*** บิ๊กบอส ภาคล้างแค้น ตอนที่ 8 [COPY] ***
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย pipolucky เมื่อ 2024-1-30 23:31ตอนที่ 8
“พี่สัญญา”
ระหว่างที่ผู้กองหนุ่มเผลอตัวเขาใช้ด้ามกระบอกปืนกระแทกเข้าที่กระหมับสุดแรงเกิด จนร่างนั้นหมดสติฟุบ ลงกับพื้น มีเลือดไหลอาบออกมาตามแก้ม จัดการใช้เข็มขัดและสายไฟมัดมือ มัดเท้าไว้อย่างแน่นหนา รำพึงกับร่างที่ไม่ได้สติ
“พี่ขอโทษนะน้องรักที่ต้องทำอย่างนี้ เพื่อความปลอดภัยของพี่และน้องด้วย”
ท่องจำชื่อและที่อยู่ของแม่และน้องสาวจักรภพไว้ในสมองจนขึ้นใจ ตลอดถึงแผนการที่จะให้การคุ้มครอง สองแม่ลูกตามสัญญา บันไดแห่งอิสรภาพกลับคืนมาสู่เขาอีกครั้ง
ภาณุพลจับเขามาขังไว้เพื่อเหตุผลทางธุรกิจและอำนาจของตน ผู้กองจักรภพตกอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของมัน จนหมดทางกระดิกกระเดี้ย ยอมทำตามทุกสิ่งทุกอย่างสุดแต่จะบัญชาการมาโดยสัตย์ซื่อเอาชีวิตเป็นประกันเพื่อความอยู่ดีกินดีของตนตลอดถึงแม่และน้องสาวซึ่งกำลังอยู่ในวัยเรียน สุดท้ายผู้กองกลับเป็นฝ่ายเสนอทางรอดให้ตัวเขาเองเพื่อแลกกับความปลอดภัยของแม่และน้องสาว ทุกสิ่งทุกอย่างมันเต็มไปด้วยการ คุมเชิงและชิงไหวพริบกันอยู่ในตัวก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเอง เขาคงออกไปด้วยชุดนี้ไม่ได้แน่นอน ก่อนที่จะออกไปจากบ้านหลังนี้เขาจำเป็นต้อง แปลงโฉมตนเองเสียใหม่
รำพึงกับตนเองแล้ว เดินบ่ายหน้าไปยังห้องพักผู้กองหนุ่มซึ่งอยู่ข้าง ๆ กัน เพื่อทำการเปลี่ยนเสื้อผ้าอำพราง ตัวออกไปจากบ้านนี้ให้ได้ก่อน
เมื่อเข้าไปในห้องได้หยิบเครื่องแบบเต็มยศผู้กองสุทธิพงษ์ขึ้นมาสวมใส่ ตรวจสอบทุกอย่างเรียบร้อยจึงเปิดประตูเดินลงบันไดไปด้วยอาการปกติ
ลูกสมุนที่ภาณุพลขุนไว้ 4 – 5 คนนั่งล้อมวงเล่นไพ่คุยกันอย่างสนุกครึกครื้นตรงระเบียงหน้าบ้าน ทั้งหมดมองมาทางเขาแวบเดียว แล้วก้มหน้าก้มตาเล่นไพ่ ดื่มเหล้าอย่างสนุกสนานเหมือนเดิมขณะที่ ตัวเขาเองได้แต่มองด้านหลังพวกมันอย่างโล่งอก หัวใจเต้นแรง มือไม้สั่นไปหมด มือหยิบที่ด้ามปืนพกอยู่ ตลอดเวลา อย่างตัดสินใจอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
แต่เมื่อเห็นเหล่าสมุนยังคงสนุกสนานไปตามวิสัยของพวกตนตามปกติ เหมือนไม่รับรู้ว่าใครมายืนอยู่ ด้านหลังพวกตน พลอยทำให้หายใจได้คล่องขึ้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากชุดที่ตนสวมใส่ขณะนี้ ตลอดถึง รูปร่างของตนที่ใกล้เคียงกับผู้กองหนุ่ม ทำให้ไม่เป็นที่ผิดสังเกต
“ผู้กองจะไปไหนเหรอครับ แต่งตัวเต็มยศเลย”
