ตรี โพสต์ 2011-12-8 08:16:32

1 ลองรัก

ลองรัก.......

               ฉันที หนุ่มน้อย อายุเพิ่งจะย่าง 18ปี หน้าตาน่ารัก บุคลิกดีเยี่ยม การันตีได้จาก การที่ฉันเป็นคฑากรมือหนึ่งของโรงเรียนตลอดระยะเวลาที่ฉันเรียนมัธยมปลายใครเห็นต่างชื่นชมและเทใจให้ฉันได้ไม่ยาก   ด้วยความที่พ่อแม่มีลูกหลายคนและอยู่ในวัยเรียนด้วยกันทั้งหมดฉันจึงต้องดิ้นรนหางานทำเพื่อส่งเสียตัวเองให้ได้เรียนในมหาวิทยาลัยเปิดที่มีชื่อเสียงของเมืองไทย

                ฉันเข้าทำงาน Part Time ของห้างดังย่านหลักสี่ซึ่งเป็นห้างที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมมาก   หน้าที่ฉันคือ คอยดูแล จัดเรียงผลไม้ทั้งไทยเทศ    รวมทั้งชั่งผลไม้ให้ลูกค้า   ซึ่งฉันยอมรับว่ามีความสุขพอสมควรกับการที่ฉันสามารถหารายได้เลี้ยงปากท้องของตนเองได้และฉันยังมีโอกาสได้ลิ้มลองผลไม้ต่างประเทศที่ฉันยังไม่เคยรับประทานด้วยล่ะ

             เพื่อนร่วมแผนกของฉันต่างก็เป็นพนักงานPart Time ด้วยกันทั้งสิ้น เหตุผลก็อย่างเดียวกันกับฉันเกือบทั้งหมดต่างกันที่สถานที่เรียนที่เพื่อนๆเลือกที่จะเรียนราชภัฏ โดยให้เหตุผลว่า จบง่ายกว่า ซึ่งฉันก็ไม่รู้หรอกว่าจริงหรือไม่ เรื่องอย่างนี้ฉันว่ามันอยู่ที่ตัวบุคคล

             ขณะที่ฉันกำลังคิดอะไรเพลินๆ เสียงยัยหัวซาลาเปาเพื่อนของฉันก็ดังขึ้น
                     “เฮ้ทีแกดูผู้ชายคนนั้นสิ หน้าตาหล่อดีนะแต่ฉันว่า เหมือนมันจะเขียนคิ้วว่ะ”
ฉันมองตามสายตายายตัวดีที่ชี้นำ “อืม ก็หล่อดี คิ้วหนาเป็นปื้นเลยนะ”    ที่จริงฉันต่างหากที่อยู่หน้าร้านตลอดแต่ฉันไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรนอกจากงานที่อยู่ตรงหน้า

         แต่ตอนนี้ความรู้สึกของฉันเปลี่ยนไปฉันชอบแอบมองผู้ชายหน้าตาคมเข้ม ขาวสูงคิ้วหนาเป็นปื้นคนนั้น    ซึ่งเขาเป็นพนักงานขายอุปกรณ์ตกแต่งห้องน้ำเคาน์เตอร์อยู่เยื้องๆกับฉันนั่นเอง   แรกๆเขาคงไม่รู้ตัวแต่นานๆเข้าเขาเริ่มส่งยิ้มมาให้ฉัน   ให้ตายเถอะรอยยิ้มเขาช่างมีเสน่ห์ทำเอาฉันเขินอายสะท้านฉันรู้สึกร้อนผะผ่าวที่ใบหน้าฉันคิดว่าหน้าฉันต้องแดงแน่ๆเลย

         ฉันรีบกลบเกลื่อนทำเป็นจัดข้าวจัดของและไม่กล้ามองเขาตรงๆอีกเลย






               หลายวันต่อมาฉันไม่เห็นเขาอยู่ที่เคาน์เตอร์ฉันมองแล้วมองอีกยิ่งไม่เห็นฉันก็ยิ่งมองใจฉันว้าวุ่น คิดไปต่างๆเขาไปไหนนะ   เขาไม่สบายหรือเปล่าหรือว่าเขาย้ายที่ทำงานแล้ว......................เมื่อคิดได้อย่างนั้นมันยิ่งทำให้ฉันร้อนใจจนไม่เป็นอันทำงาน

               แต่แล้วในความรู้สึกเหมือนมีใครมายืนดูฉันอยู่ที่ร้านขายผ้าตัดเสื้อที่อยู่อีกซีกหนึ่งของห้าง      ฉันจึงมองไปตามความรู้สึกนั้น   ให้ตายเหอะพ่อรูปงามกำลังมองจ้องฉันแล้วก็ส่งยิ้มมาอีกแล้ว      เหมือนตัวและหัวใจฉันจะละลายไปกับสายตาอันคมกริบของเขาฉันร้อนวาบวูบผะผ่าวที่ใบหน้าอีกแล้ว


               ฉันเดินจึงเข้าหลังร้าน“อ้าวทีทิ้งเคาน์เตอร์มาทำไม”เสียงพี่เอื้อง หัวหน้าร้องถาม
“ผมขอไปห้องน้ำหน่อย นะครับ”   “เออ รีบไปรีบมาเดี๋ยวพี่ไปดูให้”   หัวหน้าฉันก็อย่างนี้พูดมะนาวไม่มีน้ำแต่แกก็รักฉันที่สุดเลยลูกน้องทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจ


            ฉันเช็ดหน้าล้างตา   แวะคุยกับเพื่อนๆนิดหน่อยเมื่อรู้สึกผ่อนคลายจึงกลับไปเคาน์เตอร์
“คุณครับ”ฉันรีบหันไปหาต้นเสียง เข้าใจว่า ลูกค้าต้องการให้ชั่งผลไม้   แล้วฉันก็รู้สึกเหมือนไฟช๊อต พ่อคิ้วหนามายืนส่งยิ้มหวานทำตากรุ้มกริ่มแล้วยื่นกระดาษในมือให้ฉัน    ฉันยื่นมือไปรับเหมือนต้องมนต์สะกดฉันว่า หน้าตาฉันคงเด๋อด๋าน่าดู

