รักเร่ร่อน...ของคนจรจัด19 bymod-cup
เร่ร่อน19เหมือนกระทำความผิดทางกฎหมายและถูกจับตัวมาห้องขัง...
ติดอยู่ที่คุกที่ว่าไม่ใช่พื้นที่สี่เหลี่ยมที่ถูกตรึงด้วยซี่เหล็กถี่แต่เป็นห้องพักชั้นล่างสุดของเพ้นเฮ้าส์
ส่วนเจ้าของห้องตั้งแต่พาผมมาทิ้งไว้ห้องนี้ก็ออกไปด้านนอกและยังไม่กลับเข้ามาเลย
‘ผมต้องไปทำงานก่อน คุณอยู่ในนี้ห้ามออกไปไหนนะ’
สั่งไว้แค่นั้นแล้วก็หุนหันออกไป จะกลับมาเมื่อไหร่ก็ไม่ได้บอกกล่าว
พรุ่งนี้เล็กจะกลับเมืองไทยแล้วนะ ไม่คิดจะใช้เวลาด้วยกันเลยหรือไง
มองไปยังนาฬิกาหัวเตียงบ่งบอกเวลาสองทุ่มสิบห้านาทีแล้ว ผมอยู่ในห้องนี้มามากกว่าสองชั่วโมง...หนึ่งร้อยยี่สิบนาทีอันน่าอึดอัดและเศร้าใจ
ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้างสีขาวสะอาดตาอีกครั้ง หลังจากลุกๆนั่งๆมานับครั้งไม่ถ้วนกลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มไม่สามารถกลบกลิ่นกายอันคุ้นเคยของคนในหัวใจได้ กลิ่นที่บ่งบอกว่าตลอดเวลาที่ห่างกันเขาได้พักพิงอยู่ณ ที่นี่ ในห้องนี้มันช่างร้องเรียกให้ผมกดแนบใบหน้าลงบนหมอนใบนุ่มสูดกลิ่นอันหอมหวานพานให้หัวใจคับพองเต็มอก ก่อนจะลีบแฟบปวดแปลบเมื่อนึกได้ว่านับจากพรุ่งนี้ไปไม่รู้อีกนานแค่ไหนกว่าจะได้กลิ่นกายนี้อีกครั้ง
หรืออาจจะไม่มีโอกาสอีกเลย
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูเรียกให้ผมหลุดออกจากภวังค์ดีดลำตัวลงจากเตียงนอนและเดินไปเปิดประตูด้วยหัวใจที่เต้นระรัวอย่างยินดี
“กลับมา...” เสียงกลืนหายลงไปในลำคอเมื่อเปิดประตูออกมาพบว่าคนอีกฝั่งผนังไม่ใช่คนเดียวกับที่คิดไว้
ไม่ใช่ใหญ่...แต่เป็นอีกหนึ่งบอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำยืนตัวใหญ่หน้าเข้มก่อนจะเอ่ยปากบอกเมื่อเห็นผมปรากฏตัว “คุณเฟิ่งให้เข้าพบครับ”
หือ??
ผมมุ่นหัวคิ้วอย่างสงสัย ต้องการพบผมไปทำไมกัน หรือมีเรื่องจะพูดคุยด้วยอย่างที่เกริ่นไว้เมื่อตอนเย็นแต่ในเมื่อเขาต้องการคุยกับผมก็ควรลงมาพบผมด้วยตัวเองไม่ใช่หรือ ห้องนี้ก็ใช่ว่าจะคับแคบซะเมื่อไหร่กัน...
แต่เอาเถอะ ในเมื่อเขาคือเจ้านายของใหญ่ผมก็ควรจะให้เกียรติเขาเช่นเดียวกับเจ้านายของผม
“สักครู่นะครับ” ผมเข้ามาในห้องหยิบกระเป๋าเป้ใบเล็กของตัวเองขึ้นมาสะพาย หยิบปากกาเขียนข้อความลงในกระดาษแล้วใช้ปากกาวางทับไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงเดี๋ยวใหญ่มาจะได้ไม่ตกใจที่ผมหายไป
จากนั้นผมก็เดินตามบอดี้การ์ดหน้าเข้มผ่านทางเดินทอดยาวสองข้างประกบด้วยผนังสีขาวนำไปสู่ห้องโถงกว้างขึ้นบันไดวนไปยังชั้นสองและหยุดอยู่หน้าประตูไม้สักอย่างดีบานหนึ่ง
ก๊อก ก๊อก
คนนำเคาะประตูสองครั้งก่อนแจ้งว่าได้พาผมมาถึงแล้ว นาทีต่อมาประตูก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นห้องสีขาวสะอาดตาทั้งเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งทุกอย่างล้วนเป็นสีขาวหมด
และตรงนั้น...บนโซฟากว้างสีขาวกลางห้องมีร่างเพรียวของคุณเฟยเฟิ่งนั่งไขว่ข้างอยู่ด้วยชุดสีขาวกลมกลืนกับบรรยากาศของห้องผมสีทองดั่งแพรไหมส่งให้ใบหน้าสวยหวานโดดเด่นรับกับรอยยิ้มเป็นมิตรที่ส่งมา
ช่างเป็นผู้ชายที่สวยหยาดเยิ้มจริงๆ
“นั่งก่อนสิครับ”
เครื่องดื่มสมุนไพรถูกยกมาเสิร์ฟ ผมนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวตามคำเชิญก่อนส่งยิ้มบางให้อย่างไม่รู้จะพูดอะไรไม่รู้สิเหมือนผมจะรู้สึกผิดกับคุณเฟยเฟิ่งเรื่องที่อิจฉาเขาแต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ทุกครั้งที่ผมเจอเขาความอิจฉาจะพุ่งวาบเข้ามาในหัวใจอย่างห้ามไม่ได้เมื่อสมองพลันคิดไปว่าใหญ่ได้ทุ่มเทเวลาให้เขามากขนาดไหน...มันช่างเป็นความรู้สึกนึกคิดที่แย่มากจริงๆ
“บ้านเฟยของเราเล็กไปหน่อย คุณอยู่ได้นะครับ”
“สบายมากครับ” ผมว่าพลางยกแก้วขึ้นจิบน้ำแก้เก้อกลิ่นหอมอ่อนๆของน้ำสมุนไพรที่โชยเข้าจมูกทำให้ผมผ่อนคลายลง
ที่ว่าเล็กคงหมายถึงเล็กกว่าอาณาจักรจิ่นแน่ๆเพราะถ้าเทียบกับบ้านทั่วๆไปก็ถือว่าหรูหราอยู่มากโข
“น่าเสียดายนะครับที่คุณจะกลับเมืองไทยแล้ว ตั้งแต่มาฮ่องกงเรายังไม่ได้นั่งคุยเล่นกันเลย”ขาเรียวที่ไขว่ห้างอยู่คลายออกก่อนแผ่นหลังจะพิงพนักด้วยท่าทางสบายๆให้บรรยากาศในการสนทนาดูเบาสบายลง
ผมก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้มฝืนเต็มทีเมื่อคิดได้ว่าเวลาที่จะอยู่เคียงข้างนายหมาตูบมันช่างเหลือน้อยนิดอย่างที่ว่าจริงๆ
“ครับ” แล้วผมจะพูดอะไรได้มากไปกว่านี้กันล่ะ
“คุณคงจะรู้สึกแย่ที่ต้องแยกจากเสี่ยวสือ” ดวงตาสวยคู่มองผมอย่างเห็นใจแต่ทำไมนะหัวใจผมยังเจ็บปวด
ผมนิ่งไม่ได้พูดอะไรเพราะดูแล้วคุณเฟยเฟิ่งคงไม่ต้องการคำตอบจากผมสักเท่าไหร่และเรื่องแบบนี้เขาก็รู้อยู่แก่ใจจะให้ผมตอบให้ทิ่มแทงใจเพิ่มไปทำไมกัน
และเหมือนเป็นคำเกริ่นเพื่อเข้าสู่ประเด็นถัดไปมากกว่าที่จะสงสารผมจริงๆ
“คงเหมือนกับผม...” นั่นไงผมคิดผิดซะที่ไหนกัน “ช่วงเวลาที่คิดว่าเสี่ยวสือได้จากผมไปตลอดกาลมันช่างทรมานเหมือนตายทั้งเป็น”
น้ำเสียงสะท้อนความเจ็บปวดบวกกับสายตาเหม่อลอยเมื่อย้อนคิดไปในช่วงเวลาเมื่อหลายเดือนก่อนเรียกให้ร่างกายผมชาวูบ หัวใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง แต่กระนั้นผมก็ยังนิ่งและทำเหมือนรับฟังเรื่องเล่าวันเศร้าใจจากคลับฟรายเดย์รายการวิทยุโปรดคืนวันศุกร์ของผม
หลายคนบอกเสมอว่าผมเป็นคนใจดีชอบช่วยเหลือผู้อื่น แต่ผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีรักโลภโกรธหลงคงไม่สามารถใจดีกับคนที่คิดไม่ซื่อกับคนรักของผมได้
...ณเวลานี้ผมมั่นใจแล้วว่าคนตรงหน้าไม่ได้คิดกับใหญ่เพียงแค่เจ้านายลูกน้อง
แล้วใหญ่ล่ะ....
