รักเร่ร่อน...ของคนจรจัด 18 bymod-cup
เร่ร่อน18สิบสองวันผ่านไป
ตอนนี้ผมกำลังนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สองมือกอดเข่านั่งคุดคู้อยู่บนเก้าอี้พลาสติกสีขาวเฮ้อ คิดถึงใหญ่จัง ไม่เจอกันมากี่วันแล้วนะห้า หก เจ็ด ไม่สิ สิบวันแล้วต่างหาก
ให้ผมได้นอนอิงแอบให้ได้รู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเพียงคืนเดียว รุ่งขึ้น...นายหมาตูบก็หายลับไปในตระกูลเฟยและไม่ได้กลับมาบ้านอีกเลย มีเพียงการติดต่อสื่อสารกันผ่านทางโทรศัพท์หรืออย่างดีที่สุดก็เฟซไทม์ที่มีมาแค่สองสามวันหนหนึ่งเท่านั้น หนำซ้ำแต่ละครั้งยังคุยกันได้ไม่ถึงห้านาที
ผมรู้ว่างานบอดี้การ์ดต้องอยู่กับนายตลอดเวลา ยิ่งเป็นคนสนิทด้วยแล้วก็เหมือนเงาตามติดตัว เห็นเยว่ซินบอกว่าเมื่อก่อนพี่น้องตระกูลจิ่นทั้งสองคนจะกลับบ้านเพื่อมาดูการฝึกซ้อมของลูกศิษย์เพียงสามเดือนครั้ง และเป็นเพียงการมาเช้าเย็นกลับเท่านั้น
นั่นยิ่งทำให้ผมหงอยเข้าไปอีก
ไม่ใช่ไม่เข้าใจ มันก็แค่...คิดถึง
คิดถึงทั้งคนทั้งหมา...เอานายหมาตูบไปไม่เจ็บใจเท่าฉกเจ้าตี๋น้อยไปด้วย ที่เพียงได้รับการรักษาอาการบาดเจ็บจนหายดีก็มีครูฝึกมารับตัวไปตามคำสั่งของผู้เป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักร...คุณจิ่นอ้าน
จะว่าไปทั้งนายและบ่าวก็ล้วนทิ้งผมไปทั้งคู่สินะ...
...ตี๋น้อยถูกรับไปฝึก จะได้ปล่อยตัวมาเที่ยวหาผมสามวันครั้ง โดยจะมาช่วงเย็นๆครั้งละไม่เกินสองชั่วโมง เวลาเจอกันไม่เพียงแค่ตี๋น้อยที่ดีใจเมื่อได้พบเจ้าของ แต่ผมก็ตื่นเต้นจนคิดว่าถ้าตัวเองมีหางมันก็คงจะกระดิกดิ๊กๆไม่ต่างจากเจ้าหมาน้อยตาแต้ม
เฮ้อ ยิ่งนึกก็ยิ่งคิดถึง เปลี่ยนเรื่องเถอะ
มาพูดถึงชีวิตของผมในอาณาจักรจิ่นกันดีกว่า จะเรียกว่าดีก็ไม่ใช่ แย่ก็ไม่เชิง มันยังไงดีล่ะ สำหรับผมคิดว่ามันเป็นอีกมุมของชีวิตที่ผมจะต้องเรียนรู้มุมที่ผมไม่เคยเจอมุมที่แทนที่ผมจะคิดว่าแย่กลับปรับเปลี่ยนเป็นสนุกไปกับมัน ถึงจะมีความอึดอัดและกดดันไปบ้างก็ตามที
แต่สำหรับคนที่นี่คงไม่คิดแบบเดียวกับผม...
อย่างแรกเลยคือ...คนที่นี่มนุษยสัมพันธ์แย่มากถึงมากที่สุด นอกจากเยว่ซินผมไม่เห็นว่าจะมีใครยิ้มแย้มหรือพูดคุยทักทายกัน เห็นแต่ก้มหัวทำความเคารพคนที่ศักดิ์ใหญ่กว่าตนแรกๆผมถึงกับเหวอยิ้มให้ใครทุกคนก็หน้านิ่ง เดินสวนกันก็เหมือนอากาศธาตุ หรือแม้แต่ตอนทานข้าวก็เงียบกริบแม้แต่เสียงช้อนเสียงส้อมกระทบกันยังแทบไม่มี
เริ่มแรกผมคิดว่าเขาต่อต้านผมหรือเปล่าไม่ชอบหน้าผมใช่ไหม แต่เมื่อสังเกตดูจึงรู้ว่าทุกคนที่นี่ปฏิบัติต่อกันเช่นนี้หมด
ผมเลยทำตัวเป็นเรือต้านกระแสน้ำ พยายามชวนทุกคนคุยไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน คนครัวคนสวน บอดี้การ์ดยามเฝ้าประตู หรือแม้แต่ลูกศิษย์ที่โกดังฝึกยกเว้นก็แต่พ่อแม่ของใหญ่...
