รักพ่อดินที่สุดในโลกเลย ♥ [11]
เราจำได้ว่าสิ่งที่สองมันพูดกับเราวันนั้น...มันติดค้างอยู่ในใจเรานานมาก เราเองก็ไม่อยากจะคิดและไม่อยากจะสงสัยอะไรอีกแล้วแต่ในหัวก็เอาคำพูดของไอ้สองออกไปไม่ได้เลยถึงเราจะสงสัย และอยากรู้ความจริงมากแค่ไหน แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่กล้าถามพ่อดินเขาตรงๆ เพราะเรากลัวว่าสิ่งที่ไอ้สองพูดมามันจะคือเรื่องจริงถ้าต้องเป็นแบบนั้นเรารู้สึกรับไม่ได้ ก็เลยไม่ถามดีกว่า อย่างน้อยเรายังบอกตัวเองได้ว่าไอ้สองมันมั่วนิ่มเอาเอง...
และอาจจะเพราะสัญชาติญาณหรืออะไรไม่รู้ มันทำให้เราไม่กล้าที่จะแอบเล่นไอ้จู๋ของพ่อดินเขาอีกเลย เรารู้สึกเหมือนกับว่าที่ไอ้สองมันบอกมีความเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับสิ่งที่เรากำลังเล่นกับของพ่อเขา
ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่ามันคืออะไรและเราเองก็อธิบายไม่ได้ก็เถอะว่ามันเกี่ยวข้องกันยังไงแต่มันทำให้เราไม่กล้าจับของพ่อดินเขาเล่นอีกแล้ว
เหมือนในใจลึกๆพอเรารู้สึกคล้ายกับว่าเริ่มจะรู้ความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เราสงสัยมาตลอด เราก็เริ่มกลัวและไม่อยากรู้อีกแล้วว่าทั้งหมดระหว่างเราและพ่อดินคืออะไร...
หลังจากที่เราไปแข่งขันในงานวิชาการอีกไม่กี่อาทิตย์ต่อมาก็เข้าสู่ช่วงสอบและปิดเทอมพอดี
แม่เราก็เลยโทรมาบอกว่าเดี๋ยวจะมารับไปอยู่ด้วยช่วงปิดเทอมซึ่งไม่รู้ทำไมเหมือนกันเราเลือกที่จะปฏิเสธแม่ไปถึงแม้ว่าจะคิดถึงพ่อกับแม่เหมือนกัน แต่เราอยู่กับพ่อดินเขาก็สบายดี
แต่แม่เราเนี่ยสิ เหมือนจะบังคับว่ายังไงก็ต้องไปอยู่ที่กรุงเทพฯช่วงปิดเทอมเพราะเกรงใจพ่อดินเขา จะฝากเขาเลี้ยงตลอดเวลาก็ยังไงอยู่ ถึงพ่อดินจะช่วยพูดให้แล้วก็ตามว่าไม่เป็นไรแต่แม่เราก็ยังยืนยันว่าจะมารับอยู่ดี...
พ่อดินก็เลยบอกเราว่า ‘ไม่เป็นไร แค่เดือนเดียวเองเดี๋ยวยังไงหนูก็ต้องกลับมาอยู่ดี’
ก็ใช่...แต่ว่ามันไม่อยากไปแล้วนี่หน่า อยากอยู่ที่นี่อ่า!
----------
วันที่แม่เรามารับ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก จำได้ว่าพอแม่มาถึงก็แวะไปหายายก่อน แล้วพอถึงช่วงบ่ายก็พาเรานั่งรถโดยสารเข้าตัวอำเภอเพื่อตีตั๋วกลับในวันนั้นเลย
ตอนที่พ่อดินมาส่งที่อำเภอ จังหวะที่แม่ไปซื้อตั๋ว เราก็เลยกระซิบบอกพ่อเขาไปว่า‘พ่อดิน ตอนผมไม่อยู่...พ่อดินอย่ามีเมียนะฮะ’ ตอนนั้นในใจกลัวอยู่เรื่องเดียวเลย กลัวมากกลัวว่าพอเราไม่อยู่แล้วพ่อเขาจะมีเมีย...
พอพ่อดินได้ฟังก็หัวเราะลั่นเลย พร้อมกับบอกว่า ‘ไม่ต้องห่วงเลยเนี่ยพอหนูไม่อยู่ เดี๋ยวไอ้เมฆมันก็พาไอ้จอมมายึดบ้านพ่อแล้วแล้วพ่อจะเอาเวลาที่ไหนมีเมียได้ หือออ’ แล้วพอพูดจบก็ขยี้หัวเราเบาๆ
แล้วยิ่งพอตอนขึ้นรถนะ พอเห็นพ่อเขายืนโบกมือให้ เราก็รู้สึกใจหวิวๆสั่นๆแต่ก็ไม่ได้รู้สึกอยากร้องไห้อะไร แค่รู้สึกว่าไม่อยากไปเลย อยากอยู่กับพ่อเขามากกว่า...
แล้วพอมาถึง ชีวิตที่กรุงเทพฯ ก็ไม่ได้สนุกเหมือนกับเราตอนตัวเล็กๆอีกแล้วช่วงกลางวันพ่อกับแม่ก็ไปทำงาน เราก็ต้องนอนดูทีวีอยู่บ้านคนเดียวจะออกไปเล่นกับเด็กแถวนั้นก็ไม่ได้ เพราะวันแรกๆที่มาถึงพอไปเล่นด้วยก็โดนเขาแกล้ง เราเลยไม่อยากไปเล่นด้วยแล้ว
จะมีแค่ช่วงเย็นบางวันเท่านั้นแหละที่พ่อกับแม่จะพาเราไปเดินเล่นตลาดนัดแถวนั้นบ้างหรือถ้าวันไหนเลิกงานไวก็จะพาเราไปเที่ยวห้าง แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันทั้งที่เราน่าจะเฝ้ารอคอยช่วงเวลานี้มาตลอดแท้ๆ แต่กลับไม่มีความสุขเท่าที่ควรเลยมองอะไรก็นึกถึงพ่อดินเขาไปหมด...