ไม่...ผมจะเชื่อใจเขา
และคงมีแค่ความเห็นใจให้คุณเฟยเฟิ่งเพียงเท่านั้น
ขอเพียงอย่างเดียว...อย่าให้ความเชื่อใจและเห็นใจที่ผมมีให้ย้อนมาทำร้ายตัวเองเลย...
คุณเฟยเฟิ่งชวนผมมาเดินเล่นในสวนบนชั้นดาดฟ้า หลอดไฟนีออนถูกสับสวิตซ์เปิดให้แสงสว่างกลิ่นฉุนของดอกไม้โชยปะทะจมูกจนต้องเบ้หน้าหนีทันทีที่เปิดประตูเข้ามา
แต่เมื่อชินกับกลิ่น...ความละลานตาของพืชพรรณรูปทรงแปลกตา ชูช่อดอกสีสันแตกต่างสลับกับใบสีเขียวสดไม่ว่าจะขาวแดงชมพูเหลืองและอีกสารพัดที่ผมไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือสีอะไร
ดั่งงานพืชสวนโลกขนาดย่อม ผมตะลึงงันกับความสวยงามเบื้องหน้า ภายใต้หลังคากระจกฝ้าค้ำจุนด้วยโครงเหล็กสีขาวพร้อมผนังทั้งสี่ด้านที่ทำจากกระจกใสอุณหภูมิเย็นเยือกให้ต้องยกสองแขนกอดลำตัว สองขาค่อยๆก้าวไปตามทางเดินหญ้าญี่ปุ่นสีเขียวสดที่ถูกตัดสั้นเสมอกันอย่างสวยงาม
สองข้างทางเดินมีดอกไม้หลากหลายชนิดปลูกเรียงกันไล่สีสันสวยงามจนอยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสแต่ก็เกรงว่ากลีบดอกแสนบอบบางจะบอบช้ำจึงได้แต่ทอดสายตามอง มีดอกไม้อยู่ไม่กี่ชนิดที่ผมรู้จักเช่นดอกกุหลาบลิลลี่ และยกพื้นทางด้านขวาจะเป็นดอกไม้ไทยที่พอคุ้นเคยจำพวกคุณนายตื่นสาย ดาวเรืองเฟื่องฟ้า เทียนทอง ฯลฯ ส่วนอีกร้อยกว่าชนิด (จากที่คาดเดาจากสายตา)ผมไม่รู้จักเลยแต่สามารถพูดได้เต็มปากว่ามันสวยมาก
“ชอบไหมครับ”
“ครับ สวยมากจริงๆ”
“อย่าจับ!” ผมดึงมือกลับอย่างตกใจเมื่อกำลังจะเอื้อมมือไปสัมผัสกลีบดอกผกามาศสีแดงสดที่ชูดอกสวยยั่วยวนอยู่เบื้องหน้าเสียงร้องเตือนจากคนข้างๆก็ดังขึ้น “มันเป็นชนิดมีพิษน่ะครับสัมผัสโดนผิวหนังจะไหม้ปวดแสบปวดร้อนได้”
ผมหน้าเหยเกก้าวถอยหลังอย่างแหยงๆดอกไม้สวยแต่รูปจูบไม่หอมเกือบจะทำพิษผมเข้าแล้วคุณเฟยเฟิ่งจุดยิ้มมุมปากก่อนพาผมเดินลึกเข้าไปในสุดซึ่งบรรยากาศด้านในโดยรอบอบอวลไปด้วยละอองน้ำจากสปริงเกอร์
“เอ่อ อันนี้มีพิษไหมครับ” ผมถามอย่างไม่กล้าจับดอกไม้อะไรอีก
“มีครับ”
นั่นไง ว่าแล้วไหมล่ะ อันตรายต่อชีวิตไปหมด
“แถวนี้จับได้ไม่เป็นอะไรครับ จะเป็นก็ต่อเมื่อทานเข้าไป”
“แน่นะครับ”
“ครับ” เฮ้อผมถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนยิ้มกว้างกับความสวยงามเบื้องหน้า เอื้อมมือไปสัมผัสกลีบมันเบาๆพลางก้มลงสูดดมรับกลิ่นที่คราแรกชวนให้ผมเวียนศีรษะแต่ตอนนี้กลับดึงดูดจนอดใจไม่ไหวกับกลิ่นหอมของมัน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสวนดอกไม้บนดาดฟ้าทำให้อารมณ์ย่ำแย่ของผมดีขึ้นมากเลยทีเดียว
คุณเฟยเฟิ่งก็คงรู้สึกเช่นเดียวกันกับผม ร่างเพรียวสวยนั่งยองลงก่อนใช้ปลายจมูกแตะลงบนกลีบดอกใช้ปลายนิ้วไล้มันเบาๆอย่างอ่อนโยน แววตาทอประกายอ่อนแสงลงอย่างแสนรัก
“ผมชอบดอกไม้มากมาตั้งแต่เด็กๆ และนี่คือดอกไม้ที่ผมชอบมันมากที่สุด”เขาว่าพลางพรมจูบบนกลีบดอกอย่างทะนุถนอม
ผมมองดอกไม้ชนิดที่ว่าอย่างสนใจ ตัวดอกสีชมพูแต้มจุดรูปกรวยสั้นๆออกดอกบนกิ่งเรียวยาวชะลูดขึ้นไปจากโคนต้นจรดปลายดอกบานเต็มวัยบานกว้างไล่เรียงไปถึงยอดที่ประดับด้วยดอกตูมเขียวอ่อนเหมือนกับกรวยไอติมที่แต่งแต้มด้วยสีน่ามอง
“ดอกอะไรหรือครับ”
คุณเฟยเฟิ่งลุกขึ้นยืนแล้วโน้มหน้าลงไปสูดดมอีกครั้งก่อนตอบ “ดอกฟอกซ์โกลฟน่ะครับ ถ้าเมืองไทยบ้านคุณจะเรียกมันว่าถุงมือจิ้งจอก”
“ถุงมือจิ้งจอก...” ผมพึมพำทวนคำ ฟังดูเจ้าเล่ห์น่ากลัวพิกลผมว่ามันสวยออก สวยมากๆ
“คงเพราะภายนอกดูสวยงามแต่แฝงไปด้วยพิษร้ายกระมังครับ มันถึงได้ชื่อว่าถุงมือจิ้งจอกบางพันธุ์มีพิษร้ายแรงทั้งต้นทั้งดอกจะถูกเรียกว่าต้นกระดิ่งคนตาย”