ผู้ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนั้นกล่าวทักทายขึ้นอย่างเป็นกันเอง โดยไม่ได้หันมามองเขายืนหันหลังให้ แกล้งกดโทรศัพท์เหมือนคุยธุระสำคัญอยู่ ไม่แสดงอาการสนใจพวกมัน ก่อนจะแข็งใจเอ่ย ออกไปด้วยน้ำเสียงแหบ ๆ
“เป็นไข้มาหลายวันแล้ว ตั้งใจว่าเข้าสถานีแล้ว จะแวะไปหาหมอสักหน่อย รำคาญเสียงตนเองเต็มที”
ขณะกล่าวได้แสดงอาการเจ็บคอ หลุบใบหมวกตำรวจปิดใบหน้าของตนไว้ เมื่อเห็นว่าพวกนั้นไม่มีใครแสดงอาการอื่นใด จึงกล่าวต่อ“พวกนายดูแลด้านล่างให้เรียบร้อยด้วยระหว่างที่ข้าไม่อยู่ อย่าปล่อยให้ใครเข้ามาเพ่นพ่าน ถ้ามาพบท่านบอกให้มาพบในวันหลัง วันนี้ท่านติดธุระสำคัญ อีกอย่างกลางวันไม่ต้องนำอาหารขึ้นไปให้คุณภู เพราะข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว เย็น ๆ ข้าจะกลับมา”
พวกนี้มีหน้าที่ทำตามคำสั่งอยู่แล้ว จึงไม่มีใครแสดงอาการสงสัยในน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของผู้กอง ฉะนั้นเมื่อได้รับคำสั่ง พวกนี้รู้หน้าที่ของตนเองดีอยู่แล้วจึงไม่ใช่ธุระที่จะต้องสอดถามอะไรเพิ่มเติม
เขาพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด กลมกลืนสภาพที่ปรากฏต่อหน้า สำรวจบริเวณรอบ ๆ ครู่หนึ่งจึงเดินตรง ไปยังรถที่จอดอยู่อึดใจใหญ่เขาก็สามารถพาตนออกมาจากบ้านนั้นด้วยความปลอดภัย ขับรถออกมาบ่ายหน้าเข้าเขตในเมือง เมื่อมาถึงปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งซึ่งมีบริการล้างรถด้วย เขาได้นำรถเข้าไปจอด พร้อมกับจ้างล้างรถด้วย ก่อนจะก้าวลงจากรถด้วยความสง่า เดินข้ามถนนอีกฟาก เข้าไปยังศูนย์สรรพสินค้า ที่อยู่ใกล้ ๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์หนึ่ง มีเสียงเพลงรอสายดังตอบมา
ด้านนรากรซึ่งกำลังขับรถด้วยความเคร่งเครียดกับการตามหาภูริเชษฐ์ ข้าง ๆ คนขับมีสุรเชษฐ์นั่งเคียงมาด้วย อาการเงียบขรึม สีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างจากตน เมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าจึงกดรับสาย
“ฮัลโหล !” “หวัดดีครับอากร ผมภูนะ”
“ภู...! ภูจริง ๆ ด้วย”
“อากรช่วยมารับผมด่วนที่สุด”
เพียงสองสามประโยคที่ได้รับทราบสถานที่โดยน้ำเสียงชายหนุ่มที่ตนเป็นห่วงทุกลมหายใจ ทั้งนรากรและ สุรเชษฐ์ สบตากันใบหน้าของทั้งคู่เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มกับข่าวที่ได้รับ
นรากร ในขณะนั้นมีประสาททำงานประสานกันอยู่ตลอดเวลา โดยมีสายตาจับจ้องอยู่ที่ถนนและเท้าอยู่ที่คันเร่ง มืออยู่ที่พวงมาลัย เขาได้ขับรถอย่างเร็วที่สุดในชีวิต โดยลืมคำนึงถึงสวัสดิภาพชีวิตของตนและคนนั่ง ข้าง ๆ จนกระทั่งสุรเชษฐ์ที่นั่งข้าง ๆ แม้จะมีความร้อนรนกระวนกระวายใจไม่ต่างจากคนขับ แต่เมื่อเห็น สหายรุ่นน้องขับรถเร็วเกินพิกัดบนทางด่วน จึงกล่าวเตือนเบา ๆ