วันเวลาของเราผ่านไปอย่างช้าๆ เพราะมันว่างมากด้วยแหละมั้งนอนอยู่แต่ที่ห้องทั้งวัน ทีนี้เวลาพ่อกับแม่พาไปเดินตลาดนัดเราเลยไม่อยากได้ของเล่นแล้ว
แต่กลับไปเลือกเอาพวกหนังสือและนิยายของเด็กมากกว่าเพราะเรารู้สึกว่าเวลาอ่านหนังสือมันจะเพลินและไม่ค่อยรู้สึกเบื่อเท่าไหร่ ไม่เหมือนกับของเล่น พอได้มาเล่นไม่นานเราก็เบื่อแล้ว
แล้วเย็นวันหนึ่งพ่อกับแม่เราก็พาเราไปเดินเล่นที่ตลาดนัดเหมือนทุกทีแต่วันนั้นเราเดินผ่านร้านขายเสื้อผ้ายีนส์มือสอง มีทั้งเสื้อแจ็คเก็ตแขนยาวและกางเกงยีนส์เต็มร้านไปหมด ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรแต่จังหวะกำลังเดินผ่าน สายตาเราไปเห็นเสื้อแจ็คเก็ตยีนส์ตัวใหญ่แขวนโชว์อยู่กลางร้าน พอเห็นแค่นั้นภาพในหัวเราก็คิดเลยว่าถ้าพ่อดินได้ใส่เสื้อตัวนี้จะต้องหล่อมากแน่ๆ
เราเลยหยุดเดินแล้วบอกพ่อกับแม่ว่าอยากได้เสื้อตัวนี้ให้พ่อดินซึ่งเราก็ไม่ได้จะขอเงินพ่อแม่ซื้อหรอก เพราะว่าก่อนจะมาพ่อดินเขาให้เงินเราด้วยตั้งหนึ่งพันแนะ แล้วเรายังไม่ได้ใช้เลยก็เลยอยากใช้ซื้อเสื้อให้พ่อเขาเนี่ยแหละ
ลุงเจ้าของร้านก็ทักท้วงมาว่าเสื้อมันใหญ่มากเลยนะ มันใหญ่ไปรึเปล่าก็เลยเอาออกจากไม้แขวนแล้วให้พ่อเราลองใส่เทียบขนาดดู
ปรากฏว่าหลวมโครกแถมแขนยาวเลยมาตั้งเยอะ...ก็แหงละพ่อเราไม่ได้ตัวสูงใหญ่เท่าพ่อดินเขาสักหน่อย 55555
พ่อกับแม่เราก็เลยบอกว่าให้เลือกไซส์อื่นมั้ยเหมือนตัวนี้น่าจะใหญ่ไปรึเปล่าอะไรงี้ แต่ตอนนั้นเรายืนยันเลยว่าจะเอาตัวนี้เราว่าตัวอื่นเล็กไป พ่อเขาใส่แล้วต้องฟิตแน่ๆ ถ้าตัวนี้น่าจะใส่ได้สบายๆ
พอเห็นเรายืนยันเสียงแข็งแบบนั้น ลุงเจ้าของร้านก็เลยยอมขายให้พร้อมกับบอกว่าเขาจะมาที่นี่อาทิตย์เว้นอาทิตย์ ถ้าซื้อไปแล้วหลวมเกินไปเอามาเปลี่ยนได้เลย...
แล้วด้วยความที่คำว่ามือสองสำหรับเราในวัยเด็ก เราคิดว่ามันคือของถูก
‘ถ้าไอ้หนูจะเอา ลุงคิดแค่พันเดียวแล้วกันปกติตัวนี้ลุงขายอยู่พันสองนะ...’
พอลุงพูดราคามาเท่านั้นแหละ เราถึงกับช็อคและตะลึงไปเลย เสื้อตัวนี้เป็นพันเลยหรอ?!!
เรายืนตัดสินใจอยู่ไม่นาน ก็ยืนยันว่าตกลงจะเอาเพราะเราอยากได้ไปให้พ่อเขาจริงๆ
แม่เราเลยช่วยต่อราคาให้อีกหน่อย สรุปก็คือได้เสื้อตัวนั้นมาในราคาเก้าร้อยบาทถ้วนเงินที่พ่อดินให้มาหนึ่งพันเท่ากับว่าเหลือร้อยเดียว 555555
แต่ไม่เป็นไรหรอก ได้เสื้อตัวนี้ไปให้พ่อเขา แค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว
--------
ยิ่งพอใกล้ถึงวันที่จะกลับอ่ะ แบบเหลือเวลาอีกสิบกว่าวันมันเหมือนเรานับวันรอเลยนะ อยากกลับมากๆแล้ว คิดถึงพ่อเขาสุดๆเลย
ตอนนั้นที่คิดออกก็มีวิธีเดียวคือต้องโทรไปหาลุงผู้ใหญ่บ้านแล้วให้ลุงผู้ใหญ่บ้านไปตามพ่อดินให้หน่อย เราก็เลยไปขอเบอร์ลุงผู้ใหญ่กับแม่ แล้วก็เอาเงินหนึ่งร้อยบาทที่เหลือจากซื้อเสื้อไปแลกเป็นเหรียญมา แล้วไปหยอดตู้
เชื่อมั้ยว่า...แค่เราโทรไปหาลุงผู้ใหญ่และพูดไม่กี่คำว่าขอให้ลุงผู้ใหญ่ไปตามพ่อดินมารับโทรศัพท์หน่อยไม่ถึงสองนาทีเลยมั้งหมดไปแล้วยี่สิบบาท
พออีกสักพักเราก็โทรกลับไปอีกลุงผู้ใหญ่ก็รับแล้วถามว่าใคร เราก็บอกอ้าวเมื่อกี้บอกจะคุยกับพ่อดิน ลุงผู้ใหญ่แกบอกว่าไม่รู้ว่าปลายสายคือใคร เลยไม่รู้จะไปตามไปบอกว่ายังไง...เราก็รีบพูดรีบอธิบาย กว่าจะรู้เรื่องและเข้าใจกัน ก็หมดเหรียญไปอีกแล้วสามสิบบาท...
หลังจากนัดแนะเวลากัน เราก็เดินเล่นบริเวณรอบตู้โทรศัพท์แต่คราวนี้ใจมันเต้นกว่าเก่า เพราะเงินมันเหลือแค่ห้าสิบบาทแล้ว ตอนแรกว่าจะคุยกับพ่อเขานานๆ ดูแล้วคงได้คุยแค่แปปเดียวแน่เลยแถมในใจก็กลัวว่าโทรไปรอบนี้ไม่รู้ลุงผู้ใหญ่จะไปตามให้รึเปล่า...
พอสักพักใหญ่เราก็วิ่งกลับไปที่ห้องแล้วดูเวลาพอเห็นว่ามันได้เวลาที่เรานัดว่าจะโทรไปอีกรอบแล้วก็รีบวิ่งกลับไปที่ตู้โทรศัพท์แล้วกดโทรไปทันที ในใจก็เต้นตึกตักๆขอให้รอบนี้พ่อดินมารับโทรศัพท์ด้วยเถอะ...
“ฮัลโหล”
พอได้ยินคำว่าฮัลโหลแค่นั้นแหละ เรานี่โล่งเลยเพราะเสียงที่พูดมานั้นคือเสียงของพ่อดิน
“มีอะไรรึเปล่า? หืมมม ไอ้ตัวแสบทำไมถึงโทรมาหาพ่อได้ละเนี่ย”
“ไม่มีอะไรฮะ...ผมคิดถึงพ่อดินเฉยๆ” เรารีบตอบกลับไปเพราะไม่มีเวลาโอ้เอ้มายืนคิดคำพูดแล้ว
“แค่คิดถึงเฉยๆเองเหร๊อ?”เสียงพ่อดินพูดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่กวนๆ
“ก็คิดถึงเฉยๆนี่ฮะ...”
“อ่ะๆ คิดถึงก็คิดถึง พ่อไม่กวนแล้ว ฮ่า ว่าแต่หนูมีอะไรอีกรึเปล่า?”
“ไม่มีฮะ...แล้วพ่อดินสบายดีมั้ยฮะ?”
รู้สึกว่าเราคิดถึงพ่อเขามากๆแต่พอได้คุยด้วยกลับคิดคำพูดไม่ค่อยออกเลยแหะ นอกจากพูดว่าคิดถึงๆ ซ้ำไปซ้ำมา...
