3 กลัวรัก
กลัวรัก....เดือนนี้ฉันเข้ากะเช้าและนั่งเครื่องที่แผนกยีนส์
“ดูพี่แคชเชียร์สิ แกดูซึมเศร้ามาก เหมือนเพิ่งจะอกหักมา”เสียงพนักงานขายซุบซิบกัน
ซึ่งฉันก็ไม่ได้รู้สึกเคืองขุ่นพวกเขาแต่ประการใด ฉันเองก็รู้ตัวอยู่เหมือนกันว่าวันๆฉันพูดแทบจะนับคำได้ วันทั้งวันเดือนทั้งเดือนแทบจะไม่มีรอยยิ้ม บนใบหน้าของฉัน
“ทีมันอกหัก อย่าพูดอะไร ทิ่มแทงใจมันล่ะ” เพื่อนๆ พี่ๆ บอกกล่าวประโยคนี้กันเนืองๆ
ซึ่งตัวฉันเองก็คอยระมัดระวังอารมณ์ตัวเองอยู่ค่อนข้างมากเหมือนกันกลัวจะฟุ้งซ่าน จน
คิดสั้นเหมือนคราวแรกนั้น
ฉันพยายามทำตัวเองให้ว่างน้อยที่สุด ฉันพยายามอยู่คนเดียวลำพังให้น้อยที่สุด
ฉันเลือกที่จะมานั่งดูทีวีที่ห้องรับแขกของอพาร์ทเมนท์แทนที่จะนั่งดูอยู่บนห้องอย่างเดียวดาย
หลังข่าวเที่ยงคืน ฉันถึงจะยอมขึ้นห้องนอน ประมาณว่าเมื่อหัวถึงหมอนก็ให้หลับเป็นตายกันเลย
ทีเดียว
ซึ่งการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองก็พอช่วยฉันได้ค่อนข้างมาก คนที่พักอยู่ที่นี่ล้วนแต่เป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับฉัน
ทุ่มครึ่งแล้วฉันเพิ่งจะถึงที่พักหนุ่มๆเล่นฟุตซอลกันอยู่ที่หน้าอพาร์ทเมนท์ส่งเสียงเอะอะโวยวายก็แปลกดีนะตั้งแต่ฉันย้ายมาอยู่ที่นี่ฉันเข้ากะบ่ายตลอด กลับถึงที่พักก็สี่ห้าทุ่ม ไม่เคยเจอกับหนุ่มๆที่เล่นฟุตซอลกันเลย จะมีก็วันนี้ซึ่งฉันเริ่มลงกะเช้าจึงเลิกงานและกลับถึงที่พักเร็วกว่าเดิมมาก
“ส่งมานี่....................ไอ้กฤษส่งมานี่”
ฉันมองหาลูกบอลด้วยกลัวจะโดนลูกหลง แล้วสายตาก็ได้ประสานกับสายตาของคนชื่อกฤษที่กำลังครองบอลอยู่
“ให้ตายเถอะที่นี่มีคนน่ารักขนาดนี้พักอยู่ด้วยหรือ” ฉันบอกกับตัวเอง
กฤษเป็นคนผิวขาวมากรูปร่างสันทัด จมูกโด่ง หน้าได้รูปที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นริมฝีปากที่ แด๊ง แดงๆๆๆๆ
อายุของกฤษน่าจะพอๆกับฉันเขาเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีมีเพื่อนรุ่นพี่ รุ่นน้องและรุ่นราวคราวเดียวกันเยอะแยะ ต่างกับฉันที่อยู่อย่างเดียวดายฉันไม่มีใครเลยฉันแทบไม่รู้จักกับใครเลยในที่นี้
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาฉันชอบแอบมองดูกฤษโดยเฉพาะริมฝีปากแดงจัดนั้น ทำเอาฉันเก็บมาฝันอย่างช่วยไม่ได้ เขาเองก็เหมือนจะรู้ตัวเวลาที่ฉันมองก็ชอบจะเอาลิ้นเลียปากซะงั้น
