รักเร่ร่อน...ของคนจรจัด20 bymod-cup
เร่ร่อน20หนึ่งปีผ่านไป
“คนเล็ก!”
ผมหันไปมองตามเสียงเรียก
“แฮ่กมาอยู่นี่เอง” เจ้าของเสียงวิ่งย่ำเหยาะลงบนเนื้อทรายสีขาวละเอียดก่อนหยุดปลายเท้าลงตรงหน้า“พี่ตามหาให้ทั่ว”
พี่ไมล์นั่งลงข้างๆ และทันทีผมก็เอนศีรษะซบไหล่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของพี่ชายคนรอง เอามือจับๆตรงกล้ามเนื้อแขนเล่นพี่ชายใครน้าหุ่นก็ล่ำหน้าก็หล่อ
“ก็...เบื่อ” ตามด้วยถอนหายใจอีกเฮือกให้รู้ว่าเบื่อจริงๆ
“ไอ้คุณจริตนั่นมาตอแยอีกแล้วเหรอ”
“เขาชื่อประกิตต่างหาก”
“ก็นั่นแหละแล้วใช่อย่างที่พี่พูดไหม”
“อืม” ผมพยักหน้า คุณประกิตหรือคุณปรนเป็นลูกชายเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังของจังหวัดชลบุรี และเป็นลูกค้ารายใหญ่ของบริษัท น้ำปลารสเอก จำกัดของพวกเราด้วย
เมื่อห้าเดือนก่อนผมเจอกับคุณปรนจากการไปประชุมเรื่องการจัดโปรโมชั่นของสินค้า และก็นั่นแหละ...ไม่รู้ว่าส่วนไหนของผมไปกระแทกตาเข้าเลยตามจีบผมอย่างออกนอกหน้าประหนึ่งผมเป็นหญิงสาวสวยหยาดเยิ้ม
ได้ข่าวว่าผมเป็นผู้ชายและเขาก็เป็นผู้ชาย ดีนะที่ครอบครัวผมรับรู้เรื่องรสนิยมทางเพศของผมแล้ว ไม่อย่างนั้นคงต้องเป็นลมล้มพับกันแน่ๆที่มีผู้ชายมาตามจีบคนเล็กของบ้าน
“เขาก็ดูจริงใจหน้าตาก็ดี ทำไมถึงไม่ชอบล่ะหืมม”
“พี่อยากให้น้องคบกับเขาเหรอ”
“ก็ไม่อ่ะพี่หมั่นไส้มัน เก๊กหล่อ”
“เขาก็หล่อจริงๆนิ”
“แน๊! แล้วที่นั่งอยู่ตรงนี้หล่อสู้ไม่ได้ตรงไหน” พี่ไมล์ผลักศีรษะผมที่วางบนไหล่อย่างน้อยใจผมเลยใช้สองมือยึดเอาไว้แน่น พลางขืนศีรษะไว้สุดฤทธิ์แล้วพูดจาเอาใจพี่ชายขี้ใจน้อย
“ใครจะมาสู้พี่ชายของผมได้ล่ะคนเนี้ยหล่อที่สุดแล้ว” แล้วพี่ชายบ้ายอจะต้านทานไปไหนได้นอกจากนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างหลงตัวเอง
“เปิดใจบ้างนะคนเล็ก” แล้วยิ้มกว้างของผมก็ค่อยๆหุบลงเรื่อยๆเมื่อน้ำเสียงจริงจังแฝงความห่วงใยอย่างชัดเจนกับฝ่ามือหนาอบอุ่นที่เอื้อมมาลูบศีรษะผมอย่างอาทร “ตั้งแต่เรากลับบ้านมาก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานกับหมกตัวอยู่กับบ้าน หรือไม่ก็มานั่งเหม่อลอยอยู่ที่หาดบอกตามตรงว่าพี่เป็นห่วง ออกไปเที่ยวเล่นเปิดหูเปิดตาใครเข้ามาดูไว้บ้างก็ไม่เสียหาย ถึงพี่จะหวงน้องแต่ก็ไม่อยากให้เกาะคานไปจนตายหรอกนะ”
ถึงท้ายประโยคจะแฝงความหยอกเย้าเอาไว้แต่โดยรวมแล้วมันกลับกระทบความรู้สึกบางอย่างตีตื้นเข้ามาในอกจนต้องกดมันให้ลึกลงไปสุดใจเช่นเดิม
“น้องยังไม่อยากมีแฟนนี่นาอยากอยู่กับพ่อแม่พี่ชายไปอีกนานๆอีกอย่างยังไม่อยากให้พ่ออายที่ควงผู้ชายเข้าบ้าน”
“หึๆ ก็พูดไปเรื่อย ป่ะ กลับบ้านกันดีกว่าหาดจะปิดแล้ว แม่รอกินข้าวเย็นด้วย” พนักพิงจำเป็นของผมลุกพรวดขึ้นก่อนดึงแขนฉุดให้ผมลุกตาม ใช้อีกมือปัดก้นเอาเม็ดทรายที่ติดกางเกงออก แล้วเดินจูงมือกวัดแกว่งกันไปขึ้นรถ พอถึงก็ปล่อยมือแยกกันขึ้นรถคนละคันของใครของมัน
รถเบนซ์สีดำขลับของพี่ไมล์ขับออกไปแล้ว ส่วนผมยังนั่งอยู่ในรถนิสสันมาร์ชสีขาวคันเดิม สองมือที่จับพวงมาลัยปล่อยลู่ลงอย่างคนหมดแรงพร้อมกับแผ่นหลังที่เอนพิงบนเบาะอย่างเหน็ดเหนื่อย
...คิดถึงเขาอีกจนได้...
หลังจากผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายในคืนนั้น ช่วงสายของวันรุ่งขึ้นจิ่นตั้งก็พาผมมาส่งยังคอนโดหลังจากที่คุณเฟยหลงเข้าไปพักในโรงแรมแล้ว
หนึ่งสัปดาห์ต่อจากนั้นผมยังจำได้ถึงความทรมานในห้องสี่เหลี่ยมที่อบอวลไปด้วยความทรงจำของเราสอง หลอกหลอนผมแม้ยามหลับตื่น จะหนีไปก็ไม่ได้เพราะต้องเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อรักษาแผลตามร่างกายของตัวเองให้หายดีก่อน ขืนออกไปทั้งอย่างนี้ชาวบ้านคงตื่นตระหนกกับคนอวดผีที่ตามร่างกายเต็มไปด้วยแผลพุพองและผิวหนังสีน้ำตาลย่นจากรอยไหม้
แล้วตัวคนเดียวอย่างนี้จะไปพึ่งพาใคร บอกที่บ้านก็ไม่ได้อีกสุดท้ายก็ได้ไอ้ปอนด์กับพิณมาคอยดูแล พิณน่ะไม่เท่าไหร่ช่วยดูแลป้อนข้าวป้อนยาปกติ แต่ไอ้ปอนด์นี่สิเจอหน้าผมก็ก่นด่าไปถึงบรรพบุรุษของเขาซ้ำยังจะบอกทางครอบครัวผมให้ได้
ผมต้องขอร้องอ้อนวอนแล้วระเบิดความอัดอั้นอีกรอบพร้อมหลั่งน้ำตามันถึงจะยอม
แล้วหลังจากสภาพร่างกายผมหายดีบวกกับละอายใจเกินกว่าจะกลับเข้าไปทำงานในบริษัทอีก แน่ล่ะ...หายไปร่วมครึ่งเดือน จึงตัดสินใจกลับบ้านที่พึ่งพิงทางใจเดียวของผมเข้าไปกราบเท้าพ่อแม่ กอดพี่ชายทั้งสองแม้ทุกคนจะสงสัยในท่าทีของผม แต่ก็ไม่คาดคั้น มีแต่ความยินดีกับการกลับบ้านของผมในครั้งนี้...ความยินดีที่แผ่ออกมาให้อุ่นซ่านไปทั้งหัวใจ
แล้วผมก็เข้าไปช่วยงานที่บริษัทน้ำปลารสเอก กิจการหลักของครอบครัวใช้ชีวิตเรื่อยๆอย่างเรียบง่าย แม้ในบางช่วงเวลาจะรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจแต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป และต้องดำเนินต่อไปอย่างมีความสุข...ผมบอกตัวเองเช่นนั้น...สักวัน...สักวันผมต้องมีความสุขให้ได้อย่างแท้จริง...
...ถึงแม้เวลาหนึ่งปีที่ผ่านมามันจะยังไม่พอจะเยี่ยวยาก็ตามที...
ไม่ใช่ผมปิดกั้นตัวเอง...แต่จะให้ผมทำเช่นไร เมื่อความรู้สึกผิดมันเกาะกุมหัวใจเมื่อคิดจะเปิดใจให้ใครสักคนเข้ามา...รู้สึกผิดกับคนที่มีใจเมื่อข้างในผมยังมีใครอีกคนจับจองอยู่ทั่วทุกตารางพื้นที่...รู้สึกผิดกับเขาคนนั้นถ้าผมจะรับใครเข้ามาแทนที่...เพราะแม้เขาจะทำเลวกับผมแต่สิ่งดีๆก็มีก็มากมายเช่นกัน
ถึงจะคอยเตือนว่าเรื่องระหว่างเรามันจบไปแล้ว...จบไปนานแล้ว...แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าลึกๆในใจผมยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นของเขาอยู่เช่นเดิม...
...ผมมันน่าโง่จริงๆ
นั่งนิ่งรวบรวมแรงใจอยู่สักระยะผมจึงติดเครื่องยนต์หมุนควงพวงมาลัยเพื่อกลับบ้าน
เมื่อก้าวขาเข้ามาในบ้านบรรยากาศอบอุ่นก็โอบล้อมรอบตัวผมให้ความอึดอัดในใจคลายตัวลง ผมสามารถยิ้มได้ หัวเราะได้ มีชีวิตที่ดีต่อไปได้ก็เพราะพวกเขา...ครอบครัวของผม
เป็นเช้าอีกวันที่ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงข้อความบอกอรุณสวัสดิ์และแจกันดอกไม้บนโต๊ะทำงาน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าบุคคลที่ส่งมาก็คือคนเดียวกับเจ้าของข้อความหวานเลี่ยน...คุณปรณ
ผมถอนหายใจพลางนั่งลงบนเก้าอี้ สองมือเอื้อมไปเตรียมจะย้ายแจกันดอกไม้ไปไว้มุมโต๊ะเพื่อให้ทำงานได้สะดวก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อดอกไม้ในวันนี้แปลกตาไป
ทุกวันจะเป็นดอกกุหลาบ ลิลลี่ สีขาว ชมพู สลับกันไป แต่วันนี้เป็นดอก...forget me not สีม่วง...และภาชนะที่ใส่ก็ไม่ใช่แจกันอย่างทุกที ถ้าสังเกตดีๆมันคือกระถางเซรามิกสีขาวเพ้นท์ลาย ด้านในเป็นดินวิทยาศาสตร์สีชมพูหล่อเลี้ยงต้น forget me not ให้เจริญเติบโต
ตึกตัก ตึกตัก
ไม่รู้ทำไมเมื่อจ้องมองหัวใจถึงได้เต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็น
บ้าสิ!เพ้อเจ้อกันไปใหญ่แล้ว!
เลิกฟุ้งซ่านบ้าบอแล้วทำงานซะ!!
แต่ก็ไม่รู้ทำไมตลอดทั้งวันสายตาผมถึงได้เอาแต่เหลือบมองช่อดอกสีม่วงอยู่เสมอ แถมเลิกงานตอนกลับบ้านยังหอบหิ้วมาด้วยทั้งที่ทุกครั้งจะเก็บเข้าไว้ในตู้กระจกของห้องทำงาน
คงเพราะความมีชีวิตของมันที่ทำให้ผมทิ้งขว้างไม่ลง
เมื่อเลี้ยวรถเข้ามาจอดในรั้วบ้านก็ต้องแปลกใจกับรถจิ๊บล้อโตคันสีขาวที่จอดอยู่ ใครมานะ?? เพราะส่วนมากบ้านผมมักไม่ค่อยมีแขกมาในเวลาเลิกงานสักเท่าไร
“แม่ครับใครมาเหรอ”
“แขกของพ่อน่ะจ้ะพอดีพ่อเขาเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย”
“แล้วพ่อเป็นอะไรมากไหมครับ!!” ผมถามอย่างตกใจเพราะโดยปกติพ่อเป็นคนขับรถระมัดระวังไม่เคยเหยียบคันเร่งเกินแปดสิบ ไม่ฝ่าไฟแดง ไม่แซงซ้ายมีความเสี่ยงน้อยมากที่จะเกิดอุบัติเหตุ ถ้าเป็นพี่เมตรพี่ไมล์ก็ว่าไปอย่างสองคนนั้นทำตรงข้ามทุกอย่างที่กล่าวมา
“ใจเย็นๆพ่อเขาไม่เป็นอะไรหรอก แต่คู่กรณีนี่สิ...” แม่ถอนหายใจหนึ่งเฮือก “หมาเขาวิ่งตัดหน้ารถพ่อเรา ตอนนี้พาไปหาหมอมาแล้ว พอดีเขาเป็นชาวต่างชาติมาเที่ยวน่ะลูกเลยพามาพักที่บ้านเราก่อน”
“แล้วหมาเป็นอะไรมากไหมครับ”
“เห็นว่าขาหน้าหักต้องใส่เฝือกอ่อนแต่โดยรวมก็ปลอดภัยดี”
เฮ้อ โล่ง ไม่รู้สิคงเพราะผมเคยเลี้ยงสุนัขด้วยมั้งเลยอ่อนไหวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ
“งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะเหนียวตัวมากเลย”
“จ้ะเดี๋ยวลงมาทานข้าวเย็นกัน”
“ครับแม่ขอหอมที” ผมชะโงกหน้าเข้าไปหอมแก้มนิ่มของมารดาฟอดใหญ่ก่อนขึ้นมาบนห้อง
ผมเดินเอากระถางต้นไม้น้อยๆมาวางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง หลังจากนั้นก็เข้าไปอาบน้ำคลายความเมื่อยล้า ออกมาเลือกเสื้อผ้าที่ดูสุภาพสวมใส่ แน่ล่ะ วันนี้ที่บ้านมีแขกจะให้ใส่เสื้อยืดย้วยๆกับกางเกงขาก๊วยก็กระไรอยู่ เกรงใจแขกพ่อนิดนึงเนอะ
“อ้าว พี่เมตรไม่กินข้าวเหรอครับ” ผมหยุดถามพี่ชายคนโตที่เดินสวนขึ้นบันไดมา อีกฝ่ายส่งยิ้มบางพลางส่ายหน้าด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนพร้อมกับยกมือขยี้หัวผมทักทายและเดินขึ้นห้องไป
สงสัยวันนี้งานจะหนัก
หงิง หงิง
สองขาที่กำลังจะก้าวผ่านห้องนั่งเล่นไปยังห้องอาหารหยุดชะงักลงเมื่อได้ยินเสียงประหลาดแว่วเข้าหู สายตามองเข้าไปในห้องก็ไม่เห็นมีอะไรสงสัยหูจะฝาด
แต่แค่ขยับปลายเท้ายังไม่ทันพ้นก้าว
หงิง
ไม่ฝาดแล้วล่ะ! ของจริงเลย!เสียงสุนัขอยู่ในห้องนั่งเล่น!
