Vitamin25 โพสต์ 2022-4-5 04:44:53

พี่ยักษ์ที่รัก [13] + เพิ่มเติม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Vitamin25 เมื่อ 2022-4-5 04:44

***ตอนนี้เป็นการเล่าเรื่องปัญหาภายในครอบครัวของเราซะส่วนใหญ่
ใครที่ไม่ชอบอ่านอะไรแบบนี้ สามารถข้ามไปรออ่านตอนหน้าได้น้า เตือนไว้ก่อนเน้อ... ไม่อยากให้เสียเวลาอ่านจ้า***

-----------
หลังจากที่พี่ยักษ์กับพี่เมฆออกไปแล้วเราและพี่บัวก็ขึ้นมาดูทีวีข้างบนบ้าน
ตอนนั้นด้วยความที่พี่บัวเขาเป็นสายละครพื้นบ้านจักรๆวงศ์ๆก็เลยต้องสลับช่องกันดูเวลาที่ช่องการ์ตูนโฆษณา
ถึงจะไม่ได้ออกไปเล่นด้วยกันแต่อย่างน้อยได้นั่งคุยเล่นด้วยกันไปเรื่อยก็ยังดีตามภาษาเด็ก

หลังจากนั้นสักพักใหญ่เราก็ได้ยินเหมือนเสียงคนเดินขึ้นบันไดมาแต่เป็นเสียงเท้าที่หนักมากเลยเดินออกไปดู
แต่ใบหน้าของคนที่เราเห็นกลับเป็นอีกคนหนึ่งที่ตอนนั้นเรารู้สึกไม่อยากเจอมากที่สุด

ป้าอัญ...

คนที่มีศักดิ์เป็นป้าแท้ๆ ของเรา เป็นพี่สาวคนโตของแม่...

“ไอ้มิน! มึงมาอยู่นี่ทำไม!!ทำไมมึงไม่อยู่กับยาย!!!”ป้าอัญเดินขึ้นมาด้วยสีหน้าบึ้งตึงพร้อมกับชี้หน้าด่าทันทีที่เห็นหน้าเรา

เราได้แต่ยืนตัวสั่น และไม่กล้าตอบอะไร

“กูถามว่าทำไมไม่อยู่กับยาย! มึงอย่าทำตัวมีปัญหาเหมือนแม่มึงได้มั้ย?!!” ป้าอัญเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับกระชากแขนเราเราได้แต่ยืนตัวสั่นเพราะความกลัวกลัวจนอยากจะร้องไห้ออกมาแต่เราต้องพยายามข่มใจตัวเองไว้
ไม่งั้นเราจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่องและโดนลากตัวกลับไปง่ายๆ แน่

“มิน...อยากอยู่กับพี่ยักษ์...”เราทำได้แต่ตอบกลับไปสั้นๆ ตามที่เคยคุยตกลงกับพี่ยักษ์เขาเอาไว้
แต่การที่อ้าปากตอบกลับไปแค่นั้นก็ทำให้เราเสียงสั่นมากจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา

“ป้าคะ พี่ยักษ์เขาให้มินอยู่ด้วยจริงๆ นะ” พี่บัวเดินออกมาช่วยพูดพร้อมกับมายืนใกล้ๆ เหมือนจะดึงตัวเราออกไป

แต่เหมือนว่าป้าอัญจะไม่ได้สนใจอะไรแกฟาดฝ่ามือที่หนาใหญ่แกของมาที่กลางหลังของเราจนดัง “อ๊อก”
มันเจ็บและจุกมากจนทำให้เราล้มหน้าคว่ำลงกับพื้น

ตอนนั้นพูดตามตรงว่าเรากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้วมันทั้งเจ็บและกลัวแต่เราพยายามกลั้นเอาไว้ไม่ให้สะอื้นออกมา

“มึงไปเก็บของเดี๋ยวนี้!แล้วกลับไปกับกูซะไอ้เด็กเหี้ย!!”

“...มิน...อยากอยู่...กับพี่ยักษ์...นะป้าอัญ..มินขออยู่กับพี่ยักษ์...”เราพยายามพูดออกไปเพื่อยืนยันคำพูดเหมือนเดิม เพราะเราสัญญากับพี่เขาไว้แล้ว

แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ฟังและไม่เข้าใจอะไรเลย...ป้าอัญเดินมาทั้งหยิก ทั้งทุบทั้งตีจนเราเจ็บและกลัวมาก ทนไม่ไหวจนต้องร้องไห้โฮออกมา


พี่บัวก็พยายามจะมาช่วยแต่ด้วยความที่พี่เขาก็ยังเด็กทำให้ช่วยอะไรไม่ได้มาก

หลังจากนั้นป้าอัญก็ลากเราเข้าไปในห้องแล้วยืนคุมบังคับให้เราเก็บของใส่กระเป๋าและไปกับแก
ตอนนั้นเราพยายามค่อยๆ เก็บของให้ช้าที่สุด อย่างน้อยก็ถ่วงเวลาในใจก็หวังลึกๆว่าพี่ยักษ์อาจจะกลับมารับเราเร็วกว่าตอนเที่ยง...
แต่พอเห็นเรามีท่าทีชักช้า...ป้าอัญก็ลงมือตีเราอีกและกำชับว่าให้เราเก็บเร็วๆ...

ตอนนั้นเรากลัวมากได้แต่หันไปมองพี่บัวที่มาช่วยเก็บของอยู่ข้างๆ

สุดท้ายเราได้แต่หอบของพะรุงพะรัง แล้วเดินตามป้าอัญกลับไปที่บ้านของยายโดยมีพี่บัวเข็นรถจักรยานแล้วคอยเดินอยู่ข้างๆ
ได้แต่หันหลังกลับไปมองที่บ้านพี่ยักษ์...อยากให้พี่เขากลับมารับเราก่อนเวลาจัง
เรารู้สึกกลัวมากๆ กลัวว่าถ้ากลับไปถึงบ้านยายแล้วเราจะต้องเจอสิ่งที่น่ากลัวมากกว่านี้ถ้าไม่มีพี่เขาอยู่ด้วย...