แต่ฉันไม่กล้าคิดอะไรไปไกลกว่านั้น
ด้วยพิษรักปักทรวงถึงสองครั้งสองหนยังสำแดงฤทธิ์เดชไม่หาย บุคลิกฉันมันก็คนป่วยใจดีๆนี่เอง
แล้วก็ยังมีเหตุผลหลายอย่างประกอบกัน ฉันค่อนข้างจะเจียมเนื้อเจียมตัวคนอื่นๆพ่อแม่เขาส่งเรียน มีเงินทองใช้ไม่ขาดมือได้ไปเรียนอย่างสม่ำเสมอต่างกับฉันที่ต้องทำงานหาเงินส่งเสียตัวเองถ้าเดือนไหนเป็นช่วงลงทะเบียน ซื้อหนังสือหรือมีรายจ่ายอื่นที่อยู่นอกเหนือจากรายจ่ายประจำ เดือนนั้นฉันเป็นอันต้องไส้แห้งอย่างช่วยไม่ได้
“ไง..ไปทำงานวันแรกเวิร์คไหม”เสียงคนทักทายกันที่ประตูทางเข้าตึก ขณะที่ฉันนั่งดูทีวีที่อยู่ข้างใน
“ก็ดีว่ะ.................”เสียงกฤษตอบได้ยินชัดเจน
ฉันไม่ได้เจตนาจะแอบฟังใครเขาพูดคุยกันแต่เขามานั่งคุยกันอยู่ข้างหลังฉันเลยทำให้รู้ว่า
กฤษเป็นคนที่เรียนเก่งและจบเร็วกว่าเพื่อนๆรุ่นเดียวกันถึงเกือบปีเกรดเฉลี่ยสวยถึงขั้นไปสมัครงานธนาคารสำนักงานใหญ่ เขาก็รับเข้าทำงานทันที
“นี่แหละนะคนหน้าตาดีบุคลิกภาพดีสมองดีฐานะทางบ้านดี เมื่อทุกอย่างพร้อมทุกอย่างก็ย่อมเกื้อหนุนเสริมส่งให้ไปได้ดีเสมอถ้าคนรักดีอีกอย่างด้วยน่ะนะ” ฉันคิดบอกกับตัวเองลำพัง เมื่อยิ่งได้รู้ความจริงอย่างนั้น มันยิ่งทำให้ช่องว่างระหว่างฉันกับกฤษ เพิ่มมากขึ้นตัวฉันนะเหรอ
“ไม่มีใครสนใจใยดี ห้องเรียนไม่เคยได้เข้ากับคนอื่นเขาอ่านหนังสือสอบเอง ลาสอบได้บ้างไม่ได้บ้าง..................”ฉันอดเปรียบเทียบ และน้อยใจในชะตาชีวิตของตนเองอย่างช่วยไม่ได้
ยิ่งนับวันกฤษยิ่งดูดีขึ้นในสายตาฉัน นั่นมันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกว่า ตัวเองต่ำต้อยลงทุกทีๆ
ฉันพยายามเก็บความรู้สึก และไม้กล้ามองกฤษตรงๆอีกเลย แต่ยังห้ามใจตัวเองไม่ได้ที่จะ.....................ไม่ให้แอบมอง
นี่ก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว ฉันนั่งดูทีวีอยู่เพียงลำพังดูรายการต่างๆไปเรื่อยเปื่อย ประสาทไม่ได้รับรู้อะไรฉันยังไม่อยากขึ้นห้องนอนฉันกลัวความเหงาฉันกลัวความอ้างว้างฉันกลัวความเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ที่สำคัญฉันกลัวใจตัวเอง.........
กฤษเดินมาโน่นแล้ว เขาเดินผ่านไป....................... แล้วเดินกลับมา เดินย้อนกลับไปด้านหน้า เดินกลับมาแล้วก็เดินย้อนกลับไปด้านหน้า.............