            “สวัสดีครับ   ผมชื่อศักดิ์นะครับ   คุณน่ารักจัง............... ยินดีที่ได้รู้จักครับ”   เมื่ออ่านจบ
ผมมองไปที่เขา   แล้วเราต่างก็สบตาและส่งยิ้มให้กันอย่างเนิ่นนาน

            “ไอ้ทีไปกินข้าวไป”เสียงยัยตัวแสบดังลั่นปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์    “รีบไปรีบมาล่ะ ฉันก็หิวนะ”เสียงมันยังแปร๋นๆตามหลังมาอีกแน่ะ







                     “สวัสดีครับ   ผมชื่อศักดิ์นะครับ    คุณน่ารักจัง................ยินดีที่ได้รู้จักครับ”   ใครมาทำหล่นไว้วะ   เสียงยัยตัวดีถามเมื่อฉันกลับมาถึง   ฉันนิ่งเฉยเพราะไม่รู้จะพูดอะไรและฉันเองก็ไม่กล้าบอกว่าเป็นของๆฉัน   เพราะกลัวยัยตัวแสบมันจะโพนทะนาไปแปดบ้านสิบบ้าน

                  หลายวันต่อมา   ศักด์แวะมาหาฉันที่เคาน์เตอร์   “ที   เป็นอะไรมากหรือเปล่า   ผมเห็นไม่มาทำงานหลายวันจึงไปดูที่บัตรลงเวลาจึงรู้ว่า ไม่สบาย”ผมยิ้มรับด้วยหัวใจพองโต“ขอบคุณครับ ผมแค่เป็นหวัดนิดหน่อย ตอนนี้ หายดีแล้ว”    “งั้นตอนเที่ยงไปทานข้าวกับผมนะ” “ครับศักดิ์”

               ฉันทำงานอย่างมีความสุขรู้สึกว่า โลกใบนี้ช่างสวยงามซะเหลือเกิน    ฉันเพลินกับงานฉันเพลิดเพลินกับความจริงที่สุขสมหวัง   จนไปตามนัดช้านิดหน่อย“ผมมารอสักพักแล้วหล่ะ”
“ขอโทษครับ”   ผมไม่รู้จะพูดอะไรให้ดีกว่านั้น   “ทานข้าวกันเถอะผมหิวแล้ว”   ศักดิ์คอยตักโน่นหยิบนี่ให้ฉันตาจ้องมองหน้าฉันตลอด จนฉันรู้สึกประหม่ามือไม้สั่นไม่เป็นตัวของตัวเองผู้คนรอบข้างต่างก็มองมาที่เราสองคน      “ศักดิ์ครับผมขอตัวนะ”ฉันรู้สึกเกร็งและเขินอายอย่างมาก    “อ้าว ทำไมอิ่มเร็วนักล่ะ” “ครับ เผอิญผมทำงานค้างไว้”   ฉันบอกลาศักดิ์และกลับมาที่เคาน์เตอร์

               “ที เดี๋ยว เดือนหน้าเราลงบ่ายบ้างนะ”เสียงพี่เอื้องบอกฉันรับคำและคิดว่า จะได้เจอกับศักดิ์เหมือนเคยไหมนะ
                  วันแรกที่เข้ากะบ่าย ฉันรู้สึกเซ็งอย่างบอกไม่ถูกกว่าจะเลิกงานสี่ทุ่มแน่ะแต่ที่ดีหน่อยก็ตรงมีรถรับส่งนี่แหละ

                  ฉันมองหารถสายที่ผ่านห้องพักฉัน   อ้อ อยู่นั่นเอง   พอฉันไปถึงไม่มีที่นั่งแล้วฉันจึงเดินไป ยืนที่โล่งข้างหลัง    “มานี่ มานั่งตักพี่นี่”พี่อู๊ดดี้ ตัวดำบึ๊ก ดึงรั้งให้ฉันนั่งตักเขา พร้อมทั้งเอามือสองข้างมาสวมกอดรอบเอวฉันแนบแน่น   โดยที่ฉันยังไม่ได้พูดว่ากระไร    ศักดิ์ เดินหน้าบึ้งทำตาเขียวปัดจ้องมองมาจากด้านหน้า   ฉันรีบลุกขึ้นยืน“มานี่”ศักดิ์ดึงแขนฉันให้เดินตามไปนั่งด้านหน้า “นั่งตรงนี้แหละ” เขาสั่ง ด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเป็นอันมาก






                   ฉันอยากจะอธิบายแต่เหมือนมีอะไรมาจุกที่คอ ฉันพูดไม่ออก ฉันรู้สึกร้อนๆหนาวๆอย่างบอกไม่ถูก   เรานั่งเบียดกันแต่ไม่มีคำพูดใดหลุดรอดออกมาอีกเลย“ผมลงก่อนนะ”ผมบอกเมื่อถึงที่พักเขาพยักหน้าแต่ไม่มีรอยยิ้ม   ตายังมองขวางๆอยู่เลยฉันรู้สึกร้อนผะผ่าวที่ดวงตาฉันก้าวลงจากรถโดยไม่กล้าหันไปมองเขาอีกเลย

                  ฉันเดินก้มหน้าพยายามทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา   ฉันทำอะไรผิดหรือขณะที่ฉันเดินครุ่นคิดหาคำตอบให้กับตัวเองด้วยความรู้สึกอัดอั้น ตันใจ   ฉันอยากจะร้องไห้ฉันกำลังจะร้องไห้................... แต่แล้ว ฉันก็ต้องเซถลาไปตามแรงกระชากเข้าสู่อ้อมอกพร้อมทั้งอ้อมกอดที่พันธนาการอย่างแน่นหนา
                  “ ศักดิ์” ฉันอุทาน ด้วยความแปลกใจ
                   “ที”   เขากอดฉันให้แนบแน่นยิ่งขึ้น “อย่าทำอย่างนั้นอีกอย่าทำอีกเข้าใจไหม”
                   “ผมเปล่าทำ” ฉันตอบอย่างแผ่วเบา ด้วยน้ำเสียงเครือสั่น
                   “ผมเข้าใจแต่อย่าให้มันเกิดขึ้นอีก   เข้าใจไหม”เขาพูดพร้อมกับจ้องตาฉันเขม็ง
                  “อย่าให้มันเกิดขึ้นอีก   เข้าใจไหม” เขาย้ำ
                  ฉันจ้องตาเขาน้ำตาเริ่มหลั่งริน “ผมขอโทษศักดิ์ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
                  “คนดีอย่าร้องไห้   อย่าร้องไห้นะครับ”   เขาเช็ดน้ำตาและดึงรั้งฉันเข้าไปกอดอย่างเนิ่นนานจนฉันหยุดสะอื้น   จนน้ำตาฉันหยุดไหล