ผมตัดสินใจเบนทิศทางจากเดิมเปลี่ยนเป็นเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นก่อนจะพบสุนัขตัวโตนอนอยู่บนโซฟา ขาหน้าข้างซ้ายมีสิ่งแปลกปลอมสีขาวพันอยู่คาดว่าน่าจะเป็นเฝือกตามคำบอกเล่าของแม่
ที่แท้ก็สุนัขของแขกพ่อนี่เอง
ผมทรุดตัวลงนั่งยองข้างโซฟาพร้อมกับส่งมือเข้าไปลูบลำตัวเจ้าตัวโตที่นอนนิ่งส่งเสียงครางหงิงๆ โถคงเจ็บน่าดู...ขนสีดำเงางามลื่นมือบ่งบอกว่าเจ้าของคงดูแลอย่างดี ผมระบายยิ้มออกมาเมื่อเจ้าหมาตัวนี้พานให้คิดไปถึงเจ้าตี๋น้อยของผม มันก็ตัวใหญ่มีขนสีดำแบบนี้เหมือนกัน จะต่างกันก็ตรงสุนัขตัวนี้ไม่มีขนสีขาวรอบดวงตาเป็นเจ้าตาแต้ม
หงิง
มะไม่สิ!! มือไม้ผมสั่นขึ้นมาทันทีเมื่อเจ้าตัวที่นอนนิ่งอยู่ในคราแรกลืมตาขึ้น พร้อมส่งเสียงหงิงเหมือนทักทายปนออดอ้อน ลำตัวที่นอนตะแคงข้างพลิกหงายชูสี่ขาขึ้นด้านบนเผยให้เห็นอีกเสี้ยวหน้าที่ซ่อนอยู่ในฟูกของโซฟา
ตาแต้มสีขาวที่คุ้นตาทำให้ขาผมอ่อนแรงจนทรุดลงไปนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นพรมสองตาเบิกมองกว้างอย่างตกใจ
หงิง
มันส่งเสียงอีกครั้งพร้อมใช้ดวงตากลมใสจ้องมองขณะที่หางกระดิกฟาดกับโซฟาส่งเสียงเป็นจังหวะ
ตุบ ตุบ
ผมเม้มปากแน่น มือสั่นระริกเผลอขยุ้มขนนุ่มมืออย่างไม่รู้ตัว ความรู้สึกหลากหลายปะทุเข้ามาในจิตใจไม่...ใจเย็นๆคนเล็ก สุนัขอาจจะมีลายซ้ำกันก็ได้เหมือนชิสุ โกลเด้นฯ หรือแม้แต่หมาวัดก็ยังเหมือนๆกันเลยอย่าคิด อย่าตกใจ
สะกดจิตให้สติตัวเองกลับมาแล้วสูดหายใจเข้าลึกหลายๆที มองไปทางเจ้าหมาเจ็บด้วยสายตาอ่อนลง คลายแรงมือที่ขยุ้มขนเปลี่ยนเป็นลูบปลอบเบาๆอย่างสำนึกผิด
“ขอโทษน้าเจ็บไหม พี่นี่แย่เนอะ”
“หงิง” ฮ่าๆมันตอบผมด้วยล่ะ มันฟังผมรู้เรื่องใช่ไหม
“คนเล็กทานข้าวลูก”
“ครับแม่”ผมขานรับเสียงที่ดังมาทางหน้าห้องนั่งเล่นลูบหัวเจ้าหมาเจ็บสองทีเบาๆก่อนลุกเดินมายังห้องอาหาร
ห้องอาหารวันนี้ก็มีพ่อนั่งตำแหน่งหัวโต๊ะเช่นทุกวัน ถัดไปทางด้านขวาเป็นพี่ไมล์ตรงข้ามกันเป็นแม่และถัดมาจากแม่ ผู้ชายตัวใหญ่ที่นั่งหันหลังอยู่คงเป็นแขกของพ่อ
“อ้าว คนเล็กนั่งสิลูก”
“ครับ” ผมยิ้มแหยๆเมื่อรู้ตัวว่าเสียมารยาทยืนค้ำหัวแขก จึงเดินอ้อมไปอีกด้านของโต๊ะเพื่อนั่งเก้าอี้ข้างพี่ไมล์ ความจริงเก้าอี้ตัวนี้เป็นที่ประจำของพี่เมตร แต่วันนี้คุณพี่ท่านงดข้าวเย็นผมเลยจัดการยึดชั่วคราวซะเลย
ครืด
กึก
โครม!
สองมือที่กำลังยกเก้าอี้ลากออกมาพลันอ่อนแรงหลุดมือตามมาด้วยเสียงโครมของเก้าอี้ที่ล้มหงายตึงลงไป แต่ตอนนี้สมองผมไม่รับรู้สิ่งรอบตัว หูอื้ออึงอย่างไม่สามารถมีเสียงอันใดสะท้อนเข้ามาได้ เหมือนจู่ๆลูกกระเดือกก็ขยายใหญ่อุดตันหลอดลมจนจะพูดก็ลำบากหายใจก็ไม่สะดวก จะมีก็เพียงดวงตาทั้งสองข้างที่ทำงานดีเยี่ยมถึงมองเห็นใบหน้าคมคร้ามสันกรามได้รูปของแขกของพ่อได้ชัดเจนนัก
...ใบหน้าเดียวกับที่ประทับอยู่ในหัวใจผมตลอดมา...