“ป๊าบ..............” เขาแกล้งแกว่งแขนมาโดนฉันอย่างแรง
“.....................”
“.....................” เงียบสนิท ไม่มีคำขอโทษจากเขา .................................... ไม่มีเสียงของฉัน ไม่แม้กระทั่ง...........ฉันจะหันไปมอง
เสียงกฤษนั่งลงที่นั่งแถวหลังฉัน เงียบๆ
ทุกอย่างยังคงเงียบสนิท...........เงียบสนิท ไม่มีคำขอโทษจากเขา ........................... ไม่มีเสียงของฉัน ไม่แม้กระทั่ง...........ฉันจะหันไปมอง
ฉันรับรู้ได้ว่ากฤษเจตนาที่จะทำความรู้จัก............... แต่ฉันยังไม่พร้อม ฉันต่างหากที่ยังไม่พร้อม ฉันขอเวลา ฉันยังต้องการเวลา เยียวยารักษาแผลใจ
สักพัก กฤษลุกขึ้นเดินขึ้นชั้นบนมองฉันอย่างงงๆ มองฉันอย่างไม่เข้าใจ ฉันมองกลับไปที่เขาด้วยสายตาที่อ้างว้าง......................และว่างเปล่า
หลายเดือนผ่านไปฉันยังคงอยู่กะเช้าฉันกลับถึงที่พักตรงเวลาเสมอ เหมือนกฤษจะรออยู่เมื่อฉันไปถึง เราต่างมองสบสายตา............แล้ว เขาจะเดินตาม หรือบางวันก็เดินนำหน้าฉันขึ้นข้างบนเสมอ อย่างเงียบๆ..............
เป็นอยู่อย่างนั้น..................อย่างเงียบๆ
ไม่มีรอยยิ้มให้กัน...........................ไม่มีแม้คำพูดจาสักคำเดียว
แต่ ฉันก็รู้สึกเป็นสุขและอบอุ่นใจ อย่างประหลาด
ผ่านไปครึ่งปีถึงคิวฉันต้องลงกะบ่ายบ้างแล้ว
ฉันกลับถึงที่พัก ประมาณห้าทุ่มครึ่ง................. กฤษ ไม่รอแล้วเขาคงเข้านอนแล้วเขาต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงานฉันเข้าใจดี
วันนี้เป็นวันเสาร์คนทำงานห้างอย่างฉันยิ่งหยุดไม่ได้เลยลูกค้าเยอะมากทั้งวันเพราะมีการจัดรายการพิเศษด้วย ฉันถึงที่พักเที่ยงคืนได้ กฤษรออยู่เช่นเคยเขามองมาเขาจ้องมองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ด้วยสายตาที่ขุ่นข้องหมองใจ
“ผมไม่ได้เกเรผมไม่ได้หนีเที่ยวผมเพิ่งกลับจากที่ทำงาน.................” ฉันส่งสายตา และกระแสใจไปบอกเขาอย่างเงียบๆ
............แล้ว เขาก็เดินตาม ฉันขึ้นข้างบน อย่างเงียบๆ.............. โดยไม่มีรอยยิ้มให้กัน...........................ไม่มีแม้คำพูดจาสักคำเดียว
เราเดินตามกัน เรามองสบตากัน เราส่งความรู้สึกเข้าหากัน...........................เราปล่อยให้หัวใจมันคุยกันอยู่อย่างเงียบๆ...................แต่ฉันก็รู้สึกอบอุ่นใจดี
บางวันที่ฉันเหนื่อยอ่อน....................บางครั้งฉันก็อยากจะให้มันเป็นมากกว่านี้ แต่ฉันยังไม่พร้อม ฉันต่างหากที่ยังไม่พร้อม ฉันขอเวลา ฉันยังต้องการเวลา เยียวยารักษาแผลใจ
เวลาพ้นผ่านไปเป็นปี ความสัมพันธ์สองเรายังคงเดิม
กฤษเองก็ไม่กล้าทำอะไรไปมากกว่านั้นด้วยฉันเคย....................
