหลัง
และวินาทีต่อมาใหญ่ก็เอื้อมจับร่างของคุณเฟิ่งเหวี่ยงไปยังเบาะด้านหน้าข้างคนขับ“ก้มลงคุณเฟิ่ง!! กระจกกันกระสุนคุณจะปลอดภัย!!”
“ไม่! จิ่นสือ!คันนี้ไม่กันกระสุน!!”
“ชิบ!! คุณเฟิ่ง!! ก้ม! ก้ม!” ใหญ่ตะโกนสวนบอกร่างขาวด้านหน้าพร้อมทั้งกดศีรษะของผมให้ต่ำลงอีก ก่อนที่ใหญ่จะยืนตัวไปนอกรถเพื่อยิงสกัดไม่ให้อีกฝ่ายยิงกระจกหรือล้อได้ โดยมีจิ่นตั้งที่ขับรถฉวัดเฉวียนซ้ายขวาไปมาช่วยอีกทางหนึ่ง
เอี๊ยดดดดดด
เสียงล้อรถเสียดสีกับพื้นถนนพร้อมกับตัวรถที่เอียงขึ้นจนมีเพียงสองล้อหน้าหลังของด้านซ้ายที่สัมผัสกับพื้นผิวส่วนตัวรถอีกด้านกลับลอยขึ้น ยามที่คุณจิ่นสือหักพวงมาลัยกะทันหันเข้าซอยก่อนจะกระแทกลงกลับมาวิ่งสี่ล้ออีกครั้ง
ช่างน่ากลัวจริงๆ
“บ้าเอ๊ย! ไอ้ตี๋หลบ!” เสียงใหญ่ตะโกนลั่นพร้อมเสียงปืนที่หยุดลง ผาพาร่างตัวเองจากพื้นด้านล่างขึ้นไปบนเบาะและมองไปทางกระจกด้านหลังทันทีเมื่อได้ยินชื่อที่ใหญ่เรียก
“คุณเล็ก!หมอบลงไป!”
ไม่ ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ตี๋น้อย...เจ้าตี๋น้อยของเรากำลังวิ่งตามมา
ภาพตรงหน้าผมคือ...บนถนนมีรถกระบะสีบรอนด์กำลังขับตามเรามาโดยกระบะด้านหลังมีชายฉกรรจ์สามคนเล็งปืนยิงโจมตีรถของเรา ในขณะที่เยื้องไปทางขวาบนฟุตปาธเจ้าสี่ขาหน้าแต้มกำลังวิ่งอยู่ระหว่างรถทั้งสองคัน สายตามันมองมาทางนี้พร้อมกับสี่ขาที่วิ่ง วิ่งและวิ่ง ตามเจ้าของของมัน หูทั้งสองข้างลู่ไปตามลม และเสียงเห่าที่แว่วดังเข้ามาในรถสลับกับเสียงหอบบอกให้รู้ว่ามันวิ่งตามเรามาตั้งแต่ต้น
ผมพาเจ้าตี๋น้อยมาส่งใหญ่ขึ้นรถของคุณเฟยเฟิ่ง แต่เพราะเสียงปืนทำให้ใหญ่ดันผมเข้ามาในรถคนเดียว...ผมไม่คิดว่ามันจะตามมา ไม่คิดว่าตัวเองจะลืมเจ้าหมาน้อย...
“ฮึก ตี๋น้อยตี๋น้อย” ผมส่งเสียงเรียกออกไปพลางสะอื้น สองมือลูบกระจกตรงตำแหน่งเดียวกับที่เห็นร่างเจ้าตี๋น้อยอย่างสงสาร “ใหญ่...ทำไงดี ช่วยมันด้วย”
ปัง
เสียงปืนที่ดังขึ้นทำให้ผมเบิกตาโพลง รีบใช้หลังมือเช็ดน้ำตาเพื่อปัดความพร่าเลือนออกไป ก่อนจะรู้สึกโล่งใจที่ใหญ่เพียงยิงผู้ชายหนึ่งในสามของฝ่ายตรงข้ามที่จ่อปืนเล็งมายังตี๋น้อย
ปัง ปัง
และสองนัดต่อมาที่ปล่อยออกจากรังปืนใหญ่ก็สามารถยิงล้อรถของอีกฝ่ายได้จนรถที่ขับตามเสียหลักลงสู่ข้างทาง
“คะคุณจิ่นตั้งครับ ชะช่วยจอดรถได้ไหม รับตี๋น้อยก่อน...รับมันก่อนมันวิ่งไม่ไหวแล้ว” ผมหันไปร้องขอคนที่ยังเหยียบคันเร่งด้วยความเร็วเท่าเดิม
“ไม่ได้” เสียงทุ้มต่ำเรียบตอบกลับมาทันที
“คะคุณเฟยเฟิ่ง...” ผมหันไปอ้อนวอนอีกคนที่น่าจะช่วยผมได้มันวิ่งไม่ไหวแล้ว...ลิ้นสีแดงห้อยออกมาจากปากบอกว่ามันเหนื่อยมาก...