                  “คืนนี้ อยู่กับผมนะ” ศักดิ์พูด
                  “เดี๋ยว พี่ชายเป็นห่วง”“โตจนป่านนี้แล้ว ยังกลัวพี่ชายอีกเหรอ”เขาพูดตัดบททั้งๆที่ฉันยังพูดไม่จบ       แล้วเขาก็ดึงแขนฉันให้เดินตามไปโดยไม่รอฟังคำตอบอีก    ฉันเดินตามเขาไปด้วยไม่ต้องการทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมาอีก


      






             หลังจากทานอาหารอาบน้ำเรียบร้อยศักดิ์ดึงฉันเข้าไปหอมแก้มและกอดอย่างแนบแน่นกว่าที่เคยสายตาเขาจ้องมองฉันด้วยความรักใคร่หวงแหน   แล้วเขาก็ใช้ริมฝีปากบดขยี้ริมฝีปากของฉันอย่างเนิ่นนานและรุนแรง   ฉันรู้ถึงความตั้งใจนั้น   ฉันสั่นสะท้านสุดจะต้านทานไหว

                  “ศักด์ครับผมเจ็บนะ”ผมบอกเมื่อเขาถอนริมฝีปาก
                  “ผมขอโทษ ที่รัก” เขาเริ่มใหม่ด้วยความละมุนละไม ทะนุถนอมเขาชื่นชมฉันไปทั่วทุกสัดส่วน   ฉันเคลิบเคลิ้มคล้อยตามฉันเองก็เต็มใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นแล้วเขาก็แสดงความเป็นเจ้าของ ครอบครองฉันอย่างสมบูรณ์   
                  “คุณเป็นของผมแล้วนะของผมคนเดียวเท่านั้น”เขาพูดแล้วจูบที่หน้าผากฉัน อย่างแผ่วเบา พร้อมทั้งรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม อิ่มเอิบใจ
                  “ครับที่รัก ฉันเบียดกายเข้าไปในอ้อมแขนให้ชิดใกล้ยิ่งขึ้น”เขากอดฉัน จูบฉัน ชื่นชมฉันแสดงความเป็นเจ้าของทั้งกายและใจฉัน   ครั้งแล้ว ครั้งเล่าจนรุ่งสาง

                  ศักดิ์มองดู รอยเลือดคราบเลือด เปรอะเปื้อนผ้าปูที่นอน เป็นจุดๆเต็มไปหมด ด้วยสายตาปีติ
                      “ผมเป็นคนแรกของคุณ   ผมเป็นคนแรกใช่ไหม”   เขาพูดด้วยน้ำเสียงแสดงอาการตื่นเต้น เมื่อเราลุกจากที่นอน    ฉันได้แต่ยิ้มเขินอาย“มิน่าล่ะสั่นเป็นลูกนกเชียว   ที่สำคัญคับแน่นมากคุณเองก็บ่นเจ็บบอกให้ผมเบาๆตลอด”   เขาพูดอมยิ้มทั้งสีหน้าและแววตาฉันได้แต่นั่งเหนียมอายพูดอะไรไม่ออก“ผมสัญญาว่าจะดูแล ทะนุถนอมคุณให้ดีที่สุด”         ฉันยิ้มอย่างปลาบปลื้มใจแล้วซุกเข้าไปสู้อ้อมแขนที่เปิดอ้ารออยู่   ศักด์กอด จูบ ลูบไล้ ฉันไปทั่วตัวอย่างนุ่มนวลเนิ่นนาน

                      ฉันยอมรับว่า ได้รับความรักความอบอุ่น ฉันรู้สึกได้ถึงความปลอดภัย ความห่วงใย ความเอื้ออาทรการถวิลหาหัวใจที่ถูกเติมเต็มความสุขสดชื่น ของสองเราตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านไป







                        “ที เมื่อวานฉันเห็น ยัยหัวซาลาเปา ไปไหนกับศักดิ์น่ะ”หมวยบอกฉัน
                           “อย่ามาอำ กันเล่นน่ะเมื่อวาน ศักดิ์ก็ไปทำงานนะสิยัยซาลาเปามันก็มาเข้าบ่าย เห็นๆกันอยู่น่ะ”   ฉันตอบโดยไม่คิดระแวงซักนิดเดียว เพราะฉันไปส่งศักดิ์ ที่ห้างใหม่ใกล้บ้านที่จริงเขาย้ายไปประจำที่นั่นได้สองสามเดือนแล้ว
                        “เออๆเชื่อใจกันเข้าไป”ยัยหมวยตัดบท

                        แต่ด้วยคำพูดของหมวยก็ทำเอาฉันทำงานไม่เป็นสุขไปตลอดทั้งวัน   ฉันพยายามสังเกตอาการของยัยหัวซาลาเปา   ก็ไม่มีอะไรผิดสังเกตนี่   นอกจากจะมีโทรศัพท์สายนอกเข้ามาคุยกับมันบ่อยๆ แล้วมันก็ทำท่าเหนียมอาย เหมือนสาวแรกรุ่นซะงั้นทั้งๆที่มันเคยผ่านการแต่งงานและหย่าร้างมาแล้ว   และอายุยังแก่กว่าฉันตั้งหกปี แต่ไม่ยอมให้ฉันเรียกพี่ กลัวคนมองว่าแก่น่ะ


                        เลิกงานแล้วฉันสลัดความคิดที่กัดกร่อนความรู้สึกของฉันทิ้งไป   เดินทางกลับบ้าน แวะซื้อข้าวปลาอาหาร ผลไม้ ขนม ฉันเน้นสิ่งของที่พ่อยอดดวงใจของฉันโปรดปราน