พ่อดินก็บอกว่าสบายดี พร้อมกับว่าเนี่ยพี่เมฆมานอนเป็นเพื่อนแทบทุกวัน ไม่เหงาเลย แถมที่บ้านตอนนี้ก็เริ่มอากาศเย็นแล้ว ตื่นเช้ามามีหมอกลอยเต็มบ้านเลย
พอพ่อเขาเล่ามาแบบนี้ทำให้เรายิ่งอยากกลับไปมากขึ้นไปอีก
แต่ไม่ทันที่เราจะได้คุยกันรู้ความอะไรมาก ตู้มันกินเหรียญอย่างกับตู้สูบวิญญาณแนะจนสุดท้ายก็เหลือเหรียญสิบบาทสุดท้าย
“พ่อดินฮะ เงินผมหมดแล้ว...พ่อดินดูแลตัวเองด้วยนะฮะผมคิดถึงพ่อดินนะ...” เรารีบพูดตัดบทบอกพ่อเขาทันทีถึงแม้จะยังอยากคุยต่อแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ต้องจำใจวางเพราะเงินหมดแล้ว
“จ้าๆ หนูก็ดูแลตัวเองดีๆเหมือนกันนะไอ้ตัวแสบเดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว พ่อก็คิด...”
ไม่ทันที่พ่อเขาจะพูดจบประโยค ปลายสายก็ถูกตัดไปซะแล้วพร้อมกับเสียงของตู้โทรศัพที่กลืนกินเหรียญสุดท้ายไปด้วย
เราได้แต่ยืนอารมณ์ค้างอยู่ที่ตู้สักพักหนึ่ง ถึงได้เดินกลับเข้ามาในห้องอากาศที่เริ่มเย็นตัวลง มันยิ่งทำให้เรารู้สึกเหงาและคิดถึงพ่อเขามากขึ้นไปอีก...
---------
ตลอดเวลาที่ได้อยู่กับพ่อแม่ช่วงปิดเทอม ไม่ใช่ว่าเราไม่มีความสุขนะ ก็มีความสุขดี ซึ่งถ้าเป็นแต่ก่อนช่วงที่เราถูกทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียวแล้วยายก็ไม่ได้ดูดำดูดีอะไรเราเราคงโหยหาช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับพ่อและแม่มากที่สุด
แต่พอภายในระยะเวลาสามสี่เดือน ที่เราได้อยู่กับพ่อดินเขา พ่อเขาดูแลเราดีมากแทบไม่เคยดุ แล้วยิ่งเรื่องตีนี่ไม่มีทางเลย เวลาอยู่ด้วยกันพวกเราจะหาเรื่องนู้นนี่มานั่งคุยกันประจำทำให้เรากับพ่อเขาสนิทกันไวมาก
ไม่คิดเลยว่าพอต้องมาห่างกับพ่อเขานานเป็นเดือน มันกลับทำให้เรารู้สึกคิดถึงพ่อเขาได้มากขนาดนี้ คิดถึงมากขนาดที่บางทีเวลาพ่อกับแม่พาไปเดินตลาดนัด เรายิ่งนึกเห็นภาพเวลาที่พ่อดินเขาพาเราไปเดินเที่ยวตลาดในอำเภอเลย
ขนาดที่ว่าคืนนั้นเราเก็บไปนอนฝันว่าได้ยินเสียงพ่อเขาน่าจะเป็นช่วงกลางดึกเราเหมือนสะลึมสะลือได้ยินเสียงพ่อกับแม่คุยกับใครสักคน แต่เสียงนั้นเหมือนเสียงพ่อดินมาก เราก็คิดว่าเราฝันเลยไม่ได้ลืมตา
จนกระทั่งมีร่างของใครบางคนมานอนเบียดเสียดกับเรา (เราขอแยกนอนกับพ่อแม่ให้พ่อเอาผ้าห่มมากั้นทำห้องให้หลังตู้ที่วางทีวี เพราะตอนนั้นเราชอบอ่านหนังสือนิยายตอนกลางคืนเพราะมันได้บรรยากาศดีแล้วทีนี้มันต้องเปิดไฟอ่านหนังสือ ถ้านอนกับพ่อแม่ไฟก็จะแยงตาเขา)
“นอนเบียดๆกับน้องไปก่อนนะ น้าไม่รู้ว่าจะมาเลยไม่ได้เตรียมที่ไว้ให้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมนอนได้สบายมาก ปกติเวลานอนด้วยกันไอ้ตัวแสบเขาก็นอนเอาขาก่ายผมแทบทุกคืนอยู่แล้วฮ่า”
พอเหมือนหูเราได้ยินเสียงนี้ เรารู้สึกว่าเสียงพ่อดินแน่ๆแต่มันก็อยู่ในอาการที่ไม่อยากตื่น เพราะกลัวว่าจะเป็นแค่ฝัน
สุดท้ายก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาดู แล้วนอนหลับต่อไปทั้งอย่างนั้นแหละ
แต่พอเช้ามาถึงได้รู้ว่า พ่อดินเขามาจริงๆด้วย!!
ตอนนั้นเรารู้สึกดีใจมาก เพราะคิดไม่ถึงว่าพ่อเขาจะมาหาเพราะอีกไม่กี่วันเราก็จะได้กลับไปแล้ว
พ่อดินเล่าให้ฟังว่า ช่วงที่มาเนี่ยเขาว่างงานพอดีพอเห็นว่าไม่มีงานหลายวันแล้วมันว่างมาก เลยเข้ากรุงเทพฯมาหาเราดีกว่า กะจะมาเที่ยวด้วย แล้วก็ถือว่ารับเรากลับไปในตัวเลย พ่อกับแม่เราจะได้ไม่ต้องส่งให้ลำบาก
ถึงจะบอกว่าเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน แต่ในใจเรานั้นมันรู้สึกว่านานมากเพราะว่ามันเหมือนกับเรานับวันรออ่ะเนอะ เวลาทุกนาทีมันจะผ่านไปช้าสุดๆ แต่พอพ่อเขามาหาแบบนี้ ทำให้เราดีใจสุดๆไปเลย
--------
พอพ่อกับแม่เราได้คุยกับพ่อดิน แล้วเห็นว่าจะอยู่แล้วรับเรากลับทีเดียวเลยพ่อเราก็เลยเอาบัตรไปเล่นสวนน้ำที่หนึ่งมาให้ เผื่ออยากไปเที่ยวไปเล่นกันทีแรกพ่อเรากะว่าไว้ถ้าวันหยุดตรงกับแม่เมื่อไหร่จะพาเราไปเที่ยว เพราะได้บัตรเข้าฟรีมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่ว่างตรงกันกับแม่สักที
พ่อดินก็เลยรับมาแล้วบอกว่าเดี๋ยวพาเราไปเที่ยวเล่นให้ ยังไงก็ว่างอยู่แล้วไม่ได้ไปทำธุระที่ไหน
แล้วก่อนที่พ่อเราจะออกไปทำงาน เขาก็ให้เงินทิ้งไว้เผื่อต้องกินต้องใช้อะไรเพิ่มเติม
เราก็เลยได้โอกาสขอยืมกล้องถ่ายรูปไปด้วยเพราะปกติเวลาเราไปเที่ยวกับพ่อแม่จะพกกล้องถ่ายรูปติดไปประจำ
พ่อเราก็สอนวิธีใช้วิธีถ่าย เพราะสมัยก่อนมันเป็นกล้องฟิล์มอ่ะเนอะเวลาถ่ายมันก็จะต้องมีขั้นตอนนิดหน่อย ไม่ใช่กดชัตเตอร์แล้วได้เลยเหมือนกล้องดิจิตอลสมัยนี้
พ่อดินก็ยืนดูที่พ่อเราสาธิต พร้อมกับลองใช้งาน โดยการถ่ายรูปเราไปสองสามรูป พูดตามตรงปกติเราจะยืนให้พ่อหรือแม่เราถ่ายแต่พอคนถ่ายเป็นพ่อดินก็รู้สึกเกร็งเหมือนกันแหะ...