“จิ่นสือ จัดการคนของนายให้เงียบเดี๋ยวนี้!” จิ่นตั้งคำรามลั่นรถ ผมหันไปมองคนตัวโตด้านข้างที่สอดตัวเข้ามาในรถแล้วและกำลังเติมกระสุนผ่านม่านน้ำตา ใหญ่บอกเขาสิ ขอร้องเจ้านายใหญ่ที...ฮึก ทำไมหลบตาอย่างนั้นล่ะ...ใหญ่ไม่รักมันแล้วเหรอ...
ปึก!
เอ๋ง!
“ตี๋น้อย! ฮือออออ” คราวนี้น้ำตาผมทะลักออกมาอย่างไม่สามารถกลั้นไว้ได้อีก ผมกระโจนจะเปิดประตูรถโดยไม่สนใจแล้วว่ารถจะวิ่งด้วยความเร็วสูงแค่ไหนแต่ก็ถูกรั้งกลับมาด้วยคนตัวโต พยายามดิ้นพร้อมร้องไห้โฮมากขึ้นเรื่อยๆกับภาพผ่านกระจกเบื้องหน้า
มันถูกรถชน มันวิ่งลงมาบนถนนและถูกรถเก๋งชนจนกระเด็นไปอีกทาง ร่างของตี๋น้อยนอนตะแคงราบบนพื้นถนนมันเจ็บ...มันลุกขึ้นไม่ได้ แต่ใบหน้าที่แนบพื้นคอนกรีตแหงนเงย ดวงตากลมคู่นั้นมองมายังรถคันที่ขับห่างออกมาเรื่อยๆ...คันที่มีผมและใหญ่เจ้านายของมันนั่งอยู่ภายใน...
“ฮืออออ ฮืออออ” มันพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นแต่สุดท้ายก็ทรุดล้มลงไปเหมือนเดิม ผมเห็น..เห็นเลือดไหลออกจากปาก ผมช่วยอะไรมันไม่ได้เลย...ทำได้แค่เอาสองมือแนบกระจกและร้องไห้...แค่นี้จริงๆที่สามารถทำได้ในเวลานี้
“ใหญ่...” ผมหันมามองเจ้าของมันอีกคนด้วยสายตาเจ็บปวด เขาหลบตาผมและไม่ได้มองไปที่ร่างของตี๋น้อย จ้องเพียงกระบอกปืนในมือตัวเองด้วยสายตาเรียบเฉย แต่เพราะผมรู้จักเขาดีถึงรู้ว่าเวลานี้เขาก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน
ถ้าเขายังเป็นตี๋ใหญ่ผมมั่นใจว่าเขาจะเข้าไปช่วยมันอย่างไม่ลังเล
แต่นี่เขาคือจิ่นสือที่ต้องห่วงความปลอดภัยของเจ้านายเป็นอย่างแรก
“วนรถกลับไป” เสียงนุ่มหวานของคุณเฟยเฟิ่งเอ่ยขึ้นผมหันขวับไปมองเขาอย่างมีหวัง
“ไม่ได้ครับเราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะล่าถอยไปหรือยัง” จิ่นตั้งเอ่ยขึ้น
“แต่เสี่ยวสือยิงล้อมันแล้วตามมาไม่ได้หรอก”
“แต่...”