และมันก็จริงอย่างที่เราคิด...
พอไปถึงบ้านของยายบรรดาป้าๆ และลูกพี่ลูกน้องของเราที่โตแล้วมายืนรวมรอกันอยู่ที่บ้านป้าห้าถึงหกคน
มองเขาไปไม่เห็นมีใครสักคนเลยที่เราจะวิ่งเข้าไปหาและขอความช่วยเหลือได้...

เรายืนอยู่หน้าทางเข้าไม่กล้าเดินเข้าไปก่อนที่ป้าอัญจะกระชากแขนกึ่งจิกเล็บเข้าไปทำให้เราเจ็บมาก จนต้องยอมเดินตามเข้าไป
“มึงกลับมาทำไมไอ้มิน!ออกไปจากบ้านกูเลยนะ!!”พอพูดจบยายก็เอาไม้ฟืนที่อยู่ใกล้ๆเขวี้ยงมาทางเรา
บอกตามตรงนะตอนนั้นเราไม่รู้สึกเจ็บเลย มันรู้สึกเจ็บจากข้างในมากกว่ามันรู้สึกแย่และเสียใจจนอธิบายไม่ถูก
ทำไมต้องทำรุนแรงกับเราขนาดนี้ด้วย...

เราทำอะไรผิดหรอ?

เราได้แต่ก้มหน้าร้องไห้โดยมีพี่บัวมายืนโอบไหล่อยู่ข้างๆ อย่างน้อยก็ยังมีพี่บัวนี่แหละที่คอยอยู่ด้วย
ถึงพี่บัวเขาจะช่วยปกป้องเราจากคนพวกนี้ไม่ได้แต่อย่างน้อยการที่พี่บัวเขาอยู่ข้างๆ
ก็ทำให้เรารู้สึกดีและปลอดภัยขึ้นสักเล็กน้อยก็ยังดี...

หลังจากนั้นเราก็โดนบรรดาญาติๆ รุมด่าสาเหตุก็มาจากเพราะเรา ทำให้พวกชาวบ้านมาต่อว่าพวกเขา
ว่าแค่เด็กคนเดียวยังเลี้ยงไม่ได้เลยแถมเป็นลูกหลานตัวเองแท้ๆ ปล่อยให้ไปอยู่กับคนอื่น

ขออธิบายตรงนี้หน่อยว่า การที่ชาวบ้านเขามาคอยต่อว่า หรือคอยแขวะพวกญาติๆ เกี่ยวกับเรื่องเลี้ยงดูเราชาวบ้านพวกนั้นเขาก็ไม่ได้ว่าเป็นห่วงเราหรืออะไรนะ...
แต่ว่าชาวบ้านบางคนในอดีตเคยมีปัญหาบาดหมางขุ่นข้องหมองใจกับทางบ้านยายเราอยู่แล้วพอเขารู้ว่าจุดนี้สามารถเอามาแขวะได้ เขาก็เลยคอยแซะอยู่เรื่อยๆทำนองว่าแค่หลานคนเดียวบ้านนี้ก็ไม่มีปัญญาเลี้ยงได้ ต้องให้คนอื่นเอาไปเลี้ยงอะไรประมาณนี้...
แต่มันก็เป็นความจริงด้วยแหละว่าไม่มีใครอยากเลี้ยงเราหรอก...บรรดาป้าๆ เขาก็มีลูกอยู่แล้ว แถมแม่เราไม่สามารถส่งเสียค่าเลี้ยงดูให้ในจำนวนเงินที่พวกเขาพอใจได้ (ก็คือค่าจ้างเลี้ยงนั่นเอง)เลยไม่มีใครอยากได้เราไปเลี้ยง สุดท้ายเราเลยต้องอยู่บ้านตัวเอง แม่แค่อาศัย กึ่งๆ ฝากยายให้ช่วยดูแลเราตามที่เล่ามาตอนต้น
“ก็ให้มันกลับมาอยู่กับยายนั่นแหละ อย่ามีปัญหาให้มาก ถ้าอยู่ไม่ได้ก็โทรตามเรียกให้แม่มันมาเอาไปเถอะ”
หนึ่งบรรดาญาติของเราพูดขึ้นมา

“…มิน...จะอยู่กับพี่ยักษ์ฮะ” เราได้แต่ก้มหน้าตอบกลับไปไม่กล้าเงยหน้ามองคนพวกนั้น
ทั้งที่เสียงยังสั่นกลัวแล้วน้ำตาก็ไหลคลอเบ้าอยู่แบบนั้น

“กูขอสักทีเถอะ พูดขนาดนี้แล้วมันยังไม่เข้าใจอีก! ไอ้เด็กเหี้ย!!”
ป้าอัญยกเท้าขึ้นถีบจนตัวเราล้มลงตอนนั้นเราไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมป้าเขาต้องโกรธแค้นเราขนาดนี้

ตอนนั้นเราที่ล้มลงกับพื้นได้แต่นอนร้องไห้ แล้วทำได้แค่เพียงร้องเรียกหาแม่...
พอนึกถึงภาพนี้ทีไรก็รู้สึกสงสารตัวเองมาก

พี่บัวเข้ามาพยุงตัวเราลุกขึ้นแล้วพาเราเดินกลับเข้าไปที่บ้านก่อนจะล็อคประตู

เรายังได้ยินเสียงด่าทอตามไล่หลังมาเป็นระยะๆ
พร้อมกับเสียงที่พวกเขาคุยตกลงกันเสียงดังอยู่

เหมือนจะเกี่ยงกันไปมา ว่าใครจะเอาเราไปเลี้ยงจะได้ไม่ต้องโดนคนอื่นเขาว่า...

เรานั่งร้องไห้พร้อมกับมองนาฬิกา เมื่อไหร่จะถึงตอนเที่ยงสักที...
ถ้าพี่ยักษ์กลับมาที่บ้านแล้ว พี่เขาจะรู้มั้ยนะว่าเราอยู่ที่นี่แล้วเขาจะกลับมารับเราหรือเปล่าในใจมันเริ่มคิด และกลัวไปต่างๆ นานา

ตอนนั้นได้แต่คิดว่าถ้าเราเลือกที่จะไปหาปลากับพี่ยักษ์ตั้งแต่ทีแรกไม่มัวมานั่งดูการ์ตูนเราคงไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้...