ซึ่งสายตาเย็นชาท่าทางหมางเมินของคุณจิ่นอ้านกับคุณจิ่นเม่ย ท่านทั้งสองมีท่าทีอย่างนี้กับทุกคนอยู่แล้ว รวมทั้งลูกชายทั้งสองของตัวเองด้วย...ไม่สนใจไม่ยินดียินร้าย...
แวบแรกก็ไม่อยากจะเชื่อพ่อบ้านสักเท่าไหร่ แต่พอเห็นเยว่ซินที่สดใสดั่งดอกไม้แรกแย้มเป็นสะใภ้บ้านนี้มาห้าปียังได้รับท่าทีนิ่งเฉยเย็นชาจากทั้งคู่ ผมก็ล้มเลิกความตั้งใจไป
โดยแรกๆก็ไม่มีใครยอมโต้ตอบกับผม ทำเมินเหมือนไม่ได้ยิน ไม่เห็น ไม่สนใจ พอเซ้าซี้ชวนคุยมากเข้าก็โดนตีหน้ายักษ์กลับมาแต่ผมไม่สนยังชวนคุยต่อไป ซ้ำยังช่วยบุคคลในหน้าที่นั้นๆทำงานอีกด้วยซึ่งความพยายามของผมก็เป็นผล ทุกคนเริ่มพูดตอบกลับมาบ้างถึงบางครั้งจะเหมือนตัดรำคาญก็เถอะ
อย่างที่สองผมได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำนั่นคือ...การเรียนศิลปะการต่อสู้ ไปอ้อนวอนขอเรียนมาอาจจะไม่เอาเป็นเอาตายเหมือนอย่างบอดี้การ์ดฝึกหัด แต่ก็ทำเอาผมได้เหงื่อกลับมาทุกครั้งที่ไปฝึกก็ครูฝึกโหดปานนั้น ขนาดขอคอร์สง่ายที่สุดแค่พองูๆปลาๆต่อยอดจากมวยงานวัดของผมเป็นพอ แต่ครูที่นี่ก็ยังคงความจริงจังสอนผมประหนึ่งจะส่งไปขึ้นชกกับบัวขาว แต่ก็ดีครับรู้สึกเหมือนตัวเองเฟิร์มขึ้นแข็งแรงขึ้น ซ้ำยังได้ทำเนียนผูกมิตรไปเรื่อย ฮ่าๆ
อย่างสุดท้ายคนตระกูลจิ่นถือระบบอาวุโสมาก...ที่ว่าอาวุโสไม่ใช่เรื่องของอายุ แต่อาวุโสตามศักดิ์ โดยผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดคือคุณจิ่นอ้านและจิ่นเม่ย รองลงมาคือจิ่นสือ จิ่นตั้ง และเยว่ซินเป็นอันดับสุดท้าย
พูดถึงเยว่ซิน เธอเป็นภรรยาของจิ่นตั้ง เป็นคนเดียวในอาณาจักรที่ผมรู้สึกว่าไม่เหมือนผีดิบเธอผู้มีใบหน้าสวยหยด กิริยาเรียบร้อยท่วงท่าสง่างาม แต่สำหรับผมสิ่งดึงดูดใจคือ รอยยิ้มสดใสเปรียบดั่งดอกไม้บานให้อาณาจักรที่แห้งแล้งมีชีวิตชีวาขึ้น...
...เยว่ซินคือเพื่อนเพียงหนึ่งเดียว ณ ที่เงียบเหงาแห่งนี้เธอมักจะพาผมเข้าครัวทำอาหาร ปลูกต้นไม้ในสวน ถักผ้าพันคอทอเสื้อซึ่งอย่างหลังสุดผมจะนั่งดูซะส่วนใหญ่ เคยลองทำแล้วแต่ยุ่งเหยิงเกินทนไหมพรมพันกันเป็นก้อนน่าเกลียด แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นปักครอสติสยังพอไหว
กิจกรรมที่เยว่ซินพาไปทำแล้วผมชอบที่สุดคงเป็นกีฬาฟันดาบ ถึงจะไม่เคยชนะสาวสวยได้เลยแม้สักครั้งแต่ผมก็ยังชอบมากอยู่ดี นี่ถ้าผมเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิงคงหลงรักเธอเป็นแน่...รูปร่างอรชรในชุดกีฬาฟันดาบสีขาวดูขึงขังน่าชัง ดวงตาเรียวสวยที่ซ่อนภายใต้หน้ากากพราววิบวับทุกครั้งที่ทำแต้มได้ ช่างดูเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวอย่างไม่น่าเชื่อว่าคือคนเดียวกับหญิงสาวผู้อ่อนหวาน
เพิ่งมารู้สึกเสียดายที่ตัวเองเป็นเกย์ก็วันที่ได้เจอเยว่ซินนี่เอง
พานนึกไปถึงคนรักของตัวเองแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ...เฮ้อเหงานะ นายหมาตูบ
แอ๊ดดดด
“หมิงจิวววววว~ ~” เสียงหวานสดใสเอ่ยเรียกยามที่ประตูถูกเปิดออก พร้อมกับร่างอรชรที่โผเข้ามาหา ผมละสายตาออกจากหน้าต่างแล้วหันมายิ้มตอบรับเจ้าของเสียง
หมิงจิวคือชื่อจีนของผม ใหญ่บอกว่าในฮ่องกงผมใช้ชื่อนี้จะเหมาะกว่าเนื่องด้วยชื่อของผมออกเสียงยากสำหรับคนที่นี่
และผมก็สื่อสารกับคนที่นี่ด้วยภาษาอังกฤษ ส่วนใครที่พูดคุยเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ก็สื่อสารด้วยภาษามือและท่าทาง ซึ่งก็น้อยมากเพราะส่วนใหญ่ในอาณาจักรจะสามารถพูดภาษาที่สองกันได้ทุกคน
“ว่าไง เยว่ซิน”
“มีคนมาหา” เอ่ยพร้อมอมยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผมมุ่นหัวคิ้วสงสัยใครกันจะมาหาผม นอกจากคนตรงหน้าแล้วผมก็ไม่มีเพื่อนที่ไหนอีกเอ๊ะ...หรือว่า...