“คนเล็กเป็นอะไรลูก” เสียงของแม่เรียกให้ผมรู้สึกตัวก่อนกระพริบตาเพื่อให้มั่นใจว่าผมไม่ได้มองผิดไป
...ใช่ ‘เขา’ จริงๆ...
“ขะขอโทษครับ ผะผมซุ่มซ่ามไป” ว่าแล้วก็รีบก้มลงจัดการกับเก้าอี้ แต่มื้อไม้ก็สั่นเกินกว่าจะยกมันตั้งขึ้นมาได้ สุดท้ายก็ทำมันหลุดมือให้ส่งเสียงโครมครามอย่างไม่น่าฟัง
“มาพี่ช่วยเป็นอะไรน่ะเรา” สุดท้ายพี่ไมล์ก็มาช่วยแล้วจับไหล่ผมทั้งสองข้างเพื่อช่วยประคองให้นั่งลงบนเก้าอี้...ตรงข้ามกับเขา
“นะน้องไม่เป็นไร” ผมบอกปัดเมื่อพี่ไมล์เริ่มเข้ามาลูบหน้าลูบตาอังหน้าผากเสมือนผมเป็นไข้จนพ่อต้องตัดบทนั่นแหละถึงจะยอมหยุด
“พอแล้วสองพี่น้องนี่ พ่อมีแขกอยู่อย่าเสียมารยาทสิ”
“แหะๆขอโทษครับ เออนี่...เดี๋ยวพี่แนะนำแขกพ่อให้รู้จักคุณตี๋ใหญ่เป็นคนฮ่องกง ฮ่าๆตลกเนอะมันต้องชื่อจีนๆไม่ใช่เหรอ ทำไมชื่อตี๋ใหญ่ ฮ่าๆ”
“ไมล์”
“อุ้ย ขอโทษครับ แต่ผมสงสัยจริงๆนี่” พี่ไมล์หันไปขอโทษบุคคลที่กล่าวอ้างว่าตัวเองชื่อตี๋ใหญ่ ขณะที่ผมยังจ้องหน้าเขาอย่างเหม่อลอยผมอยากจะหลบสายตาลุกไปให้ไกลจากตรงนี้หรือไม่ก็ตะโกนด่าให้สาสมกับที่โดนกระทำ แต่ไม่...ไม่เลย...ผมไม่อาจละสายตาตัวเองไปจากใบหน้าเขาได้เช่นเดียวกับหัวใจที่ไม่อาจห้ามความคิดถึงที่ล้นทะลักออกมา
...ผมยังคิดถึงเขายังรักเขา ไม่น้อยไปกว่าเดิมเลย...
“ผมชื่อตี๋ใหญ่ครับ...คนสำคัญผมเป็นคนตั้งให้” สายตาคมนิ่งเรียบแฝงประกายมองสบตาอย่างสื่อความหมาย ผมหลบสายตาวูบสองมือกำแน่นอย่างไม่อยากรู้สึกอะไรกับดวงตาคู่คมอีก...ไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้ว ถ้ามากกว่านี้...ผมคงต้องเจียนตายจริงๆ “ส่วนชื่อเดิมที่เป็นชื่อจีน ผมจำมันไม่ได้แล้วล่ะครับ”
“คุณตี๋ใหญ่เขาเพิ่งได้สัญชาติไทยมาน่ะเห็นว่าจะย้ายมาอยู่ประเทศไทยถาวร”
โกหก
เผาะ!
“โหที่แท้ก็ย้ายตามสาวมานี่เอง”
ผมอยู่ไม่ได้...อยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้วผมห้ามน้ำตา...ความเจ็บปวด...ความสับสน...ไม่ไหวแล้ว...ทนไม่ได้แม้สักวินาทีเดียว
ครืด
“ผะผมขอตัวก่อนนะครับเหมือนไม่ค่อยสบาย” ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้และวิ่งออกจากห้องอาหารอย่างไม่สนใจอะไรอีก
“อ้าวไม่ทานข้าวก่อนเหรอลูก”
รู้เพียงแต่ว่า...
“เป็นอะไรของเขากัน”
ถ้าอยู่ตรงนี้อีกเพียงแค่เสี้ยววินาที...
“หรือว่าไอ้คุณปรณมันทำอะไรคนเล็ก!!”
อีกแค่นิดเดียว...
“เหลวไหลน่าตาไมล์”
...ผมคงไม่อาจเข้มแข็งฝืนทนความเจ็บปวดกดเก็บความรวดร้าว ต่อต้านความคิดถึงได้อย่างแน่นอน...ผมไม่อยากให้เขาเห็นความอ่อนแอ...