อืม ฟังดูน่ากลัวและไม่น่าเข้าใกล้อย่างมาก แล้วที่ผมสูดมันเข้าไปเต็มปอดเมื่อกี้จะไม่เป็นไรใช่ไหมมันจะไม่แทงข้างหลังผมใช่หรือเปล่า แต่คุณเฟยเฟิ่งยังคลอเคลียเป็นลูกแมวแบบนั้นได้แสดงว่าชีวิตผมยังปลอดภัยดี
“ฮ่าๆ ทำไมทำหน้าแหยแบบนั้นล่ะครับ”
“ผมแค่สงสัยว่าทำไมคุณถึงโปรดปรานมันนัก มันดูเอ่อ...น่ากลัวพิลึก”ว่าแล้วผมก็ขอใส่เกียร์ก้าวถอยหลังออกมาสักสองสามก้าว
“มีคนให้ดอกฟอกซ์โกลฟกับผมในวันที่ผมสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดไป”ดวงตาทอประกายแสนรักละจากใบหน้าผมลงไปมองดอกไม้แห่งความหลังพลางเอ่ยต่อ“นับจากวันนั้นเขาก็กลายมาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตผมแทน”
นัยน์ตาสวยคู่นั้นทอประกายรักมากกว่ายามพูดถึงดอกไม้เสียอีก
ในขณะเดียวกันปลายนิ้วผมเริ่มเย็นเฉียบก่อนลามไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย
“ผมยังจำได้ดีตอนอายุสิบห้า เพราะกฎของตระกูลทำให้ผมสูญเสียของรักและศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้ชายไปมันช่างสุดแสนทรมานเหมือนตายทั้งเป็น ขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่อยากเจอหน้าใครคิดว่าตายไปเสียยังดีกว่า...” แววตาทอประกายรักในคราแรกเปลี่ยนเป็นรวดร้าวยามที่ริมฝีปากเอ่ยเล่าเรื่องราวในอดีตความรู้สึกสงสารตีตื้นเข้ามาในอก “แต่เทวดาคงเห็นใจ...บนความเลวร้ายที่เผชิญฟ้าก็ส่งเด็กชายตัวน้อยมาให้ผม...”
แววตาหม่นแสงกลับมาสดใสอีกครั้ง
“เด็กนั่นเป็นบอดี้การ์ดที่ถูกส่งมารับใช้พี่เฟยหลงตั้งแต่สมัยยังเป็นคุณชายใหญ่เด็กผู้ชายตัวโตเกินมาตรฐาน หน้านิ่งๆตาดุๆแต่กลับเป็นเด็กที่...เดินถือถาดอาหารเช้าเข้ามาให้ผมแทนแม่บ้านผิงเด็กที่มาพร้อมกับแจกันใส่ดอกไม้ที่ผมมารู้ทีหลังว่ามันชื่อ ‘ดอกฟอกซ์โกลฟ’ ” ดวงตาเรียวสวยหันมาสบตาพลางจุดยิ้มมุมปาก“น่าขำนะครับ จะปลอบใจทั้งทีเอาดอกถุงมือจิ้งจอกมาให้ แต่คำพูดของเด็กสิบขวบก็ทำเอาผมอึ้งและซาบซึ้งทั้งน้ำตาเลยล่ะครับเขาบอกว่า...เห็นแม่บ้านผิงบอกว่าคุณชายน้อยกำลังเสียใจ ผมเลยเอาดอกไม้มาให้คุณหมอจางบอกว่ามันช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจได้...โถเด็กน้อยเอ๋ย ให้ทำตัวขึงขังเป็นผู้ใหญ่ยังไงสุดท้ายเด็กก็คือเด็กอยู่ดี...ใสสะอาด...ชะล้างหัวใจที่มืดมนได้...”
มาถึงตรงนี้ผมสัมผัสได้ถึงสายใยความรักและความผูกพันของทั้งคู่ได้ ริมฝีปากที่เริ่มสั่นน้อยๆเอ่ยถามออกไปแม้ในใจจะกลัวแสนกลัวคำตอบก็ตาม
“ดะเด็กผู้ชายคนนั้น...ใหญ่เหรอครับ...”
นัยน์ตาแววหวานสบตาผมนิ่ง เผยยิ้มบางก่อนตอบ “ไม่ใช่หรอกครับ...”
ลมหายใจที่กั้นไว้ถูกปล่อยพรูออกมา...
“เสี่ยวสือต่างหาก”
...แล้วสะดุดลง เหมือนถูกตัดขั้วหัวใจทิ้ง
“เพราะเหตุการณ์ในวันนั้น ผมจึงไปขอเด็กคนนั้นจากพี่ใหญ่เพื่อให้มาอยู่เคียงข้างผมแทนและตั้งแต่นั้นมาเขาก็คือเสี่ยวสือของผม...ของของผม”
หัวใจผมเต้นระรัวในอัตราสูงสุดเกินกว่าที่เคยเป็น!!!
ปึง!!
โครม!!
เฮือก!!
ผมถูกเหวี่ยงจนร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงอยู่ก่อนหน้าไถลตามแรงจนอัดเข้ากับผนังปูนความเจ็บปวดแล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กายไม่ใช่จากแรงกระทำภายนอก...แต่มาจากภายในร่างกายที่ปวดร้อนดั่งไฟเผาร่างกายอ่อนแรง ช่วงท้องปวดมวนเหมือนโดนมือที่มองไม่เห็นบีบลำไส้จนบิดเบี้ยว ริมฝีปากลามลงไปยังลำคอปวดแสบปวดร้อนแม้แต่จะเปล่งเสียงพูดหรือหายใจยังลำบากหัวใจเต้นถี่รัวตึกตักคับอกอย่างกับวิ่งโดยไม่หยุดพักมาสักร้อยกิโล
ไม่...ไม่ใช่เพราะผมตื่นเต้นหรือกลัว...แต่เหมือนกับโดนบางสิ่งเข้าไปกระตุ้นมัน...รวมทั้งอาการแปลกๆทั้งหลายที่เกิดขึ้นด้วย
“คะคุณเฟย ฟะเฟิ่ง...”