ผมยิ้มกว้างอย่างดีใจพลางมองคนตรงหน้าเป็นเชิงถามว่า จริงใช่ไหม ไม่หลอกกันใช่หรือเปล่า เขามาจริงๆนะ ซึ่งการพยักหน้าพร้อมกับเข้ามาจับมือทั้งสองข้างของผมขึ้นมาเขย่าอย่างยินดีก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมจับมือเยว่ซินวิ่งลงไปชั้นล่างพร้อมกันด้วยหัวใจที่เต้นรัวแรง
เพราะดูจากท่าทีมีความสุขของอีกฝ่ายก็พอเดาได้แล้วว่าจิ่นตั้งก็คงมาด้วยเช่นกัน
ตึก ตึก ตึก
เราสองคนวิ่งเข้ามาในห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีชุดโซฟาสุดหรูตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง โซฟาตัวยาวถูกจับจองด้วยหนึ่งคนสวยที่ผมคุ้นหน้าดี...คุณเฟยเฟิ่ง และอีกหนึ่งผู้ชายตัวสูงใหญ่ท่าทางน่าเกรงขาม ลำตัวหนายิ่งกว่านายหมาตูบที่ผมว่าตัวใหญ่แล้วยังเทียบกับผู้ชายคนนี้ไม่ได้ ผิวสีขาวตัดกับคิ้วเข้มพาดเฉียง ดวงตาคมดุลึกลับ ยิ่งนั่งเคียงข้างกับร่างเพรียวระหงช่างดูเหมือนนางฟ้าและเทวดา ถ้าไม่ติดว่าดวงตาคู่คมนั้นออกไปทางแข็งกร้าว คนเดินดินอย่างผมคงนึกว่าหลงเข้ามาในแดนสวรรค์
และสองโซฟาเดี่ยวซ้ายขวาที่นั่งขนาบคือผู้มีอำนาจสูงสุดของอาณาจักร...คุณจิ่นอ้านและจิ่นเม่ย
มองเลยไปยังด้านหลังนายทั้งสองก็คือบ่าวผู้จงรักภักดี...
...จิ่นตั้งยืนหน้านิ่งตัวตรงเอามือประสานกันไว้ด้านหน้าอยู่ด้านหลังของผู้ชายร่างสูงใหญ่ดั่งตึก(ผมเรียกตามลักษณะที่เห็น)
...และอีกคนที่ผมแสนคิดถึงและโหยหา...นายตี๋ใหญ่...ไม่ใช่สิ จากแววตาอันว่างเปล่าใบหน้านิ่งเรียบไร้ความรู้สึกนั้น เขาคือจิ่นสือ...เขาอยู่ตรงนั้นด้านหลังของคุณเฟยเฟิ่ง...
