จ้าวธารา
คัดลอกมาครับ-๕-
ใกล้ได้ฤกษ์แต่งงานจ้าวแสนตากับแม่หญิงบุหลัน
ขบวนจระเข้แห่งพิจิตรนครจึงจัดเตรียมความพร้อมออกเดินทางไกล ด้วยล่องไปตามลำน้ำเช่นนี้กว่าจะถึงอโยธยาคงจะเสียเวลาไปหนึ่งวันเต็ม ทั้งสำรับปิ่นโตน้ำสะอาดอาหารแห้งทิ้งเพียงอ้ายแม่พิกุล อ้ายกล้าและจระเข้อีกครึ่งกองพำนักต่อที่เรือน
พันวังตระเตรียมห่อผ้าน้อยสะพายขึ้นบ่า เดินลัดเลาะผ่านบรรดาจระเข้น้อยใหญ่ที่กำลังวุ่นวายในเวลาย่ำรุ่ง ทุกผู้ตนต่างดูเร่งร้อนไปเสียหมดด้วยจ้าวโคจรท่าทางกระหายอยากจะไปมากกว่าใคร แรกรับสั่งจะออกตอนรุ่งสาง
ฉไนยังไม่ทันจะอะไรดึก็ออกมาตีฆ้องร้องป่าวเร่งเวลารัดขึ้นกว่าชั่วยาม
“ยินว่าท่านจ้าวสิออกมาเดินเล่นเสียทั้งคืน”บ่าวหนึ่งกล่าว
“มิได้หลับได้นอนรึไร”
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรเล่า?”
“ข้าสิท้องไม่ค่อยดีถึงได้ออกมาแทบทุกชั่วโมง” เขาอธิบาย
“คราเห็นท่านจ้าวนั่งชมดาวอยู่บนแคร่ใหญ่พอออกมาอีกครั้งจึงได้เปลี่ยนไปเดินจงกรมใต้ต้นโพธิ์ท่าทางกระวนกระวายนัก”
“คงจะตื่นเต้นกระมัง”
“ตื่นเต้นอะไรกันเล่านี่มิใช่หนแรกที่จะออกเรือไปต่างเมืองเสียหน่อย”
“บ๊ะแต่นี่สิเป็นหนแรก”อ้ายอินทรกล่าวด้วยวางภูมิรู้ใจจ้าวยิ่งกว่าใคร
“หนแรกที่จ้าวแสนตาเพื่อนรักจะได้แต่งนางเข้าเรือน เป็นเจ้าจักไม่ตื่นเต้นพร้อมแสดงความยินดีกับเกลอหรอกรึ?”
“ข้าก็มิได้คลางใจอะไรนักดอก”
“เออก็ดี”
“…แต่อย่าหาว่าอย่างนี้อย่างนั้นเลยอ้ายอินทร”
หนึ่งในบรรดาเด็กรับใช้กระซิบกระซาบ
“ตื่นเต้นเช่นนี้หากมิบอกข้าคงจะคิดว่าจ้าวโคจรจะแต่งงานเสียเอง”
“ชิชะดูพูดเข้าจ้าวแสนตากับจ้าวโคจรเป็นเพื่อนเล่นหัวกันมาตั้งแต่เจ้ายังเป็นแค่ไข่ ฤๅจะรู้ความผูกพันของทั้งคู่ได้กระไรเล่า”
“ยามอยู่ก็เห็นมีปากเสียงสรวลกันทุกเมื่อเชื่อวัน…”
“ก็มิได้หมายความว่ามิได้ลงรอยกันเสียหน่อย”ชายวัยกลางเท้าสะเอวเฉดหัวไอ้คนปากมากไปหนึ่งที
“ดูยังจะมัวมาพูดเข้า รีบหอบขบวนสำรับอาหารนี่ขึ้นเรือไปเสียประเดี๋ยวท่านจ้าวก็จะลงมาแล้ว….แล้วอ้ายพันวังไปไหนเสียเล่าพันวัง! อ้ายพัน….”
“ข้าอยู่นี่อ้ายพี่อินทร” เด็กหนุ่มร้องตอบรีบสาวเท้าเข้าหา
“ข้าสิรอท่านเรียกมานานแล้วจะให้ข้าขึ้นไปเรียนท่านจ้าวแล้วกระนั้นรึ?”