ฉันเองก็ไม่กล้าเพราะตีค่าตนเองต่ำไป.....................................และฉันยังเจ็บแผลเก่าที่หัวใจ
ยังไม่หาย.................มันเจ็บ ปลาบแปลบทุกครั้ง เมื่อคิดถึงเรื่อง ความรัก
“ไอ้กฤษมันได้งานใหม่ที่ไฟแนนซ์..........................”
“เหรอวะโอ้โฮ้เงินเดือนเพิ่มกว่าสองเท่าเลยนะแก.......”
“นั่นน่ะสิโบนัสนะเกือบยี่สิบเดือนเชียวนะโว๊ย”
เสียงเพื่อนๆพี่ๆน้องๆร่วมที่พักต่างพูดคุยแสดงความยินดีกับกฤษที่ได้งานดีเงินดีกว่าเดิม นั่นมันยิ่งเป็นการเพิ่มช่องว่างระหว่างฉันกับเขาให้ห่างไกลเกินกว่าที่ฉันจะไข่วคว้า..............เอื้อมมือไปถึง ฉันครุ่นคิดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
แต่กฤษก็ยังทำตัวเป็นปกติเช่นเคยๆ เดินนำฉันขึ้นที่พักไปนั่นแล้ว แต่วันนี้แปลกไป
เมื่อถึงชั้นสามแทนที่เขาจะเลี้ยวขวาเข้าห้องพักตนเอง เขากลับเดินไปอีกฝั่งแล้วรีบเดินกลับมา
ขณะที่ฉันยังอยู่กึ่งกลางบันได
“โอ้โฮ............ แผลถลอกเป็นรอยยาวตั้งแต่เข่าไปถึงโคนขา”กฤษหยุดยืนอยู่ต่อหน้าฉันสักครู่เหมือนต้องการให้ฉันได้รับรู้
“กฤษคุณ..............” เสียงของฉันแผ่วเบาคอแห้งผาก.............แต่เขาเปิดประตูเดินเข้าห้องไปแล้ว
“กฤษ.............คุณคงเจ็บแสบที่แผลมากสินะ” ฉันรำพึงกับตนเอง
“ผมอยากจะคอยดูแลคุณเหลือเกิน..............” ฉันได้แต่คิด
ในความเป็นจริงเราต่างกันเหลือเกิน ฉันจึงทำได้แค่เพียงรับรู้...............ฉันรับรู้ถึงเจตนา และความเจ็บปวดของเขาได้
เรายังคงเดินตามกัน เรามองสบตากัน เราส่งความรู้สึกเข้าหากัน...........................เราปล่อยให้หัวใจมันคุยกันอยู่อย่างเงียบๆ...................แต่ฉันเริ่มรู้สึก ว้าวุ่นใจ
ฉันต้องลาออกจากงาน ฉันต้องไปฝึกงาน ห่างจากที่พักไปไกลถึงสองชั่วโมง ถ้ารถไม่ติด
มันเป็นเรื่องจำเป็นที่คณะถ้าไม่ลงฝึกงานจะขอจบปริญญาไม่ได้ แล้วถ้าฉันไม่ย้ายที่พักฉันคงต้องเสียงาน เสียการเรียนแน่ๆด้วยคงต้องเสียเวลาอยู่บนรถประจำทางไปกลับวันละสี่ถึงห้าชั่วโมงได้ไหนจะต้องเผื่อเวลาไปยืนคอยรถอีกข้าวของที่หิ้วไปฝึกงานก็คงพะรุงพะรังน่าดูฉันปรึกษากับเพื่อนๆ เราตกลงกันที่จะไปเช่าห้องย่านที่ฝึกงาน เพื่อจะได้ให้ความช่วยเหลือดูแลกันได้และตัดปัญหาจิปาถะ ข้างต้น
ฉันเก็บข้าวของสัมภาระขึ้นรถเช่าเที่ยวแล้ว...............เที่ยวเล่า
……………………………………………………………………………………………………….