---------
เราสะดุ้งตื่นขึ้นหลังจากหลับไปพักใหญ่ได้ยินเหมือนเสียงเร่งเครื่องรถมอเตอร์ไซค์บิดมาดังมากจากที่ไกลๆ จนมาจอดที่หน้าบ้านเรา
มันคล้ายกับเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของพี่ยักษ์ แต่พอเสียงมันถูกเร่งเครื่องจนดังมากเราเลยไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่
แต่ขอให้เป็นเสียงของรถมอเตอร์ไซค์พี่ยักษ์เถอะ...

สักพักก็ได้ยินเสียงเอะอะดังขึ้นมาจากทางบ้านของยาย
และได้ยินเสียงด่าทอ พอเราได้ยินว่ามีชื่อพี่ยักษ์อยู่ในคำด่าพวกนั้น
เรารู้สึกดีใจมากเลยรีบเปิดประตูออกไปก็เจอหน้าพี่เขาที่กำลังเดินเข้ามาพอดี

ตอนนั้นมันรู้สึกดีใจมากๆ เราเลยวิ่งไปกอดพี่เขาพี่ยักษ์เลยอุ้มเราขึ้นไปแล้วเช็ดน้ำตาให้

“พี่ยักษ์...พวกยายแล้วก็ป้าตีมินใหญ่เลยค่ะ ทั้งหยิก ทั้งตีเลย”ยังที่เราไม่ทันจะพูดอะไร พี่บัวก็รีบออกจากบ้านตามมาแล้วฟ้องพี่ยักษ์
ทำให้พี่ยักษ์เปิดดูตรงแขนเสื้อและใต้เสื้อเราทั้งหน้าและหลัง
พอพี่เขาเห็นรอยช้ำพวกนั้นสีหน้าพี่เขาก็นิ่งไป...พร้อมกับวางเราลงแล้วบอกให้เราไปเก็บข้าวของและให้เดินไปรอที่รถ

“มีปัญหาอะไรพวกมึงก็มาเคลียร์กับกูดิวะ!!! จะไปยุ่งกับเด็กมันทำไม!!!!”
พี่ยักษ์เดินไปตะคอกใส่หน้าพวกยายและป้าๆ
ทำให้บางคนก็หน้าถอดสีทันที

“มึงจะทำไมไอ้ยักษ์?! มึงจะทำอะไรพวกกู!!” ป้าอัญพูดจบก็เดินหยิบไม้หน้าสามขึ้นมา
แล้วเดินเอาไม้มาตีหัวพี่ยักษ์แรงมาก ...ตอนนั้นถือว่ายังดีที่หัวพี่เขาไม่แตก

เราได้แต่ตกตะลึงเพราะคิดว่าป้าเขาจะแค่หยิบไม้มาขู่เฉยๆ ไม่คิดว่าจะเดินมาตีพี่เขาแบบนี้

พี่บัวพยายามดึงเราเอาไว้ไม่ให้เข้าไป เพราะเดี๋ยวจะโดนลูกหลง
ตอนนั้นพูดตามตรงว่าเราก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกันไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าต้องทำยังไงดี...

พี่ยักษ์ไม่ได้ตอบโต้อะไรกับไปได้แต่จับและกระชากไม้หน้าสามออกมาจนหลุดมาอยู่ในมือเขา

“ช่วยด้วย! ไอ้ยักษ์มันหน้าตัวเมีย มันจะตีคนแก่ มันจะตีผู้หญิง!!”
ป้าอัญตะโกนลั่นพร้อมกับเข้าไปทุบตีพี่ยักษ์ ทั้งที่พี่เขาได้แต่แค่ยืนยกมือปัดป้องเฉยๆ และมีไม้ในมือที่พึ่งแย่งมาจากป้าอัญสักพักพวกบรรดาญาติพี่น้องสี่ห้าคนเราก็กรูกันเข้ามา
ตอนแรกเรานึกว่าพวกนั้นจะมาช่วยเอาตัวป้าอัญออกไป...
ที่ไหนได้พวกนั้นกลับรุมทุบตีทั้งจิกทั้งข่วนรุมทึ้งกันอยู่แบบนั้นแต่พี่เขาก็ทำได้แค่ผลักออกและปัดมือป้องกันตัวจากพวกนั้นเพียงอย่างเดียว
ไม่ได้ลงไม้ลงมือทำอะไรอย่างที่พวกนั้นแหกปากโหวกเหวกโวยวายเหมือนตัวเองโดนทำร้าย...

ย้อนนึกถึงมันกี่ทีมันก็เป็นภาพความทรงจำที่ทำให้เราเจ็บใจมากๆ
เพราะถ้าเป็นตอนนี้ละก็...นี่ก็พร้อมชนเหมือนกันแหละ
แต่ตอนนั้นเราช่วยอะไรพี่เขาไม่ได้เลยมันเป็นภาพที่ดูโหดร้ายป่าเถื่อน และยิ่งทำให้รู้สึกว่าเรารังเกียจครอบครัวนี้มาก...

พูดตามตรงว่าตอนนั้นเรายืนดูอยู่มันเจ็บหัวใจอย่างบอกไม่ถูกที่ช่วยอะไรเขาไม่ได้
เราไม่รู้เลยว่าจะต้องทำยังไงต่อไปดีจะช่วยพี่เขายังไง...

ในตอนที่ยังเป็นเด็กทุกอย่างมันดูตัดสินใจยากมากจริงๆ
แต่สุดท้ายเราก็เลือกที่จะวิ่งไปหยิบไม้ที่ใช้สอยมะม่วงเป็นไม้ไผ่แท่งเรียวยาวสูงประมาณสามถึงสี่เมตร

เราตัดสินใจยกไม้ไผ่นั้นฟาดลงไปที่พวกนั้น...ถึงมันจะเป็นการกระทำที่ถ้าหากใครมองดูเราก็คงกลายเป็นเด็กที่ก้าวร้าว และดูไม่ดีไปเลยที่ทำร้ายญาติตัวเองแต่เราทนดูพี่เขาถูกรุมทำร้ายต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ
ซึ่งพอมันผ่านมาแล้ว มองย้อนกลับไปอย่างน้อยก็รู้สึกดีและขอบคุณตัวเองที่วันนั้นเราตัดสินใจทำแบบนั้น...