“นี่คือคำสั่ง” คุณเฟยเฟิ่งเอ่ยเสียงเข้มขึ้นจิ่นตั้งเหลือบมองทางกระจกส่องหลังก่อนเอ่ยด้วยเสียงนิ่งเรียบกว่าเดิมเช่นกัน
“ผมรับคำสั่งจากคุณหลงคนเดียวและคุณหลงก็สั่งมาให้ผมดูแลความปลอดภัยของคุณเฟิ่ง เราจะไปลานจอดกันเครื่องบินของตระกูลเฟยมารอรับแล้ว”
น้ำตาผมไหลลงมาอีกรอบคุณเฟยเฟิ่งเพียงเหลือบหางตาไปมองแล้วพูดขึ้นอีก
“เสี่ยวสือนายเป็นคนของฉันใช่ไหม”
“ครับ”
“งั้นฉันขอสั่งให้นายมาขับรถแทนจิ่นตั้งแล้ววนกลับไปรับสัตว์เลี้ยงของนายซะ”
“ขอบคุณครับคุณเฟิ่ง” ใหญ่จับหมับเข้าที่หลังเสื้อสูทของจิ่นตั้งทันทีเหมือนจะจับเขาออกแล้วตัวเองจะเข้าไปแทนที่ แต่ก่อนจะออกแรงยกจิ่นตั้งก็ว่าเสียงเรียบขึ้น
“ไม่ต้อง” แล้วเขาก็หักพวงมาลัยเลี้ยวกลับไปทางเดิมผมยิ้มออกมาอย่างดีใจ หันไปมองใหญ่แล้วก็ยิ้มกว้างขึ้นอีกให้เขายกมือขึ้นลูบศีรษะผมพลางส่งยิ้มบางอย่างดีใจเช่นกันมาให้
พอรถจอดตรงร่างของตี๋น้อยที่ยังนอนอยู่จุดเดิมผมก็จะลงไปแต่ติดที่ใหญ่ให้ผมนั่งรออยู่ในรถและเขาก็เปิดประตูลงไปอุ้มมันขึ้นมา
ร่างแน่นิ่งถูกส่งขึ้นมาวางบนเบาะหลังบนที่ว่างตรงกลางระหว่างผมกับใหญ่ ขณะที่รถออกวิ่งอีกครั้งแต่ความสนใจผมอยู่กับเจ้าหมาน้อยของผมอย่างเดียว
ทำไมมันนิ่งอย่างนี้ล่ะ เหมือนไม่หายใจเลย...
ผมค่อยๆยื่นมืออันสั่นเทาไปลูบลำตัวมันเบาๆ
“ใหญ่...มะมันจะไม่ตายใช่ไหม”
ใหญ่ไม่ได้ตอบคำถามผม เขาเพียงแต่จับประคองหัวมันขึ้นมาแล้วเป่าลมเข้าปากสลับกับปั๊มหัวใจให้มัน
ผมมองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจอันสั่นไหวระหว่างที่ใหญ่พยายามช่วยชีวิตมัน ผมก็พูดบอกให้ตี๋น้อยฟื้น ให้ไม่เป็นไร...
“มะมันหายใจแล้ว...ใหญ่...ตี๋น้อยไม่ตายแล้ว...” คราวนี้น้ำตาผมไหลออกมาอีกรอบเมื่อตี๋น้อยที่ถึงแม้จะยังไม่ฟื้นแต่แผ่นท้องก็กระเพื่อมขึ้นลงอีกครั้ง ใหญ่เหยียดตัวขึ้นมองพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เก่งมากไอ้ตี๋...”
“เราคงต้องพาคุณเล็กไปฮ่องกงด้วย อยู่ที่นี่คนเดียวจะอันตราย” คุณเฟยเฟิ่งเอ่ยออกมา ตอนนี้เรายืนอยู่บนลานกว้างที่มีเครื่องบินส่วนตัวลำใหญ่จอดรออยู่อีกมุมหนึ่ง
“แต่...”