                     พอถึงห้องพัก ศักดิ์กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ฉันเลยเลี่ยงไปอาบน้ำ    ฉับออกจากห้องน้ำศักด์ก็ยังคุยโทรศัพท์อยู่    ฉันแต่งตัวและคอยแอบมองศักดิ์
                        “แค่นี้นะครับแล้วจะติดต่อมาอีก”ศักดิ์บอกลาคนที่ปลายสาย
                        “ ทานข้าวกันเถอะครับ”ฉันเรียกศักดิ์
                        “ไม่หิวข้าวอยากทานคนมากกว่า”ศักดิ์กระเซ้าฉัน
                     “ไม่เอาน่าอย่าเพิ่งสิครับ” ฉันปัดป้องและชวนเขาทานอาหาร    ตลอดเวลานับตั้งแต่นั้นมาฉันคอยสังเกตศักดิ์ทุกอิริยาบถเขาก็เหมือนเดิมทุกอย่างนี่นา    เช้าไปทำงาน เย็นถึงบ้านเรื่องบนเตียงความเอาใจใส่ฉันก็คงเส้นคงวา ดีออก

                      “ไม่เอาน่าอย่าคิดมาก   เพื่อนมันอาจจะแหย่เล่นสนุกๆเท่านั้นเอง อย่าเอามาเป็นอารมณ์เลย”   ฉันบอกกับตัวเองและพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด






                   “ไอ้ทีมึงนี่เป็นพระอิฐพระปูนหรือไงนะชาวบ้านเขารู้กันทั้งบางอีซาลาเปามัน แอบตีท้ายครัวแก ” เสียงยัยหมวยฟ้องฉันเป็นฉากๆ โดยมียัยจิ๋มเล็ก ยัยเงาะคอยสนับสนุนเห็นต้องพ้องด้วยฉันจ้องหน้ามันทีละคนๆพยายามมองลึกเข้าไปในดวงตาพยายามค้นหาความจริง
                   “เออสิยัยจิ๋มใหญ่ พูดทำลายบรรยากาศที่กำลังตึงเครียดก็ฉันสามคนเห็นมากับตาเมื่อเช้านี่เองแฟนแก เดินจูงมือกัน เข้าห้องอีซาลาเปาไปกลางวันแสกๆนี่แหละแกก็รู้ว่า วันนี้วันหยุดของมันน่ะ
                   ฉันพูดไม่ออกบอกไม่ถูกฉันไม่มีสมาธิ ทั้งวันเลยคำพูดของยัยสามคนนั้น วนๆเวียนอยู่ในหัวสมองฉันตลอดเวลา
                  ฉันขอพี่เอื้องกลับก่อนสองชั่วโมงโดยบอกแกว่าปวดหัวเพื่อนสี่สาวของฉันพยักเพยิดให้อย่างเข้าใจฉันเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่ทำงานศักดิ์    ฉันคอยแอบมองแต่ไม่เห็นมีวี่แววของยัยซาลาเปา

                  ฉันกลับไปรอศักดิ์ที่ห้องด้วยความกระวนกระวายใจ นั่นไงเขาก็กลับมาตรงเวลานี่
                   “อ้าวที่รักวันนี้กลับเร็วจัง” ศักดิ์ทักทายด้วยท่าทางเป็นปกติ
                   “ผมปวดหัวนิดหน่อยครับ”
                  “ไหนๆ ผมดูซิ”   ศักดิ์คลำหน้าผากฉัน“ตัวก็ไม่ร้อนนี่เครียดอะไรหรือเปล่า   ไปอาบน้ำแล้วมาทานข้าวกันดูซิผมซื้อต้มซุปมาฝากคุณด้วยนะ”

                  ฉันอาบน้ำ ทานข้าวกับศักดิ์ โดยที่เขาคอยพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจอย่างเช่นเคย
                   “เอยังไม่หายเครียดอีกเหรอ   คงต้องฉีดยาเข็มใหญ่ของหมอศักดิ์ให้ละมั้ง”ศักดิ์กระเซ้าฉันบนเตียงนอน   แล้วเขาก็ร่ายกลอนรักบทเดิมที่ฉันปรารถนาและพึงใจซ้ำแล้วซ้ำอีก
               “ที่รักวันนี้คุณกลับเร็วหน่อยนะ เดี๋ยวเราไปฉลองวันครบรอบ........”ฉันพูดทิ้งท้ายไว้อยากจะรู้ว่า เขาเห็นความสำคัญหรือไม่
               “วันครบรอบ ที่คุณเสียตัวให้ผมครั้งแรกใช่ไหม” เขาเดินมากอดฉันจากทางด้านหลัง แล้วจูบไซร้ซอกคอเบาๆ    พร้อมกับพูดซ้ำๆว่า“ผมไม่เคยลืมๆ”







                ฉันและศักดิ์ไปถึงผับที่เพื่อนศักดิ์ทำงานอยู่แถวๆแยกลาดพร้าว   
               “เฮ้ทีฉันมาถึงซักพักแล้วล่ะ” ยัยซาลาเปาร้องเรียก
               “เขาบอกอยากมาร่วมแสดงความยินดีกับเราน่ะครับ” ฉันกระซิบบอกศักดิ์
               “อืมเข้าไปข้างในกันเถอะ” ศักดิ์รับรู้ แล้วเอ่ยปากเชิญชวน
                ตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่นฉันพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดทั้งๆที่ใจของฉันร้อนรุ่มอย่างมากฉันเก็บทุกรายละเอียดสังเกตทุกกริยาอาการคอยฟังทุกคำพูด ของคนทั้งคู่   ศักดิ์เองก็พยายามนั่งชิดฉันจับมือฉันตลอดหอมแก้มฉันเวลาที่ฉันมีอาการเหมือนกำลังนั่งคิดหรือเหม่อลอย
                “คิดอะไรอยู่น่ะที่รักเหม่อเชียว” ศักดิ์ถาม
                “โทษทีแค่เพลียๆ น่ะครับ” ฉันตอบบ่ายเบี่ยง พร้อมทั้งส่งยิ้มให้เขา
                “เดี๋ยวเราก็กลับกันนะ ดูสิตาอิดโรยเชียว” เขาเอื้อมมือมาประคองศีรษะของฉันให้ซบไหล่เขาพร้อมทั้งดึงมือของฉันให้โอบรอบเอวเขา