พี่ยักษ์หันมามองเรา สีหน้าพี่เขาดูตกใจพอสมควรที่เห็นเราทำแบบนั้น
ตอนนั้นพวกป้าพอโดนตีก็หันมาด่าเราว่าไอ้เด็กเลว เด็กเนรคุณต่างๆนานาพอพวกเขาจับไม้ไผ่นั้นได้ก็กระชากแย่งไปแล้วจะยกไม้ฟาดเราคืน

พี่ยักษ์เลยผลักพวกนั้นออก ด้วยความที่พี่เขาตัวใหญ่อยู่แล้ว
พอออกแรงผลักพวกนั้นบางคนที่ไม่ได้ตั้งหลักก็กระเด็นถอยหลังตูดจ้ำเบ้ากับพื้นไป

“พวกมึงจะตบจะตีกูยังไงก็ได้! แต่อย่าทำเด็ก!! อย่าหาว่ากูไม่เตือน!!! คราวนี้ไอ้ยักษ์นี่แหละจะเป็นหน้าตัวเมียจริงๆ ให้ดู!!!!”
พี่ยักษ์เดินมาอุ้มเราไว้แล้วหันไปตะโกนลั่นด่ากลับไปเสียงพี่เขาดังมากจนเราเองก็ยังสะดุ้ง

พวกนั้นพอเห็นว่าพี่ยักษ์เริ่มจะโมโหและเอาจริง ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาอีกแล้ว

ได้แต่ด่าและไล่ให้เอาเราออกไป...

หลังจากนั้นพี่ยักษ์ก็บอกให้พี่บัวกลับบ้านไปก่อนแล้วก็พาเราขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ขี่กลับมาที่บ้านเขา

ระหว่างทางเราสังเกตเห็นมีพวกชาวบ้านชะโงกหน้าออกมาดูกันหลายคน
บางคนก็ออกมายืนอยู่หน้าบ้านแล้วหันมามองทางบ้านเราคิดว่าเขาคงได้ยินเสียงที่พวกเราทะเลาะกันแน่ๆ...

---------

สุดท้ายก็จบลงที่การเคลียร์กันที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านโดยที่ทางฝั่งญาติฝั่งยายเรา เขาไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านว่าพี่ยักษ์บุกมาทำร้ายร่างกายเขาถึงที่บ้านแล้วก็ยังพาตัวเราไปอีก (พูดเหมือนหวงมากรักมาก)
พอพี่ยักษ์พาตัวเราไปถึง ตอนนั้นมีชาวบ้านหลายคนเริ่มมาออกันที่บ้านผู้ใหญ่ด้วย
เพราะนานๆ ทีจะมีเรื่องเกิดขึ้น...ชาวบ้านที่รู้เรื่องก็ต้องมารอฟังกันเป็นธรรมดา
แต่ยังดีที่ลุงผู้ใหญ่เขาเลือกที่จะถามและฟังความจากเราเป็นหลักเราเลยเล่าความจริงทุกอย่างให้ฟังทั้งหมด...
ว่าพี่ยักษ์ไม่ได้ทำร้ายอะไรพวกญาติเราเลย มีแต่พวกญาติเราต่างหากที่ลงมือทุบตีจิกข่วนพี่ยักษ์
จนรอยแผลพวกนั้นเต็มแขน เต็มคอพี่เขาไปหมด

ในเมื่อเราเองก็ไม่อยากอยู่กับญาติๆและคงกลับไปอยู่ร่วมกันไม่ได้อีก แล้วเพราะเราดันเล่าความจริงทุกอย่าง
ซึ่ง...มันตรงกันข้ามกับที่พวกเขาเล่า และเหมือนหักหน้าพวกเขาไปหมดแล้ว...

อันที่จริงปัญหาพวกนี้ เรื่องในบ้านของเราลุงผู้ใหญ่เขาก็พอจะรู้อยู่แล้วแต่เขาไม่อยากจะพูดอะไรมาก
เพราะมันกึ่งๆ เป็นปัญหาครอบครัวคนนอกไปยุ่งมากก็ไม่ดี
พอเราได้ออกมาเป็นฝ่ายพูดเอง เขาก็เลยสามารถช่วยเหลือเราได้เต็มที่
ลุงผู้ใหญ่บ้านก็เลยประกาศว่าหลังจากนี้พี่ยักษ์จะเป็นผู้ปกครองและรับผิดชอบดูแลเราเพราะเราเป็นคนเลือกด้วยตัวเองขอให้พวกชาวบ้านไม่นินทาว่าร้ายทางฝั่งญาติเรา จะได้ไม่มีปัญหาเกิดขึ้นกันอีก
ส่วนเรื่องที่พี่ยักษ์โดนเอาไม้ตีหัว พี่เขาก็ไม่ได้เอาความอะไรขอแค่อย่ามายุ่งย่ามกับเราอีกก็พอ และไม่อนุญาตให้พวกญาติเราไปเข้าพื้นที่บ้านเขาอย่างเด็ดขาดไม่งั้นเขาจะถือว่าบุกรุกทันที
พอเสร็จเรื่อง หลังจากทุกคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว

ลุงผู้ใหญ่ก็บอกว่าให้เราอยู่ก่อน เดี๋ยวเขาจะลองติดต่อโทรหาแม่เราให้ว่าตกลงแม่เราจะเอายังไง...เพราะก่อนแม่เราไปกรุงเทพฯ เขาก็ฝากฝังลุงผู้ใหญ่ไว้อีกทางว่าให้ช่วยดูเราด้วย
ด้วยความที่สมัยนั้นมันไม่ได้มีโทรศัพท์บ้านใช้กันทุกหลัง
ตอนนั้นทั้งหมู่บ้านรู้สึกจะมีอยู่แค่สองหลังเองที่มี
หนึ่งในนั้นก็บ้านลุงผู้ใหญ่นี่แหละที่มีโทรศัพท์
จะเป็นมือถือรุ่นแรกๆ เลยที่เครื่องมันใหญ่มากๆต้องเสียบสายตลอดเวลา
ส่วนใหญ่จะโทรศัพท์คุยกันได้ก็ต้องผ่านบ้านคนที่มีโทรศัพท์นี้แหละซึ่งเขาคิดค่าใช้บริการทั้งโทรเข้าและโทรออก...
พอบ้านลุงผู้ใหญ่เขามีโทรศัพท์แม่ก็เลยฝากเบอร์ที่ทำงานเขาไว้ให้
เผื่อมีอะไรก็ติดต่อผ่านทางนี้ได้...แล้วเดี๋ยวแม่เขาจะไปใช้ตู้โทรศัพท์โทรกลับมา
ซึ่งปกติแม่จะโทรมาคุยด้วยทุกสิ้นเดือนอยู่แล้ว
จะเป็นลักษณะการที่แม่จะโทรมาหาลุงผู้ใหญ่ก่อนว่าขอคุยกับเราหน่อย แล้ววางสายไปสักประมาณครึ่งชั่วโมงแม่ก็จะโทรมาใหม่