“บางอย่างรับในปริมาณที่เหมาะสมมันก็จะสามารถช่วยชีวิตได้ แต่ถ้ารับมากไปมันก็ปลิดชีพได้เช่นกัน”เสียงเนิบหวานเหนือศีรษะเรียกให้ผมค่อยๆเงยหน้า มองใบหน้าหวานฉ่ำที่บัดนี้เรียบเฉยดวงตาใสแข็งกร้าวมองผมอย่างเคียดแค้น
หลังจากประโยคแสดงความเป็นเจ้าของในสวนดอกไม้บนดาดฟ้าจบลง หัวใจผมก็เต้นระรัววินาทีแรกผมกลับคิดไปว่าเพราะคำพูดนั้นมันช่างกรีดหัวใจผมยิ่งนัก แต่เวลาถัดมามันไม่ใช่...ร่างกายผมผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆทั้งอ่อนแรงเริ่มปวดแสบปวดร้อนตามร่างกาย และสุดท้าย...ไม่สามารถป้องกันการคุกคามจากโดยรอบได้เลย
มารู้ตัวอีกทีผมก็ถูกพาเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมมืดๆซ้ำยังมีกลิ่นคาวฉุนจนอยากอาเจียน
“ทะทำไม...”
“บุญคุณที่ช่วยเสี่ยวสือไว้ทำให้คุณมีชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ แต่ตอนนี้มันหมดลงแล้วทดแทนกันพอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบุญคุณหรือความเป็นเจ้าของเสี่ยวสือ...ที่เพ้อพบไปเอง!!!”เสียงตวาดก้องให้ผมกระถดตัวหนีชิดมุมผนังชื้นอย่างหวาดกลัว
ณ เวลานี้เขาไม่ใช่คุณเฟยเฟิ่งที่สวยสง่าอ่อนโยนคนเดิมไม่ใช่สิ...คนที่เขาปั้นแต่งขึ้นมาตบตาผม เขาก็แค่...
“โอ๊ย...” ผมร้องอย่างเจ็บปวดเมื่อร่างกายทวีความทรมานขึ้นเรื่อยๆและยิ่งผมแสดงออกมากเท่าไรอีกฝ่ายก็ดูจะพึงใจมากเท่านั้น “คะคุณจะฆ่าผมเหรอ...อึก”
สะแสบคอจัง เสียงแห้งแทบพูดไม่ออกเลย
“ยังไม่ถึงเวลา...แต่เชื่อเถอะ...” ร่างนั้นนั่งลงตรงหน้าผมใช้ฝ่ามือบีบคางแล้วจิกเล็บลงบนผิวแก้มยามบังคับให้หันมาสบตากัน ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น“คุณจะทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น หึ”
ฟึ่บ!!
ฝ่ามือที่บีบหน้าผมอยู่ออกแรงผลักสะบัดไปด้านข้างให้ผมล้มนอนอย่างไม่อาจต้านทานรู้สึกเจ็บตรงข้อศอกที่กระแทกพื้นปูนพร้อมกับอีกฝ่ายที่ลุกขึ้นยืน สองมือของผมกอดร่างที่คุดคู้เข้าหากันของตัวเองแน่นแต่กระนั้น...ผมก็ยังอดส่งสายตาเวทนาให้อีกฝ่ายไม่ได้ ถึงสภาพผมจะน่าสมเพชเยี่ยงสุนัขเจ็บปวดทรมานเยี่ยงสุกรถูกเชือด แต่ผมก็ยังรู้สึกสงสารอีกฝ่าย...ที่จิตใจเขายังอยู่ใต้ตมจมอยู่กับความคับแค้นและอิจฉาริษยาจนสามารถทำร้ายเพื่อนมนุษย์กันได้ถึงเพียงนี้...
“อย่ามามองผมด้วยสายตาแบบนี้!! เจียมตัวเองซะบ้าง!!” ตวาดอีกครั้งพร้อมสะบัดตัวหันหลังเพื่อย่ำเท้าก้าวออกไป ผมปรือตามองเขาก่อนเปล่งเสียงแหบแห้งอย่างกระท่อนกระแท่น
“ละแล้วผมจะ...จะแผ่เมตตาหะ...ให้คุณ...”
“ไม่จำเป็น เก็บบุญไว้สวดศพให้ตัวเองคืนนี้เถอะ อย่าปวดใจจนตายก่อนซะล่ะ!”เขากัดฟันพูดโดยที่ไม่ได้หันกลับมา แล้วเดินออกจากห้องไป
ผะผมเจ็บจังเลย...ปะปวดแสบปวดร้อนไปหมดทั้งตัว...เพราะดอกไม้เป็นพิษอย่างนั้นเหรอ...
ไม่สิ...ในเมื่อคุณเฟยเฟิ่งก็สัมผัสมันเหมือนกัน...
ผมพยายามเค้นสมองคิดทั้งที่ปวดศีรษะจนสมองแทบระเบิดกอดตัวเองให้แน่นขึ้น...
เพราะอะไร....เพราะอะไร...ทำไม...
สุดท้ายผมก็ถกเถียงปัญหานี้กับตัวเองได้สำเร็จ...เพราะดอกไม้นั่นแหละแต่ไม่ใช่ที่สวน ไม่ใช่เพราะสัมผัสโดน ไม่ใช่เพราะดม
....น้ำสมุนไพรแก้วนั้น ผมจำกลิ่นมันได้แล้ว นึกว่าน้ำอะไรที่แท้ก็...
...ถุงมือจิ้งจอก ไม่สิ กระดิ่งคนตาย...
ใหญ่...ใหญ่จะรู้ไหมว่าเล็กหายไป จะตามหาหรือเปล่าเล็กยังเชื่อในตัวใหญ่อยู่นะ...ยังเชื่อว่าจะมาช่วยและยังรอฟังคำอธิบาย...
แกร๊ก!
เสียงเปิดประตูเรียกให้ผมปรือตาขึ้นมองฝ่าความมืดไปก็ไม่เห็นมีการเคลื่อนไหวใดๆเกิดขึ้นเลย แต่เสียงมันใกล้มากจริงๆ
กุกกัก กุกกัก
“คุณเฟิ่งจะอาบน้ำก่อนไหมครับ” สะเสียงนี้...ผมจำได้
“ใหญ่...ใหญ่...” ผมพยายามดันร่างตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งพื้นชื้นเหมือนเลอะไปด้วยเมือกเหนียวทำให้การทรงตัวขึ้นเป็นเรื่องยากลำบาก แต่ผมก็พยายามจนลุกขึ้นนั่งได้สำเร็จ
ผมกระเถิบตัวพิงผนังไว้อย่างอ่อนแรง อาการเจ็บปวดมวลท้องเริ่มทุเลาลงเช่นเดียวกับความปวดแสบปวดร้อนตามร่างกายไม่รู้เป็นเพราะพิษหมดแล้วหรือว่าเจ็บจนชาชินกันแน่ แต่เมื่อจับตามเนื้อตัวโดยเฉพาะบริเวณริมฝีปากจะรู้สึกแสบเป็นพิเศษและเหมือนผิวหนังจะไหม้ด้วย
“อืม...ดีเหมือนกัน อาบด้วยกันไหม” เสียงคุณเฟยเฟิ่ง
ผมพยายามกวาดสายตามองหาที่มาของเสียงก่อนจะพบว่ามันดังอยู่เหนือศีรษะผมนี่เอง...บนชั้นถัดไปแต่ผมกลับได้ยินเสียงทั้งคู่ชัดเจนเฉกเช่นนั่งอยู่ในห้องเดียวกัน
ถ้าผมตะโกนเรียกออกไปใหญ่จะได้ยินไหมนะ...แต่จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อผมลองตะเบ็งแล้วกลับไม่มีเสียงอันใดลอดผ่านลำคอผมมาได้เลย...