ผมสบตามองดวงตาคู่คมอย่างโหยหา ริมฝีปากแย้มยิ้มกว้างทักทายและถึงแม้จะไม่มีรอยยิ้มตอบกลับมา เพียงนัยน์ตาประกายอบอุ่นที่ส่งมาชั่ววินาทีเท่านั้นก็พอแล้วให้เข้าข้างตัวเองว่าเขาก็คิดถึงผม ดีใจที่เจอผมเช่นเดียวกัน
“เยว่ซินอย่าเสียมารยาท ท่านประมุขมา ไม่เห็นหรือ” น้ำเสียงเฉียบขาดพร้อมกับดวงตาที่ฉายแววตำหนิของคุณจิ่นเม่ย ทำให้ใบหน้าชมพูระเรื่อของเยว่ซินซีดขาวพร้อมกับลำตัวบอบบางที่โค้งต่ำอย่างสำนึกผิด
และเรียกให้สายตาของผมผละออกจากใบหน้าคมของคนรัก หลบตาวูบ ก้มหน้าลงต่ำ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไปทำไมในเมื่อเราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่การอยู่ที่นี่มาระยะหนึ่งสอนให้ผมรู้ว่าคำของบุคคลแซ่จิ่นถูกเสมอ
“ขะขอโทษค่ะเยว่ซินไม่รู้ว่าท่านเฟยทั้งสองมาด้วย”
“ในเมื่อรู้แล้วเธอก็ควรรู้ว่าต้องปฏิบัติตัวเช่นไร”
“ค่ะ” เยว่ซินโค้งขออภัยอีกครั้งซึ่งผมก็ทำตามอย่างมึนงง ก่อนจะถูกฉุดเดินถอยหลังเพื่อหลบฉากออกไป แต่ก่อนที่จะพ้นขอบประตูเสียงทุ้มกังวานก็ดังขึ้น
“เข้ามาสิ”
ขาทั้งสองข้างของเราทั้งสองหยุดชะงัก
“ภรรยาของจิ่นตั้งไม่ใช่เหรอ” คุณจิ่นเม่ยบอกทางสายตาเป็นเชิงให้ทำตามคำสั่งของชายร่างสูงใหญ่
เยว่ซินหันมาพยักหน้าเบาๆให้ผมก่อนที่เราสองคนจะค่อยๆก้าวเดินเข้าไปในห้องโถงและแทบจะทันทีเก้าอี้จากสาวรับใช้ก็ถูกวางลงด้านหลัง
ผมกับเยว่ซินค่อยๆนั่งลงอย่างระมัดระวัง รู้สึกว่าอากาศภายในห้องช่างไม่ถ่ายเทเอาเสียเลย ผมถึงรู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออกเช่นนี้ ร่างกายแข็งเกร็งแม้แต่จะขยับก้นให้นั่งสบายตัวยังไม่กล้า
“สบายดีไหมครับคุณเล็ก”
“ครับ” ผมตอบคำถามของคุณเฟยเฟิ่งที่ส่งยิ้มห่วงใยมาให้ซึ่งนั่นทำให้คนตัวขาวสูงใหญ่ข้างๆละจากใบหน้าของเยว่ซินหันมาสนใจผมแทน
“นี่น่ะเหรอภรรยาของจื่นสือ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิดนัก ใช่ไหมเสี่ยวสือ” คุณเฟยเฟิ่งตอบคำชายร่างใหญ่ก่อนหันไปยิ้มละไมขอความเห็นจากนายหมาตูบ ซึ่งเขาก็เพียงก้มหัวนิดหน่อยเป็นเชิงตอบคำ
เป็นบอดี้การ์ดต้องสงวนท่าทีประหยัดคำพูดมากขนาดนี้เชียวหรือ ภาพของชายเร่ร่อนที่ผมพามาอยู่ด้วยแรกๆซ้อนทับเข้ามาเลยเฮ้อ กลับมาเป็นนายปูนปั้นอีกแล้วงั้นเหรอ ไม่ชอบเลย
ขอให้เป็นแค่การสวมหัวโขนในหน้าที่ทีเถอะ
“คงตบแต่งอย่างเยว่ซินไม่ได้” ชายร่างสูงใหญ่ท่าทีเกรงขามว่าเสียงนิ่งสายตามองผมอย่างพิจารณา กวาดมองไปทั้งร่างเรียกให้กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายชาดิก “แต่ก็นับว่าหาได้ดี”
แล้วทำไมจุดสนใจถึงพุ่งมาที่ผมได้ล่ะ
“นี่เฟยหลง พี่ชายผมเอง” เสียงแนะนำของคุณเฟยเฟิ่งทำให้ผมก้มหัวทักทายชายร่างใหญ่ผิวขาวที่จดจ้องพร้อมวิจารณ์อยู่ก่อนหน้า ถึงว่าทำไมทุกคำที่เขาพูดถึงไม่มีคนค้านหรือกล้าแทรกขึ้นเลย
คนนี้สินะพี่ชายคุณเฟยเฟิ่ง...ถ้าอย่างนั้นก็คือบุคคลที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลอย่างที่สุดสินะ
เสือขาวแห่งเอเชีย...เยว่ซินเคยบอกไว้
ไม่ผิดเพี้ยนจากที่ผมเห็นเลยสักนิด...ความทรงพลังและอำนาจแผ่กระจายรอบบุรุษเพศทรงเสน่ห์ผู้นี้จนล้นเหลือจริงๆ
“ผม...เอ่อ...หมิงจิวครับ”
“หึๆชื่อดีนี่...โชคชะตาอันสว่างไสว จิ่นสือตั้งให้อย่างนั้นเหรอ”
“ครับ”
ผมหันไปมองนายหมาตูบด้วยสายตาอึ้งปนซาบซึ้ง ผมไม่เคยรู้ความหมายของชื่อนี้เลย คิดว่ามันคงเป็นชื่อจีนที่มีความหมายคล้ายๆชื่อไทยของตัวเอง ไม่เคยรู้ว่า...หมิง...ที่เขาเรียกผมในวันนั้น...กับหมิงจิว...ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะจนใจผมเต้นรัวเร็วด้วยรู้เหตุของชื่อนี้ดี...