“เฮ้อ..........เที่ยวสุดท้ายแล้วสินะขอขอบคุณทุกสิ่งอย่างที่ให้ฉันอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยดีเสมอมา”
ฉันบอกลา ห้องพักและสะพายกระเป๋าลูกสุดท้าย เดินออกมาหน้าตึกอพาร์ทเมนท์
“กฤษ............ คุณดูเศร้าจังเลย” กฤษยืนอยู่ที่ใต้ต้นกระถินณรงค์หน้าตึก
ฉันเดินผ่านเขาช้าๆ
เรามองสบตากัน เราส่งความรู้สึกเข้าหากัน...........................เราปล่อยให้หัวใจมันคุยกันอย่างเงียบๆ
ฉันรู้สึกร้อนผะผ่าว...........แสบเคือง ที่ดวงตา ฉันเดินช้าๆ มาที่รถตายังคงมองอยู่ที่กฤษ
“ไปแล้วนะครับ..............ลาก่อน” ฉันส่งความรู้สึกถึงกฤษ
ดอกกระถินณรงค์สีเหลืองสด หล่นโปรยปรายท่ามกลางสายลมที่พัด กระชั้น ........................
ดอกกระถินณรงค์สีเหลืองสด หล่นโปรยปรายลงบนศีรษะของกฤษ...................
ฉันเห็นน้ำตาเขาไหลเป็นทาง
ดอกกระถินณรงค์สีเหลืองสด น้ำตากฤษ........................................ไหลเป็นทาง
น้ำตาฉันเริ่มเอ่อล้นเช่นกัน
“ลาก่อน........ลาก่อนครับ”
ฉันส่งความรู้สึกถึงกฤษเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ฉันจะควบคุมตัวเองไม่ได้มากกว่านี้
พอรถเริ่มเคลื่อนฝนก็เริ่มโปรยปราย .....................ฉันมองกฤษผ่านกระจกมองหลัง
เขายืนอยู่ที่เดิม................. ฉันเห็นเขายังยืนอยู่ที่เดิม.............................น้ำตาเขารินไหลเป็นทาง
ฉันมองเห็น กฤษยืนนิ่ง......................น้ำตารินไหล....................................อยู่ที่เดิม
“ผมขอโทษๆ................ เราต่างกันเหลือเกิน” ฉันพร่ำบอกกับหัวใจของตัวเองขณะรถเลี้ยวเข้าสู่ถนนเส้นหลัก ฉันนั่งหันหลังให้คนขับ.............................น้ำตาฉันรินไหล ไปตลอดทาง
ฉันเริ่มเจ็บที่หัวใจ................ฉันเจ็บปวดที่หัวใจอย่างเคยๆ
ฉันตั้งใจฝึกงาน ทำงานอย่างเต็มความสามารถฉันทำงานหนักมากทั้งเวลางานและหอบกลับมาทำที่ที่พัก ไม่เว้นแม้เสาร์อาทิตย์
แต่ทุกครั้งที่ฉันพอจะมีเวลาว่าง ใจฉันจะล่องลอยไป.....................และที่หนังสือตรงหน้าจะปรากฏ ภาพของกฤษเสมอๆ ฉันคิดถึงเขาทุกลมหายใจเข้าออก ก็ว่าได้
ทุกเช้าวันพฤหัสบดี อาจารย์จะเรียกนักศึกษาทุกคนมาประชุม เพื่อติดตามเรื่องการฝึกงานเสมอ กว่าครึ่งเทอมงานถึงเข้าที่เข้าทาง.....................................