“กูยังไม่อยากตายนะโว้ยไอ้กร! ถ้าเอ็งยังขับรถท้านรกอย่างนี้ กูว่าทั้งกูและมึงได้ไปพบยมทูตก่อนได้เจอเจ้าภูแน่ ๆ ช้า ๆ ลงหน่อยสิวะ”“ขออภัยพี่ ผมเป็นห่วงภูมาก ทำให้ลืมตัวไปหน่อย”นรากรกล่าวยิ้ม ๆ ชะลอความเร็วลงกว่าเดิม แต่ก็ยังเร็วกว่าที่กำหนดกฎหมายได้บัญญัติไว้อยู่ดี“เรื่องห่วงเจ้าภูน่ะ กูก็ห่วงเหมือนกัน แต่ก่อนอื่นต้องห่วงสวัสดิภาพตนเองก่อนโว้ย !”สุรเชษฐ์กล่าวยิ้ม ๆ มองถนนด้วยสายตาเยือกเย็น
เมื่อวนลงจากทางด่วน สภาพจราจรใกล้ ๆ กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังตามที่ภูได้แจ้งให้ทราบแทบเคลื่อนรถไม่ได้ แต่นรากรก็ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปในเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มกำลังรอตนอยู่ พยายามขับรถหลีกหลบรถที่ จอดเป็นแถวยาวโดยมุ่งเข้าหาเป้าหมายสำคัญทันที
ก่อนอื่น เขาได้มองอย่างชนิดค้นหาไปยังผู้คนที่เดินเพ่นพล่านจับจ่ายซื้อของภายในห้องสรรพสินค้าแห่งนั้น ก็ไม่เห็นว่าภูริเชษฐ์ยืนอยู่ที่มุมไหน
“พี่ภูมิ พี่นั่งรอในรถสักครู่นะ ผมลงไปตามหาตัวภูก่อน”
“แล้วแต่เอ็ง เจอตัวแล้วรีบพามาขึ้นรถล่ะ กูจะรอจนกว่าเอ็งกับเจ้าภูจะกลับมา”
นรากรยิ้มรับ เปิดประตูเดินเข้าไปในห้าง สอดส่องสายตาไปยังบุคคลที่รูปร่างใกล้เคียงกับภู ที่มุมหนึ่ง บริเวณชั้นสองของห้างสรรพสินค้า มีชายหนุ่มในเครื่องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสดใสโดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ กำลังก้มหน้าก้มตาเลือกเสื้อผ้า หยิบชุดนั้นที ชุดนี้ทีก้าวสวบเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้า ก้มลงหยิบชุดที่ชายหนุ่มวางลงขึ้นมาทาบกับร่างของตนเอง
“ผมเอาตัวนี้ ช่วยคิดเงินให้ด้วย”
เมื่อได้ยินเสียงคุ้น ๆ หู ทำให้ภูเงยหน้าหันมาทางชายสูงวัยที่ยืนเลือกเสื้อผ้าใกล้ ๆ ส่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วย ความปลาบปลื้มเหลือคณาให้ชายสูงวัย
“อากร. !”
“นึกว่าจะหาภูไม่เจอเสียแล้ว”
“ระวัง ! เราอาจกำลังตกอยู่ในสายตาของพวกภาณุพล ป่านนี้มันอาจรู้แล้วว่าผมหลุดรอดออกมาได้ อาไม่ต้องพูดอะไรหรือแสดงอาการว่ารู้จักกับผม จ่ายเงินแล้วเดินกลับไปขึ้นรถรอผมก่อน ผมจะเดินตามไปห่าง ๆ ทำโทรศัพท์หล่นไว้ด้วย”
นรากรเข้าใจความหมายในทันที จ่ายเงินค่าเสื้อที่ตนหยิบขึ้นมาแล้ว ขณะที่ก้มลงไปรับถุง แกล้งทำโทรศัพท์หล่น โดยไม่สนใจเดินตัดไปยังด้านลานจอดรถ ก่อนจะลับมุม ได้ชำเลืองไปยังชายหนุ่มอีกครั้ง ซึ่งบัดนี้ ภูได้ก้มลงเก็บโทรศัพท์ แกล้งสอบถามพนักงานขายถึงเจ้าของโทรศัพท์