“อืม” เขาพยักหน้าอย่างพึงใจ “วันนี้พร้อมใช่ไหม” แล้วเขาก็เปลี่ยนจุดสนใจไปจากผมเป็นคุยสิ่งที่คาดว่าจะเป็นจุดมุ่งหมายของการมาในวันนี้
คุณเฟยหลงหันไปถามคุณจิ่นอ้านด้วยเสียงเรียบขรึม ทั้งที่อายุเขาน่าจะน้อยกว่ามากโข แต่น้ำเสียงกลับไม่เจือด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตัวสักนิด
“ครับ” กลับเป็นคุณจิ่นอ้านซะเองที่มีท่าทางเทิดทูนเหนือหัว
แล้วหลังจากนั้นก็เป็นไปอย่างที่ผมไม่ค่อยเข้าใจนัก พอประติดประต่อเรื่องได้ว่าวันนี้จะมีการคัดเลือกบอดี้การ์ดเพื่อไปทำงานอะไรบางอย่าง ซึ่งผมก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้
ทุกคนซึ่งก็คือคุณจิ่นอ้าน จิ่นเม่ย สองพี่น้องตระกูลจิ่น และสองประมุขตระกูลเฟย ยกทัพกันไปที่โรงฝึกกลางซึ่งตั้งอยู่ทางปีกขวาของอาณาจักร และจะมีการคัดเลือกกันที่นั่น
ส่วนผมกับเยว่ซินไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูดารคัดเลือกด้วย
เราสองคนจึงเข้าครัวเตรียมอาหารเย็นกัน โดยเยว่ซินบอกว่าการคัดเลือกแต่ละครั้งจะกินเวลาประมาณสามถึงสี่ชั่วโมง ซึ่งก็จะได้เวลาอาหารเย็นพอดี
เหมือนผมจะช่วยอะไรแทบไม่ได้(ผมไม่ถูกกับห้องครัวทุกคนก็รู้) ดังนั้นพอล้างผักเสร็จผมก็ถูกไล่ให้ขึ้นมาอาบน้ำ ไม่ใช่ว่าสกปรกหรือตัวเหม็นอะไรหรอกครับ ก็ระหว่างที่ผมกำลังจัดการย้ายตะกร้าผักที่ล้างเสร็จแล้วมาจัดวางไว้ให้เยว่ซิน มือผมดันปัดไปโดนถ้วยซีอิ๋วหกรดใส่ตัวจนเสื้อสีสมพูอ่อนเลอะคราบสีน้ำตาลดวงใหญ่
เลยโดนสาวสวยขับไล่มาล้างตัวด้วยอาการกลั้นขำเต็มที่
แกร๊ก
เฮือก
ผมเปิดประตูห้องน้ำออกมาก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อกำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมเดินออกมาด้วยเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาวเพลินๆก็เจอเข้ากับแผ่นหลังคุ้นเคยของเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่มุมหนึ่งของห้อง
ผมจำรูปร่างสูงใหญ่ภายใต้สูทสีเทานี้ได้ดี แต่ทำไมต้องไปยืนในมุมอับให้ผมตกใจเล่นด้วยเล่า เก้าอี้หรือเตียงหลังใหญ่กลางห้องไม่ดีกว่าหรืออย่างไรกัน
“ใหญ่...”
ผมเอ่ยเรียกชื่อเขาออกไปแผ่วเบาทั้งที่ในใจอยากจะตะโกนเรียกให้สมกับความคิดถึงในช่วงหลายวันมานี้ แต่เหมือนกับมีก้อนบางอย่างที่มันอัดแน่นปิดกั้นเส้นเสียงของผมอยู่ ไม่รู้ว่ามันจะดูน้ำเน่าเกินไปไหมถ้าผมจะบอกว่า...ผมคิดว่าก้อนที่ว่านั้นคือตะกอนแห่งความคิดถึง โหยหา ที่มันค่อยๆสะสมและอัดแน่นอุดตันรอวันปลดปล่อยไปทุกอณูของร่างกาย
หมับ
ผมเดินเข้าประชิดตัวพลางสวมกอดเอวสอบไว้แน่น...อยากทำอย่างนี้ตั้งแต่เห็นเขาในวินาทีแรกด้วยซ้ำ
ใหญ่วาดมือโอบกอดตอบจนร่างผมจมหายเข้าไปในร่างกายกำยำถ่ายทอดความอบอุ่นให้ผมหลับตาลงซึมซับความรู้สึกที่แผ่ซ่านไปถึงหัวใจ
“คิดถึง” พันธนาการแห่งความอัดอั้นที่ถูกคลายออกด้วยอ้อมกอดอบอุ่นส่งผลให้ริมฝีปากเอ่ยเอื้อนคำนี้ออกไป
ถึงจะได้บอกคิดถึงผ่านหน้าจอหรือพิมพ์เป็นตัวอักษรแต่ความรู้สึกมันเทียบไม่ได้เลยกับการบอกคิดถึงผ่านผิวสัมผัสที่แนบแน่นนี้
ซึ่งใหญ่ไม่ได้ตอบคำใดๆกลับมาให้ผมชื่นใจมีเพียงริมฝีปากอุ่นร้อนที่จุมพิตลงข้างขมับขวาเนิ่นนานแทนว่าเขาก็คิดถึงผมมากเช่นกัน
ผ่านไปนานนับห้านาที...