ฉันคิดถึงกฤษแทบใจจะขาด ................................. ตอนนี้ฉันพอจะปลีกตัวได้บ้าง วันนี้ฉันต้องไปเจอเขาให้ได้ ฉันออกจากที่พักตั้งแต่เช้ามืด ฉันไปยืนดักรอดูเขาอยู่บนสะพานลอยที่ปากซอยเข้าที่พักของเขา ยังคงตรงเวลาเสมอ กฤษเดินมาโน่นแล้ว......................... เขายังดูดีอย่างเคยๆ หล่อเหลา สูงสง่า แต่ดูเขาผอมลงและดูเงียบเหงาซึมเซาไปมาก
ที่แปลกตามากๆก็ตรงที่ทรงผม .....................................ปกติกฤษจะไว้ผมทรงสั้นตั้งๆคล้ายทหาร แต่ตอนนี้เขาไว้ผมยาวแล้วทาเจลหวีเสยเปิดหน้าผากไปทางด้านหลัง ซึ่งเป็นทรงผมของฉันเองเขาดูดีมากในสายตาฉัน...................................ฉันมองเขาอย่างชื่นชมและมีความสุข
“กฤษครับผมมารอคุณสักพักแล้ว...........ผมคิดถึงคุณมากครับ”ฉันได้แต่ส่งใจไปบอกเขา เราช่างแตกต่างกันเหลือเกิน.................ความรู้สึกนั้นฉุดรั้งฉันเอาไว้ไม่ให้เดินไปหาเขา
เขาเดินใกล้เข้ามาเขามองเห็นฉันแล้ว ........................ เขาชะงักนิดหนึ่ง
เขามองมาที่ฉัน เขาจ้องมองมาด้วยสายตาที่แสดงความเจ็บปวด..................................................แล้วเปลี่ยนเป็นสายตาที่แสดงความเย็นชา................. เขาแสดงอาการเฉยเมยและเดินไปโน่นแล้ว
ฉันได้แต่ยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก เหมือนโดนไฟช็อต กฤษไม่เคยแสดงอาการอย่างนี้กับฉัน เรื่องราวต่างๆผ่านเข้ามาในห้วงคิดของฉัน
“ขอโทษครับกฤษ..............ผมผิดเองผมไม่ดีเอง สมควรแล้วที่คุณจะโกรธจะเกลียดผม”
วันนั้นฉันเข้าประชุมอย่างไร้หัวจิตหัวใจ และกลับไปทำงานด้วยความสลดหดหู่ใจ
............................................................................................................................................................
ฉันฝึกงานอย่างไม่มีความสุขแต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุด สุดท้ายฉันได้คะแนนดีที่สุดในรุ่นทั้งในรายวิชาฝึกงานและการสัมมนาการฝึกงาน
ฉันได้งานเป็นซูปเปอร์ไวเซอร์ในบริษัทผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นบริษัทฝรั่งที่มีชื่อเสียงมาก และที่สำคัญมากรายได้ของฉันมากกว่าตอนทำงานห้างถึงสามเท่า
ฉันมีความสุขกับงานกับเพื่อนร่วมงาน.........................แต่ฉันลืมกฤษไม่ลง ฉันตัดสินใจย้ายกลับเข้าไปที่พักเดิมเพื่อจะได้ใกล้ชิดกับกฤษ
รุ่นพี่ต่างแสดงความยินดีที่ฉันได้งานดีต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าที่นี่คัดคนมาก.............แต่กฤษสิ เขาแปลกไปเขาเปลี่ยนไปเขาพยายาม หลบหน้า ไม่มองสบตาฉันอย่างเคยๆ
“ที่รักผมกลับมาแล้ว ผมกลับมาตามเสียงหัวใจที่เรียกร้อง.........................................”