“คงเป็นคุณคนซื้อเสื้อเมื่อครู่นี้แน่ ๆ ค่ะ” พนักขายตอบพร้อมกับชี้มือไปทางนรากรเดินไป “ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเดินไปคืนเขาเอง”กล่าวจบ เขาได้เดินทอดระยะตามมาทางด้านหลัง สายตาไม่คลาดเคลื่อนจากร่างนรากรที่เดินแหวกผู้คน ออกไประยะทางที่ผ่านไปในระหว่างผู้คนกับร้านสรรพสินค้า บางขณะก็มีคนเดินพลุกพล่าน บางขณะก็บางตา ภู เองแม้จะเคยพาลูกพาเมียมาเที่ยวที่ห้างนี้บ่อย ๆ แต่ในสภาพเช่นนี้ ก็ยากที่จะกำหนดจดจำสภาพภูมิประเทศได้ ได้แต่เดินตามร่างของนรากรที่เดินนำไปช้า ๆ อย่างแม่นยำ โดยไม่แสดงอาการมีพิรุธ ยังคงเดินแหวก ผู้คนเดินนำไปเรื่อย ๆ ผ่านห้องน้ำแสดงว่าเจ้าตัวคงเดินนำออกไปยังลานจอดรถแน่ ๆ เห็นร่างที่เดินนำหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
“ผมกับภูกำลังจะออกไปแล้ว พี่ภูมิช่วยขับรถมารอรับเราที่ทางออกด้วย ผมจะไปถึงที่นั่นไม่เกิน 5 นาที”
น้ำเสียงนรากรชัดเจน ภูก้าวเท้ายาว ๆ เข้ามายืนใกล้ ๆ ได้เอื้อมมือมาตบไหล่คู่สวาทเบา ๆ กล่าวขึ้นเป็นการ หารือ
“อากรมากับใคร? เมื่อครู่โทร.ให้ใครขับรถมารับ ผมได้ยินไม่ชัด” นรากรหันมายิ้ม“ไม่ต้องกังวลหรอก คนที่ขับรถมารอรับเราที่ทางออก เป็นคนที่รักและเป็นห่วงภูมิมากกว่าอาเสียอีก”
“พ่อหรือ?”
“ใช่...! พี่ภูมิเป็นห่วงภูมากนะตั้งแต่รู้ข่าวว่าภูได้หายตัวไป”
“พ่อผมนึกไม่ออกเลยว่าจะกล่าวคำใดกับคุณพ่อ เพราะเราสองคนแทบไม่ได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกันมานานแล้ว นอกจากเรื่องงาน”
“ก็กล่าวขอบคุณเขาสิ”
ภูริเชษฐ์ยิ้มรับถ้อยคำผู้สูงวัยกว่า และไม่กล่าวคำดอีก สายตาทอดนิ่งไปเบื้องหน้า
ในที่สุดสองคนก็บรรลุถึงที่โล่งอันกว้างใหญ่บริเวณทางออกด้านหน้า ซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยรถยนต์ที่ทยอย ออกมาจากลานจอดรถ เขาพยายามสอดส่องสายตามองหารถที่พ่อเป็นคนขับมารับ
“ไปเร็ว ภู พี่ภูมิกำลังขับรถออกมา”
ในขณะนั้นเอง พอเปิดประตูรถเข้าไป ก็พบใบหน้าของพ่อเต็มไปด้วยรอยยิ้มมองมายังเขาอยู่ก่อน แล้วสองคนพ่อลูกยืนมองกันนิ่งไปชั่วขณะ ขณะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะนิ่งสนิทไปกับที่ราวกับต้องมนต์ สะกดและตกอยู่ในความเงียบหมดสิ้น ก่อนที่เสียงห้าวต่ำของสุรเชษฐ์จะกล่าวขึ้น
“ขึ้นรถเร็ว อย่างอื่นค่อยว่ากัน”
พร้อมกันสุรเชษฐ์ได้เปิดประตูรถลงมา เดินอ้อมไปเปิดประตูด้านหลังเข้าไปนั่ง ปล่อยหน้าที่คนขับรถให้กับนรากรอีกครั้ง
“ขอบคุณพ่อมาก ๆ”