               “น้องๆ มานี่ซิ” ยัยหัวซาลาเปาเรียกบริกร “ไปบอกดีเจ ว่าเจ๊ขอฟังเพลง เราสามคน ของพี่อิทธินะ” ยัยหัวซาลาเปาสั่งและยื่นทิปใส่มือ
                ฉันทำตัวเป็นปกติ “ นั่นงัยล่ะมันต้องแสดงอะไรออกมาให้เห็นบ้างสิถ้าเรื่องที่เพื่อนๆบอกมาเป็นความจริง” ฉันบอกกับตัวเอง
                “เธอคนหนึ่ง ฉันคนหนึ่ง เขาคนหนึ่งเราสามคน แล้วคนหนึ่งรักคนหนึ่งเหลือคนหนึ่ง อยู่เพื่อใคร” ยัยหัวซาลาเปา ร้องเสียงดัง คลอตาม ประมาณว่าอินกับบทเพลงที่กำลังเปิดอยู่ซะเหลือเกิน   ฉันผละจากอกศักดิ์นั่งตัวตรงตาจ้องมองกริยาของคนทั้งคู่ ซึ่งตอนนี้ ต่างก็ตึงได้ที่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์   ศักดิ์หน้าแดงจ้องยัยหัวซาลาเปาตาเขม็งแต่ยัยหัวซาลาเปายังคงร้องเสียงดังไม่หยุด“.................เราสามคน คงต้องมีคนเป็นฝ่ายไป”      ยัยหัวซาลาเปา จ้องมองฉันและศักดิ์สลับกันไปมาแล้วพูดขึ้นอีกว่า “เราสามคน คงต้องมีคนเป็นฝ่ายไปเดี๋ยวฉันไปเอง เธอสองคนอยู่ด้วยกันดีๆนะ”ยัยหัวซาลาคว้าเป๋า เดินออกจากร้านไป
                ฉันจ้องมองศักดิ์เขายิ้มแล้วดึงฉันเข้าไปหอมแก้มแล้วบอกว่า “เรากลับกันเถอะนะ”







                ฉันนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายทั้งคืน ภาพคนทั้งคู่วกไปวนมาอยู่ในมโนสำนึกของฉันตลอด   ศักดิ์กุมมือ แสดงอาการรักใคร่ แสดงความเป็นเจ้าของฉันตลอดเวลายัยหัวซาลาเปาดูกระอักกระอ่วนหน้าแดง ตาแดงกระเง้ากระงอด สุดท้ายเดินกระฟัดกระเฟียดออกจากร้านไป แต่ฉันยังไม่อยากสรุปอะไร


             “ใจเย็นๆสิ   เดี๋ยวค่อยคุยกัน...............เออๆก็ได้”เสียงศักดิ์พูดโทรศัพท์ดังแว่วมาขณะที่ฉันอยู่ในห้องน้ำแต่ฉันไม่อยากจะนึกเลยว่าเป็น.................

             “ไอ้ที มานี่ มานี่เลย” ยัยหมวยฉุดกระชากลากถูฉันให้ตามไป “ ยัยเงาะอยู่จัดการงานไป ถ้าพี่เอื้องมาถึงบอกแกด้วยว่าฉันพาไอ้สี่ไปทำธุระสำคัญเรื่องคอขาดบาดตายเชียวนะมึง…………. นังจิ๋มใหญ่ตามฉันมา” หมวยสั่งทุกคนเสร็จสับฉุดฉันขึ้นแท็กซี่
         “มันอะไรกันหมวย” ฉันถามด้วยความแปลกใจ
         “แกยังไม่ต้องพูดอะไร เดี๋ยวก็รู้เองแหละ   เร็วๆหน่อยพี่แท็กซี่เลี้ยวซ้ายเข้าอพาร์ทเม้นข้างหน้าแล้วจอดเลย ”    ยัยหมวยสั่งแล้วจ่ายตังค์เสร็จสรรพทันทีที่แท๊กซี่จอด    ทั้งวิ่งทั้งเดิน
            “นี่มัน” “เออ ยังไม่ต้องพูด”ยัยหมวยตัดบทแกอย่าเพิ่งส่งเสียงหรือแสดงตัวนะ
ยัยหมวยกระซิบสั่งให้ฉันแอบอยู่ข้างๆประตูก่อนจะเคาะประตูเรียกคนในห้อง
         “เปาๆ   เปาๆฉันขอยืมเตารีดหน่อย เตารีดของฉันเสียน่ะ”
         “เออๆเดี๋ยวหยิบให้รอแป๊บนึง ” เสียงยัยหัวซาลาเปาตอบรับ
            ยัยหมวยขยิบตาให้จิ๋มใหญ่ “ผลั๊ว.....โครม” ทันทีที่เสียงประตูเปิดหมวยผลักแทรกตัวเข้าไปอย่างแรง
            “โอ๊ย....อะไรกันนี่”เสียงยัยหัวซาลาเปาร้องลั่น
            “จะอะไรกันล่ะ กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้องทรยศเพื่อนรักกี่ครั้งแล้วล่ะมึงอีเปาๆ”
หมวยด่าว่าเหมือนสุดจะทน “มึงเข้ามานี่มาดูให้เห็นกับตาเลยนะไอ้ทีไม่เชื่อกูดีนัก” หมวยฉุดลากฉันเข้าไปในห้องพร้อมกับตะคอกฉัน “ดูมึงดูให้เต็มสองตามึงเลยนะ”