คนฟังหมุ่นคิ้ว
“บ๊ะหากเจ้ารู้งานใยไม่เริ่มลงมือเลยเล่า”
“ข้ารู้งานมิได้รู้เวลาสักหน่อย…”
“เอ้ายังมิวายมาเล่นลิ้น…ไปไปเสียเรียนท่านจ้าวทราบ ขบวนเรือพร้อมออกเดินทางแล้ว”
เด็กหนุ่มอมยิ้มแก้มปริละออกจากงานใต้โถงด้านล่างวิ่งทั่กๆขึ้นบันไดไปสวนกับบรรดาพี่น้องที่หอบข้าวของ
ลงมาด้วยจ้าวโคจรมีคำสั่งให้ตระเตรียมแก้วแหวนเงินทองเป็นของกำนัลจากแดนพิจิตรไว้พร้อม ราวกับจะไปสู่ขอสาวนางใดก็มิปานและเมื่ออ้ายอินทรถาม…
“คราวข้า…” นั่นเป็นคำตอบ
“…อ้ายแสนตาคงทำเช่นเดียวกัน”
..จึงไม่มีข้อกังขาใดๆอีก
ไม่นานก็สาวเท้ามาถึงหน้าเรือนใหญ่ เท้าเปล่าทั้งสองข้างเหยียบบนพื้นไม้ส่งเสียงดังตึกตักเพียงแผ่วเบากว่าจะไปถึงหน้าห้อง ซึ่งประตูไม้สักบานใหญ่กลับเปิดออกก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปสัมผัสสลักประตูเสียอีก
ร่างสูงใหญ่ก้าวเท้ามาเจอก็แทบผงะ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงอ่อน
“ได้เวลาแล้วรึ?”
เด็กหนุ่มคลางใจในกระแสเสียงนั้นเพียงเล็กน้อย แต่ก็มิอาจทำสิ่งใดได้นอกจากรับคำง่ายๆ
“ขอรับ”
“ดี”
“แล้วข้าวของของจ้าวพี่เล่าขอรับ?”
“ให้เด็กยกไปตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว”
“ดู…จ้าวพี่ตื่นเต้นนะขอรับ?”
นั่นเป็นคำถามลองเชิงและคนฟังก็ดูพร้อมที่จะตอบบ่ายเบี่ยงนัก
“แน่สิ” ชายหนุ่มก้าวเท้านำออกไปก่อน
“นั่นสหายข้า”
คนฟังพยักหน้ารับคำแม้จะรู้สึกประหลาดกับพฤติกรรมที่แปลกไปของคนตรงหน้าแต่ความจริงที่ว่ายิ่งตนรู้มากเท่าใดตนก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น ไม่มีอะไรดีขึ้นนอกจากข่มอารมณ์หึงหวงไว้ในใจ และนั่งท่องทุกคืนหน้ากระจกใหญ่
ว่าตนเป็นเพียงบ่าวรับใช้…หาใช่คู่ครอง
ร่างโปร่งบางเดินตามร่างสูงกว่าลงมาที่หน้าชาน สาวเท้าลงบันไดไปจนขึ้นเรือบรรดาบ่าวไพร่ทยอยตามประจำตำแหน่งพร้อม ไม่นานหัวเรือจึงเป่าแตรร้อง…พร้อมออกเดินทาง
เพลานั้นแสงตะวันยังไม่มีวี่แววจะขึ้น อาศัยตะเกียงสลัวและแสงจันทร์อ่อนนำทางไปตลอดลำน้ำเสียงไม้พายเรือแจวแหวกในห้วงธาราดังเป็นจังหวะพร้อมเพรียงกัน ขบวนเรือแจวนับสิบลำจึงเคลื่อนตัวแหวกหมู่น้ำไปด้านหน้า เพียงเรือลำใหญ่ตรงกลางเท่านั้นที่มีนายพายมากกว่านั่นคือเรือจ้าว…อย่างมิต้องสงสัย
อ้ายพันวังวางหอบของใช้ส่วนตัวของตนไว้ใต้ที่นั่ง ซึ่งอยู่เยื้องไปทางด้านขวามือของที่จ้าว
ก่อนจะหันไปเกาะขอบเรือมองไปรอบๆอย่างใคร่รู้
ด้วยตนนั้นเกิดและโตที่เรือนในเพียงแห่งเดียว แม้แต่ตลาดหรือวัดวาอารามก็ยังมิเคยแม้แต่จะมีโอกาสไปจริงอยู่ที่ได้ออกมาพายเรือเก็บรากบัวกับอ้ายแม่พิกุลอยู่บ้าง แต่ก็มิเคยไปไกลถึงต่างนครข้ามแดนด้วยเหตุนั้น...ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรให้กระวนกระวายใจก็ตาม เด็กหนุ่มก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้จริงๆ
“ยามนี้มองไปก็เห็นแต่ความมืดนัด” อ้ายรดินหัวเราะร่วน
“เจ้าสิจักกลัวเสียเปล่า”
คนถูกค่อนแคะมุ่ยหน้า “อ้ายพี่รดินก็ทำเป็นรู้ข้าสิแค่ดูไปรอบๆเท่านั้น”
“ดูทำไมกัน?”