ก่อนจะเดินทางออกจากบ้าน เรานึกขึ้นได้ว่าซื้อเสื้อยีนส์ไว้ให้พ่อเขาในใจก็หวังอยากให้พ่อเขาใส่ไปเที่ยวเลยเนี่ยแหละ
พอพ่อดินเห็นก็ยิ้มกริ่มให้ พร้อมกับถามว่า ‘โหเสื้อแจ็คเก็ตยีนส์เลยหรอไอ้ตัวแสบ หนูซื้อมาหรอ? แล้วมันแพงรึเปล่าเนี่ย??’
เราได้แต่ส่ายหัวแล้วตอบว่า ‘ไม่แพงฮะ’ เราตอบไปแค่นั้นแต่เราไม่ได้บอกราคาจริงๆ เพราะกลัวว่าพ่อเขาจะไม่เอา
พ่อดินยกเสื้อขึ้นดู พลิกซ้าย พลิกขวา ก่อนจะยกเสื้อขึ้นแล้วสวมทับเสื้อยืดทันที
“ไง หล่อมั้ย?” พ่อดินหันมาถาม
“หล่อฮะ หล่อมากเลย!” เราตอบพลางคิดในใจว่าคิดถูกแล้วที่ซื้อเสื้อตัวนี้มาเพราะมันแทบจะพอดีกับขนาดตัวของพ่อเขาเลย
เหมือนเสื้อจะใหญ่กว่าตัวพ่อเขานิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ดูหลวมโครกอะไร
“งั้นป่ะ พ่อใส่ไปเที่ยวเลยนะ”
“ฮะ!!”
เราตอบกลับแบบยิ้มแก้มแทบแตกเพราะทีแรกก็กลัวเหมือนกันว่าพ่อเขาจะไม่ชอบ หรือเขาจะไม่ใส่มันรึเปล่า...
---------
แล้วพอไปถึง...ปรากฎว่าพ่อดินเล่นไล่ถ่ายรูปเราตั้งแต่หน้าทางเข้าเลยตรงไหนที่เขามองว่าทิวทัศน์สวยดูแปลกตา ก็ให้เราไปยืนโพสต์ท่าถ่ายรูป
เรียกถ่ายรูปทุกห้านาทีอ่ะ พ่อเขาดูเห่อกล้องสุดๆ!
กว่าจะเดินเข้าไปถึงบริเวณสวนน้ำก็ปาไปเกือบชั่วโมงเลย
ทีแรกตอนเข้าไปเห็นคนน้อยๆ เราก็อุตส่าห์โล่งใจคิดว่าวันนี้คนคงไม่เยอะที่ไหนได้...คนเขาก็ไปกระจุกกันอยู่ที่สวนน้ำกันเต็มไปหมด
เรานี่รู้สึกเลิ่กลั่กเลย...ก็เพราะว่าชุดว่ายน้ำที่เขามีให้เช่ามันก็ไม่ต่างอะไรจากใส่กางเกงในเลยน่ะสิ!!
พอเปลี่ยนชุดเสร็จเราก็รีบเอาผ้าขนหนูมาคลุมตัวไว้ เพราะรู้สึกอายมากๆ เหมือนเดินโป๊เลย
(ตอนที่มาครั้งแรกก็ใส่กางเกงว่ายน้ำแบบนี้นะ แต่ไม่รู้สึกอาย สงสัยเป็นเด็กน้อยมากอยู่มั้ง5555)
“มองกล้องหน่อย อ่า หนึ่ง สอง ซั่ม!”พอพ่อดินพูดจบ จังหวะเราหันไป ยังไม่ทันได้ยิ้มเลย พอเขาก็กดถ่ายแล้วถ่ายทั้งที่เรามีผ้าขนหนูคลุมตัวเนี่ยนะ!!!
“พ่อดินอ่า ถ่ายผมทำไม... ผมโป๊อยู่นะ...” เราทำหน้าบูดเล็กๆก็ไม่คิดว่าพ่อเขาจะเล่นถ่ายเราทุกอิริยาบทขนาดนี้
“ก็พ่อเห็นว่าแปลกดี คนอะไรมาเล่นน้ำแต่ยังกลัวโป๊อีก ฮ่า” พูดเสร็จมีการมาหัวเราะเยาะเราอีกแนะ
“แล้วพ่อดินไม่เล่นน้ำเป็นเพื่อนผมหรอฮะ?” เราถามเพราะไม่เห็นว่าพ่อเขาจะเปลี่ยนชุดเลย
“ถ้าพ่อลงเล่นตอนนี้ก็ไม่มีใครถ่ายหนูตอนเล่นน้ำอ่ะสิ”
พอพ่อเขาตอบมาแบบนี้ เราถึงกับหน้าเหวอเลย นี่พ่อจะถ่ายให้ฟิล์มหมดม้วนเลยหรอ?!
พอไปถึงจุดที่เราจะลงเล่นน้ำ เราก็ทำใจอยู่พักหนึ่ง พอเห็นว่าไม่มีใครมอง(แหงละใครจะมามอง 55555)
เรารีบดึงผ้าขนหนูออกแล้วฝากพ่อเขาไว้ แล้วรีบกระโดดลงน้ำทันที
เราเล่นน้ำพร้อมกับดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนาน พ่อดินก็เดินตามแล้วถ่ายรูปเราเป็นระยะจนสุดท้าย ถ่ายจนฟิล์มหมดม้วนจริงๆ...