            ฉันมองยัยหัวซาลาเปาที่ใส่ผ้าขนหนูกระโจมอก ยังคงนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นห้องหน้าตาซีดเผือดแล้วภาพที่ทำให้ฉันหัวใจแทบจะหยุดเต้นก็คือ ศักดิ์นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว นั่งตกตะลึงอยู่บนเตียงนอน ฉันจ้องมองศักดิ์ด้วยสายตาร้อนผ่าว ปวดแสบ ไปหมดทั้งกายใจ
            “ศักดิ์ คุณ............. คุณกับ........ มันเป็นเรื่องจริงหรือนี่” เสียงฉันแหบพร่าสั่นเครือ ตัวฉันสั่นเทาด้วยความโกรธ    ด้วยความร้อนรุ่มที่หัวใจ   ด้วยภาพที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าฉันพูดอะไรไม่ได้อีก น้ำตาฉันไหลเป็นทางแข้งขาฉันอ่อนแรงไปหมดฉันนั่งร้องให้ปิ่มว่า จะขาดใจอยู่ตรงนั้นเอง

            “กูว่าแล้วนังหมวย มึงอยากจะเห็นไอ้ทีมันช็อกตายหรือไงหือ” จิ๋มใหญ่ต่อว่า หมวยด้วยเสียงอันดังมาก
         “เออสิ กูทนไม่ได้หรอกที่เพื่อนรักสวมเขาให้เห็นๆอย่างนี้ ใครทนได้ทนไป” หมวยไม่ยอมลดละ
         ฉันพยุงตัวลุกขึ้น มองไปที่ศักดิ์ซึ่งก้มหน้าก้มตาไม่ยอมสบตาฉัน ฉันเดินระโหยโรยแรงออกจากห้อง ขณะที่ยังได้ยินเสียงหมวยและจิ๋มต่อว่ากันไปมา บางครั้งก็ด่าทอยัยหัวซาลาเปาและศักดิ์สลับกันไปมาแต่ฉันฟังไม่ได้ศัพท์ ฉันรู้สึกหูอื้อ ตาลายเจ็บที่หัวอกเหมือนหัวใจแตกสลายเป็นเสี่ยงๆหมดเรี่ยวหมดแรงแต่น้ำตาไม่ยอมหยุดไหลรินน้ำตายังคงไหลเป็นทางขณะที่เรียกบอกให้แท็กซี่ไปส่งที่พัก

             ฉันยังไม่อยากเข้าบ้านฉันนั่ง ร้องไห้คร่ำครวญที่สนามหญ้า หน้าสนามกีฬาฯฉันเจ็บปวดที่หัวใจ    ฉันปวดแสบที่ดวงตา ฉันปวดร้าวทั่วร่างกายและหัวใจฉันหนาวเหน็บอ้างว้าง   โลกนี้ดูโคลงเคลง...........................เหมือนฉันกำลังนั่งเรือฝ่ากระแสคลื่นแรงๆ ลูกแล้วลูกเล่า
            ภาพเก่าๆ ผ่านเข้ามาในห้วงคำนึงของฉันภาพศักดิ์กำลังประคองกอดฉัน    หอมแก้มฉัน จูบซอกไซร้ปลอบประโลมกระเซ้าเย้ายวนภาพแสดงบทรักพะเน้าพะนอ   หัวร่อต่อกระซิบกับฉัน.........................................ภาพเหล่านั้นกลับกลายเป็นหนามคอยทิ่มตำทิ่มแทงฉัน    เมื่อมีภาพของศักดิ์แสดงบทบาทอย่างเดียวกันกับยัยหัวซาลาเปา ซ้อนขึ้นมาในทุกๆภาพน้ำตาฉันไหลเป็นทางไม่ขาดสาย...................ฉันร้องไห้ร้องไห้ฉันนั่งร้องไห้………………อย่างเดียวดาย

               





            ครืนๆๆๆๆ   เสียงฟ้าคำรามเหมือนตอบรับว่า เข้าใจความรู้สึกของฉัน            ครืนๆๆๆๆ   ฟ้าร่วมร้องไห้เป็นเพื่อนฉัน      ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆ      ฉันร้องไห้ฟ้องบอกฟ้าว่าฉันปวดเจ็บยิ่งกว่า
ฟ้ามืดครึ้มไปทั่ว เหมือนหัวใจของฉันที่มืดมน   เปรี้ยงๆๆๆ   เสียงฟ้าผ่าดังกึกก้อง    อกฟ้าคงแตกกระจาย   เหมือนหัวใจของฉันที่แตกสลายเป็นเสี่ยงๆจนไม่เหลือเลยชิ้นดี    เปาะแปะๆๆๆๆน้ำตาฟ้าร่วงลงมาต้องกายฉัน   แล้วน้ำตาฟ้าก็ชะล้างน้ำตาแห่งฉัน      น้ำตาฟ้า น้ำตาฉัน ไหลรวมเป็นหนึ่งเดียวไหลนองทั่วแผ่นผืนฟ้าและผืนดิน เจิ่งนอง ........เนิ่นนาน

                ปรี๊ดๆๆๆๆๆเสียงนกหวีดดังแทรกทำลายความสงบเงียบ“โปรดทราบ ท่านที่มาใช้บริการสนามกีฬาฯเราจะปิดประตูทุกด้านในอีก 15 นาที...................” ฉันพยุงตัวลุกขึ้นช้าๆ    ฉันรู้สึกเคว้งคว้าง สิ่งแวดล้อมรอบตัวหมุนเคว้งไปหมด   ฉันยืนกอดต้นไม้หลับตานิ่งนานปรี๊ดๆๆๆๆๆ“ขณะนี้ถึงเวลาปิดให้บริการ...............................................” ฉันค่อยๆ ก้าวเดินช้าๆฉันก้าวเดินช้าๆออกจากสนามกีฬาท่ามกลางสายฝนกระหน่ำหนักหน่วงและรุนแรงขึ้น   


                  วิ้ว**   ซ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ   ลมพัดแรงขึ้นอีกฝนลงเม็ดหนักกว่าเดิม   ฝนตกหนักจนฉันรู้สึกเจ็บที่ผิวกายแต่มันรู้สึกปวดแสบน้อยกว่าความเจ็บปวดที่กัดกร่อนหัวใจฉันในตอนนี้มากมายหลายเท่านัก   แต่ฉันยังคงก้าวเดินต่อไปช้าๆฉันก้าวเดินต่อไปอย่างช้าๆ    ผ่านสิ่งแวดล้อมรอบข้างที่ฉันคุ้นเคย...................................................แต่ดูทุกสิ่งในวันนี้ ช่างเงียบเหงา   มืดมน   อ้างว้างและไม่งดงาม   