ระหว่างที่แม่วางสายไป ลุงผู้ใหญ่ก็จะไปตามตัวเราให้มานั่งรอรับโทรศัพท์แม่ประมาณนี้
หลังจากที่ลุงผู้ใหญ่โทรไปหาที่ทำงานแม่เราแม่เราก็ได้โทรกลับมา และคุยกับลุงผู้ใหญ่พร้อมนัดแนะว่าจะโทรกลับมาคุยกับเราอีกทีตอนช่วงหัวค่ำ

---------
พอใกล้ช่วงเวลาหัวค่ำ พี่ยักษ์ก็พาเรามานั่งรอรับโทรศัพท์แม่หลังจากที่พวกเรานั่งรอกันสักพักใหญ่ๆ แม่เราก็โทรมา

เราก็ได้คุยโทรศัพท์กันบอกตามตรงว่าทันทีที่ได้ยินเสียงของแม่
น้ำตาของเรามันก็ไหลออกมาไม่หยุด พี่ยักษ์ที่ยืนอยู่ข้างๆได้แต่ยืนลูบหัวเราไปมาเบาๆ

จำได้ว่าเราแทบเล่าอะไรให้แม่ฟังไม่ได้เลย เพราะร้องไห้จนเสียงสะอื้นไปหมดคุยกับแม่เขาไม่รู้เรื่อง
แต่จับใจความได้แค่ว่า...เดี๋ยวสิ้นเดือนแม่กับพ่อจะมารับไปอยู่ด้วยนะพูดตามตรงว่าตอนนั้นก็รู้สึกดีใจ
พอเราเงยหน้าไปมองพี่ยักษ์ที่ก้มลงมายิ้มให้อย่างอ่อนโยน...อีกใจหนึ่งก็รู้สึกใจหายแปลกๆ...

---------

“แม่ว่ายังไงบ้างครับหมาน้อย?” พี่ยักษ์ถามขึ้นขณะที่กำลังทายาหม่องตามตัวให้เราหลังจากที่กลับมาถึงบ้านแล้ว

“แม่บอกว่าจะมารับตอนสิ้นเดือนฮะ...” เราตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ

“หืมมมมม มารับไปเที่ยวเหรอ? หรือมารับไปอยู่ด้วยเลย?”

“ไม่รู้…เหมือนกันฮะ...”

“เอ้า! นี่ไง มัวแต่ขี้แยร้องไห้จนคุยกับแม่ไม่รู้เรื่องเลย” พูดจบพี่เขาก็ทุบหัวเราเบาๆ หนึ่งที ทำเอาเราเผลออมยิ้มออกมา
เสร็จแล้วพี่เขาก็อุ้มเราไปนั่งบนตัก

“แล้ว...หมาน้อยอยากกลับไปอยู่กับแม่มั้ยครับ?” พี่ยักษ์ถามพลางเอามือลูบหัวเราไปมา
เราได้แต่นิ่งคิด...ในใจยังไงเราก็อยากกลับไปอยู่กับพ่อแม่อยู่แล้วแต่อีกใจมันมีความรู้สึกว่าอยากอยู่กับพี่เขาเหมือนกัน...

“หืมมมมมม” พี่ยักษ์ก้มหน้ามาใกล้ๆแล้วเอียงคอแล้วยิ้มเล็กๆเหมือนจะถามซ้ำเพราะไม่เห็นเราให้คำตอบเขา

“ผม...รักพี่ยักษ์นะฮะ แล้วก็รู้สึกอยากอยู่พี่ยักษ์มากๆ เลยแต่ผมก็อยากอยู่กับแม่ ผมคิดถึงพ่อกับแม่...”
ตอนนั้นไม่รู้คิดยังไงถึงได้ตอบไปแบบนั้น... พอมานั่งคิดดู คำว่ารักที่เราพูดกับพี่เขาในตอนนั้น
มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับที่เรามีให้พ่อกับแม่ซะมากกว่า

เราแค่รู้สึกไม่อยากให้พี่เขาเสียใจ ถ้าเราเลือกไปอยู่กับพ่อและแม่ ก็เลยต้องบอกว่าเราเองก็รักพี่เขาเหมือนกันนะ

พอตอบกลับไปเสร็จเราก็ลุกขึ้นสวมกอดพี่เขา
พี่เขาก็โอบกอดเรากลับ พร้อมกับเอามือลูบไปมาเบาๆ

“ไม่เป็นไรครับ พี่เข้าใจ...”

“พี่ขอกอดหนูไว้แบบนี้อีกหน่อยนะ... พี่เองก็ชอบ...
อยากให้หนูกอดพี่แบบนี้เหมือนกัน อยากกลับมาแล้วเจอหนูนั่งยิ้มอยู่ที่บ้านแบบนี้ตลอดไปจังหมาน้อยของพี่...”

พอเราได้ฟัง มันก็ทำให้น้ำตาของเราไหลออกมา
มันรู้สึกจุกและเจ็บกับคำพูดของพี่เขาพี่เขาพูดเหมือนเขาไม่มีใคร...
ทั้งที่เขาก็มีพ่อกับแม่อยู่ถึงจะคนละบ้านแต่ก็อยู่ไม่ไกลกัน
ตอนนั้นไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคำพูดของพี่เขาทำให้ใจเราสั่นได้ขนาดนั้น...