และที่สำคัญผมไม่อยากให้เขารู้...ว่ายังรักเขาอยู่
ไม่ว่าเขาจะมาปรากฏตัวด้วยจุดประสงค์อันใด...ความบังเอิญหรือตั้งใจ...สุดท้ายทางของเราสองคนก็ไม่อาจมาบรรจบกันได้อีก
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ยกมือขึ้นกุมขมับเพราะรู้สึกปวดหัวจี๊ดหนังตาหนักอึ้งจนแทบลืมไม่ขึ้น ความมืดที่ปกคลุมไม่เป็นผล...ผมยังรู้สึกแสบตาเช่นเดิม
คงเป็นผลจากการร้องไห้อย่างหนักเมื่อช่วงหัวค่ำ
ผมพยุงร่างกายตัวเองลุกขึ้นนั่งร่างกายรู้สึกอ่อนแรง...ไม่ ผมต้องเข้มแข็ง
ในเมื่อมันไม่ใช่ความฝันอย่างที่ภาวนาให้เป็นผมก็ต้องอยู่กับความเป็นจริงได้อย่างแข็งแกร่งที่สุด
เพราะฉะนั้นถึงจะไม่รู้สึกหิวเลยสักนิดแต่ผมก็ประคองตัวเองลงไปในครัวเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำเปล่าและนมจืดดื่ม
หมับ
“อ๊ะ!” แก้วนมหลุดมือผลจากความตกใจที่ถูกคุกคามจากกอดทางด้านหลัง แต่มือปริศนาก็รับมันไว้ได้ทันก่อนจะตกแตกบนพื้นแล้วจัดการวางไว้บนเคาน์เตอร์ครัวโดยที่แรงกอดรัดยังไม่คลายลง
ส่วนผมเมื่อรู้สึกตัวได้ก็ดิ้นสุดแรงแต่ขนาดตัวเท่าลูกแมวหรือจะไปสู้คนตัวเท่ายักษ์ได้
“ปล่อย!! อ๊ะ” ผมเบี่ยงหน้าหลบเมื่อปลายจมูกอีกฝ่ายจรดลงบนลำคอลมหายใจร้อนผ่าวรินรดเรียกให้ผมดิ้นรนหนีจากการคุกคามมากขึ้น
“คุณเล็ก...” เสียงทุ้มต่ำส่งเสียงผะแผ่วโหยหาปลายจมูกหยุดรุกไล่คุกคามแต่ยังกดแช่ทิ้งไว้ให้สัมผัสได้ถึงลมหายใจกรุ่นไออุ่น
ลมร้อนที่ทำให้ผมหยุดดิ้น สองมือที่พยายามปัดป่ายจิกแน่นลงบนข้อมือหนาที่โอบรัดช่วงเอว ตัวผมสั่นสะท้านเมื่อรู้สึกถึงบางอย่างที่กำลังจะพังทลายลง
“...ผมคิดถึงคุณ” ผมถูกจับตัวหมุนหันหน้าเอาหาอีกฝ่าย เสี้ยววินาทีต่อมาใบหน้าในแสงสลัวก็โน้มลงมาแนบชิด สายตาที่ห่างเพียงปลายจมูกกั้นจ้องมองมาอย่างลึกซึ้งโหยหา ยามที่หัวใจผมโยกคลอนคำเอ่ยเอื้อนก็เปล่งออกมาจากริมฝีปากหยักลึกที่เสียดสีกันผะแผ่วตอกย้ำให้หัวใจผมเพิ่มเป็นสั่นไหวอย่างรุนแรง “...คิดถึงที่สุด”
จุ๊บ
จากนั้นริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบลงมาอย่างหนักหน่วงทว่านุ่มนวล บดขยี้เค้นคลึงตักตวงความหอมหวานจากผมไปอย่างไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด ลิ้นร้อนสอดแทรกแหวกกลีบปากเข้ามาเกาะเกี่ยวสอดรัดเข้ากับลิ้นหยุ่นของผมให้ความรู้สึกกำซ่านทั่วโพรงปากลามแผ่ไปทั่วสรรพางค์กายพร้อมกับกวาดต้อนน้ำบ่อน้อยกอบโกยเข้าชิมรสอย่างไม่รู้จักพอ
ขณะเดียวกันผมก็ได้แต่ยืนนิ่งรับสัมผัส ไม่โต้ตอบ ไม่ผลักไสหรือแม้แต่ห้ามปรามฝ่ามือร้อนที่เริ่มคุกคามไปตามร่างกาย ทำได้เพียงใช้นัยน์ตามองเปลือกตาสีเข้มเบลอเบือนที่ปิดสนิทเนื่องจากเคลิบเคลิ้มกับสัมผัสวาบหวาม อีกทั้งน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้แต่สุดท้ายก็ยังคลอหน่วงรอบหน่วยตายิ่งทำให้ภาพตรงหน้าไม่ชัดเจน
เขาจะรู้บ้างไหมนะว่าสัมผัสของเขาทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมากเช่นไร...จูบของเขาเสมือนยาพิษที่ถึงแม้รสชาติปรับให้หอมหวานนุ่มลิ้นแต่สุดท้ายก็พรากลมหายใจไปอย่างช้าๆ...ฝ่ามือที่ลูบไล้เปรียบดังมีดปลายแหลมคมกรีดลึกลงบนเนื้อหนังให้เจ็บแสบทรมานไปทั่วร่างกาย
ผ่านไปนานแสนนานความขมขื่นแสนวาบหวามก็จบลง
“คุณเล็ก...” ใบหน้าคมถอนออกพร้อมกับเปลือกตาเปิดปรือขึ้น ฝ่ามือที่ประคองท้ายทอยเลื่อนขึ้นมากอบกุมใบหน้าพลางใช้ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยหยาดน้ำตาบนผิวแก้มให้อย่างอ่อนโยน
“ผม...”
“พอใจหรือยัง”
“...”
“ถ้าพอใจแล้วก็ไปสักทีกลับที่ของนายไปได้แล้ว!!”ผมพูดเสียงเรียบเย็นชาไม่ได้ตวาดหรือตะคอกแต่อย่างใด
เขารั้งผมเข้าไปกอดแน่นอีกครั้ง
“ผมจะไม่ไปไหนอีกแล้วที่ของผมคือข้างๆคุณ ผมขอโทษ ขอโทษสำหรับทุกสิ่ง คุณฟังผมอธิบายก่อนนะ...”
“ถามฉันสักคำหรือยังว่าฉันต้องการหรือเปล่า” ผมพูดแทรก ซึ่งก็เพียงพอให้เขาหยุดเสียงลง ผมจึงออกแรงดันแผ่นอกกว้างซึ่งคราวนี้เขาก็ยอมปล่อยแต่โดยดี
“ฉันไม่ได้ต้องการนายแล้ว...คุณจิ่นสือ” จบคำผมก็ดันเขาออกให้พ้นทางแล้วเดินจากมา
“ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าคุณจะเลิกรักผมแล้ว”
ปลายเท้าผมชะงักลงแต่ก็ไม่คิดจะหันหลังกลับไป
“รักงั้นเหรอ มันไม่ได้สำคัญอะไรอีกแล้วล่ะ” ผมกลืนก้อนสะอื้นลงคอพร้อมกับเค้นเสียงที่ตรงกับหัวใจผมออกมา “เพราะมันลบล้างกันไม่ได้เลยกับการทรยศหักหลัง”
ใช่แล้วล่ะ...ต่อให้ผมรักเขามากมายแค่ไหน เราก็กลับมาคบกันไม่ได้อยู่ดี...เพราะผมคงเชื่อใจเขาไม่ได้อีกต่อไป แล้วการอยู่อย่างหวาดระแวงมันจะมีความสุขได้เช่นไร
แม้แต่ประโยคที่ว่าเขาจะกลับมาอยู่ข้างๆกันผมยังไม่ปักใจเชื่อเลย...ผมไม่มีทางเชื่อว่าเขาจะทิ้ง ‘คนๆนั้น’ เพื่อมาหาผมได้
มันก็คงเหมือนกับทุกครั้งที่สุดท้ายแล้วคนโดนทิ้งก็คือผมอยู่ดี...