น้ำเสียงแหบห้าวกังวานกล่าวขึ้นเมื่อเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งที่เบาะด้านหลังเคียงข้างบิดาผู้ให้กำเนิด สองชาย ต่างวัยมองสบตากันอีกครั้ง แล้วต่างก็สวมกอดกันไว้ น้ำตาของทั้งสองต่างไหลซึม ไม่อาจพูดอะไรกันได้อีก นาน มันเป็นภาพที่นรากรมองผ่านกระจกอยู่ด้วยความตื้นตันใจแทน
“มองอะไร....? ไม่เคยเห็นพ่อกับลูกเขากอดกันหรือไง? รีบขับรถออกไปให้พ้นที่นี่ก่อนเถอะ” สุรเชษฐ์กล่าวขึ้นอีกครั้ง
การเคลื่อนไหวที่เบาะด้านหลังตอนนี้ ภูริเชษฐ์ประณมมือเหมือนดอกบัวตูมระหว่างอก ก้มลงกราบที่ตักของ พ่อ เป็ นกิริยาที่เต็มไปด้วยความละเมียดละไมอ่อนโยนที่สุด เป็ นอาการที่เขาไม่ได้แสดงความเคารพต่อผู้ให้ กำเนิดเป็ นเวลานานแล้วตั้งแต่แม่ได้เสียชีวิตไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดว่า
“ขอบพระคุณคุณพ่อมาก ๆ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา”สุรเชษฐ์ตันที่คอหอยจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ไปชั่วขณะ ยิ้มให้กับลูกชายสุดที่รัก มือลูบที่เส้นผม หยักศกของเจ้าตัวแผ่วเบา“พ่อพูดอะไรไม่ออกตอนนี้หรอกภูพูดได้อย่างเดียวว่า พ่อมีความสุขมาก ๆ ที่เห็นลูกปลอดภัย ไม่ว่าลูกจะเป็ นอย่างไร ลูกก็ยังเป็ นลูกของพ่อเสมอ เรามีเพียงสองคนพ่อลูกเท่านั้นนะ หลาย ๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมาอาจ ทำให้ลูกเข้าใจผิดพ่อได้ แต่พ่อก็หวังว่าสักวันลูกจะเข้าใจความรู้สึกและความปรารถนาดีที่พ่อมีต่อลูก”
พร้อมกันนั้นได้โน้มศีรษะลูกชายมากอดไว้เหมือนสมัยเจ้าตัวเป็นเด็ก ภูริเชษฐ์ปล่อยให้พ่อสวมกอดด้วย ความปลื้มใจจนน้ำตาคลอ เขากอดร่างท่านไว้แน่น ไม่กล่าวคำใด จับมือท่านข้างหนึ่งไปวางไว้บนศีรษะของ ตนเองก่อนจะเอามาแนบที่แก้ม
“ภู โตจนเป็นพ่อลูกสองแล้ว ยังอ้อนพ่อเหมือนเดิมนะ”
น้ำเสียงเรียบ ๆ กล่าวขึ้นเบา ๆ แต่มือก็ยังกอดกระชับลูกชายไว้แน่น ขณะที่ภูเองก็เผลอหลับในอ้อมกอดของ พ่อด้วยความสุขใจ กระทั่งรถได้มาจอดที่ประตูหน้าบ้านท่านนรากรขับรถเข้ามาจอดที่บริเวณหน้าบ้าน ก่อนจะเปิดประตูก้าวลงเดินตามหลังสองพ่อลูกที่เดินเข้าไป ภายในบ้านก่อนแล้ว เมื่ออยู่ภายในห้องรับแขก สองผู้สูงวัยปล่อยให้ภูเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ นรากรซึ่งเป็น เดือดเป็นแค้นแทน กล่าวขึ้น
“แบบนี้ มันต้องเอาคืนกันบ้าง”
“เอาคืนน่ะ เอาคืนแน่ แต่ต้องดำเนินไปด้วยความรอบคอบ ไม่ใช่หุนหันพลันแล่น” สุรเชษฐ์ซึ่งอยู่ในอาการสุขุมกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น หันมาทางลูกชาย
“ภูจะพักที่บ้านพ่อก่อนหรือจะกลับบ้านเลย”
“ผมขอไปเจอหน้าลูกเมียก่อนครับพ่อ”