                     “ใช่แล้ว ทุกสิ่งอย่างไม่งดงามเลย”    ฉันบอกกับตัวเองขณะยืนจับราวสะพานข้ามคลอง   “โลกใบนี้ไม่งดงามทุกสรรพสิ่งไม่งดงามผู้คนไม่งดงามหัวใจคนล้วนไม่งดงาม”   “ความงดงามที่ผ่านมาความงดงามที่เคยผ่านตาฉันเคยผ่านความรู้สึกของฉัน    มันคือ ภาพมายา   ภาพมายา..............แห่งชีวิต”“สิ่งที่ฉันเผชิญในวันนี้ต่างหากคือ ความจริง.....................ความเป็นจริง ที่ฉันต้องยอมรับมัน” สมองของฉันคิดเรื่อยเปื่อย







                  “แสนแสบฮะใครกันนะที่ตั้งชื่อคลอง...........แสนแสบจริงๆ”   “แสนแสบ ฮะๆๆๆ   ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ฉันทั้งหัวเราะและร้องไห้จนตัวโยน      ขณะที่ปีนขึ้นไปนั่งบนขอบสะพาน   “ศักดิ์ ศักดิ์ ศักดิ์............” ฉันร้องตะโกนเสียงดัง แข่งกับเสียงร้องของฟ้าฝน                               “ฮะๆๆๆ   ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”    “ลาก่อน...............................................”
ฉันร้องตะโกนสุดเสียงอีกครั้ง   ก่อนที่จะยืดตัวขึ้นและกระโจน   ลงสู้เป้าหมายด้านล่าง..................
ฉันกระโจนลงสู้เป้าหมายด้านล่าง             ฉันกำลังกระโจนลงสู่ คลองแสนแสบ.............สุสานแห่งฉัน

         ฉันขอลา ความเจ็บปวดฉันขอลาภาพมายา   ฉันขอลาความทรยศ    ฉันขอลาความอดสูแห่งใจ       ฉันขออำลาความอาย    ฉันขออำลาความปราชัย................................................ฉันขอลาทุกสรรพสิ่งที่มืดมนและไม่งดงาม    ฉันขอลาไปชั่วนิรันดร์
         

          ..................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................


             “เฮ้ย.............จะทำอะไรน่ะ” เสียงร้องตะโกนโวยวาย ดังลั่น“ช่วยกันดึงขึ้นมาหน่อยสิคุณ”
มือแข็งแรงจับแขนฉันไว้ทั้งสองข้าง   พยายามดึงรั้งฉันไว้ขณะที่ฉันหลับตาปล่อยตัวให้ลอยล่องสู่เบื้องล่าง   “ฉันกำลังลอยลงสู่ สุสานแห่งฉัน” ฉันคอยพร่ำบอกกับตัวเองไม่ยอมรับรู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัว   









            “ไอ้ทีนี่หว่า......................ทีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”คนที่ดึงรั้งฉันขึ้นมา เขย่าตัวฉันอย่างแรงร้องเรียกเสียงดังลั่น “ที**ๆๆๆๆๆๆๆ   ลืมตาซะทีสิ.....................”
เสียงนั้น ยังคงตะโกนร้อง   สองมือก็จับหัวไหล่ทั้งสองข้างของฉันเขย่าไม่ยอมหยุด “ไอ้ที..................อย่าทำอย่างนี้นะ” เขาตะโกนและเขย่าตัวฉันแรงกว่าเดิม


                ฉันค่อยๆลืมตาขึ้นมองเมื่อรู้สึกว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงที่คุ้นเคย
                “พี่แตง..............พี่....แตงโม”ฉันพูดได้แค่นั้นแล้วก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย



            “ ตื่นซะทีสิไอ้น้อง.................... แกจะทิ้งทุกคนไปอย่างนี้ไม่ได้นะ” เสียงคุ้นเคยกว่าเดิมดังแว่วอยู่ไกลมากในความรู้สึกของฉัน “แล้วแกจะให้พี่ไปบอกกับพ่อแม่ว่าอย่างไรแกจะให้พี่บอกกับทุกคนเขาว่าอย่างไร   เกิดอะไรขึ้นกับแก.................ที”
                ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆฉันร้องไห้ทั้งๆที่ตายังหลับ เมื่อรับรู้ได้แน่ชัดแล้วว่า เสียงที่ตัดพ้อต่อว่าเป็นเสียงของพี่ชาย   ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆฉันร้องไห้ไม่ยอมหยุดแต่เสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน   น้ำตาไหลเป็นทางจนฉันรับรู้ได้   
               “ไม่เป็นไรๆ พักผ่อนให้หายเพลีย    แต่แกอย่าทำอย่างนี้อีก   แกยังมีพี่แกยังมี พ่อแม่ ที่รัก และเป็นห่วงแกแกอย่าทำอย่างนี้อีกเข้าใจไหม”rพี่ชายจับไหล่และพูดปลอบ เสียงสั่นเครือ..................................................................................................................................................

                  “โอ๊ย...........” โครม ครามเสียงคนร้องด้วยความเจ็บปวดและ เสียงข้าวของตกหล่นดังจนปลุกให้ฉันตื่นขึ้นมา
                  “แกทำอะไรน้องฉันฮึ.....มานี่เลย   น้องชายฉันเกือบตายไปแล้วรู้ไหมยังไม่สาแก่ใจแกอีกหรือ” “ผลั๊ว”ฉันได้ยินชัดเจนว่าเป็นเสียงหมัดแน่ๆ   