“ใหญ่” ผมคลายอ้อมกอดออกนิดหน่อยกลายเป็นโอบเอวเขาไว้ เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมคร้ามมีสารพัดคำเอ่ยเอื้อนที่ผมต้องการจะพูดกับเขา มีหลายเรื่องต้องการส่งผ่าน แต่เพียงแค่ผมเปล่งเสียงเรียกชื่อออกไปริมฝีปากร้อนก็กดจูบลงมาบนริมฝีปากเย็นเฉียบจากการเพิ่งอาบน้ำเสร็จของผม
ผมจูบตอบสัมผัสของอีกฝ่ายทันที โดยไม่ต้องพูดอะไร...ทุกความรู้สึกทุกคำที่ต้องการส่งถึง ทุกอย่างได้ส่งผ่านถึงกันและกันผ่านริมฝีปากที่แนบแน่น ผ่านเกลียวลิ้นของสองเรา ผ่านน้ำเหลวใสที่คลุกเคล้าเจือจางเป็นเนื้อเดียวกันก่อนที่บางส่วนจะไหลเยิ้มเลอะมุมปาก
ใหญ่ละริมฝีปากออกเมื่อผมเริ่มหายใจไม่ทัน แต่ก็เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นริมฝีปากร้อนก็ประกบจูบลงมาอีกครั้ง อีกครั้ง...และอีกครั้ง
แต่ไม่ว่าจะอีกสักกี่ครั้งมันก็ไม่เคยเพียงพอเลยสำหรับผม...
“ห๊า กลับเมืองไทยเหรอ” ผมร้องบอกอย่างดีใจ หัวใจเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น ถึงที่นี่จะมีเรื่องท้าทายให้ผมได้ค้นหา แต่ถ้าให้เลือกประเทศไทยก็ดีกว่ามากมายผมคิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อน คิดถึงงานคิดถึงทุกอย่างที่เมืองไทย
“อืม ดีใจไหม”
“ดีใจสิ ดีใจมากๆเลย” ผมกระโดดกอดคอนายหมาตูบพลางยิ้มกว้างมากที่สุดในหลายวันที่ผ่านมา อ้อมแขนกว้างยกกอดรัดผมไว้พร้อมกับโยกตัวไปมาเหมือนผมเป็นเด็ก
แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อผมนึกบางอย่างได้
คลายอ้อมแขนที่โอบรัดรอบลำคอหนาก่อนเอ่ยปากถามออกไปอย่างไม่แน่ใจ “ใหญ่...จะกลับไปกับเล็กใช่ไหม?”
ผมมองสบนัยน์ตาคมอย่างมีความหวังแต่แล้วหัวใจก็หล่นตุบลงไปเมื่อเขาเสหลบสายตา
“ยะ...ใหญ่...”
เขาหันหน้ากลับมาสบตาอีกครั้งอย่างมั่นคง
“แล้วผมจะไปหาบ่อยๆผมสัญญา”
มะไม่สิ...ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ...
“ไม่...อย่าร้อง...”
“ฮึก”
ผมไม่ได้อยากร้องไห้ซะหน่อยแต่น้ำตามันไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมมองสบแววตานิ่งเรียบที่บัดนี้ฉายแววเจ็บปวดผ่านม่านน้ำตา
ภายในนัยน์ตาคู่คมผมเห็นเงาสะท้อนของตัวเอง...มันช่างสั่นไหวและเจ็บปวดไม่แพ้กัน...