“เดี๋ยวผมไปอาบที่ห้องก็ได้ครับ”
“ทำไมล่ะ อาบด้วยกันนี่แหละ ก็อาบด้วยกันอยู่ทุกวัน”
“คือผม...”
“เป็นห่วงคุณเล็กหรือไง”
จบคำถามเสียงก็เงียบไปเสี้ยวนาทีแต่ช่างยาวนาสำหรับคนรอคอยคำตอบอย่างผมเหลือเกิน
“เปล่าครับ”
“ดี งั้นไปอาบน้ำด้วยกัน ถูหลังให้หน่อย...นะ”
“ครับ”
“ตามเข้ามา ไม่ต้องปิดประตูนะ”
และแล้วน้ำตาที่แม้แต่โดนทรมานหนักหนาแค่ไหนในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมายังไม่เคยไหลลงมาสักหยดบัดนี้มันกลับไหลหลากอย่างไม่สามารถกักกลั้นไว้ได้เพียงถ้อยคำเดียวของคนที่ผมรักหมดใจ
ถ้อยคำที่เหมือนไม่ใส่ใจกัน
ขณะที่เล็กรอใหญ่อยู่ที่อาณาจักรผีดิบนั่น...เข้าใจในตัวตนและงานของใหญ่...แท้จริงแล้วใหญ่เพียงมาปรนเปรอให้เขาใช่ไหม...นี่น่ะเหรองานบอดี้การ์ดอันยิ่งใหญ่ที่เล็กต้องอดทนรอด้วยความคิดถึงตลอดมา...
ผมได้ยินเสียงซ่าในห้องน้ำเดาว่าทั้งคู่คงได้อาบน้ำใต้ฝักบัวเดียวกันสมใจอยากแล้วแต่ผมคงคิดน้อยไป...นั่นเป็นแค่การล้างตัว การอาบน้ำให้โรแมนติกและแนบแน่นจริงๆมันต้องลงอ่างต่างหาก
“ถอดผ้าเสร็จแล้วก็ตามลงมาสิ” คำสั่งเสียงหวานที่ทำให้ผมต้องหลับตาลงอย่างไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแต่ไม่มีประโยชน์อันใดเลยในเมื่อหูผมยังทำหน้าที่ได้ดีอย่างไม่บกพร่อง ทำไมนะหูมันถึงไม่หนวกตามปากที่พูดไม่ได้ไปซะเลย
จ๋อม
เสียงน้ำกระเพื่อมไหวล้นออกขอบอ่างให้รู้ว่าได้มีวัตถุมวลใหญ่เพิ่มลงไปแล้วจะเป็นอะไรไปได้นอกจาก...เสี่ยวสือ
ถึงเสียงจากภายในห้องน้ำจะได้ยินเบากว่าด้านนอกแต่ผมก็ยังได้ยินและทุกคำมันช่างวนเวียนอยู่ในสมองผมอย่างชัดเจน
“มา...ฉันช่วยสระผมให้”
“ไม่เป็นไรครับ หันหลังเถอะ ผมจะถูหลังให้”
เงียบผ่านไปสักพัก ก็มีเสียงดังขึ้นมาอีก
“พอแล้ว” เสียงน้ำกระฉอกออกจากขอบอ่างอีกครั้ง“เสี่ยวสือ...จูบฉันหน่อย”
“...” ร่างกายผมชาวาบถึงแม้จะไม่ได้ยินเสียงอะไรตอบกลับมาเลยก็ตาม
แล้วจะต้องเอ่ยอะไรอีก เมื่อนาทีต่อมาเสียงครางเครือก็เพียงพอแล้วที่ผมจะเข้าใจในทุกสิ่ง
“อ๊ะ อืมม ปะไปที่เตียงเถอะ”
ฟึ่บ
ตึก
โครม
แล้วเสียงเล่นรักก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง คงจะเร่าร้อนกันมาตลอดทางเดินจนถึงเตียงนอนหลังจากนั้นก็มีแต่เสียงครางระงมอย่างสุขสมของคนทั้งคู่ประสานกับเสียงเนื้อหนังสัมผัสกระทบกันอย่างน่าสมเพช
“อ๊ะ ตะตรงนั้น...บี้แรงๆ อ่ะอื้มมม”
“อ่ะ อา”
ฟึ่บๆๆๆ
...เป็นผมเองที่น่าสมเพช...
เขาทั้งคู่จะรู้ไหมว่าในขณะที่ร่วมรักกัน ผม...ผมที่อยู่ตรงนี้ร้องไห้จนตัวสั่นสะท้านร่างทั้งร่างค่อยๆไหลไปตามผนังลงไปนอนกองกับพื้นปูนอีกครั้ง มือสองข้างยกปิดหูพร้อมทั้งคุดคู้หนีความหนาวยะเยือกที่แผ่กระจายไปทั่วกายร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด...
ผมเข้าใจคำความหมายว่า ‘ทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น’ของคุณเฟยเฟิ่งแล้ว
ผมอยากจะค้าน...เพราะตอนนี้ผมรู้สึกมากกว่านั้นเสียอีก
ความไว้ใจ เชื่อใจ และความรักที่ผมมีให้เขาถูกย่ำยีและเหยียบซ้ำๆจนมันแหลกสลายเป็นผงธุลี
ไม่ใช่เพียงแค่หัวใจที่ถูกกรีดลึก...แต่ทุกตารางนิ้วของร่างกายก็ถูกเขาทำลายลงจนไม่เหลือชิ้นดี
ที่ใหญ่ไม่เคยบอกรักเล็กเลยเป็นเพราะอย่างนี้เองสินะไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรที่ผมนอนฟังเสียงสุขสมของคนทั้งคู่ ถึงจะเจ็บปวดทรมานเจียนตายแต่ก็ต้องขอบคุณช่วงเวลาเหล่านั้นที่ทำให้ผมคิดได้
อย่างที่เขาว่ากันว่า...เมื่อเราผ่านวินาทีแห่งความตายมาแล้วเราจะเห็นค่าของชีวิตตัวเองที่คงอยู่...และผมก็เป็นเช่นนั้น
ผมปรารถนาชีวิตที่เป็นสุขหลังจากนี้ ผมไม่ต้องการตายไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน
ผมต้องรอดกลับไปหาอ้อมกอดของคนที่รักผมอย่างแท้จริงต้องรอด..