พ่อเขาก็เลยเอากล้องและของไปเก็บในล็อคเกอร์ที่เขาให้เช่าพร้อมกับถอดเสื้อผ้าเปลี่ยนใส่ชุดว่ายน้ำมาเล่นกับเรา
ดูสิว่าแต่เราอาย... พ่อเขาก็อายเหมือนกันนั่นแหละ เพราะตอนเดินมาก็นุ่งผ้าขนหนูมาเหมือนกัน
“คนอะไรมาเล่นน้ำยังกลัวโป๊อีก...”เราย้อนคำพูดพ่อเขา พร้อมกับหัวเราะ
“อ้าวๆ ล้อพ่อเหรอ? จะไปเล่นมั้ยสไลเดอร์สูงๆน่ะเดี๋ยวก็ไม่พาไปซะหรอก” พูดจบพ่อเขาก็ย่อตัวลง แล้วเขกหัวเราเบาๆหนึ่งทีก่อนจะเอาผ้าขนหนูไปวางไว้ตรงที่นั่งของพวกเรา
พ่อดินเขาได้กางเกงว่ายน้ำขายาวด้วยอ่ะ (กางเกงว่ายน้ำที่เหมือนกางเกงปั่นจักรยานอ่ะ) ซึ่งกางเกงว่ายน้ำทรงนี้ เขามีให้เช่าเฉพาะคนอ้วนและตัวใหญ่เท่านั้น เราเองก็อยากใส่แบบนี้บ้าง...ไม่ได้อยากใส่ที่มันเหมือนกางเกงในสักหน่อย
แต่ว่า...ก็พอเข้าใจว่าทำไมพ่อเขาอาย เพราะตรงเป้าของพ่อเขามันปูดนูนออกมาชัดเจนมากเป็นลูกเลย
จังหวะเวลาย้ายที่เล่นกัน พ่อเขาก็จะคอยให้เราเดินนำหน้าเหมือนเอาช่วงหัวเราปิดตรงเป้าพ่อเขาเอาไว้ แล้วเหมือนพอเราเดินตัวติดๆกัน หัวเราก็ชนเข้าตรงเป้าของพ่อเขาเป็นระยะๆแล้วรู้สึกเหมือนจะแข็งตัวขึ้นหน่อยๆด้วย เราก็เลยเงยหน้าขึ้นไปมอง
“มองอะไรไอ้ตัวแสบ หืมมม เดินนำไปเลย”พูดจบพ่อดินก็จับหัวเราให้หันหน้าเดินตรงต่อไป...
เอ้า ก็ของพ่อเขาทิ่มหัวเรานี่หน่า
การเล่นน้ำของพวกเราเป็นไปอย่างเพลิดเพลินและสนุกสนาน สไลเดอร์นี่วิ่งขึ้นหลายรอบมาก เพราะพ่อเขาจะนั่งซ้อนข้างหลังเรา ทำให้เราไม่กลัวเลย แถมสนุกชอบใจไปอีก ตรงไหนที่มีสไลเดอร์ไหลลงจากที่สูงเราวิ่งเล่นหมดเลย อันที่จริงอยากเล่นตั้งแต่ตอนเด็กๆนู่นแล้ว แต่ไม่กล้า มาครั้งนี้พอพ่อเขานั่งข้างหลังรู้สึกไม่ค่อยกลัวมันเลยสนุกมาก
พอเล่นกันจนเหนื่อย เราก็พักขึ้นมาหาอะไรกินกัน แน่นอนว่าเราเตรียมจากบ้านมาแล้วก็เพราะว่า...เราเคยมาตอนเด็ก เราจำได้ดีเลยว่าของในนี้มันแพงมากเราเลยบอกให้พ่อดินเขาเตรียมใส่กระเป๋าแล้วเอาเข้ามากินข้างใน ก็ได้บรรยากาศเหมือนมานั่งปิคนิคกันนะ เพียงแต่ว่าคนเยอะไปหน่อยเท่านั้นเอง 55555
พวกเราเล่นกันต่อจนถึงบ่ายแก่ๆ พ่อดินก็พาเราขึ้นฝั่ง ทีแรกเราก็อิดออดเพราะยังไงก็ไม่ได้ไปไหนอยู่แล้วอยากเล่นจนถึงเย็นเลย...
แต่พอพ่อเขาบอกว่าเดี๋ยวพาไปเล่นเครื่องเล่นอย่างอื่นต่อ เท่านั้นแหละ โดดขึ้นจากสระน้ำอย่างไวเลยจ้า
จังหวะที่เราอาบน้ำล้างตัวเสร็จ แล้วเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน ตอนนั้นเราต่างก็แก้ผ้าล้อนจ้อนด้วยกันทั้งคู่
ทำให้เราได้เห็นเจ้าปลิงทะเลของพ่อเขาจะจะเต็มลูกตาอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เห็นมาตั้งนาน
แล้วในหัวจู่ๆ ก็มีคำพูดของไอ้สองขึ้นมา แล้วเราก็เหมือนจะเถียงกับตัวเองอ่ะว่าไม่ใช่หรอก สิ่งที่พ่อดินทำกับเรา มันไม่ใช่การเอากันแน่ๆ เราก็แค่เล่นกันเท่านั้นเอง
พอคิดได้แบบนั้น...เราก็เลยแกล้งพ่อเขา ด้วยการเอาปากงับเบาๆเข้าไปตรงกลางลำ
“เฮ้ย!!!!!!!” พ่อดินตะโกนร้องเสียงหลงพร้อมกับสะดุ้งตัวออกทันที
“…เล่นอะไรเนี่ยไอ้ตัวแสบ...” พอพ่อเขารู้ตัวว่าเผลอทำเสียงดังก็เลยออกไปก่อนจะลดเสียงลงและทุบหัวเราหนึ่งที
เราไม่ได้ตอบอะไรกลับไปพร้อมกับยิ้มแป้นแล้นกลับไป
ในใจตอนนั้นก็คิดว่า ไม่เห็นจะมีอะไรเลย...เราก็แค่เล่นกันจริงๆด้วย ไม่ใช่อย่างที่ไอ้สองพูดหรอก เรื่องพวกนั้นมีแต่คนในหนังโป๊เขาทำกันนั่นแหละ พ่อกับแม่เราเองก็คงไม่มีทางทำอะไรแบบในหนังโป๊นั่นแน่นอน
ไอ้สองมันมั่ว...
ก็เด็กอ่ะเนอะ เหมือนมันเป็นกลไกลอะไรบางอย่างที่สมองมันจะพยายามหาเหตุผลร้อยแปดเพื่อมาปกป้องโลกที่แสนสดใสของตัวเองให้ถึงที่สุด
--------
จากนั้นพ่อดินก็ไปซื้อตั๋วเครื่องเล่นที่หน้าทางเข้า ก่อนที่เราจะได้รู้ความจริงอีกอย่างว่า...เราส่วนสูงไม่ถึง ทำให้ได้ส่วนลดค่าบัตรเครื่องเล่นเหลือครึ่งราคาไปอีก (ถ้าเด็กคนไหนสูงเกินก็โดนคิดราคาผู้ใหญ่เลยนะ) รู้สึกโชคดีในความตัวเล็กกระจ้อยร้อยของตัวเอง...
หลังจากเราเดินแวะเล่นเครื่องเล่นกันไปเรื่อย ก็ไปถึงจุดนั่งพักตรงนั้นก็จะมีของกินของเล่น ของฝากที่ระลึกต่างๆขายมากมาย รวมถึงมีร้านกล้องด้วย!
พ่อดินไม่รอช้ารีบเข้าไปในร้านพร้อมกับซื้อฟิล์มเพิ่มมาทันที...จากนั้นมหกรรมถ่ายรูปก็เกิดขึ้นอีกครั้งถ่ายทุกจุด เราฉีกยิ้มจนเมื่อยอ่ะคิดดู
เราเข้าใจว่าที่พ่อเขาถ่ายเยอะขนาดนี้ คงเพราะพ่อเราบอกไว้ด้วยละมั้งว่าเวลาถ่ายรูปให้เผื่อเสียด้วย เพราะบางทีเวลาเอาไปล้าง รูปมันก็ใช้ไม่ได้ทั้งหมดแต่ก็นะ...ไม่คิดว่าพ่อเขาจะถ่ายเยอะขนาดนี้...