สุดท้ายคืนนั้นเราได้แต่นอนกอดพี่เขาไว้แน่นทั้งคืน
เพราะนอกจากพ่อกับแม่แล้วก็มีพี่เขานี่แหละที่ทำให้เรารู้สึกไว้ใจและรู้สึกดีเวลาอยู่ด้วยมากขนาดนี้

คิดถึงกี่ครั้งก็ยังรู้สึกขอบคุณพี่เขาจริงๆ

Vitamin25 โพสต์ 2022-4-5 04:44:54

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Vitamin25 เมื่อ 2022-4-5 04:47

ที่สุดท้ายมันกลายเป็นประเด็นใหญ่ขนาดนี้เราว่าคงเพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มหมดความอดทนกันแล้วมากกว่า

เราเองก็รู้สึกแย่และต้องทนอยู่กับพวกญาติๆ ตลอดเวลา
ทำได้แค่รอเวลาที่พ่อกับแม่จะกลับมาเยี่ยม และอดทนจนกว่าเราจะจบป.6

แม่เคยบอกว่าพอเราจบป.6 จะพาเรากลับไปเรียนต่อม.1 ที่กรุงเทพฯ และอยู่ที่นั่นเลย
ทำให้เราได้แต่อดทนรอ...

จนพอพี่ดินเข้ามา มันเหมือนเป็นจุดเปลี่ยน
เรารู้สึกว่าเราอยู่กับพี่เขาแล้วเรามีความสุขมาก รู้สึกอบอุ่นและวางใจเหมือนอยู่กับพ่อแม่
พออยู่กับพี่เขาแล้วทุกวันเรามีแต่ความสุข
ไม่ใช่ทนอยู่ไปวันๆ เหมือนตอนอยู่กับพวกยาย...

เราเลยเลือกพี่ดิน และอยากมาอยู่กับพี่เขาแบบไม่ต้องคิดอะไรเลย

ด้วยความที่เรายังเด็กมากอ่ะเนอะ เราก็ไม่เข้าใจนะว่าเรื่องเซ็กซ์มันคือสิ่งที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็กในวัยเราทำให้เรามองข้ามเรื่องนี้ไปเลยตอนอยู่กับพี่เขา

ตอนนั้นเราคิดแค่ว่ามันคือเรื่องแปลกใหม่ที่เราไม่เคยพบเจอแค่นั้นเอง
พอพี่เขาไม่ทำรุนแรงกับเรา มันกลายเป็นว่าเรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้รู้เรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำ
เพราะไม่คิดว่าร่างกายของคนเราจะทำอะไรแบบนี้ได้ด้วย 555555

------------

เพิ่มเติม 1

เพื่อนๆ อาจจะสงสัยว่าทำไม อีป้าอัญ (ขออนุญาตเรียกอี เพราะในส่วนนี้เหมือนเป็นส่วนขยายเล่าเชิงสรุปๆ แล้ว ขอใส่อารมณ์นิดเพราะเกลียดมาก)
มันถึงได้เป็นเดือดเป็นร้อนและเกลียดพี่ดินเขามากขนาดนั้น...

ขออธิบายก่อนเลย เพราะไม่รู้จะไปพิมพ์ตอนไหนเหมือนกันเราพึ่งมารู้เรื่องพวกนี้ตอนโตแล้ว
กลัวว่าถ้าไว้เล่าตอนโต มันน่าจะไกลไปมาก ไม่รู้เมื่อไหร่จะพิมพ์ถึงตอนโตสักที 55555+

พี่ดินเคยมีพี่ชายชื่อ พี่เด่น

ซึ่งพี่เด่นเนี่ย เขาชอบพอกับพี่พลอย เป็นลูกพี่ลูกน้องของเราหรือลูกสาวของอีป้าอัญเนี่ยแหละ

สุดท้ายเหมือนทั้งคู่ก็แอบได้เสียกันแล้วมาบอกผู้ใหญ่ เขาก็ให้ทำพิธีขอขมาแล้วก็จะยกขันหมากมาขอแต่งงานทางฝั่งบ้านยายเราก็ไม่ติดอะไรเพราะเขาจะรู้กันว่าบ้านพี่เด่นค่อนข้างมีฐานะลุงสินกับป้าปูจะมีที่ดินที่นาเยอะ
ก็โอเคแหละ จะได้ลูกเขย หลานเขย รวยที่ดิน

แต่ต่อมาพี่เด่นเขาเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุขณะที่ขี่มอเตอร์ไซค์ข้ามเลนกลับมาบ้าน (ก็คือถนนเส้นใหญ่ที่เราพูดถึงในตอนที่ 4)

หลังจากจัดการงานศพพี่เด่นเรียบร้อย... ทางฝั่งยายเราไม่ยอมสิ
เขาถือว่าพี่พลอยเขาเสียหายไปแล้วแล้วชาวบ้านก็รู้แล้วว่าว่าพี่เด่นกับพี่พลอยได้เสียกัน
ก็เลยมาคุยกับลุงสินป้าปูว่าจะให้พี่ดินแต่งงานกับพี่พลอยแทนเป็นการรับผิดชอบ (นี่ตอนฟังคือเหวอมาก WTF...)
ตอนนั้นพี่ดินพึ่งจะอายุประมาณ 16-17 ปีเองมั้ง แต่ด้วยความที่พี่เขาตัวสูงตั้งแต่ เลยทำให้ดูเหมือนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว...