“ข-ข้าคอยระวังภัยยังไงเล่า!”
“ระวังภัยกับผีสิหากเกิดเรื่องจริงเจ้าสิคงถูกนำไปอยู่กลางวงมิได้คอยมารับมือเป็นทัพหน้าดอก ยังจะปากแข็ง” ชายหนุ่มตาเดียวหัวเราะ ก้าวเท้าข้ามที่นั่งไป “จะนอนเอาแรงก็ย่อมได้ รอให้ตะวันขึ้นก่อนจักเห็นอะไรมากขึ้น”
“ยินว่าจะเลียบเลาะหลบหมู่มนุษย์มิใช่รึ? ข้าคงมิเห็นอันใดนอกจากหมู่แมกไม้นานาคงมิต่างจากท่องป่าเสียเท่าไหร่”
“รู้กระนั้นเจ้าก็ยังตื่นเต้น?”
“ข-ข้าสิเคยท่องป่าเสียที่ไหน”
“นั่นประไรเล่า”
“อ้ายพี่รดินจักไปไหนก็ไป!ข้ามิพูดด้วยแล้ว”
“ฮ่าๆๆ”
“จะหัวเราะอะไรกันเล่า!”
“ถึงจะมิต่างจากท่องป่าแต่หากมองสูงขึ้นไปกว่านั้นก็มีอะไรเพลินตามิใช่น้อย”
จ้าวโคจรเอ่ยมาประโยคแรกก่อนจะกวักมือเรียกให้อีกคนเข้าหา
“เจ้าสิเห็นเหล่าวัดวาอารามประดับแก้วเพชรตามยอดเจดีย์ยามต้องแสงตะวันสดใสจึงได้งามจับตานัก ฤๅจะพูดถึงทุ่งนาเขียวขจีไกลสุดลูกหูลูกตาดีเล่ามิว่าจะสิ่งใดก็น่าประทับใจไปเสียหมด”
รอยยิ้มนั้นทำให้เสี้ยวหนึ่งของดวงใจรู้สึกโล่งอก ด้วยจ้าวพี่โคจรเอาแต่ตีหน้าเครียดจริงจังไม่หยอกล้อหือรือกระไรตั้งแต่เมื่อคืนวานครานี้จึงสบายนัก…ว่าจอมทะเล้นกะล่อนของตนได้กลับคืนมาแล้ว
“จ้าวพี่เคยผ่านไปอโยธยากี่หนกันรึ?”
“นับครั้งไม่ถ้วนเชียวล่ะ” มือใหญ่รั้งเอวบางให้ขึ้นไปนั่งบนตั่งด้วย “ก่อนนี้ตอนเจ้ายังเล็กนัก..เด็กกว่าอ้ายกล้าเสียด้วยซ้ำ ข้าจึงมิได้พาไปด้วย”
“ยินว่านครแห่งนั้นเคยเป็นเมืองหลวงมาก่อน…คงจะแตกต่างจากเมืองเรามิใช่น้อย”
“แต่เดชะเราสิเป็นเผ่าจระเข้ เรือนของอ้ายโคจรจึงมิได้แตกต่างจากเรานัก”
“….เช่นนั้นหรอกรึ…”
เสียงหวานอ่อนลงพร้อมใบหน้าน่ารักที่เง้างอด คนมองขยับยิ้มกว้างจับเชยคางมนให้ขึ้นมาสบตา
“หากเจ้าทำตัวดีข้าสิพาไปชมเมืองด้วยตัวเอง”
“จริงรึ!?” ดวงตาสีอำพันเป็นประกายระรื่นทันตา
“จ้าวพี่สัญญาแล้วนะ?”