ผมเรียนรู้ที่จะครองสติภายใต้ความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจมากมายที่เข้าถาโถม ตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง พลันมือก็ควานสะเปะสะปะในความมืดไปตามพื้นเพื่อสำรวจทางและเผื่อจะเจออะไรที่ทำให้ผมหลุดพ้นไปจากที่แห่งนี้ได้
กึก
มือผมชนเข้ากับบางอย่าง ผมรีบคลานสี่ขาเข้าไปคลำทั่วจนรู้ว่ามันคือกระเป๋าสะพายของผมเอง ผมคว้ามันขึ้นมาพลางเปิดมันด้วยมืออันสั่นเทา ล้วงมือเข้าไปควานหาโทรศัพท์มือถือแล้วสักพักผมก็เจอสิ่งที่ต้องการ...ขอบคุณพระเจ้า...
ผมคว้าเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมขึ้นมาแล้วกดปุ่มวงกลมหนึ่งเดียวบนหน้าจอไอโฟนจนแสงไฟสว่างวาบขึ้น ตัวเลขหน้าจอบอกเวลาเที่ยงคืนผ่านไปสามชั่วโมงเองหรือ ทำไมมันช่างนานแสนนานในความรู้สึกผมซะเหลือกิน
แสงสว่างจากเครื่องมือสื่อสารทำให้ผมมองเห็นห้องโดยรอบกักขังผมไว้ สองแขนยึดผนังไว้เพื่อพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน พื้นปูนขึ้นเมือกตะไคร่เขียวครึ้ม กลางห้องมีหลอดไฟหนึ่งดวงที่มองไปตามแนวสายไฟจะเห็นสวิตซ์อยู่ชิดกับขอบประตูซึ่งทำจากเหล็ก
แต่ทุกอย่างคงไม่เท่าเพดานสูงกว่าศีรษะผมเพียงแค่หนึ่งคืบเท่านั้นอย่างที่ถ้าผมเขย่งเท้าศีรษะก็จะชนกับเพดานพอดี
อย่างนี้สินะ ผมถึงได้ยินเสียงชัดนัก
แต่แล้วขีดสีแดงมุมขวาของหน้าจอก็เรียกความสนใจของผมกลับมา เตือนบอกว่าแบตเตอรี่เหลือเพียงห้าเปอร์เซ็นต์ผมมีเวลาไม่มากแล้ว ผมจะทำยังไงดี...โทรหาพ่อแม่อย่างนั้นเหรอ...ไม่ ผมจะต้องกลับไปกราบท่านทั้งสองด้วยตัวเอง จะไม่ให้ท่านต้องมาทุกข์ใจกับสิ่งที่ผมเผชิญอยู่
หนีออกไป...ไม่มีทางเป็นไปได้เลย นอกประตูเหล็กผมมั่นใจว่าจะต้องมีกุญแจดอกใหญ่เพื่อคุมขังผมไว้ ไหนจะเหล่าบอดี้การ์ดที่อยู่ทั่วทุกบริเวณเพ่นพ่านยิ่งกว่าแมลงสาบ
ผมจะทำอย่างไรให้ห้าเปอร์เซ็นต์ที่เหลืออยู่คุ้มค่ามากที่สุด...ใครพอจะช่วยผมได้บ้าง...
ในฮ่องกงคนเดียวที่ผมไว้ใจและเป็นห่วงผมมากที่สุดคงไม่พ้น...ใช่!!เยว่ซิน!!
ผมกดหาเบอร์ที่เมมไว้ก่อนออกมาจากอาณาจักรจิ่นเยว่ซินได้ให้เบอร์ติดต่อผมเอาไว้ นี่ไง! เจอแล้ว!
นิ้วกำลังจะสัมผัสปุ่มโทรออก แต่...ผมพูดไม่ได้เสียงผมไม่มี
“อ่ะ...” ผมพยายามเปล่งเสียงเผื่อเวลาที่ผ่านไปจะทำให้เสียงของผมคืนมาบ้างแต่ไม่เลย มันยังแหบแห้งและไร้ซึ่งเสียงใดๆเหมือนเดิม
ทางออกสุดท้ายที่ผมพอคิดออกตอนนี้คงมีแค่ส่งข้อความไป
‘ช่วยฉันด้วยคุณเฟยเฟิ่งจะฆ่าฉัน ตอนนี้เขาจับฉันไว้ใต้ห้องส่วนตัวของเขา....หมิงจิว’
ยังถือเป็นโชคดีอยู่บ้างหรือเปล่าผมไม่แน่ใจที่ผมกดส่งเสร็จหน้าจอก็ดับสนิททันทีในวินาทีถัดมา
เยว่ซิน ขอร้องตอนนี้เธอคือที่พึ่งทางเดียวที่ฉันเหลืออยู่
ทุกอย่างตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง ผมจึงพยุงตัวคลำทางไปยังสวิตซ์ไฟ ดีตรงที่ห้องนี้ไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งกีดขวางอยู่เลยทำให้การเดินไม่ลำบากมากนัก นอกจากระวังเรื่องการลื่นล้มเท่านั้น
เปาะ!
ไม่ติด!
เปาะ! เปาะ!
ผมลองกดเปิดปิดสวิตซ์ไฟอีกครั้งแต่ผลก็ยังเหมือนเดิม ห้องยังมืดสนิท ผมจึงเริ่มค้นกระเป๋าตัวเองอีกครั้งเพื่อหวังว่าจะมีสิ่งที่ผมยัดใส่มาจะมีอะไรพอเป็นแสงได้บ้าง
ตุบ
บ้าเอ๊ย!!
ผมนั่งยองลงควานมือเก็บของที่ร่วงลงจากกระเป๋าที่ผมเผลอคว่ำลง ของหล่นกระจายจนผมต้องใช้มือกวาดรวบเข้าหาตัวและก็ต้องเงยหน้าขึ้น หยีตามองเมื่อรู้สึกว่ามีแสงสว่างรำไรให้ผมพอมองเห็นเลือนรางจากบางสิ่งที่เปิดกางอยู่บนพื้น
ผมค่อยๆคลานเข่าเข้าไปหาเจ้าสิ่งนั้น และก็ต้องตะลึงค้างเมื่อแสงสีทองเรืองรองมาจากหนังสือคัมภีร์อาหารยอดยุทธ์ที่ผมพกไว้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ แต่ไม่ใช่จากตัวอักษรจีนที่ผมเห็นจนชินตา
ผมหมุนหนังสือให้กลับหัวลงจากปกติ...และกวาดตามองตัวอักษรภาษาอังกฤษที่เรืองแสงทั่วหน้ากระดาษอย่างประหลาดใจ
ไม่รู้สวรรค์ลิขิตหรือกำหนดให้หน้าหนังสือที่กางออกเป็นใจความที่สะกิดใจผมอยู่พอดี
แปลเป็นไทยได้ว่า...
กำจัดความเป็นชายของเชื้อสายที่เป็นชายให้หมดสิ้น รักษาเพียงผู้จะเป็นใหญ่ในภายหน้าเพียงเท่านั้น เพื่อป้องกันการแย่งชิงอำนาจสืบต่อไป
และยังมีอีกหลายข้อที่เริ่มต้นย่อหน้าบรรทัดใหม่อย่างเช่นหน้าที่หลักๆของประมุขตระกูลเฟย กฎการเลือกคู่ครอง และทุกๆหน้าที่เปิดดูจะมีอีกหลายร้อยกฎที่ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก
แต่เชื่อเถอะ สิ่งที่ผมสนใจมีแค่ข้อความด้านบน
มันหมายความว่ายังไงกันแน่...