ซึ่งแน่นอนว่าพี่ดินไม่ยอมก็เลยคุยกับพ่อแม่เขาว่าจะหนีมาทำงานกรุงเทพฯ
จริงๆ ลุงสินไม่ค่อยเห็นด้วยที่พี่ดินจะหนี เพราะอยากให้รับผิดชอบพี่พลอยมากกว่า...ไม่งั้นจะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านได้
(บอกตามตรงอันนี้เราก็ไม่เข้าใจความคิดพวกเขา ว่าพี่เด่นไม่อยู่แล้วทำไมพี่ดินต้องรับผิดชอบแทน งงมาก)

แต่ป้าปูก็สงสารลูก เลยให้ที่อยู่แม่เรามา กะว่าเผื่อแม่เราจะช่วยหางานให้ได้ระหว่างที่พี่ดินหนีไปอยู่กรุงเทพฯและให้ที่อยู่เอาไว้]
ช่วงที่พี่เขาหางานอยู่ ก็ช่วยแม่เราเนี่ยแหละเลี้ยงเรา พี่เขาบอกว่าเราซนมากกก ดื้อมากด้วย
เขานอนๆ อยู่ บางทีก็ไปนั่งทับหน้าเขาซะงั้น ...เด็กอะไรทำไมกวนตีนขนาดนี้ 55555

พอตอนหลัง อีป้าอัญรู้ว่าแม่เราที่เป็นน้องสาวตัวเองเนี่ยเหมือนช่วยให้พี่ดินมีที่พักมีที่ทำงาน
ก็พาลโกรธและเกลียดเพราะเหมือนทำให้ลูกสาวเขาไม่ได้แต่งงาน ต้องหนีไปอยู่ที่อื่นเพื่อไม่ให้โดนนินทา...
แต่คนที่จะแต่งงานด้วยคือพี่เด่นรึเปล่า...มันไม่มีวิธีจัดการที่ดีกว่านั้นเลยหรอตอนนั้น งงมาก

นี่ก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ตอนที่ 1 ที่เราเล่าว่าแม่จ้างให้พี่ดินดูแลให้
แต่ถ้าเล่าลงรายละเอียดจริงๆ คือแม่ไปรบกวนป้าปูต่างหาก
แล้วป้าปูก็บอกพี่ดินว่าให้คอยดูระดับน้ำที่นาของแม่เราให้อีกทีหนึ่ง
(ตอนหลังพอพี่ดินได้งานทำ เขาก็ทำไปเรื่อยๆ จนเจอกับปัญหาหนึ่งเข้า... ก็เลยกลับมาอยู่ที่บ้าน เดี๋ยวขอเก็บไว้เล่าตอนหลังๆ นะอันนี้)เพราะฝนไม่ได้ตกหนักทุกวันสักหน่อย แต่จะมาคิดเงินทุกวันวันละหนึ่งร้อยบาททุกวันเลย... ใครจะเอาเงินจากไหนมาจ้าง

ตอนหลังที่บ้านเราประสบปัญหาเรื่องการเงินนั่นแหละ แม่ถึงได้ย้ายเรากลับมาเรียนที่นี่เพื่อลดค่าใช้จ่ายก่อน
ซึ่งตัวแม่เองเขาก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน ว่าฝากหลานไว้สักคนมันจะเป็นปัญหาใหญ่ได้ขนาดนี้...

------------

เพิ่มเติม 2

ต่อจากข้างบน อีกสาเหตุหนึ่งที่ อีป้าอัญรวมทั้งยายและบรรดาพี่ๆของแม่
และไม่ค่อยรักแม่เท่าไหร่นั้นคงเป็นเพราะ ตากับยายมีลูกทั้งหมด 7 คน แม่เราเป็นคนสุดท้อง

ซึ่งพูดตามตรงก็คือ...แม่เราเป็นลูกที่ยายไม่ตั้งใจจะให้เกิด
เพราะเขาอยากได้แค่ลูกชายก็จะพอแล้ว
ก่อนหน้านั้นลูกของยายทั้งห้าคน ก็จะเป็นลูกสาวทั้งหมดเลย

พอมีไอ้ลุงน้อยเกิดขึ้นมาเป็นคนที่หก เป็นลูกผู้ชายสมใจยายยายก็จะพอแล้ว
แต่ว่าดันติดท้องขึ้นมาอีกคน...

ซึ่งตาบอกว่าให้เก็บไว้เถอะยังไงก็ท้องแล้วแต่ยายไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่
ทั้งพยายามที่จะทำแท้งกึ่งวิธีธรรมชาติตั้งหลายรอบแต่แม่เราไม่แท้ง
แถมยังคลอดออกมาได้ปกติอีกด้วย

พอแม่เราคลอดออกมาพี่สาวทุกคนไม่มีใครเห่อน้องสาวแล้ว
เพราะเขามีน้องชายเป็นที่รักมากกว่า
อีกทั้งยายยังแสดงออกตลอดด้วยว่ารังเกียจและไม่อยากเลี้ยงแม่เรา

ตาเลยสงสารแม่เรามาก เลยจะรักแม่เรามากกว่าลูกๆ คนอื่น
ไปไหนก็จะเอาแม่เราไปด้วยตลอด

นั่นยิ่งทำให้บรรดาพวกพี่ๆ ของแม่อิจฉาริษยาแม่มากไปอีก
(แม่เล่าว่าจริงๆ ไอ้ลุงน้อยมันคอยแกล้งแม่ตลอดเลยนะตอนที่แม่ยังเด็ก แกล้งแรงด้วย ผลักตกบันไดอะไรแบบนี้เลย โคตรจะ...)

จนสุดท้ายมันมีปัญหามากๆ ตาเลยตัดสินใจปลูกบ้านอีกหลังหนึ่งแล้วเอาแม่เรามาอยู่ด้วย
ก็คือที่เราเล่าว่าบ้านเรากับบ้านยายอยู่ห่างกันไม่ถึงสิบเมตร
เพราะบ้านเราแต่ก่อนเป็นบ้านของตานั่นเอง

พอโตขึ้นเป็นสาว แม่ก็มีลูกชายของกำนันมาจีบตอนนั้นแม่บอกว่าอายุสิบห้าสิบหกเองนะ
แม่เล่าว่าถึงจะเป็นลูกชายกำนัน แต่ก็ลูกชายแก่อ่ะแบบอายุสามสิบกว่า แถมเคยมีเมียแล้ว แล้วก็มีลูกติดอีก...

ซึ่งแน่นอนพอยายรู้ ยายรีบไปคุยกับลูกชายกำนันและตกลงกันทันที
เพราะสมัยนั้นการจับคลุมถุงชนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร...
เพราะบรรดาป้าๆ พี่สาวของแม่ก็โดนแต่งงานแบบคลุมถุงชนกันทุกคน
รวมถึงตากับยายเราเองก็เช่นกัน...