จากนั้นด้วยความที่เรายิ้มจนเมื่อยแล้ว เราก็เลยอยากลองเป็นตากล้องขอเป็นคนถ่ายรูปพ่อเขาบ้าง ทีแรกพ่อเขาก็ไม่ยอม แต่เราบอกว่าเราก็อยากได้รูปพ่อเขาไว้ดูเล่นเหมือนกันนั่นแหละถึงได้ยอมยืนเกร็งยิ้มให้เราถ่ายรูป
เราเดินถ่ายรูปกันจนเพลิน รู้ตัวอีกทีก็เย็นมากแล้ว จำได้ว่าบรรยากาศที่กรุงเทพฯตอนนั้นก็เหมือนช่วงนี้เลย พอตกเย็นมาอากาศจะเย็นขึ้นนิดๆ บวกกับแสงไฟหลากสีที่สวนสนุกทยอยเปิด
ทำให้พอคิดถึงช่วงเวลานั้นทีไรก็ทำให้ยิ้มและมีความสุขขึ้นมาได้ทุกที จะไปอยู่ที่ไหนก็ได้...ขอแค่มีพ่อเขาก็พอขอแค่นี้จริงๆ
เราเดินถ่ายรูปมาเรื่อยๆ จนถึงบริเวณทางออก จนเจอเข้ากับวิวม้าหมุนสองชั้นที่เปิดไฟหลากสีกระพริบ เป็นจุดให้คนแวะถ่ายรูป ก่อนจะเดินออกไปจากสวนสนุกแห่งนี้เยอะพอสมควร
หลังจากที่เรายืนให้พ่อเขาถ่ายรูปให้อยู่นั่น ก็มีครอบครัวพ่อแม่ลูก มาขอให้พ่อดินเขาถ่ายให้เพราะเขาอยากได้รูปครอบครัวสามคนพร้อมหน้า
“แต่ผมพึ่งจะหัดใช้กล้องนะ ถ้าถ่ายไม่สวย ผมขอโทษไว้ก่อนนะพี่ฮ่า” พ่อดินพูดแก้เขิน เพราะกลัวว่ารูปที่ถ่ายให้ครอบครัวนั้นจะออกมาไม่สวย
แต่ทางนั้นก็เหมือนไม่ได้ว่าอะไร เพราะยังไงก็ดีกว่าไม่มีคนถ่ายให้ละมั้ง
หลังจากพ่อดินถ่ายให้ครอบครัวนั้นเสร็จ อยู่ๆเราก็นึกขึ้นได้แล้วรีบวิ่งเข้าไปทันที
“คุณน้าฮะ รบกวนถ่ายรูปให้ผมกับพ่อหน่อย” เพราะเราเองก็อยากมีรูปคู่กับพ่อดินเข้าเหมือนกัน...
หลังจากนั้นคุณน้าคนนั้นก็ตกลง เราก็ไปยืนถ่ายรูปกัน รูปที่ถ่ายด้วยกันรูปแรกของพวกเรา ในใจก็คิดว่าขอให้รูปนี้เป็นรูปที่สมบูรณ์ ขอให้ตอนล้างออกมามันไม่เสียเพราะเราอยากจะได้เก็บไว้เป็นความทรงจำ...
จากนั้นทางสวนสนุกก็เริ่มประกาศว่าถึงเวลาปิดทำการแล้ว ผู้คนก็เริ่มทยอยออกกัน แต่คนตอนนั้นก็เริ่มบางตามากแล้วแหละ
แต่จังหวะจะถึงทางออก พ่อดินก็บอกกับเราว่าให้รอตรงนี้ก่อน อย่าไปไหน เดี๋ยวพ่อมา
ทีแรกเราก็เข้าใจว่าพ่อเขาจะไปเข้าไปห้องน้ำ เพราะเห็นพ่อเขาวิ่งหายไปข้างใน
สักพักใหญ่ก็ได้ยินเสียงยามหน้าประตูทางออกตะโกนบอกว่าหมดเวลาแล้ว ให้ออกมาได้แล้ว
พ่อดินก็เลยต้องเดินออกมา เหงื่อนี่เปียกโชกไปหมดเลยทั้งที่อากาศตอนนั้นก็ถือว่าเย็นเลยแหละ...
“พ่อดินเป็นอะไรรึเปล่าฮะ? ปวดท้องหรอ??” เราถามขึ้นเพราะเห็นว่าพ่อเขามีสีหน้าไม่ดีเลย
“เปล่าจ้ะ...คือว่า...พ่อทำกระเป๋าตังค์หาย”
…
---------
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ประโยคที่ว่าพ่อเขาทำกระเป๋าตังค์หาย มันทำให้เราร้องไห้ปล่อยโฮออกมาเลยทั้งสงสารพ่อเขาด้วย แถมในใจก็รู้สึกผิด เหมือนเป็นเพราะเรา เพราะพ่อเขาพาเรามาเที่ยวก็เลยทำให้กระเป๋าตังค์หาย
“ผมขอโทษ ผมขอโทษ เพราะพ่อดินพาผมมาเที่ยวเลยทำให้กระเป๋าตังค์หาย...ผมขอโทษ” เราได้แต่พูดซ้ำๆวนไปแบบนั้น กำลังจะเป็นวันที่ดีและมีความสุขมากแล้วแท้ๆเชียว ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วย
“ไม่เป็นไรๆ ไม่ใช่ความผิดหนูสักหน่อย โอ๋ๆ หยุดร้องนะคนดี”
พ่อดินยืนปลอบเราอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะนั่งคิดกันว่าจะเอายังไงต่อดีจะกลับบ้านกันยังไง แต่ก็เหมือนจะมีความโชคดีในโชคร้าย ที่ตอนเราไปซื้อน้ำหรืออะไรสักอย่าง แล้วมันมีเงินทอนเหลือติดกระเป๋าเราอยู่ยี่สิบบาท ที่เราลืมคืนพ่อเขา
ทำให้พวกเรามีค่ารถเมลล์นั่งกลับบ้าน โดยตอนกลับพ่อดินเขาก็ให้เรานั่งตัก เพราะกระเป๋ารถเมลล์เขาจะได้คิดค่าโดยสารแค่คนเดียว แล้วเศษที่เหลือเอาไว้นั่งรถสองแถวอีกต่อหนึ่งเข้าบ้าน
แต่ในยุคสมัยนั้นอ่ะ เวลาทุ่มหรือสองทุ่มเนี่ย มันก็ถือว่าดึกเหมือนกันนะ สำหรับกรุงเทพฯที่ไม่ใช่เขตพื้นที่ในเมือง เราก็พึ่งรู้จากคนในตลาดว่ารถสองแถวที่นี่หมดไปตั้งแต่หนึ่งทุ่มแล้ว เพราะเรายืนรอกันนานแล้วไงไม่เห็นมาสักที
...