“ข้าให้คำมั่นเช่นนั้น”
“จ้าวพี่ช่างมีเมตตานักนี่สิบารมีจ้าวโคจรถึงได้ขจรขจายไกลนัก---”
“พอเลยหากจะเยินยอประจบข้าจะมะเหงกให้ เอ้ามาทางนี้”
ร่างสูงตบตักตัวเองเบาๆส่วนอีกคนกลับทำหน้าฉงนนักจนกระทั่งมือใหญ่ต้องรั้งลำคอระหงลงมานอน
แนบตักแล้วขยี้ศีรษะเจ้าตัวเล็กอย่างเอ็นดูระคนหมั่นเขี้ยวเหลือครณา
“นอนเสียอ้ายน้องพันวัง การเดินทางไกลมันเหนื่อยและลำบากกว่าที่เจ้าคิดนัก”
“แต่ข้ายังมิง่วงนี่…”
“ใครสั่งใครสอนให้ต่อปากต่อคำกับข้ากันหืม?”นายเหนือหัวหมุ่นคิ้วแกล้งทำเป็นดุ
“จ้าวสั่งให้นอนเจ้าก็ต้องนอน”
เด็กหนุ่มหน้างอเบ๊ะปากหันไปทางอื่น
“ขอรับ…”
อีกคนหัวเราะเบาๆ
“แหน่ะยังมาเง้างอน”
“ข้าจะไปงอนอะไรได้เล่า”
“แหน่ะยังมิยอมนอนดีๆอีก”
“จ้าวพี่นี่..!ข้าอยากจะตีปากท่านนัก”
“เอ้านอนเสีย ข้าสิจะร้องเพลงกล่อมเจ้า”
ชายหนุ่มขยับยิ้มหวานค่อยบรรจงลูบผมอีกคนช้าๆ…ต้องยอมรับว่าน้องพันวังของเขาช่างน่ารักนัก ไม่ว่าใครเห็น
ก็อดที่จะเอ็นดูเสียมิได้
ก่อนจะเอ่ยปากขับเพลงออกมาแผ่วเบา ดังเคล้าเสียงแจวเรือเป็นจังหวะนุ่มนวลไปเรื่อยเด็กหนุ่มหัวเราะคิกคัก…ด้วยไม่เคยเห็นอีกคนร้องเพลงกล่อมนอนมาก่อน พอเหลือบสายตาขึ้นไปสบกับดวงตาหวานล้ำนั่น..เลยยอมลดเสียงหัวเราะลงเสีย
เสียทุ้มห้าวดังแผ่วๆท่ามกลางความเงียบงัน เป็นท่วงทำนองที่ไม่ได้เพราะพริ้งนักแต่กลับจับใจคนฟังปรือตาลงช้าๆ…กำลังจะปล่อยให้ร่างกายตัวเองหลับใหลด้วยการหลับตามันเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางที่แสนหอมหวาน
โดยที่พันวังไม่เคยรู้เลยว่า…อีกมิช้านานนี้…ชีวิตของเขาคงได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“อ้ายบักโคจรนี่ดูสิใยไม่หาหมวกเหมิกผ้าคลุมหัวมาสวมให้น้องเล่า เดินทางตอนกลางวันเช่นนี้มิเป็นลมแดดเอาหรอกรึ!”
นั่นเป็นคำทักทายแรกทันทีที่ขบวนเรือจระเข้แห่งพิจิตรเข้าเทียบท่า เท่านั้นแหละคนฟังทั้งหลายถึงกับหัวเราะ
คิกคักไม่เว้นแม้แต่คนถูกด่าที่ระเบิดหัวเราะลั่น แล้วยกขาแทบจะถีบอีกคนไปเสียที
“อ้ายนี่ข้าสิเดินทางมาเหนื่อยยังจะมาว่า”
“เจ้าเหนื่อยน้องก็เหนื่อยมิแพ้กันดอก ผิวน้องแดงหมดแล้วเจ้ามิเห็นรึ?”