“ดีเหมือนกัน เพราะหนูรจเป็นห่วงลูกมาก จนกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว”
“ขอบคุณพ่อและอากรมาก ๆ เลยครับ”
เขายกมือไหว้ลาผู้สูงวัยทั้งสอง ระหว่างเดินออกไปได้ยินเสียงพ่อตะโกนตามหลัง“เอารถพ่อไปใช้ก่อนลูก”
“ครับ”
นรากรมองตามหลังชายหนุ่มที่เดินออกไปด้วยความเสียดาย เพราะตั้งใจว่าจะชวนชายหนุ่มไปทำอะไรสนุก ๆ ร่วมกันเสียหน่อย
ด้านสุรเชษฐ์เห็นนรากรมองตามหลังลูกชายด้วยสายตาละห้อย รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย สายตาที่มองนั้นมัน เหมือนสายตาของหญิงสาวที่มองตนสมัยหนุ่ม ๆ เวลาผละจากพวกเธอ ก่อนจะกล่าวขึ้น
“แล้วเอ็งล่ะไอ้กร จะกลับบ้านหรือจะอยู่เป็นเพื่อนดื่มกับกู”
“อยู่เป็นเพื่อนดื่มกับพี่ดีกว่า”
ระหว่างนั่งดื่มด้วยกันนั้น นรากรก็เป็นฝ่ายกล่าวเปิดประเด็น
“พี่ภูมิ....! พี่ภูมิ…พี่ภูมิ”
“อะไรของเอ็งวะ เรียกอยู่ได้”
“พี่อยากทำอะไรสนุก ๆ ที่แปลกใหม่กว่าที่เคยผ่านมาหรือเปล่า” “ยังมีอะไรแปลกใหม่สำหรับกูอีกเหรอวะ แก่จนปูนนี้แล้ว”
“มีสิ มันอาจฝืนใจพี่บ้าง แต่ผมรับรองว่าสนุกแน่ ๆ”
“อะไรวะ…”
“บอกตอนนี้ก็ไม่สนุกสิครับ พี่ไปกับผมดีกว่า”
“ดีเหมือนกันวะ เจ้าภูก็รอดกลับมาปลอดภัยแล้ว อีกอย่างกูเองก็ไม่ได้ปลดปล่อยมาแรมปี แล้วด้วย ว่าแต่เอ็งมีอะไรเด็ด ๆ มานำเสนอเหรอ”
“เถอะน่า ไปถึงคอนโดผม เดี๋ยวรู้เอง”
ระหว่างนั่งรถออกจากบ้านสุรเชษฐ์ นรากรได้โทร.เข้ามือถือของเอ็ม
“หวัดดีพี่กร” “หวัดดี ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือเปล่า?”
“เรียบร้อยดีพี่ ภาณุวัฒน์ไม่กล้าขัดขืนอะไรเลย สงสัยคงกลัวผมข่มขืน อิ อิ ว่าแต่พี่จะเข้ามาตอนไหน?”
“กำลังจะเข้าไปนี่แหละ”
“เจอพี่ภูยัง”
“เจอแล้ว ตอนนี้ภูปลอดภัยแล้ว”
“พี่ภูมากับพี่ด้วยหรือเปล่า”
นรากรได้ยินน้ำเสียงคู่สนทนากระดี๊กระด๊าเมื่อเอ่ยชื่อของภู อดหมั่นไส้ไม่ได้จึงตอบกลับไป
“รู้นะว่าคิดอะไรอยู่ ภูไม่มาหรอก เขารีบไปหาลูกเมีย เหลือแต่คนแก่ ควยเหี่ยว ๆ นี่แหละ สนใจไหมล่ะ”
“พี่กรก้อ….ว่าแต่โทร.มานี่ แค่ถามข่าวหรือให้ทำอะไรอีก”
“พี่มีแขกไปด้วย ช่วยจัดการล้างท่อไอ้ภาณุวัฒน์ให้เรียบร้อยด้วย”
“อะไรนะ. !”
“ทำตามที่สั่งแล้วกัน เรื่องมากจริง ๆ แค่นี้แหละ อีกไม่ถึงชั่วโมงก็ไปถึงแล้ว” สุรเชษฐ์เห็นนรากรคุยโทรศัพท์จบแล้วจึงถามขึ้น
“เอ็งคุยกับใครวะกร พูดจากระหนุงกระหนิงเหลือเกิน”
“เด็กนะพี่ เดี๋ยวไปถึงพี่ก็รู้เองแหละ”
โปรดติดตามตอนต่อไป.....
สนุกมากครับ ร้ายนะอากร เปิดประสบการณ์ใหม่ให้ทั้งพ่อและลูกเลย ขอบคุณมากครับ ขอบคุณครับ รอบตอนตาอไป ขอบคุณ
ขอบคุณครับ เริ่ม
หน้า:
[1]