“ไม่เป็นไรหรอกเสี่ยวสือ เดี๋ยวฉันจะคุยกับพี่หลงให้เอง” คุณเฟยเฟิ่งเอ่ยออกมาอีกครั้ง ผมหันไปมองใหญ่อย่างกังวล ถามว่าดีใจไหมก็ดีใจ แต่ก็กลัวว่าตัวเองจะไปสร้างปัญหาอะไรให้ใหญ่หรือเปล่า เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ขอให้ผมรออยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก
ยิ่งจิ่นตั้งขมวดคิ้วมองผมด้วยความไม่ค่อยชอบใจนั่นอีก...ผมว่ามันต้องเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“และถึงแม้พี่หลงจะไม่ยอม แต่เสี่ยวสือคือคนของฉันเขาไม่มีสิทธิ์ว่าอะไรอยู่แล้ว เพราะขนาดคนของเขาฉันยังว่าอะไรไม่ได้เลย” คุณเฟยเฟิ่งเหลือบตาไปมอง ‘คนของเขา’ ด้วยสายตาประชดประชัน แต่เหมือนคนที่ถูกกล่าวอ้างจะไม่รู้สึกอะไร
“ขอบคุณคุณเฟิ่งมากครับ”
“เรื่องเล็กน้อยไปเถอะ”
แล้วคุณเฟยเฟิ่งก็เดินนำขึ้นเครื่องไปก่อนโดยมีจิ่นตั้งเดินตามหลังไป ส่วนนายใหญ่หันมาอุ้มเจ้าตี๋น้อยที่ลืมตาแล้วแต่ยังขยับตัวไม่ได้ในรถก่อนจะพาทั้งผมและเจ้าหมาตามขึ้นไปบนเครื่อง
“ใหญ่จะไม่โดนว่าใช่ไหมเล็กไปด้วยแบบนี้”
“อย่ากังวลไปเลยนะแค่มีคุณผมก็ไม่กลัวอะไรแล้ว”
ไม่น่าเชื่อว่าบนเครื่องจะมีคุณหมออยู่ด้วย และถึงจะเป็นหมอรักษาคนแต่เขาก็สามารถดูแลเจ้าตี๋น้อยพันแผล ป้อนยา ได้เป็นอย่างดีนั่นทำให้ผมสบายใจว่าตี๋น้อยของผมปลอดภัยไม่เป็นไรแล้ว
“นอนพักหน่อยนะ” ใหญ่นั่งลงข้างๆผมหลังจากกลับมาจากคุยกับคุณเฟยเฟิ่งที่เบาะด้านหน้า
“ใหญ่จะนอนเป็นเพื่อนเล็กใช่ไหม” ผมมองไปยังคุณเฟยเฟิ่งอย่างกังวลตอนนี้ใหญ่เป็นจิ่นสือที่มีหน้าที่ดูแลเจ้านายของตน
“คุณเฟิ่งอนุญาตให้ผมมาอยู่กับคุณได้ พักเถอะเดี๋ยวก็จะถึงบ้านผมแล้ว” ผมเอนลงบนเบาะที่ถูกปรับเอน ผ้าห่มผืนบางถูกคลุมมาบนร่างก่อนที่แขนของอีกฝ่ายจะสอดมารองใต้คอ และมืออีกข้างก็ดึงผมเขามากอดไว้
ผมซุกร่างเข้าหาความอบอุ่น สัมผัสอ่อนโยนที่จรดลงบนศีรษะเรียกให้ผมค่อยๆปิดเปลือกตาลง
ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง...ขอให้เรามีกันอย่างนี้อย่าได้มีอะไรพรากเราสองคนออกจากกันเลย
เครื่องบินจอดลงบนลานของตระกูลเฟย...
ส่วนผม ใหญ่และเจ้าตี๋น้อยถูกนำมาส่งยังตระกูลจิ่น
ช่างเป็นบ้านที่มีทางลึกลับซับซ้อนเหลือเกิน จากตัวเมืองที่เป็นที่ตั้งของตระกูลเฟยต้องขับรถเลี้ยวลดคดเคี้ยว เข้าถนนนั้นออกซอกซอยนี้ ผ่านหมู่บ้าน ผ่านป่าเขาที่ดูไม่รกรังซ้ำยังถูกตกแต่งอย่างดี จนผมมึนงงไปหมดว่าตกลงแล้วเราจะไปบ้านคนหรือสุสานอันไกลโพ้นกันแน่
แต่พอผ่านรั้วที่สูงกว่ารั้วบ้านทั่วไปถึงสามเท่าเข้ามายังอาณาเขตภายในผมกลับต้องตื่นตากับภาพเบื้องหน้า
มันไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่วัง แต่มันคืออาณาจักร
ตรงกลางคือสิ่งก่อสร้างอันใหญ่โตโอ่อ่าสวยดั่งปราสาทในเทพนิยาย รอบๆบริเวณเต็มไปด้วยบ้านหลังน้อยใหญ่ ที่ดูเหมือนบ้านพักอาศัยบ้างเหมือนโกดังอะไรสักอย่างบ้าง ปลูกแซมสลับกับต้นไม้...เหมือนไม่ใช่เพื่อความร่มรื่นแต่ปลูกเพื่อแบ่งพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน ยังไม่นับรวมด้านหลังที่ผมมองไม่เห็นแต่คาดว่ามันต้องมีอะไรน่าเหลือเชื่อรออยู่แน่ๆ
พอถูกพาเข้ามาในตัวบ้านก็ต้องฉงนสงสัยยิ่งกว่าเดิม
ช่างเป็นบ้านที่แปลกมากจริงๆ
บ้านก็หลังใหญ่โตโออ่าตามสไตล์คนตระกูลใหญ่มีอำนาจ ชื่อเสียงเงินทองตามที่กล่าวไว้
ที่น่าแปลกใจคือคนในบ้านต่างหาก
ทำไมกัน??...ลูกชายที่หายออกไปจากบ้านถึงห้าเดือน ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรกลับมาบ้านถึงไม่มีใครดีใจเลย คุณจิ่นตั้งก็ดูเฉยชาอย่างที่ผมนึกไปเองว่าเขาคงเป็นคนหน้าตายแสดงออกไม่เก่งอย่างนั้นเอง แต่กับพ่อแม่คงต้องมีท่าทีดีใจบ้างไม่ใช่หรือ??