“อ้ายนี่ยังมิเลิกมอง น้องพันวังก็หาใช่จะอ่อนแอดั่งเจ้าเปรียบเปรยหากเช่นนั้นคงไม่หอบหิ้วพาเดินทางไกลมาถึงนี่ดอก”
“ถูกของจ้าวพี่โคจรอ้ายพี่สิพูดจาประหลาดนัก” เด็กหนุ่มโพล่งขึ้นทันที ดวงหน้าขาวโดนแดดระเรื่อจับสี
ชมพูจางๆ
“ข้ามิได้อ่อนแอเช่นนั้นเสียหน่อยแดดเพียงแค่นี้มิระคายผิวล่องมาตามลำน้ำสิเย็นชื่นใจ จักห่วงกระไรเล่า”
“เอ้า” จ้าวบ้านแสร้งทำเป็นฉงน ทั้งรอยยิ้มกว้างยังฉาบอยู่บนใบหน้า
“ไม่ห่วงเจ้าแล้วจะให้ข้าห่วงหมาแมวที่ไหน จึงเฝ้าบอกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน…อ้ายโคจรดูแลเจ้าได้มิดีพอดอก”
“ชะอ้าวแล้วไอ้ที่เจ้าดูแลแม่หญิงบุหลันเล่า? จักมาว่าอะไรข้าได้?”
“เมียก็เมียสิพันวังก็พันวังใช่สิ่งเดียวกันที่ไหน”
“ชิชะข้าคงต้องเด็ดดอกไม้ไปซับน้ำตาให้อ้ายแม่หญิงแล้วกระมังเช่นนี้”
น้ำเสียงนั้นพยายามพูดให้ติดตลก ซึ่งจ้าวแสนตาเองก็หัวเราะร่วนเช่นกันราวกับไม่ได้รับรู้ถึงสีหน้าประหลาดบางอย่างของไอ้คนพูดสักนิด
“มาเถิดพวกเจ้าทั้งสอง”
มือใหญ่ผายไปด้านหลังพยักเพยิดขึ้นเรือนหลัก
“มายืนคุยตรงนี้เห็นจะไม่ดีนัก ขึ้นเรือนพักผ่อนก่อนเทอด…ข้าให้คนเตรียมน้ำท่าไว้พร้อม พวกเจ้าเองให้ปฏิบัติตัวตามสบายที่นี่มิต่างจากบ้านอีกหลังหนึ่ง จระเข้ด้วยกัน…ข้าพร้อมต้อนรับเต็มที่อยู่แล้ว”
เรือนหมู่หลังนี้กว้างขวางโอ่โถงนัก ด้วยรู้กันว่ากำลังของจ้าวแสนตาซึ่งสู้รบกับหมออาคมเป็นนิจนั้นยิ่งใหญ่กว่าชนพิจิตรเราเกือบเท่าเห็นจะได้ เสาไม้แดงหลักทุกตนดูราวกับถูกปลูกสร้างขึ้นมาใหม่มิช้านาน ยินว่าเมื่อไม่กี่ขวบปีที่ผ่านมาเพิ่งโดนจู่โจมหนักคงบูรณะก่อร่างสร้างตัวสมัยนั้นต่างกับเมืองสระหลวง ซึ่งอยู่มาเนิ่นนานไม่รู้
กี่ร้อยปีสภาพจึงเป็นไม้เก่าขึ้นเทาสวย…แต่ก็มีบรรยากาศที่แตกต่างกันไป
ขอบรั้วของเรือนคือหมู่แมกไม้ดอกครึ้ม เลยไปหน่อยจึงจะเป็นทุ่งนากว้างใหญ่แตกต่างจากเมืองพิจิตรที่มีเพียงป่ารกกับท้องน้ำล้อมรอบ นั่นเป็นเหตุผลที่เด็กหนุ่มตื่นตานักทุกย่างที่ก้าวเดิน และเป็นสิ่งที่จ้าวแสนตาแอบลอบมองด้วยรอยยิ้มเล็กๆด้วย