คิดว่าคำพูดของผมเมื่อคืนมันจะทำให้เขาถอดใจหรือเปล่า...ขอตอบเลยว่าไม่ เพราะเช้ามากลิ่นหอมของอาหารยังลอยโชยมาพร้อมกับประโยคแสนชื่นชมของแม่
“เช้านี้เกี๊ยวกุ้งเต้าหู้ไข่ฝีมือคุณตี๋ใหญ่เขาอร่อยมากเลยนะลูก พ่อกับแม่ลองชิมมาแล้ว”
ผมมองชามเกี๊ยวตรงหน้าก่อนมองเลยไปยังอีกคนที่ส่งยิ้มบางตอบกลับมา จึงตัดสินใจคว้ากระเป๋าเอกสารแทนการหย่อนก้นลงบนเก้าอี้เหมือนอย่างเช่นทุกเช้า
“ผมไปทำงานก่อนนะครับแม่พอดีวันนี้มีประชุมกับฝ่ายศิลป์”
“อ้าวไม่ทานอาหารเช้าก่อนล่ะลูก”
“ไม่ล่ะครับผมกินไม่ลง”
แล้วผมก็เดินออกมาเลยไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าอีกคนแต่หางตาก็เผลอมองเห็นสีหน้าผิดหวังได้อย่างชัดเจนมันยังคงซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้านิ่งเรียบเช่นเดิม จึงขัดใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่ยังอุตส่าห์มองออกอีก
โฮ่ง
แต่แล้วก็ต้องระบายยิ้มออกมาเมื่อข้างรถนิสสันมาร์ชของผมมีเจ้าหมาขาหักนั่งหูตั้งรออยู่
ผมเดินเข้าไปทรุดตัวนั่งยองลงตรงหน้ายื่นมือออกไปและแทบจะทันทีเจ้าตี๋น้อยก็ยกขาข้างที่หักขึ้นมาวางบนฝ่ามือ
“คิดถึงจังเลย~” แล้วฉลาดอย่างเจ้าตี๋น้อยน่ะหรือถึงจะฟังไม่ออก มันจัดการกระโดดโถมเข้ามาในอ้อมกอดผมพร้อมทั้งส่งลิ้นสากมาเลียใบหน้าจนแฉะน้ำลายไปหมด
“โอ๊ยพอๆพี่เลอะหมดแล้ว ฮ่าๆ ไม่เอาๆเดี๋ยวโดนขาเดี้ยงกว่าเดิมนะ” ปล้ำเล่นกันอยู่พักหนึ่งจนผมล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปนั่งแผ่กับพื้นนั่นแหละมันถึงจะยอมหยุด
ผมก้มลงจุ๊บเหม่งเมื่อมันยอมสงบเสงี่ยมนอนหมอบลงไปก่อนให้รางวัลด้วยการใช้สองมือประคองให้หน้ามันแหงนขึ้นมาแล้วจุ๊บลงบนปลายจมูกสีดำ
“อยู่กับพี่ด้วยกันที่นี่ไหม ไม่อยากให้กลับไปเลย” พูดพลางลูบหัวมันอย่างเอ็นดู เพิ่งเจอกันได้แค่วันเดียวก็ต้องจากกันอีกแล้ว หนึ่งปีที่ผ่านมาผมคิดถึงมันมากเลยนะ แค่คิดว่ากลับมาจากทำงานจะไม่ได้เห็นมันอีกผมก็ใจหวิวๆแล้ว“หึ ไม่อยู่ด้วยกันก็ไม่ต้องมาอ้อนเลย”
ก็มันเล่นเอาหัวมาดันๆถูๆขาก่อนนอนหงายท้องพลิกตัวไปมาซ้ายขวาแล้วทำเหลือบตาเหลือกมองมาอ้อนๆชิ ยังจะมีเสียงคราหงิงด้วยนะ
ฉลาดไม่มีใครเกินเลยเจ้าตี๋น้อยผมเนี่ย!!
“ท่าทางมันจะชอบน้องนะ กับพี่มันโคตรหยิ่งเลย” ผมหันไปตามเสียงก็เจอเข้ากับพี่ไมล์ในชุดออกกำลังกายยืนเท้าเอวมองไปยังเจ้าตี๋น้อยอย่างหมั่นไส้
“พี่หน้าตาไม่ดีล่ะสิ”
“โห ช่างกล้าแต่พี่หมั่นมันจริงๆนะ เมื่อเช้าลูบหัวเล่นหน่อยทำเป็นสะบัดหนีทีกับน้องล่ะอ้อนเอาๆอย่างกับเป็นเจ้าของมันอีกคนแน่ะ”
อึก พูดเหมือนมีตาทิพย์
“สงสัยมันถูกชะตากับน้องมั้ง เอ่อ ผมไปทำงานดีกว่าแล้ววันนี้พี่ไม่เข้าบริษัทหรือ” ผมเปลี่ยนเรื่องพลางลุกขึ้นยืนจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่
“เข้าช่วงบ่ายพอดีเดี๋ยวพี่ต้องเข้ากรุงเทพฯไปส่งคุณตี๋ใหญ่ขึ้นเครื่อง”
กึก
“เขาจะกลับวันนี้แล้วเหรอครับ”
“น่าจะนะพ่อว่ามาอย่างนั้น”
ผมนิ่งไปก่อนค่อยๆก้มลงไปมองเจ้าตี๋น้อยตรงหน้าย่อตัวลงแล้วใช้อ้อมแขนกอดมันไว้แน่นพลางซุกใบหน้าเข้าหาขนสีดำขลับ
“ฮึกกอดลานะตี๋น้อย”
“หงิง”ซ่า~ซ่า~
สายลมโบกพัดลู่ใบหน้าหอบเอากลิ่นอายของน้ำทะเลโชยเข้าจมูกพร้อมกับพัดพาเอาเกลียวคลื่นสาดซัดเข้าหาฝั่งจนเกิดฟองสีขาวล้อกับหาดทรายเนื้อนวลละเอียดตาบรรยากาศที่ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้น
ยิ่งช่วงนี้มรสุมเข้านักท่องเที่ยวจึงบางตาลงเลยได้ความเงียบสงบอย่างใจต้องการ...
แม้จะเป็นคนไล่ให้เขาไป แม้จะบอกว่าเราไม่สามารถเดินไปด้วยกันได้ แม้จะเป็นคนที่ทรยศหักหลังกันอย่างเลือดเย็นแต่สุดท้ายก็อดจะวูบโหวงในใจไม่ได้
หลังเลิกงานก็เหมือนเช่นเกือบทุกวันที่จะมานั่งปล่อยใจลงทะเล ต่างกันที่ทุกทีผมจะหนีความวุ่นวายไปหาดนางรำหาดทรายสีขาวเนียนละเอียดตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าครามสดใส รอบเกาะมีโขดหินสีน้ำตาลเข้มจัดวางตามเป็นแนวอย่างที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ไว้กลมกลืนกับประติมากรรมรูปปั้นพระอภัยมณีกับนางผีเสื้อสมุทรอันเป็นเอกลักษณ์ของหาด
แต่วันนี้ผมมายังหาดพลาที่ถึงแม้น้ำทะเลจะสีสวยสู้หาดนางรำไม่ได้ เนื้อทรายไม่ขาวละเอียดเท่าซ้ำยังมีแนวปูนสูงเกือบสองเมตรกั้นชายหาดเอาไว้ แต่อย่างน้อยหาดก็ไม่ได้ปิดตอนหกโมงเย็นสามารถให้ผมนั่งอยู่ตรงนี้จนถึงเมื่อไหร่ก็ได้อย่างใจต้องการ
ผมก็เชื่อว่า...หาดทุกหาดมีมนต์ขลังของมันอยู่..
