ข้าวจี่ร้อนๆ
http://board.postjung.com/data/551/551176-topic-ix-0.jpgข้าวจี่ http://board.postjung.com/data/532/532836-topic-ix-0.jpg
ข้าว จี่ คือข้าวเหนียวปั้นขนาดเท่ากำมือ โรยเกลือนำมาปิ้งบนถ่านไฟ ชุบไข่ไก่ แล้วนำไปย่างอีกรอบรับรองว่าแซบอีหลี.. หนาวๆ แบบนี้ได้ข้าวจี่ร้อนๆ กลิ่นหอมๆ สีเหลืองน่ารับประทานสักก้อนก็น่าจะดีทีเดียว ข้าวจี่เป็นอาหารที่นิยมกินในฤดูหนาว เพราะคนสมัยก่อนจะนิยมนั่งผิงไฟคุยกัน แล้วก็ทำข้าวจี่กินแก้หนาวไปด้วย อีกอย่างช่วงนี้เป็นฤดูหลังเก็บเกี่ยวข้าว ข้าวใหม่จะมีกลิ่นหอมและนุ่ม จึงเหมาะที่จะนำมาทำข้าวจี่กินกันเป็นอย่างมาก
แต่บ้างก็ว่า เป็นเพราะชาวอีสานชอบเดินทางไกลหลังฤดูทำนา จึงต้องเตรียมอาหารเก็บไว้กินนานๆ ซึ่งนั่นก็คือข้าวจี่ และเมื่อทำมากพอสมควรก็จะนำไปถวายพระ จนกลายเป็นประเพณีทำบุญข้าวจี่
เดือนสามค้อย เจ้าหัวคอยปั้นข้าวจี่
ข้าวจี่บ่ใส่น้ำอ้อย จัวน้อยเช็ดน้ำตา
( ปลายเดือนสาม พระสงฆ์จะคอยชาวบ้านทำบุญถวายข้าวจี่ถ้าข้าวจี่ไม่ทาน้ำอ้อย สามเณรน้อยจะร้องไห้ )
เป็น คำผญาที่บ่งบอกว่า ในสมัยโบราณข้าวจี่ถือเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำหรับคนอีสานมาก ดังจะเห็นได้จากพิธี บุญเดือนสาม ในฮีตสิบสอง ซึ่งเป็นประเพณีที่ชาวอีสานจะทำข้าวจี่ไปถวายพระที่วัด หรือที่เรียกว่า บุญข้าวจี่ ซึ่งเป็นประเพณีงานบุญเดือนสามของชาวอีสานที่ทำร่วมกันในชุมชน การทำข้าวจี่ของคนสมัยก่อนนี้ชาวบ้านจะปั้นข้าวเหนียวนึ่งสุกให้มีขนาดเท่า ไข่ห่านหรือเท่ากำมือ โรยเกลือ แล้วใช้ไม้ไผ่เสียบเป็นแถวประมาณ 5-8 ก้อนต่อไม้ จากนั้นนำไปปิ้งบนเตาถ่านพร้อมพลิกกลับไปกลับมาจนข้าวเหนียวสุกเหลืองเสมอ กัน แล้วนำไข่ไก่ที่ตีแล้วมาทาให้ทั่วก้อนข้าวหลายๆ ครั้งเพื่อให้ไข่ติดข้าว แล้วนำไปปิ้งบนเตาถ่านจนไข่สุกเหลืองส่งกลิ่นหอม นำข้าวที่สุกแล้วมาถอดออกจากไม้เสียบ นำก้อนน้ำอ้อยมายัดใส่ในรูไม้เสียบ เป็นอันเสร็จ ซึ่งจะเห็นว่าแตกต่างจากข้าวจี่ในปัจจุบัน ซึ่งเรามักจะเห็นแต่ข้าวจี่ทาไข่, ข้าวจี่โรยเกลือ
http://board.postjung.com/data/532/532836-topic-ix-1.jpg
ใน การทำบุญข้าวจี่นี้ชาวบ้านจะทำเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำเพื่อใส่บาตรเท่านั้น แต่จะทำเพื่อแจกจ่ายผู้คนหรือแลกเปลี่ยนกัน เมื่อได้ข้าวจี่แล้ว ชาวบ้านจะนำมารวมกันที่วัดพร้อมกับนิมนต์พระภิกษุสามเณรมารับบิณฑบาต ชาวบ้านจะนำข้าวจี่มาใส่บาตรพร้อมกัน เมื่อถวายภัตตาหารและข้าวจี่เรียบร้อยแล้ว พระภิกษุจะเทศน์ อานิสงส์บุญข้าวจี่ 1 กัณฑ์เพื่อเป็นการอธิบายให้เห็นว่า การทำบุญด้วยข้าวจี่นั้นได้อานิสงส์มากเช่นเดียวกับการทำบุญด้วยวิธีอื่น ส่วนตอนบ่ายจะมีการเทศน์นิทานชาดก โดยส่วนใหญ่จะเป็นนิทานพื้นบ้านทางภาคอีสาน เช่น ท้าวก่ำกาดำ, จำปาสี่ต้น ฯลฯ
อานิสงส์ถวายข้าวจี่
มีเรื่องเล่าความเชื่อเกี่ยวกับ อานิสงส์ถวายข้าวจี่ ในหนังสือธรรมบทซึ่งกล่าวเอาไว้ว่า... ครั้งเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับอยู่ที่กรุงราชคฤห์นั้น มีนางผู้หนึ่งชื่อ นางปุณณา นางมีหน้าที่ต้องไปตักน้ำซึ่งอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านทุกวัน นางจึงต้องเตรียมอาหารเช้าไปกินระหว่างทางด้วย โดยนางจะนำข้าวผสมรำอ่อนมาปั้นเป็นก้อนแล้วนำไปย่างไฟจนสุกเกรียม