“เจ้าสินอนเรือนนี้” ชายหนุ่มผิวเข้มชี้ไปที่เรือนรับรองหลังใหญ่หลังหนึ่ง
“ส่วนน้องพันวังจักได้นอนเรือนเล็ก”
“เอ๋?มิเป็นไรดอกอ้ายพี่แสนตา ข้าสินอนรวมกับเรือนบ่าวได้”
“ใยจึงกล่าวเช่นนั้นเล่าคนดี เจ้าสิหาใช่บ่าวธรรมดาแล้วนะ”
นิ้วกร้านเอื้อมมาหยิบจมูกเสียหนึ่งหนด้วยหมั่นเขี้ยว คนฟังย่นจมูกใส่รีบบอก
“ก-ก็มิต่างกันมากมายดอก”
“เอ้าพวกเจ้านี่ขัดหูขัดตานัก เห็นใจข้าบ้างจักตายรึไร?” จ้าวโคจรว่า
“ไปไปพักผ่อนเสีย ข้าสิจะนอนหลับสักตื่นฝากบอกให้คนนำสำรับมาให้ด้วยล่ะ”
เจ้าบ้านตัวดีหัวเราะ
“ขอรับท่านจ้าว”
“บ๊ะเจ้านี่ก็กวนประสาท”
“ใยจึงดูหงุดหงิดเช่นนั้นเล่าอ้ายโคจร ข้าสิเพียงหยอกล้อทำหน้าบูดเป็นตูดลิงไปได้”
คนฟังยกมือลูบหน้าลูบตาแล้วเสยผมขึ้น เขามองไปรอบๆ..ด้วยเหตุผลที่บ่าวคนสนิทรู้ดีว่าคิดอะไร แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากแก้ต่างแก้ตัว
“เดินทางไกลเพียงเหนื่อยนักสงสัยจะได้ไข้ขึ้น”
“งั้นจงรีบไปพักผ่อนก่อนเถอด ที่ขอไว้จะรีบให้เด็กรับใช้เตรียมให้โดยพลัน”
จ้าวโคจรพยักหน้าหนึ่งครั้งเปิดบานประตูเข้าเรือนไปตามด้วยพลขนของอีกจำนวนหนึ่ง เด็กหนุ่มยืนมองอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาอาวรณ์..จวบจนกระทั่งบ่าวรับใช้คนอื่นๆเดินออกมา…แล้วประตูก็ปิดลงอีกครั้งอย่างเงียบงัน
..เช่นเดียวกับหัวใจคนมอง…
“..เจ้านั่นสิดูแปลกนัก” อ้ายพี่แสนตากล่าว
“มิยิ้มแย้มสดใสเช่นเคย”
“จ้าวพี่คงเหนื่อยกระมังเป็นเช่นนี้ตั้งแต่หัววัน” พันวังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะแก้ต่างให้อีกคนทำไม แต่เขาก็ทำ
“อ้ายพี่อย่าได้กังวลเลย”
“มันเป็นเช่นนั้นมานานเท่าไหร่แล้วเล่า?”
“ตั้งแต่อยู่พิจิตรกระมังขอรับ หลังฤดูอ้ายพี่มิค่อยสบอารมณ์นัก…เป็นเช่นนี้ทุกปี”
เขาโกหก ..มันเป็นคำโกหกที่น่าเกลียดที่สุดที่เขาเคยได้ยินมา..