สุดท้ายพวกเราก็เลยได้แต่เดินเท้าไปตามทาง เราก็รู้สึกว่าไม่เป็นไรเดินไปคุยไปกับพ่อเขาไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว (ซึ่งอันที่จริงระยะทางมันเป็นสิบกิโลเลยนะจากปากทางไปจนถึงห้องเช่าที่พ่อกับแม่เราอยู่ แต่ด้วยความที่กรุงเทพฯมันจะมีบ้านมีตึก ตามรายทางเป็นระยะๆ ตลอดทางก็เลยดูไม่เวิ้งว้าง เหมือนไม่ค่อยไกลเท่าไหร่)
แต่เหมือนปัญหามันจะไม่ใช่ระยะทางที่ไกลแค่อย่างเดียว ไหนจะที่เราเที่ยวเล่นมาทั้งวันแถมตอนนี้ก็เริ่มหิวแล้วด้วย...
ยิ่งเดิน เสียงท้องร้องก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ พอเพลียมากๆ ก็เริ่มง่วง
แต่เราก็พยายามถ่างตาตื่นเพราะไม่อยากให้พ่อเขาเห็นว่าเราง่วง
เดี๋ยวพ่อเขาจะให้เราขี่คออีก ซึ่งเราไม่อยากเป็นภาระพ่อเขาแล้ว แค่เดินต้องเดินไกลก็เหนื่อยจะแย่แล้วถ้าจะต้องมาแบกเราอีก คงไม่ดีแน่ๆ
พอเดินไปได้สักพัก รู้สึกเหมือนจะใกล้ถึงครึ่งทางแล้ว ตรงจุดนั้นจะเป็นเหมือนสี่แยกไฟแดงแล้วมีร้านขายของเยอะ ด้วยความที่เราขึ้นรถเมล์กันมาแค่ต่อเดียว ทำให้ยังพอมีเงินเหลืออยู่เราเลยเอาเงินสิบกว่าบาทที่เหลืออยู่ไปซื้อน้ำเปล่าโพลาริส(จะเป็นน้ำดื่มลักษณะเป็นขวดสีขาวขุ่นสมัยนั้นจะตกขวดละห้าบาทแต่ขวดจะใหญ่กว่าพวกน้ำดื่มขวดใสทั่วไป) กับขนมโก๋ ที่เป็นขนมแป้งถ้ากินเปล่าๆจะฝืดคอต้องดื่มน้ำตามเยอะๆ
“พ่อดินฮะ... น้ำกับขนมฮะ”เรายื่นน้ำกับขนมให้พ่อเขากิน
“อ้าว ...หนูไม่กินเหรอ? ไอ้ตัวแสบ”
เรายิ้มพร้อมกับส่ายหัวให้พ่อเขา เรารู้ดีว่าเวลานี้มันเลยเวลาข้าวเย็นของเราทั้งสองคนแล้ว และพ่อเขาก็เป็นคนที่กินข้าวเยอะมากๆ ลำพังขนมแค่นี้ทำให้อิ่มท้องไม่ได้หรอกเต็มที่ก็ช่วยให้ประทังความหิวได้นิดหน่อย
“เอาน่า...กินหน่อย อ่ะ แบ่งกันก็ได้” พ่อดินหักขนมครึ่งหนึ่งพร้อมกับส่งมาให้เรา
เราก็เลยหักขนมออกนิดหน่อย แล้วก็ส่งคืนให้พ่อเขา แล้วทำหน้าเหมือนไม่อยากกิน
ถึงแม้ความจริงเราจะหิวเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร เราพอจะอดทนได้
“หืออออ หนูเป็นอะไร อย่าบอกนะว่าง่วงแล้ว... ดูสิตาแดงก่ำเชียว”
เรายิ้มแล้วส่ายหัวให้พ่อเขาให้อีกรอบ แต่คราวนี้เหมือนเราทำเพราะจะสลัดความง่วงออกไปด้วย
“อ่ะ ไม่กินก็ไม่กิน งั้น...มาขึ้นขี่หลังพ่อมา เดี๋ยวเผื่อหนูง่วงจะได้หลับไปเลย” หลังจากที่พ่อดินพักกินขนมและน้ำเสร็จแล้วก็นั่งย่อตัวลงทำท่าพร้อมให้เราขึ้นขี่หลัง
“ไม่เป็นไรฮะ...ผมเดินไหว” เราพยายามจะปฏิเสธเพราะไม่อยากให้พ่อเขาเหนื่อย
“แน่ะ...พ่อบอกก็ให้ทำตาม...อย่าดื้อสิ”
เอาอีกแล้ว น้ำเสียงพิฆาต พอพ่อเขาทำน้ำเสียงแบบนี้ทีไรเหมือนเป็นอันรู้กันว่าเราต้องทำตามที่พ่อเขาพูดห้ามงอแงต่อเด็ดขาด
หลังจากนั้นเราก็พยายามชวนพ่อเขาคุย เพราะกลัวว่าจะหลับเราไม่อยากให้พ่อเขาแบกเราไปตลอดทางแบบนี้ รู้สึกเหมือนว่าเรากำลังรู้สึกสบายอยู่คนเดียวเราไม่อยากเอาเปรียบพ่อเขา
แต่ว่าความง่วงเวลาที่มันง่วงสุดๆ มันก็ฝืนไม่ไหวแล้วจริงๆ
“พ่อดินฮะ...ผมไม่ไหวแล้ว ผมก็หลับตาแปปนึงนะฮะ” เราบอกพ่อเขาไปแบบนั้นเพราะใจจริงอยากจะแค่หลับตาแปปเดียวเฉยๆ
“จ้าๆ หลับไปเถอะ พ่อไม่วางหนูทิ้งไว้ข้างทางหรอกสบายใจได้ ฮ่า”
พอพ่อเขาตอบกลับมาแบบนั้นเราก็ได้แต่แอบยิ้ม แล้วก็ซบลงบนแผ่นหลังหนาใหญ่ที่แสนสบายนี้ พร้อมกับได้ยินเสียงผิวปากของพ่อเขา มันเป็นทำนองที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและหลับไปในที่สุด...