อย่างเช่นเวลานี้ผมนั่งมองพระอาทิตย์สีส้มกำลังจะจมหายลงในทะเล แต่ยามจะลาลับก็ยังทอแสงสีทองลงบนผืนน้ำสีดำให้เกิดประกายวิบวับดั่งดวงดาวนับล้านจากฟากฟ้าเต้นระบำปล่อยแสงระยิบระยับแข่งกัน
ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ
ผมหลุดจากความคิดเมื่อเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น
“ครับแม่”
“อยู่ไหนน่ะเล็ก มืดแล้วนะลูกยังไม่กลับบ้านอีก”
“ผมอยู่หาดพลาน่ะครับ”
“ถึงว่าตาไมล์ไปหาที่หาดนางรำไม่เจอ ทำไมวันนี้ไปไกลจังลูกทุกคนรอทานข้าวอยู่นะ”
“ทานกันได้เลยไม่ต้องรอครับ เล็กว่าวันนี้จะนอนค้างที่หาดคงไม่กลับบ้าน”เสียงแม่เงียบไปสักพักหนึ่งก่อนเอ่ยเอื้อนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอาทร
“ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่าลูก”
“ผมแค่อยากนอนฟังเสียงคลื่นน่ะครับแม่ ไม่ต้องห่วงนะครับ รักแม่นะพรุ่งนี้เจอกันครับ”
วางสายจากแม่ไปแล้วผมก็นั่งทอดสายตาไปยังผืนน้ำทะเลสีดำกับฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่งไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนจากเย็นย่ำเป็นหัวค่ำมืดสลัวและ ณ ตอนนี้ มืดมิดเงียบสงัด...ทุกสิ่งอย่างถูกความมืดปกคลุมมีเพียงแสงจันทร์เรืองรองสะท้อนให้เห็นรูปทรงเรือนราง โชคดีที่ท้องฟ้าเปิดโล่งไร้เมฆบดบังจึงได้เห็นกลุ่มดวงดาวพราวระยับแข่งกับผิวน้ำดั่งภาพสะท้อนของกันและกัน
“เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกครับ”
ขวับ
ผมหันไปตามเสียงของคนที่คิดว่าบินกลับไปฮ่องกงแล้ว แต่ ณ ตอนนี้เขายืนอยู่ตรงหน้าผมในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นอย่างที่สมัยก่อนเขาชอบใส่...สวมทับด้วยเสื้อแจ๊คเก็ตสีแดงตัวคุ้นตา...ตัวที่ผมซื้อให้
ฟึ่บ!
ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินหนีทันทีแต่ก็ช้ากว่าอีกคนที่เข้ามาคว้าต้นแขนเอาไว้
“ไหนว่ากลับไปแล้วไง!!” ผมสะบัดมือหันหน้ามาตวาดสุดเสียง
“จะให้ผมไปไหนก็หัวใจผมอยู่นี่!!”
“ไปตายซะไป!”
ไม่ได้คิดเช่นนั้นแต่ปากมันไปเองเหมือนเป็นปฏิกิริยาตอบโต้อัตโนมัติเพื่อปกป้องหัวใจตัวเองจากประโยคกลลวงที่อีกฝ่ายสร้างขึ้น
...เมื่อก่อนเคยบอกรักที่ไหนกัน...
“ผมรู้ว่าผมเลว แต่ช่วยฟังกันหน่อยได้ไหม”
“ไม่ฟัง!!! ไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น! ไม่ฟังๆ” สองมือยกขึ้นปิดหูแน่นพลางนั่งคู้ทิ้งตัวลงบนปลายเท้าศีรษะส่ายไปมาอย่างไม่อยากรับรู้อะไรอีก
“เล็ก...คุณเล็ก!!”
เพี้ยะ ปั่ก ตุบ
ผมยกมือขึ้นปัดป่ายกันไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใกล้
“...!!” สุดท้ายเขาก็ยอมล่าถอยออกไป ร่างกายสูงใหญ่ยืนนิ่งใช้สองตาจ้องผมอย่างผิดหวังเสียใจแต่เชื่อเถอะไม่เท่ากับที่ผมเคยรู้สึกหรอก ก่อนจะทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงคือ...ค่อยๆเดินถอยหลังห่างออกไป...โดยทิศทางนั้นเป็นทะเลแสนมืดมิดและน่ากลัว
ช่วงขายาวค่อยๆก้าวถอยหลัง...ทีละก้าว...ทีละก้าว โดยตลอดเวลานัยน์ตาคู่คมยังจ้องมองมาที่ผมอย่างไม่ละสายตาระยะห่างของเราสองไกลห่างกันเรื่อยๆ จนกระทั่งเท้าทั้งสองข้างของเขาสัมผัสกับระลอกคลื่นร่างกายผมก็ผวาเฮือกจะกระโจนไปหา...
....แต่ก็หยุดตัวเองลง...มันเป็นแค่แผน...เป็นแค่เล่ห์กลให้ผมหลงไปติดกับ...เขาไม่คิดจะตายจริงๆหรอก...ก็แค่อยากให้ผมใจอ่อนก็เท่านั้น...
ซ่า!~ ซ่า!~
เสียงคลื่นไม่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายอีกต่อไปแล้ว ตรงข้าม...มันกลับเหมือนปีศาจร้ายที่พร้อมกลืนกินทุกสรรพสิ่งให้หายไปในความมืดมิดอันน่ากลัว...ความรู้สึกร้อนรุ่มกระสับกระส่ายเกิดขึ้นกับตัวผมจนไม่สามารถที่จะทนอยู่เฉยได้อีกต่อไปสองเท้าวิ่งลงไปยังริมหาดพร้อมกับตะโกนเสียงกึกก้องแข่งกับเสียงคลื่นให้คนที่อยู่กลางทะเลหยุดกระทำบ้าๆสักที
“ขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ!! จะบ้าหรือไง อยากตายจริงๆใช่ไหมฉันบอกให้ขึ้นมา!!”
ซ่า~ ซ่า~
เขายังคงเดินถอยหลังต่อไปเรื่อยๆขณะที่สายตายังจ้องมองกัน แม้จะในความมืดอันห่างไกลผมก็ยังเห็นแววตาแน่วแน่ของเขาสายตาที่ว่าเขาจะไม่ยอมหยุด...จนกว่า...