เช้า วันหนึ่งขณะที่นางปุณณากำลังเดินทางเพื่อไปตักน้ำตามปกติ นางเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จพร้อมพระอานนท์ผ่านมา นางจึงเกิดศรัทธาอยากที่จะถวายสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า เราตกทุกข์ได้ยากลำบากทั้งกายใจ มีชีวิตอยู่ไปวันๆ เท่านั้นก็เพราะเราไม่ได้ให้ทานรักษาศีลทำบุญไว้ในชาติก่อนและชาตินี้เป็น แน่ ในตอนนี้เราได้มีโอกาสพบกับพระพุทธเจ้าแต่ไม่มีของที่จะถวาย จะมีก็แต่ข้าวจี่ปั้นนี้ซึ่งเป็นอาหารที่ไม่ได้ทำด้วยความประณีต พระพุทธเจ้าจะทรงอนุเคราะห์ฉันหรือ แต่พระพุทธเจ้าท่านย่อมมีพระเมตตามหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ย่อมไม่รังเกียจ ว่าเป็นของเลวหรือของประณีต
เมื่อนางคิดได้ดังนั้น นางจึงตัดสินใจที่จะเดินไปหาพระพุทธเจ้าพร้อมอาราธนา... ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงรับข้าวจี่ของหม่อมฉันผู้ยากจนเถิด... พระพุทธเจ้าจึงทรงเปิดฝาบาตรรับข้าวจี่ของนาง แล้วพระองค์จึงเสด็จต่อไปยังบ้านเศรษฐี แต่นางปุณณายังคงมองพระองค์พร้อมอดคิดในใจไม่ได้ว่า ที่เรือนเศรษฐีล้วนมีแต่ภัตตาหารของดีๆ รสชาติโอชาและประณีตซึ่งเทียบกับข้าวจี่ของนางไม่ได้เลย คงไม่พ้นที่พระพุทธเจ้าจะโยนข้าวจี่ของนางทิ้งให้สุนัขกินเป็นแน่
แต่ ปรากฏว่าพระพุทธองค์ทรงเสวยข้าวจี่จนหมด เพราะพระพุทธเจ้าทรงทราบดีว่า การทำบุญนั้นขึ้นอยู่กับศรัทธา มิได้อยู่ที่ราคาสิ่งของที่นำมาทำบุญ จากนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงเทศน์โปรดนางปุณณา เมื่อนางได้ฟังแล้วเกิดซาบซึ้งในพระธรรมจนเกิดบรรลุโสดาปัตติผล
ปัจจุบัน เราจะเห็นข้าวจี่ที่แม่ค้าเขาทำขายเป็นลักษณะก้อนกลม เป็นข้าวจี่โรยเกลือและทาไข่เพราะทำง่ายและวัตถุดิบก็น้อย บางเจ้าอาจจะมีแจ่วแถมมาให้จิ้มเพื่อช่วยเพิ่มรสชาติ บางเจ้าอาจจะมูลข้าวเหนียวกับกะทิเพื่อให้ข้าวเหนียวนุ่มอร่อยขึ้น ก็แล้วแต่เคล็ดลับของใครของมัน แล้วแต่ว่าใครจะชอบแบบไหน
ว่าแล้ว หนาวนี้ไปหาซื้อข้าวจี่ร้อนๆ กลิ่นหอมฉุยมากินก็น่าจะดี หรือไม่...ถ้ามีเวลาก็ลองทำข้าวจี่กินกันเอง นั่งล้อมรอบกองไฟเพื่อคลายหนาว พร้อมกับพูดคุยกันไปแบบไทบ้าน ก็ได้บรรยากาศอีกแบบ...
ขอขอบคุณ : หนังสือสารานุกรมวัฒนธรรม ภาคอีสาน, www.84000.org
http://guideubon.com/news/view.php?t=99&s_id=8&d_id=8
http://board.postjung.com/data/532/532836-topic-ix-2.jpg
ข้าวจี่ - นิยมรับประทานกันในฤดูหนาวเพราะชาวบ้านจะมานั่งจะมานั่งผิงไฟ
แล้วทำการจี่ข้าวกันไปผิงไฟกันไปเป็นการแก้หนาว
และอีกเหตุผลหนึ่งช่วงนี้เป็นช่วงหลังเก็บเกี่ยวข้าวเหนียวที่ได้จะมีกลิ่นหอมนุ่ม
เหมาะแท้ที่จะนำมาทำการจี่กิน ด้วยเหตุนี้ในช่วงฤดูหนาวจึงเหมาะที่จะจี่ข้าวกินกัน
เครื่องปรุง
ข้าวเหนียวนึ่งสุก ไข่ไก่หรือไข่เป็ดก็แล้วแต่ความชอบของใครของใคร น้ำปลา
วิธีทำ
-นำข้าวเหนียวนึ่งสุกมาปั้นเป็นก้อนกลมๆ หรือรูปร่างตามที่ชอบ
-ทำการจี่ด้วยไฟอ่อนๆ ให้เหลืองพองาม
-ตีไข่ให้แตก ใส่น้ำปลา
-นำข้าวที่ปิ้งมาจุ่มลงในไข่ที่เตรียมไว้แล้วทำการจี่ต่อไปจนสุก
เคล็ดไม่ลับ
-สามารถประยุกต์วิธีทำและเครื่องปรุงตามความคิดได้
คุณค่าอาหาร
-วิตามิน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต
น่ากินมาก ยิ่งตอนอากาศหนาว กินแล้วอร่อยเปนพิเศษ เพิ่งเคยเห็นครับ
ท่าทางจะอร่อยนะครับ
หน้า:
[1]