ตาก็สงสารอีก เพราะแม่บอกไม่ชอบ ไม่อยากแต่งด้วย...
เขาเลยเอาเงินเก็บทั้งหมดที่มีให้แม่เราแล้วหนีไปใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ

เขาขอแค่ว่าถ้าเกิดมีลูกขอแค่พากลับมาให้ตาอุ้มหน่อยก็พอ...

คนสมัยนั้นคิดอะไรไม่ออกก็ต้องเข้ากรุงเทพฯ จริงๆ
เพราะอย่างน้อยเขาก็เชื่อกันว่าจะมีหนทางทำกินและสามารถดำรงค์ชีวิตรอดได้มากกว่าไปที่อื่นมั้ง

สุดท้ายแม่เราก็ได้มาเจอกับพ่อที่กรุงเทพฯ และตกลงปลงใจคบกับพ่อเรา และมีเราเกิดขึ้นมา


แม่บอกว่าตอนนั้นคลอดเราได้ไม่กี่เดือนเอง ก็พาเรามาหาตาแล้ว เพราะแม่เขาก็คิดถึงตามาก
ตาดีใจมากบอกว่าหลานน่ารักตัวขาวสุดๆ ไม่เคยมีหลานตัวขาวแบบนี้มาก่อนเลย...แถมอุ้มไปอวดชาวบ้านเขาไปทั่วเลย
น่าจะเพราะได้กรรมพันธุ์จากทางพ่อมั้ง เพราะพ่อเราเป็นคนผิวขาว
ตาเขาเอ็นดูพ่อเรามาก ไม่รังเกียจเรื่องที่พ่อเรายากจนหรือไม่มีเงินเลย ต่างจากยาย...

แล้วก่อนจะพาเรากลับ แม่เล่าว่ารู้สึกใจหายมาก เพราะตาพูดเหมือนเป็นลางว่าอยากอยู่จนเห็นเราตอนโตจัง...

ซึ่งสุดท้ายก็เป็นจริงตามที่แม่สังหรณ์ใจ
ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นตาก็เสีย เพราะไปพ่นยาฆ่าแมลงที่นา แต่ไม่รู้พ่นยังไง
เขาสันนิษฐานว่าน่าจะพ่นผิดจังหวะ เจอลมมันย้อนกลับเข้ามาทำให้แกสูดยาฆ่าแมลงเข้าเต็มๆ แล้วน็อคไปเลย...

แม่มาไม่ทันงานศพของตาด้วยซ้ำ...เพราะตอนนั้นกว่าโทรเลขจะไปถึง
กว่าแม่จะมา งานศพตาก็เสร็จไปแล้ว เหลือเพียงแค่โกศที่ใส่เถ้ากระดูกของตา...

ถ้าตายังอยู่ ในวัยเด็กแม่ก็คงจะฝากให้ตาเลี้ยงเราได้เราก็คงจะไม่ต้องเจอเรื่องโหดร้ายพวกนี้...

แต่ก็เอาเถอะ...สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านมาแล้ว

ถึงเราจะจำสัมผัสตอนที่เจอกับตาไม่ได้เลย...
แต่พอแม่เล่ามาก็อยากเจอตาสักครั้งเหมือนกันนะ...
ถ้าตายังอยู่...ตาจะตกใจมั้ยนะ ที่เห็นว่าหลานชายของเขาโตเป็นสาวแล้ว 555555+


-----------

แล้วไหนจะมีเรื่องที่พี่ดินเขาเคยตีหัวไอ้ลุงน้อย พ่อไอ้โหน่งไอ้เหน่งจนหัวแตกนั่นอีก...
เอาไว้จะทยอยเล่าให้ฟังในตอนหน้าๆ น้าา ไม่งั้นจะยาวมากแน่ๆ

ยังไงไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า ก็ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่คอยอ่านและติดตามกันน้า ขอบคุณมากๆ จ้า
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ดูแลรักษาสุขภาพกันด้วยเน้อ

nuangnut1996 โพสต์ 2022-4-5 04:50:13

สนุกมากครับ

kookkoo โพสต์ 2022-4-5 05:05:48

นึกภาพตามไปด้วยได้บรรยากาศเลย สนุกดีครับ

mojimaru โพสต์ 2022-4-5 05:20:56

ขอบคุณครับ

koth2 โพสต์ 2022-4-5 05:21:10

มาแล้ว ขอบคุณครับ
อยากให้ถึงตอนที่ต้องเลือกระหว่าง พ่อ แม่ หรือ พี่ดิน แล้วอะดิอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีการคุยอะไรกัน
พี่ดินนี้อยู่ในชีวิตเราตลอดเลยนะ
คุณตานี้เป็นผู้ใหญ่ที่มีโลกกว้าง (ใช้คำว่าอะไรนะอธิบายไม่ถูก)

ptsingha โพสต์ 2022-4-5 06:01:48

ขอบคุณมากครับ

Yud6565 โพสต์ 2022-4-5 06:18:35

ขอบคุณครับ

maravann โพสต์ 2022-4-5 06:22:53

ขอบคุณครับ

colo โพสต์ 2022-4-5 06:27:11

เล่าได้เก่งมาก เห็นภาพตามเลยครับ

Aquarius_Camu โพสต์ 2022-4-5 06:40:27

ีขอบคุณครับ

scaapp โพสต์ 2022-4-5 08:39:28

เรื่องราวน่าติดตามมากครับมีทั้งสุขทั้งเศร้าครบรสชาติของชีวิตเลย

nasan โพสต์ 2022-4-5 10:02:00

ขอบคุณครับรอตอนต่อไปครับ

piyapat69 โพสต์ 2022-4-5 12:01:19

ชอบ

winwin2 โพสต์ 2022-4-5 12:26:56

ขอบคุณครับ

Homealone โพสต์ 2022-4-5 12:45:29

ขอบคุณครับ

pai_2552 โพสต์ 2022-4-5 13:45:07

ขอบคุณครับ

lekthai โพสต์ 2022-4-5 13:58:59

ขอบคุณ ปัญหามาปัญญาเกิด

guide01 โพสต์ 2022-4-5 14:09:34

ขอบคุณมากนะครับ

Tonnamcha โพสต์ 2022-4-5 15:31:48

ขอบคุณครับ
หน้า: [1] 2 3
ดูในรูปแบบกติ: พี่ยักษ์ที่รัก [13] + เพิ่มเติม