ผมรู้ว่าเขาจะไม่โกหก...ไม่ผิดคำพูด แต่...บ่อยของเขาคือเท่าไหร่กันในเมื่อขนาดอยู่ใกล้แค่นี้ เรายังแทบไม่ได้เจอกันด้วยซ้ำ ใกล้เกินเอื้อมแค่นี้...แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องงานวันนี้เราจะได้เจอกันไหม
แล้วถ้าผมกลับเมืองไทยเพียงลำพังผมต้องรอเขานานแค่ไหน กี่วัน กี่เดือน กี่ปี กว่าเขาจะว่างมาเจอกัน
ถ้ากลับเมืองไทยเราจะไม่มีอะไรผูกกันอีกเลยนอกจาก...หัวใจ
ความรักกับหน้าที่...นายตี๋ใหญ่กับจิ่นสือ...มันไม่เอื้อที่จะเดินไปด้วยกันได้เลย
แล้วถ้าต้องเลือก...เขาจะเลือกผมอย่างนั้นหรือ...ผมมองไม่เห็นถึงความเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนั้นเลย
“ละเล็กอยู่นี่ไม่ได้เหรอ...” ผมกลั้นน้ำตาก่อนเปล่งเสียงที่สั่นสะท้านถามออกไปไม่...ผมจะไม่ร้องไห้ ผมเป็นผู้ชายผมจะต้องเข้มแข็ง...เพื่อเรา
“คุณอยู่ที่นี่ไปไม่ได้ตลอดหรอกคุณก็รู้”
“ใหญ่เคยสัญญาว่าจะรับเล็กมาอยู่ด้วย...” ผมเอ่ยทวงคำ
“ผมขอโทษ...ตอนนั้นผมยังจำเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้” น้ำเสียงทุ้มเต็มไปด้วยความเสียใจ
“แสดงว่าตอนนี้จำได้หมดแล้ว...” เขาพยักหน้า “แล้วยังไงล่ะ!” ผมกระชากเสียงถามอย่างไม่มีเหตุผล จำได้แล้วยังไงล่ะจำได้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีผมอย่างนั้นหรือ ความจำของเขาต้องแลกด้วยความรักของเราหรือไร ถึงต้องไล่กันแบบนี้
ถ้าเขาให้เหตุผลว่าให้ผมกลับไปก่อนเพื่อจัดการเรื่องหน้าที่ของเขาและเรื่องครอบครัวของผม ผมจะไม่ว่าเลย ซ้ำยังพร้อมจะที่รออย่างเต็มใจ
แต่นี่...ให้ผมกลับไปอยู่ในที่ของผมส่วนเขาอยู่ในที่ของเขา ไม่มีคำอธิบายใดๆนอกจากจะกลับไปหาบ่อยๆ
แล้วหน้าที่การงานของเขาขนาดเวลาของตัวเองยังแทบจะไม่มี...กับผมที่อยู่คนละประเทศแล้ว...มันคงทรมานอย่างมากมายกับการรอคอย
“ผมจะกลับไปหาคุณจริงๆ...” เขาดึงผมเข้าไปกอดรัดอีกครั้งเพื่อยืนยันคำสัญญา ใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาซบลงบนแผงอกของเขาจนเสื้อเชิ๊ตสีขาวเปียกออกเป็นวงกว้าง “เชื่อผมนะที่รัก...เพื่อตัวคุณเอง...”
“จะไม่ทิ้งกันใช่ไหม”
“ผมจะทิ้งหัวใจตัวเองได้อย่างไร...”
สุดท้ายแล้วทางเลือกของผมก็มีแค่ต้อง ‘ยอม’ สินะ
ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนน่ะเหรอ...
ผมอยู่ที่เพนท์เฮ้าส์ของตระกูลเฟยยังไงล่ะ
ซึ่งเป็นอะไรที่ผิดคาดมาก...ผมเคยมีความคิดว่าขนาดอาณาจักรจิ่นยังกว้างใหญ่กินอาณาเขตเกือบร้อยไร่ขนาดนี้ ตระกูลเฟยคงไม่พ้นดินแดนอันแผ่ไพศาลไม่มีที่สิ้นสุดเป็นแน่ แต่ที่ไหนได้...สถานที่อยู่อาศัยของประมุขเฟย(เฟยหลง) และท่านชายน้อย(เฟยเฟิ่ง)เป็นเพียงแค่เพนท์เฮ้าส์หลังหนึ่งเท่านั้น
ถึงจะเป็นเพนท์เฮ้าส์ที่กว้างขวาง หรูหราโอบล้อมไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย พร้อมทั้งบอดี้การ์ดประจำทุกตารางพื้นที่แต่ก็ผิดจากที่ผมจินตนาการไปมากโข