--------
เท่าที่จำได้ วันนั้นเรากลับมาถึงบ้านได้ยังไง มันจำไม่ได้เลย รู้สึกตัวอีกทีคืออยู่บนที่นอนตอนเช้าแล้ว กะว่าจะหลับแปปเดียวเองนะ...ทำไมเป็นแบบนี้
พ่อกับแม่เราก็บอกว่าทำไมไม่พากันนั่งแท็กซี่มา แล้วค่อยมาเอาเงินที่นี่ไปจ่ายเขา ซึ่งตอนนั้นเราทั้งคู่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย ก็เลยพากันมองหน้ากันแล้วหัวเราะว่ามีวิธีแบบนี้ด้วยหรอ
แล้วเมื่อคืนพากันเดินซะตั้งไกล 55555
หลังจากนั้นพ่อดินก็ค้างอยู่กับเราต่ออีกวันสองวัน แล้วก็เลยบอพ่อแม่เราว่าขอพาเรากลับไปเลยเพราะมันใกล้จะถึงวันเปิดเทอมแล้ว
ถึงแม้ตลอดเวลาที่เราอยู่กับพ่อแม่ เราอยากจะกลับตลอดเวลา แต่พอเอาเข้าจริงก็รู้สึกหวิวๆเหมือนกัน
พ่อกับแม่มาส่งเราที่หมอชิตใหม่ แต่ด้วยความที่พอซื้อตั๋วเสร็จต้องรอรถนานพวกเขาก็เลยกลับไปก่อน รอบนี้เราไม่ร้องไห้นะ ถึงจะรู้สึกใจสั่นนิดๆ แต่ก็พอทนได้
แล้วช่วงนั้นถ้าเป็นวันปกติ ตอนกลางคืนคนจะเดินทางน้อย รถที่เราตีตั๋วกันน่ะมาเทียบท่าตั้งนานแล้วแต่จอดรอคนอีกราวๆสองชั่วโมงได้มั้ง
พอได้คนพอประมาณ เขาก็ประกาศเรียกให้ขึ้นรถ แต่ก็ยังไม่ได้ออกอีกนะ แค่สตาร์ทรถให้คนที่ตีตั๋วแล้วทยอยขึ้นที่นั่งเฉยๆ
ซึ่งที่นั่งที่พ่อดินตีตั๋วไว้ก็เป็นแถวหลังสุดเลยที่เป็นเบาะยาวนั่งได้สี่ห้าคนท้ายรถนั่นน่ะ
“ทำไมถึงเลือกที่นั่งแถวสุดท้ายหรอฮะ?”เราถามด้วยความสงสัย เพราะถ้าตีตั๋วเบาะคู่ไม่นั่งสบายกว่าหรอ มานั่งเบาะนี้เดี๋ยวก็มีคนอื่นมานั่งด้วยอีก
“เดี๋ยวพอรถออกหนูจะได้นอนสบายไง”
พอพ่อเขาตอบกลับมาแบบนั้น เรากลับงงเข้าไปใหญ่ เพราะเบาะคู่ก็นอนสบายเหมือนกัน
แต่พอสักพักใหญ่ที่รถออกไปได้สักระยะ พ่อเขาก็อธิบายว่าเพราะตอนตีตั๋วดูแล้วคนน่าจะขึ้นไม่เยอะ
ถ้าเกิดตีตั๋วเบาะท้ายสุด พอเด็กรถมาเช็คตั๋วแล้วเราก็สามารถนอนโดยเอาหัวมาหนุนตักพ่อเขาแล้วเหยียดขายาวบนเบาะได้ทำให้หลับสบายขึ้น
ตอนฟังก็ได้แต่อึ้ง ไม่คิดว่าพ่อเขาจะคิดเผื่อขนาดนี้ แต่ก็ต้องขอบคุณพ่อเขานะเพราะการตีตัวรถกลับบ้านครั้งนั้นทำให้ตลอดทางเรานอนหลับสบายจริงๆ
--------
หลังจากนั้นไม่กี่วันเราก็เปิดเทอม และกลับไปเรียนตามปกติ จนเวลาผ่านไปอีกหลายอาทิตย์เย็นวันนั้นเรากลับมาถึงบ้าน ก็เห็นพี่เมฆกับพี่จอมนั่งอยู่ในห้องเหมือนกำลังนั่งดูอะไรกันอยู่
พอเราเดินเข้าไปใกล้ๆ ถึงได้เห็นว่าเขากำลังนั่งดูรูปถ่ายที่พ่อดินเอาไปล้างที่ร้านถ่ายรูปที่ตัวอำเภอมา แต่ในอัลบั้มรูปนั้นส่วนใหญ่มันมีแต่รูปเราเนี่ยสิ แถมมีแต่รูปหน้าประหลาดๆทั้งนั้นเลย! จมน้ำบ้าง สำลักน้ำบ้าง กำลังดำผุดดำว่ายอยู่อะไรก็ไม่รู้!!
แล้วส่ายตาเราไปสะดุดเข้ากับรูป รูปหนึ่งที่ถูกตั้งไว้บนหัวนอนข้างนาฬิกาปลุก ที่รู้สึกแปลกตาเพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอะไรแบบนี้ตั้งอยู่นอกจากกระปุกออมสินและนาฬิกาปลุก
พอเราหยิบขึ้นมาดูถึงกับอมยิ้มเพราะรูปนั้น เป็นรูปคู่ของเรากับพ่อเขาที่ถ่ายตรงชิงช้าสวรรค์ก่อนจะกลับ เราที่ยิ้มให้กล้องจนตาหยีแก้มแทบแตก แต่พ่อดินกลับทำหน้านิ่งเหมือนโกรธใครมา ซึ่งอันที่จริงมันก็คือหน้าปกติของพ่อเขานั่นแหละ แต่ยิ้มหน่อยก็ได้!555555
ถึงจะอย่างนั้น... เราก็ชอบนะ เพราะหยิบมาดูทีไร มันเหมือนความทรงจำวัยเด็กของเรามันพรั่งพรูไหลเข้ามาในหัวเต็มไปหมดเลย
รูปใบนี้มีมันมีค่า มีความสำคัญและมีความหมายมากสำหรับเราจริงๆ
เยี่ยมครับ พ่อดิน อบอุ่นเสมอ อ่านไปก็ยิ้มไป ไปงับปลิงน้อยตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก เดี๋ยวถ้าแปลงร่างขึ้นมาต้องลำบากรีดนมข้นอีกนะ{:5_137:}{:5_137:} ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ ไปงับปลิงทำม๊าย... {:4_97:}/บรรยากาศเที่ยวกันทั้งวันอ่านแล้วเพลินมากอ่ะอ่านไปยิ้มไป{:5_135:} ความทรงจำสีจางๆ ขอบคุณครับ ตอนนี้พออ่านวิถีชีวิตสมัยก่อน รู้สึกเหมือนย้อนเวลาไปเลย ตู้หยอดเหรียญเพื่อโทรศัพท์ กล้องถ่ายรูปงี้ ขอบคุณครับ
แปปเดียว ไม่เคยมีอยู่จริง 5555555
พ่อเค้าไม่มีงาน หรือพ่อเค้าไม่รับงานเพราะเหงา คิดถึงใครกันน๊าาาาาาาาาาา
อ่านดูก็รู้แหละว่าเป็นข้ออ้าง เพราะไม่มีกำลังใจในการทำงานแล้ว
ไม่ใช่แค่เรานับวัน พ่อเค้าก็น่าจะนับวันด้วย ยิ้งได้ยินเสียงในโทรศัพความอดทนที่เคยมีมันคงหมดลงทันที ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับคุณมิน สนุกมากครับ ขอบคุณครับ รูปแทนความทรงจำดีดี รูปเพียงรูปเดียวแค่ได้เห็นหน้าคนที่เรารักความทรงจำต่างๆก็พลั่งพลูออกมามากมาย ที่ผมกลัวตอนนี้คือลัวจะจำเจ้าตัวเล็กไม่ได้ เลยต้องเอารูปตัวเล็กไว้ทุกที่ที่สามารถเห็นเขาได้ตลอด คิดถึงมากๆ ขอบคุณนะครับสำหรับเรื่องราวดีดีที่เล่าให้ฟัง อ่านแล้วรู้สึกถึงความรักและก็ความสุขของทั้งสองคนเลย ขอบคุณครับ มีความสุขครั้งที่่ได้อ่าน ขอบคุณครับ ชอบมาก รออ่านต่อ ขอบคุณครับ ตอนนี้น่าเป็นความทรงจำดีๆ ช่วงวัยเด็กตอนนึงที่ดูอบอุ่นนะครับ พ่อดินมีความเป็นพ่อสูงมาก โชคดีของคุณมินจริงๆ
หน้า:
[1]
2