ครืน!~ ครืน!~
ผมแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดมิดที่บัดนี้ไร้ประกายดาวด้วยเมฆหมอกก้อนดำทะมึนเคลื่อนตัวมาปกคลุมทั่วพื้นที่เสียงฟ้าร้องครืนพร้อมกับลมกระพือพัดโหมเป็นสัญญาณว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าลมฝนต้องกระหน่ำลงมาแน่นอน
นั่นยิ่งทำให้ผมร้อนรน หันไปมองอีกฝ่ายที่เวลานี้ถูกท้องทะเลดำมืดกลืนหายไปจนถึงช่วงอกแล้วมิหนำซ้ำสายฝนยังเริ่มโปรยปรายลงมา ลมพัดโหมให้ใบไม้ต้นหญ้าปลิวลู่โน้มเอียงตามแรงลมเม็ดทรายกระจายขึ้นฟุ้งทั่วหาด ผืนน้ำที่นิ่งสนิทเริ่มตื่นตัวโยกคลอนก่อเกิดเกลียวคลื่นตีกระทบจนเกิดเสียงเซ็งแซ่ช่างน่ากลัวจับใจ
แปะ แปะ แปะ
“พอ!! เลิกเดินลงไปได้แล้ว! ฉันบอกให้นายหยุดแล้วขึ้นมา!”
ครืน!~ ซ่า!~
เปรี้ยง!!
ผมวิ่งสวนกระแสคลื่นที่เริ่มก่อตัวขึ้นสูง ตีแหวกแรงต้านลงไปกลางทะเลแต่ก็ไม่สามารถถึงตัวเขาได้เนื่องจากเขาอยู่ลึกเกินกว่าที่ความสูงของผมจะเอื้ออำนวยผมลูบละอองน้ำที่กระเซ็นเปรอะใบหน้าบดบังการมองเห็นในขณะที่ตะโกนก้องอยู่ตลอดเวลา
“ขึ้นมา! อยากตายจริงๆหรือไง!!”
“ผมรักคุณนะคุณเล็ก ขึ้นฝั่งเถอะครับมันอันตราย” คราวนี้คนที่เงียบมาตลอดเปิดปากตะโกนกลับมาเมื่อเห็นว่าผมเริ่มเดินลุยน้ำลึกลงไปอีกครั้ง
“มาบอกรักบ้าอะไรตอนนี้ ขึ้นมา แค่กๆ ขึ้นมานะ! บอกว่าหยุดเดินได้แล้วไง!”
ครืนนนนนน! ซ่า!~
“คุณเล็กกลับไปมันอันตราย! ผมผิดจนไม่น่าให้อภัย ทำตัวน่ารังเกียจสมควรแล้วที่คุณไล่ให้ไปตาย แต่ผมรักคุณนะ รักคุณจริงๆ” ผมพยายามเดินเข้าไปหาเขาจนตอนนี้น้ำปริ่มริมฝีปากแล้ว
“ฮึก ฉันไม่ได้อยากให้นายตายจริงๆสักหน่อย...ฮึก แค่กๆ”
ตูม!!
ในจังหวะที่ผมเดินแหวกน้ำพลางตะโกนโต้กับเขาอยู่นั้นคลื่นยักษ์ที่มาจากไหนไม่รู้โถมแรงเข้าหาอย่างไม่ทันตั้งตัวร่างของผมดิ่งลงสู่ความมืดมิด ลำตัวถูกเกลียวคลื่นพลิกกลับกลายเป็นสองเท้าลอยคว้างสัมผัสความว่างเปล่าแต่เป็นสองมือที่ตะกุยตะกายสัมผัสพื้นทรายของก้นทะเลลึก
ผมพยายามตะกายเพื่อให้ตัวเองโผล่พ้นผืนน้ำ แต่มันช่างยากเหลือเกินกับการต่อสู้กับเกลียวคลื่นอันบ้าคลั่ง ยามที่น้ำเค็มไหลบ่าเข้าจมูกเข้าปากแทรกซึมแย่งอากาศ ดวงตาแสบพร่าระคายเคือง
หมับ
แรงกระชากที่แขนดึงผมจากก้นทะเลลึกสู่ด้านบน เมื่อโผล่พ้นผืนน้ำสู่บรรยากาศที่เต็มไปด้วยออกซิเจนให้ผมสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างตะกรุมตะกรามพร้อมทั้งไอสำลักไปพร้อมๆกัน
“คุณ...เป็นไงบ้าง” เจ้าของมือหนาที่ช่วยดึงผมขึ้นมาและยังช่วยลูบใบหน้าเอ่ยถามด้วยเสียงเป็นกังวลใบหน้าหวาดกลัวของร่างที่ผมกำลังเกาะยึดทำให้ผมร้องไห้โฮออกมา พลางใช้มือข้างหนึ่งทุบตีเขาไม่หยุด
“ไอ้บ้า ฮือออ ไอ้หมาบ้า นายเป็นต้นเหตุทำให้ฉันเกือบตายอีกแล้วนะฮึก ฮือออ” ผมสะอื้นไห้ไม่หยุดซ้ำยังไม่คิดจะออมแรงมือปากก็พร่ำด่าอย่างเจ็บแสบ...
แต่ใครจะรู้ดีไปกว่าใจผม...ว่าสาเหตุที่หลั่งน้ำตามันมาจากความเจ็บใจตัวเอง...ที่ลึกๆแล้วก็ไม่สามารถโกรธแค้นคนตรงหน้าได้เลยซ้ำยังยอมอภัยให้ง่ายๆเพียงแค่เห็นเขาจะหายไปต่อหน้าต่อตา
ในระหว่างที่จมลงใต้ทะเลผมตกใจ ผมหวาดหวั่น แต่ไม่มีความกลัวเลยเพราะผมมีเขาอยู่...มั่นใจว่าเขาต้องช่วยผมได้
“ผมขอโทษ...ผมเสียใจ...รักคุณนะ”
“ฮือออออ”
ณ วินาทีนี้ผมยอมแล้ว ยอมลดทิฐิทุกอย่างลงเพื่อฟังเขาอีกสักครั้ง
.........................................................................................
:'(:'(:'( ขอบคุณครับ{:5_119:} ขอบคุณมากเลยครับ {:5_139:} น้ำตาไหลพราก ล้นมหาสมุทรเลย {:5_139:} {:5_119:}ขอบคุณครับ{:5_136:} {:5_119:} กว่าจะยอมลดทิฐินะเล็ก ไล่เขาไปตายแต่ตัวเองเกือบตายเอง(ใหญ่ง้อด้วยวิธีนี้ถือว่าเสี่ยงแต่ก็ผ่านฉลุย)555555555555 ขอบคุณ ขอบคุณมากนะครับ{:5_130:} ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ตอนนี้น้ำตาจะไหลเลยครับ ตามต่อ ขอบคุณครับ บริษัท น้ำปลารสเอก จำกัด ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ อ่านแล้วยิ้มตามเลย ขอบคุณมากครับ