ฟึ่บ!
ผมรีบพลิกปิดหนังสือเพื่อดูปกหน้า และก็เป็นอย่างที่คาดไว้ บนปกที่เคยมีอักษรจีนตัวใหญ่อยู่ตรงกลางบัดนี้กับถูกความมืดดูดกลืนบดบัง หากแต่สิ่งที่ปรากฏคือตัวอักษรภาษาอังกฤษเรืองรองเล่นแสงเช่นเดียวกับข้อความด้านใน
แท้จริงแล้วมันคือหนังสือกฎของบ้านตระกูลเฟยหรือนี่ช่างทำได้แยบยลยิ่งนัก เล่นเอาคนธรรมดาอย่างผมมึนไปเลย
คนตระกูลยิ่งใหญ่เก่าแก่เขามีความลับซับซ้อนกันขนาดนี้เชียว บ้านของผมก็มีกฎบ้านนะแต่ต่างกันตรงนี้แม่ของผมเขียนลงกระดาษแผ่นใหญ่แล้วติดไว้กลางบ้านให้ทุกคนได้เห็นอย่างชัดเจน
แล้วก็ไม่ใช่กฎพิลึกกึกกือเช่นนี้ด้วย
แกร๊ก!
“$&^%(*)!”
เสียงหน้าประตูทำให้ผมรีบพุ่งตัวไปนั่งทับหนังสือไว้ แต่ก็ช้าไปเสียแล้วเมื่อหญิงชราที่ก้าวเข้ามาพร้อมตะเกียงในมือรีบวางมันลงบนพื้นห้องแล้วเข้ามาดึงร่างผมออก
เมื่อเขาเห็นหนังสือที่พอมีแสงสว่าง สิ่งที่เคยเรืองรองก็เข้าซ่อนเร้นและกลับมาเป็นหนังสือคัมภีร์อาหารยอดยุทธ์เล่มเดิม แต่ดวงตาโปนใต้ตาหย่อนคล้อยคู่นั้นยังเบิกกว้างมองมันและยกนิ้วขึ้นชี้อย่างสั่นระริก
“%#$$&^^*(()&%$” เขาพูดภาษาที่ผมไม่เข้าใจ แต่ผมจับน้ำเสียงที่ดูหวาดกลัวได้
ผมส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่เข้าใจ อ้าปากพะงาบๆให้เขารู้อีกว่าผมพูดไม่ได้ เมื่อนั้นเขาจึงปรับใบหน้าให้ลดความตระหนกลงแล้วเริ่มรื้อหาของในตะกร้าไม้สานที่ผมเพิ่งสังเกตเห็น
เหมือนเขาจะเจอสิ่งที่ต้องการแล้ว ขวดสีชาใบเล็กถูกยื่นมาตรงหน้าทำท่าทางว่าให้ผมดื่มมันเข้าไป ผมกระถดตัวถอยหลังอย่างหวาดระแวงมันเป็นยาพิษหรือเปล่า เขาจะฆ่าผมเหรอ
คิดได้ผมก็ยิ่งกระถดตัวหนีไปไกลขึ้นถึงจะรู้ว่าหนีไปก็ไม่มีประโยชน์กับพื้นที่สี่เหลี่ยมแค่นี้แต่สัญชาตญาณมันก็บอกให้ผมหนี
ตึก ตึก
ยิ่งผมถอย สองเท้าก็ย่างก้าวเข้ามาเรื่อยๆ
“อื้อ! อื้อ!” ผมสะบัดหน้าหนีเมื่อมือเหี่ยวย่นจับใบหน้าผมเพื่อจะกรอกของเหลวในขวดเข้ามาในปาก มือสองข้างยกขึ้นปัดป้องพัลวัน จนสุดท้าย...
เพี้ยะ!!
ฝ่ามือย่นตบลงบนแก้มซีกซ้ายจนหน้าสะบัด ผมเงยหน้าขึ้นมองเตรียมจะปกป้องตัวเองอย่างเต็มที่ต่อไป แต่เขาก็ไม่ได้ทำร้ายผมอย่างที่คาด กลับกัน...เขายกขวดสีชาขึ้นดื่ม...กลืนลงไป...ถอนขวดออกจากริมฝีปาก...และมองสบตาผม...เหมือนบอกว่ามันไม่ใช่ยาพิษ...
ผมยังมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง แต่ก็ยื่นมือไปรับขวดสีชาอย่างระแวดระวังมองขวดในมืออย่างไม่แน่ใจ หันไปสบตาหญิงชราอีกครั้งที่ทำท่าทางให้กระดกมันเข้าไปมองขวดในมือ แล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจดื่มมัน
ของเหลวในขวดไหลผ่านริมฝีปากผมอมมันไว้พักหนึ่งอย่างไม่กล้า จนโดนตบปากไปทีนั่นแหละถึงยอมกลืน
ผมหลับตาปี๋รอรับปฏิกิริยาที่จะเกิดขึ้นนั่นไง...เริ่มคันยิบๆใบปาก ลามไปในลำคอ และก็รู้สึกแสบๆที่ลิ้นปี่
“อึก”
“ลองพูดสิ” หญิงชราเอ่ยเสียงแหบต่ำเป็นภาษาไทย ผมเบิกตากว้างก่อนค่อยๆเปล่งเสียงตามที่บอก
“คะคุณ แค่กๆ พูด ทะไทยได้...” หญิงชราพยักหน้า ซึ่งผมไม่ได้สนใจไปกว่าเสียงของตัวเอง ถึงมันจะแหบแห้งแต่ผมก็ยังดีใจที่สุดท้ายสามารถพูดได้แล้ว
“ได้หนังสือเล่มนี้มาได้ยังไง” หญิงชราถามทันทีเมื่อแน่ใจว่าสื่อสารกับผมได้แล้ว
ผมยังปิดปากเงียบ คนที่นี่น่ากลัวเกินกว่าจะไว้ใจผมไม่อยากจะเอ่ยปากเล่าอะไรทั้งสิ้น
“คุณจิ่นตั้งให้ฉันมาช่วยเธอ” ผมนิ่งจริงเหรอ...เยว่ซินเห็นข้อความแล้วให้บอกให้คุณจิ่นตั้งมาช่วยผมเหรอ
ผมจะเชื่อหญิงชราตรงหน้าได้อย่างไร
“เธอจะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของเธอ ใช่ว่าจะมีทางเลือกมากมายหรอกนะ” สายตาภายใต้เปลือกตาอันหย่อนคล้อยมองมาที่ผมอย่างเยาะเย้ย ผมเม้มริมฝีปากแน่นนั่นสิ...ใช่ว่าผมจะมีทางเลือก อยู่ก็ตาย ดังนั้นเลือกไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า
ผมมองไปบนฝ้าเพดานอย่างไม่แน่ใจ
“พวกเขาไม่ได้ยินหรอกหลับเป็นตายเลยล่ะ” มันเพลียขนาดที่มีคนย่องเข้าห้องยังไม่รู้ตัวเชียวหรือหึ คงจะเร่าร้อนกันมากสินะ
ผมกระพริบตาไล่น้ำตาที่คลอหน่วงปัดความคิดฟุ้งซ่าน แล้วมาสนใจหญิงชราที่ถือไพ่เหนือกว่าผม
“ใหญ่...ไม่สิของจิ่นสือ” ความจริงใหญ่เก็บเอาไว้ในตู้เสื้อผ้าที่ห้องส่วนตัวของเขาแต่ผมแอบหยิบมาอย่างรู้สึกว่าผูกพันกับมัน
“เธอคือ...คนรักคนไทยที่เขาพูดถึงกัน”
ผมพยักหน้ารับ
“ไปอยู่บ้านจิ่นมาใช่ไหม”
ผมพยักหน้าอีก
“รู้จักผู้หญิงในรูปนี่ไหม” แล้วเธอก็ล้วงเข้าไปในหน้าอกแล้วหยิบภาพถ่ายใบหนึ่งยื่นมาให้ผมดู
“เยว่ซิน...” ผมพูดชื่อเด็กสาวในภาพออกมา ถึงจะดูเด็กกว่าตัวจริงมากโข แต่ผมก็จำโครงหน้าได้รูป จมูกเชิดรั้นริมฝีปากบางเฉียบและดวงตาแววหวานคู่นี้ได้
หญิงชรามีสีหน้าอ่อนโยนขึ้น รอยยิ้มบางแสนเศร้า พร้อมกับฝ่ามือเหี่ยวย่นที่ลูบไปยังใบหน้าของคนในภาพอย่างทะนุถนอม “เยว่ซินงั้นเหรอ...”