ส่วนว่าผมมาทำอะไร ณที่แห่งนี้น่ะเหรอ...เตรียมตัวกลับประเทศไทยอย่างไรล่ะ
ย้อนกลับไปเมื่อตอนหัวค่ำที่อาณาจักรจิ่นกลางโต๊ะอาหารมื้อเย็น...ผมสัมผัสความอาลัยได้จากเยว่ซินเพียงผู้เดียวเท่านั้นจริงๆ
‘ถ้าอย่างนั้นก็ให้คุณเล็กไปพร้อมกับพี่ใหญ่เลยสิ พี่ใหญ่ต้องไปงานเปิดตัวโรงแรมของเจ้าสัวพรุ่งนี้ที่เมืองไทย’ เสียงเล็กหวานหูของคุณเฟยเฟิ่งเอ่ยขึ้นเมื่อใหญ่บอกว่าผมจะกลับเมืองไทย คุณเฟยหลงยังทานข้าวอย่างนิ่งเงียบไม่แสดงท่าทีอันใด นอกจากจิ่นตั้งที่เลิกคิ้วขึ้นถาม
‘พรุ่งนี้เลยหรือครับ’
พะพรุ่งนี้...เร็วจนตั้งตัวไม่ทันจริงๆ
‘มะไม่เร็วไปเหรอครับ’ ผมแทรกขึ้นยามหันหน้าไปมองคนตัวใหญ่ข้างตัวที่ชะงักไปเช่นกัน
‘ผมว่าอย่ารบกวนท่านประมุขเลย เรื่องไร้สาระเดี๋ยวพวกเราจัดการได้วุ่นวายเปล่าๆ’คุณจิ่นเม่ยเอ่ยขึ้นให้ลำคอผมฝืดเกินกว่าจะกลืนข้าวลง
‘รบกวนอะไรกัน คืนนี้ให้คุณเล็กไปค้างที่บ้านเฟย ผมมีเรื่องอยากคุยเล่นเยอะแยะเพราะเดี๋ยวจะไม่มีโอกาสได้เจอกันแล้ว พรุ่งนี้ก็ให้ขึ้นเครื่องไปกับพี่ใหญ่ดีไหม?’คุณเฟยเฟิ่งแย้มยิ้มหวานหันมาถามใหญ่ นายหมาตูบไม่ตอบคำแต่ผมเห็นแวบหนึ่งในนัยน์ตาเรียบนิ่งมีแววสั่นไหวอย่างไม่แน่ใจ
‘หรือพี่ใหญ่เห็นว่าอย่างไร’ เมื่อไม่มีใครตอบคำคุณเฟยเฟิ่งจึงหันไปถามคนที่มีอำนาจมากสุดในที่นี้
‘ตามใจน้องเล็กเถอะ’
‘งั้นตกลงตามนี้คุณเล็กไปอยู่คุยเป็นเพื่อนผมนะ’ รอยยิ้มหวานแย้มกว้างอย่างเป็นมิตร
‘แต่ดิฉันว่า...’ คุณจิ่นเม่ยยังเอ่ยแทรกค้านขึ้นอย่างคิดว่าไม่เหมาะสม
‘ไม่เอาสิครับยังไงคุณเล็กก็ถือว่าเป็นคู่นอนของเสี่ยวสือ’ อึกคะคู่นอน...คุณเฟยเฟิ่งหมายถึงคู่รักใช่ไหม...
‘ให้หมิงจิวอยู่ที่นี่ไม่ได้หรือคะ’ เสียงหวานแผ่วของเยว่ซินเอ่ยแทรกขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร ก่อนจะถูกดุด้วยเสียงอันทรงพลังของผู้นำอาณาจักรจิ่นจนเธอหน้าหมองไป
‘เธอมีสิทธิ์ออกความเห็นอย่างนั้นหรือเยว่ซิน’
‘ขะขอโทษค่ะเยว่ซินผิดไปแล้ว’
ผมหันไปมองเยว่ซินอย่างซึ้งใจ
ขอบคุณนะเยว่ซิน ที่ไม่อยากให้ผมไป...ขนาดคนตัวโตข้างตัวที่ผมคิดว่าตัวเองสำคัญสำหรับเขามากที่สุดยังไม่เอ่ยท้วงสักนิดเดียว
ผมหันไปมองคนข้างตัวอีกครั้ง...
...มองจากมุมนี้เขาไม่เหมือนของนายตี๋ใหญ่ของผมเลย
...เขาคือจิ่นสืออย่างเต็มตัว...คนแปลกหน้าที่ไม่ได้มีผมเป็นที่หนึ่งในหัวใจเหมือนอย่างเคย...
.................อีกไม่กี่ตอนก้อจบล่ะครับแล้วจะพยามหาเรื่องใหม่ๆมาให้อ่านน่ะคับ ใครใจดีให้รางวัลได้น่ะครับ
ขอบคุณมากนะครับ{:5_130:} งืออ สนุกมากๆ ขอบคุณมากครับ {:5_135:} :victory: ยังไม่อยากให้จบเลย มีภาคต่อมั้ยเนี่ย อย่าจบแบบใจร้ายนะ ต้อง happy ending นะ ขอบคุณมากเลยครับ ขอบคุณมากครับ {:5_119:}ขอบคุณครับ{:5_119:} ขอบคุณครับ รออ่านฮืออออ อย่าเพิ่งรีบจบดิครับ สนุกมาก ขอบคุณครับ ลึกลับซับซ้อน{:5_130:} ขอบคุณครับ สนุกมากเลยครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ{:5_119:} ตามต่อ ขอบคุณครับ