ทำไมถึงทำท่าทีเมินเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยเล่า พอใหญ่หรือจิ่นสือลูกชายของพวกเขาเดินเข้ามาภายในบ้าน ตลอดทางมีเพียงคนรับใช้ที่ใส่ยูนิฟอร์มเหมือนกันโค้งคำนับทำความเคารพ
ส่วนผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่เพียงหันมามองและเอ่ยบอกให้ขึ้นไปพักผ่อนบนห้อง ไม่มีการถามไถ่ ไม่มีความห่วงใยอาทรในดวงตาหรือแม้แต่รอยยิ้มดีใจ
ทำไมกัน??
หรือเพราะเป็นบุคคลตระกูลสูงเลยต้องสงวนท่าทีเอาไว้??
แต่มันก็ไม่ต้องขนาดนี้หรือเปล่า??
ปัง
เมื่อเข้ามาในห้องและประตูถูกปิดลงผมก็แหงนหน้ามองคนตัวโตด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามใหญ่เพียงยิ้มมุมปากและลูบศีรษะอย่างเบามือ
“อย่างเป็นกังวลเลยที่นี่ก็แบบนี้แหละ คุณอาจจะอึดอัด”
“ไม่เลย ถ้าใหญ่อยู่ได้ เล็กก็อยู่ได้สบาย” ผมพูดให้เขาวางใจ ผมไม่ได้อึดอัดใจเรื่องที่ใหญ่พูดถึงเลยสักนิด ผมก็แค่สงสัย...แต่ก็นั่นแหละอยู่ๆไปเดี๋ยวผมก็รู้เอง เรื่องที่ผมต้องทำต่อไปและทำเดี๋ยวนี้คือเคลียร์กับคนที่เมืองไทยต่างหาก
“ใหญ่ขอยืมโทรศัพท์ได้ไหม”
เขาพยักหน้าก่อนจูงมือผมมายังโทรศัพท์บ้านตรงหัวเตียง
เฮ้อ...คงต้องให้ไอ้ปอนด์ช่วยโกหกคนทางบ้านให้ก่อนล่ะนะผมยังไม่พร้อมที่จะบอก
แต่ผมจะบอกแน่ๆ
ขอโทษนะครับพ่อแม่พี่เมตรพี่ไมล์...แล้วเล็กจะกลับไปรับโทษในเร็วๆนี้นะ
ขอบคุณมากนะครับ{:5_130:} ขอบคุณครับ {:5_136:} ;P;P;P เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เลย สนุกมากครับ จะเป็นยังไงต่อไป {:5_120:} อาจเป็นเจ้าชายมากกว่า คนคุ้มกัน นะ 555 {:5_149:} ขอบคุณมากเลยครับ เสียน้ำตาจนได้ ขอบคุณมากครับ {:5_136:}ขอบคุณครับ{:5_119:} ตี๋น้อยไม่ตายก็โอเคละ สนุกมากกกก ลุ้น ๆ ติดตามต่อครับ ขอบคุณครับ สนุกมากเลยครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ{:5_146:} ตามต่อ สนุกมากกก