“คุณรู้จักหรือครับแค่ก”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอหรอก ตอนนี้เธออยู่ในชั้นใต้ดินของห้องคุณชายเล็กฉันจะพาเธอออกไป เครื่องบินส่วนตัวของประมุขเฟยรอพาเธอกลับเมืองไทยอยู่ด้านหลังเพนท์เฮ้าส์ อ้อแล้วอย่าลืมคืนหนังสือเล่มนี้ให้คุณจิ่นตั้งด้วยล่ะ”
หญิงชราปรับโหมดกลับมาเป็นแม่มดใจร้ายดังเดิมก่อนไปหยิบตะเกียงแล้วเข้ามากระชากแขนซ้ายของผมให้ลุกขึ้นพลางยื่นตะกร้าให้ผมถือ
“ในตะกร้าเป็นยารักษาที่เธอจำเป็นต้องมีทานให้ตรงเวลาที่เขียนกำกับไว้ ไม่อย่างนั้นเธอเน่าทั้งตัวแน่”
“คะคุณเฟยหลง...เขา...” จะช่วยผมอย่างนั้นเหรอในเมื่อเขาดูท่าจะรักน้องชาย แล้วน้องของเขาก็อยากฆ่าผมทิ้งเสียเต็มประดา
“เมื่อคุณจิ่นตั้งตัดสินใจช่วยเธอนั่นแสดงว่าเธอก็มีประมุขเฟยคุ้มกะลาหัวแล้ว”
เธอช่วยผมออกมาจริงๆ ไม่ต้องหลบซ่อนหรือวิ่งหนีเหล่าบอดี้การ์ดทั้งหลาย เพียงแค่เดินออกมาทุกคนก็พร้อมจะหลีกทางให้เหมือนมีคำสั่งไว้ก่อนหน้าแล้ว จนมาถึงลานปูนกว้างด้านหลังเพนท์เฮ้าส์ คุณเฟยหลงและคุณจิ่นตั้งได้รออยู่บนเครื่องเรียบร้อยแล้วพร้อมกับบอดี้การ์ดอีกจำนวนหนึ่ง
หญิงชราประคองส่งต่อผมให้บอดี้การ์ดคนหนึ่งเพื่อให้พาผมขึ้นไปบนเครื่องผมมองหญิงตรงหน้าก่อนส่งยิ้มขอบคุณอย่างสุดซึ้ง
“ขอบคุณครับขอบคุณมากจริงๆ” ผมยกมือไหว้เธอหลายต่อหลายครั้งและเพิ่งสังเกตเห็นว่าหลังมือตัวเองเป็นสีน้ำตาลเข้มจากรอยไหม้
“ฉันแค่ทำตามคำสั่ง แต่ถ้าเธออยากจะตอบแทน ไว้มีโอกาสเจอกันอีกครั้งเล่าเรื่องเด็กผู้หญิงในภาพให้ฉันฟังบ้างก็พอ” น้ำเสียงเธอไม่แข็งกระด้างเหมือนก่อนแล้ว ฝ่ามือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบศีรษะผมแผ่วเบา “ไปเถอะ ถ้าสองคนนั้นตื่นจะยุ่งเอา”
ใบหน้ามีอายุพยักหน้าเป็นเชิงให้บอดี้การ์ดพาผมขึ้นเครื่องไปได้แล้ว
สองคนที่ว่าคงหมายถึงคุณเฟยเฟิ่งและ...นายจิ่นสือ...ที่แม้ผมกับหญิงชราขึ้นบันไดจากชั้นใต้ดินมาโผล่ยังห้องนอนที่ทั้งคู่ทอดกายเกาะเกี่ยวกันกลมด้วยร่างเปลือยเปล่า เดินผ่านเตียงมายังประตูออกสู่ด้านนอกทั้งคู่ยังไม่รู้สึกตัวตื่นเลย...
ผมถูกพาขึ้นมาบนเครื่องบินหรูโค้งขอบคุณคนทั้งคู่ ก่อนจะถูกคุณหมอนำตัวไปรักษาที่ส่วนท้ายของเครื่อง
ผมนั่งเอนอยู่บนเบาะนุ่ม เครื่องบินค่อยๆทะยานขึ้นเหนือพื้นดิน ผมมองผ่านกระจกออกไปด้านนอกที่ตอนนี้แสงสีส้มของพระอาทิตย์เริ่มทอแสงส่องสว่างยังเส้นขอบฟ้าต้อนรับเช้าวันใหม่
ประสบการณ์การมาต่างแดนในครั้งนี้ให้อะไรกับผมมากมาย
และคืนสุดท้ายของการอยู่ที่นี่ช่างนานแสนนานเหลือเกิน
ความเจ็บปวด ความโกรธแค้น ความเสียใจคราบน้ำตา...และความรัก...ผมขอละทิ้งทุกอย่างไว้ ณ ที่แห่งนี้ ไม่ขอเก็บมันเป็นของฝากกลับไปด้วย..
ขอแค่ร่างกายและหัวใจกลับไปซ่อมบำรุงรักษาและเยียวยาด้วยตัวเองก็พอ
:'(:'(:'( ขอบคุณครับ{:5_119:} {:5_119:}ขอบคุณครับ{:5_136:} ขอบคุณมากเลยครับ หวังว่าใหญ่คงจะตามมาที่ไทยนะ ทั้งสับสน ทั้งมึนงง โอย เจ็บปวดมาก น่าสงจังเลยครับ ขอบคุณ ขอบคุณมากนะครับ{:5_130:} ขอบคุณครับจบแล้วเหรอครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ สนุกอย่างร้ายกาจมาก เศร้ามากตามต่อ ขอบคุณมากๆเลยครับ ขอบคุณครับ โครตสนุกอะ น่าติดตามต่อ ขอบคุณครับ เสียใจจัง หวังว่ามีเหตผลที่ดีนะ