                   “แกจะตามมาทำอะไรมันอีก   เห็นแล้วนี่มันใกล้ตายแล้วไง   แกจะตามมาซ้ำมันเหรอ” “ผลั๊ว”เสียงอีกหมัดเน้นๆ    ฉันพยายามพยุงตัวลุกขึ้นแต่ไม่รอด เรี่ยวแรงฉันหายไปไหนหมด“ผลั๊ว” อีกหมัด เสียงดังชัดเจนมาก
               “ไหนใคร...ใครกันหมาตัวไหนบอกจะดูแลน้องฉันเป็นอย่างดี   หมาตัวไหนบอกไม่ต้องเป็นห่วง...............”เสียงพี่ชายฉันต่อว่าอย่างเกรี้ยวกราด
               “แล้วนี่แกทำอะไรไอ้บัดซบเอ๊ย..........”“ผลั๊วๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” รัวเป็นชุดหมือนเสียงที่แสดงอารมณ์โมโหนั่น
               “หยุดซะทีไอ้ทูเดี๋ยวมันก็ตายหรอก”เสียงพี่แตงโมฉุดดึงและร้องห้ามไว้
               “เออสิ .... กูก็กำลังจะฆ่ามันอยู่นี่ไงคนเขามีพ่อมีแม่ มีพี่มีน้อง มันมาหยาบหยาม ทำอย่างนี้ได้ยังไง” พี่ฉันยังคงเกรี้ยวกราดต่อไป
               “ เฮ้ย...แกกลับไปก่อนไอ้น้อง”เสียงพี่แตงโมร้องบอกศักดิ์
               “ครับพี่ผมฝากขอโทษทีด้วย...อีกสองสามวันผมจะมารับกลับบ้าน”   
               “ไอ้เห้.....เอ๊ยใครจะให้น้องกูไปอยู่กับมึงอีกไปให้มึงฆ่ามันอีกงั้นเหรอ เหอ....มึงไปให้พ้นหน้ากูเลยนะอยู่ต่ออีกนิดเดียวมึงเป็นศพแน่    แล้วอย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก   คราวหน้ากูเอามึงตายแน่........ไป๊ ”   
               “เฮ้ยไปซะทีซีวะพูดกันไม่รู้เรื่องหรอกวันนี้นะไปๆๆๆๆๆ”เสียงพี่แตงโมร้องสั่งศักดิ์อีกรอบ



               ฉันเหนื่อยฉันเพลียเหลือเกินแต่น้ำตาไม่ยอมหยุดไหลเหมือนกับหัวใจที่ยังไม่หายเจ็บเหมือนมีมีดซักร้อยซักพันเล่ม มาคอยห้ำหั่นเชือดเฉือนอยู่ไม่ยอมหยุด.............................................................................................................................................................










               “ไม่ต้องไปทำงานที่นั่นอีก.....................ไม่ต้องไปหาไม่ต้องโทรคุย............ไม่ต้องติดต่อกับมัน   ถ้าแกไม่อยากให้พี่และพ่อแม่ต้องเสียใจอีก...................เข้าใจไหม”พี่ทูสั่งฉันห้ามฉันติดต่อกับศักดิ์อย่างเด็ดขาดในทุกทางหลังจากที่ย้ายห้องพักจากที่เดิม


                เวลาผ่านไปกว่า ปีเศษ    ฉันค่อยๆแข็งแรงขึ้นและกลับมาดูแลตัวเองได้อีกครั้ง   ภายใต้การประคบประหงมของพี่ชายที่แสนดี
            “ดูแลน้องให้ดีๆนะลูก..... น้องไม่ค่อยแข็งแรงอย่าให้ใครมารังแกน้องได้ล่ะ” เสียงพ่อและแม่สั่งพี่ชายให้คอยดูแลฉันเสมอยังคงดังแว่วอยู่ในหูของฉัน    ฉันอยากกลับไปบอกพ่อกับแม่เหลือเกินว่าถึงวันนี้   พี่ชายก็ยังดูแลฉันเป็นอย่างดี   ฉันเองเสียอีกที่..............      
               “พ่อครับแม่ครับผมขอโทษผมเกือบจะทำลายสมบัติที่พ่อแม่ แหนหวงและ สร้างมา...........ด้วยน้ำมือของลูกเองซะแล้ว    ยกโทษให้ลูกด้วยนะครับ ”


                ถึงแม้ว่า ฉันจะเริ่มเป็นปกติแล้วแต่เหมือนพี่ชายจะยังไม่วางใจ   ไม่เคยปล่อยฉันให้ไปลับตาไม่เคยปล่อยฉันไว้ลำพัง .............................................................................................
..............................................................................................................................................................................ส่วนตัวฉันเองแม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายในเมืองใหญ่    แต่ทำไมฉันจึงรู้สึกโศกเศร้า เงียบเหงาและเดียวดายนักนะ

               

Deer651 โพสต์ 2015-9-3 10:34:34

ขอบคุณครับ{:5_119:}

bubblebeer โพสต์ 2016-1-4 17:24:41

ขอบคุณครับ

SunDay345 โพสต์ 2016-1-4 18:46:25

ขอบคุณครับ

kabuki โพสต์ 2016-1-4 20:28:31

ขอบคุณครับ

EH700 โพสต์ 2016-1-4 22:58:25

ขอบคุนครับ

MiU โพสต์ 2016-1-6 12:41:09

ขอบคุณครับ

santin โพสต์ 2016-1-13 04:19:40

ขอบคุณคับ

kangped โพสต์ 2016-1-14 18:55:39

ขอบคุณครับ

pk1 โพสต์ 2016-2-19 21:27:19

เฮ้อ เศร้าจัง เขาเรียกวว่ารักมาลองใจ{:5_139:}{:5_139:}{:5_139:}{:5_139:}{:5_139:}

pron โพสต์ 2016-2-19 21:33:43

ขอบคุณครับ

bask28 โพสต์ 2016-2-20 01:19:04

ภาษาสวยงามมาก

4_NAY โพสต์ 2016-6-3 15:42:03

รักมากเจ็บมาก

napapadon1 โพสต์ 2016-6-4 13:47:02

ขอบคุณครับ

mooman โพสต์ 2016-6-13 22:04:04

ขอบคุณมากๆครับ

paepaeii โพสต์ 2016-6-14 05:04:52

ขอบคุณครับ

singlia โพสต์ 2016-7-30 21:40:19

เศร้าจังครับ
แต่ภาษาดีมากเลย
ขอบคุณครับ ^.^

jumboa โพสต์ 2016-7-30 22:27:36

ขอบคุณครับ...

piyapat69 โพสต์ 2016-9-18 17:56:59

ขอบคุณค่ะ

lekthai โพสต์ 2016-9-19 11:18:24

ขอบคุณครับผม
หน้า: [1] 2
ดูในรูปแบบกติ: 1 ลองรัก