ฉันพยายามส่งใจไปถึงเขา แต่เปล่าเลยกฤษไม่เคยรับรู้........................เขาดูเฉยเมย
เขาเย็นชาทุกครั้งที่เจอ
แต่ที่ทำให้ฉันใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง...................... เขาใช้ผ้าเช็ดตัว สีขาว และสีบานเย็น
เช่นเดียวกับฉันซึ่งก่อนที่ฉันจะย้ายออกไปเห็นเขาใช้สีเหลือง....................โธ่ที่รักคุณคงต้องการระลึกถึงผมสินะฉันรำพึงเข้าข้างตัวเอง
“พี่พลๆ ............................” เสียงกฤษเรียกหาใครคนหนึ่งซึ่งฉันคุ้นหน้าดี
ฉันแอบดูที่ระเบียงด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเขาจะไปไหนกัน เขาทั้งคู่หิ้วกระเป๋าใบใหญ่คนละข้าง มีด้ามไม้เทนนิสโผล่ออกมา ดูเขาสนิทสนมกันมากทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีทีท่าว่าสองคนนี้จะชอบพอกัน
วันต่อๆมา ฉันคอยสังเกต ความสัมพันธ์ของทั้งคู่
เขาดูสนิทชิดเชื้อกันมากกว่าที่ฉันคิด ไปไหนมาไหนด้วนกันตลอด ไปเที่ยวกลางคืนด้วยกันไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน และดูเหมือนกฤษจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่เจ้าสำอางค์เหมือนเมื่อก่อน……………………….ผมเผ้าไม่เข้ารูปเข้าทรง ทั้งๆที่ตัดสั้นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว และดูเหมือนเขาจงใจจะทำตัวเองให้อ้วนขึ้นให้ทันพี่พลของเขาคนนั้น
“ดูนัยกฤษสิเธออ้วนขึ้นมากเลย....................................”
“ก็เป็นธรรมดาคนมัน อินเลิฟ อะไรๆก็คงอร่อยไปหมดน่ะนะ”
“นั่นนะสิ คอยพะเน้าพะนอเอาใจกันซะ........................ ”
“เออนะ...............ไม่เหมือนใครบางคนเขารักแทบจะเป็นจะตายทำเป็นเล่นตัวอยู่ได้ สุดท้ายเป็นไงหล่ะ”
“กินแห้วสิคะ............ฮ้า ฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
เกย์สาวเม้าแตกกันกระจายเหมือนจงใจให้ฉันได้รับรู้
ฉันคอแห้งผาก...............รู้สึกเหมือนโดนไฟช๊อตพยายามฝืนก้าวเดินจนถึงห้อง
เหมือนมีมีดสักร้อยเล่มพันเล่มมาปักอยู่ที่อกฉัน...........................ฉันจุกแน่นที่หน้าอกจนแทบหายใจออก........................หัวใจร้อนรุ่มเหี่ยวแห้งฉันรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรงไม่มีแม้แต่น้ำตาสักหยด หัวสมองฉันมึนตึงเหมือนประสาทไม่สั่งการ
ฉันตกอยู่ในภวังค์นั้นนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้................................
มารู้ตัวอีกที น้ำตาก็เปียกปอนหมอนหนุนไปทั่ว..............................ฉันไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะขยับตัว
“กฤษครับ ผมขอโทษทุกสิ่งอย่างมันเป็นเพราะผม.......................ผิดที่ผมคนเดียวเท่านั้น”
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
ฉันหิ้วกระเป๋าใบสุดท้ายเดินออกจากตึก สายลมพัดเอื่อยกิ่งก้านกระถินณรงค์เอนไหวดอกสีเหลืองสดร่วงหล่นสายฝนโปรยปราย.............................แต่ไม่มีใครยืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้ที่ตรงนั้น หัวใจฉันยังคงร้าวราน น้ำตาเอ่อนอง แล้วเริ่มรินไหลเป็นทาง
ดอกกระถินณรงค์ร่วงหล่น สายฝนโปรยปราย น้ำตาฉันรินไหลเป็นทาง
ฉันก้าวเดินต่อไปไม่ไหวจึงได้แต่หยุดยืนนิ่ง.................น้ำตารินไหลเป็นทาง
ได้แค่ทำใจ บทความนี้ค่อนข้างเศร้าในตอนท้ายนะ สะท้านเลย ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆครับ ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]