“นั่นสินะ…อากาศร้อน…”แต่อ้ายแสนตามิได้ติดใจเอาความอะไรซ้ำยังยื่นมือมาโอบเอวบางให้เดินเคียงคู่
กันไปด้วย
“..บางคราข้าก็เป็นจิชักชวนลงไปแหวกว่ายเล่นในลำหนอง ก็กลัวน้องจะเหนื่อยเกินไปเสียหน่อย”
“อ้ายพี่นี่พูดจาน่าตีนักอย่างท่านลงไปเจ้ามนุษย์พวกนั้นคงจะตื่นตูมกันแน่”
“จะว่าไปข้าก็มิได้คืนกลายมานาน เผลอๆอาจจะลืมวิธีว่ายน้ำไปแล้วก็ได้กระมัง”
เด็กหนุ่มหัวเราะเอามือฟาดแขนไปทีนึง
“ตลกนักนะ”
“เจ้าสุขข้าก็ดีใจ”
“อ้ายพี่นี่พูดจาน่าตีนัก” เด็กหนุ่มย้ำคำเดิม
“ตัวจะแต่งงานอยู่รอมร่อยังมีหน้ามาหยอดคำหวาน อ้ายแม่หญิงมายินเข้าเห็นจะได้เข้าใจผิดรังแต่จะรู้สึกแย่
ทั้งสองฝ่าย”
แสนตาผ่อนลมหายใจ “เจ้าเลิกพูดถึงอ้ายแม่หญิงเสียทีได้ไหม…”
“ใยจึงพูดเช่นนั้นเล่าอ้ายพี่หญิงเป็นเมี---”
“ชี่”
ปลายนิ้วหนึ่งกดลงมาที่ริมฝีปาก บังคับให้อีกคนเงียบลง
“เจ้าจักมิพูดจาขัดบรรยากาศสักหนมิได้รึ ข้าสิอยากย้ำกายในตัวเจ้าสักหนให้รู้ว่าข้าคิดถึงเนื้อเนียนนี่แค่ไหน
แต่เจ้าสิ…ดูท่าทางไม่เคยนอนฝันคิดถึงข้าเสียสักคืน”
“บ-บัดสินัก!” เด็กหนุ่มแก้มแดงนัก ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนอีกคน
“นี่ก็หมดฤดูมาหลายวันหลายคืนแล้วไซร้ใยยังจะหื่นมิรู้เวลา”
“ข้ามิได้คิดอะไรเสียหน่อยเพียงนึกถึงเจ้า..แล้วกายข้าก็ร้อนรุ่มขึ้นมา”
“หุบปากบัดเดี๋ยวนี้!อ้ายพี่สิติดคำท่านจ้าวโคจรมารึไร”
“เช่นนั้นที่ไหนอยู่กับข้า…ใยจึงทำหมางเมินเช่นนั้นเล่า”
“อ้ายพี่กำลังจะแต่งงาน”
ร่างโปร่งย้ำขืนกายออกมาได้สำเร็จ
ดวงตากลมโตช้อนขึ้นสบตากับอีกคนนิ่ง มือสองข้างวางไว้บนอกกว้าง..แนบมากพอได้ยินเสียงหัวใจของอีกคน
ที่ยังคงเต้นเป็นจังหวะแตกต่างจากเขานัก…ที่รู้สึกคล้ายว่าดวงใจดวงนี้คงหยุดเต้นไปแล้ว
“…เรา…มิควรทำเช่นนี้”
จระเข้มิใช่สัตว์ที่ถือคู่ครองผัวเดียวเมียเดียว
แต่ด้วยอาศัยในร่างมนุษย์เสียนาน…วัฒนธรรมบางอย่างที่ซึมซับเข้าไปอย่างช้าๆทำให้อ้ายแสนตาเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น แม้จะไม่มากนักกระนั้นการถูกปฏิเสธทันทีที่ตนเข้าสัมผัสเช่นนี้ก็ทำให้ลำคอแห้งผาก จนชายหนุ่มได้แต่อ้ำอึ้งมิรู้จะพูดสิ่งใดดี
ก่อนจะตัดสินใจพยักหน้า
“ข้าขอโทษ”
“…มิใช่ความผิดท่านดอก” พันวังกล่าวก้มหน้าลงเล็กน้อย
“ข้าสิปล่อยให้มันเกินเลยมาถึงขั้นนี้”
“อย่าโทษตัวเองเลยน้องพันวัง”
ท่าทางสลดเช่นนั้นทำให้เจ้าของนามอ้ำอึ้งนัก
“อ้ายพี่…”
“พอเทอดคนดี” จ้าวแสนตายกยิ้มที่มุมปาก..แม้ดวงใจจะบอบช้ำมากก็ตาม
“ยิ่งเจ้าพูดข้ายิ่งรู้สึกผิดนักเจ้าไปพักผ่อนเทอด…นี่เรือนเล็กของเจ้า”
ชายหนุ่มผายมือไปตรงหน้าเป็นเรือนหลังเล็กที่ตั้งอยู่ระหว่างกลางของเรือนรับรองและเรือนหลักใหญ่
“นี่เป็นเรือนของอ้ายน้องพันตรา…ญาติผู้พี่ของเจ้าแต่จนบัดนี้มิมีบ่าวรับใช้ใดเทียบเคียงได้…ข้าจึง…”
จู่ๆคำพูดก็หายไปจากปากแสนตาหลับตาลงผ่อนลมหายใจ
“….ขอโทษข้า…ข้ามิรู้จะพูดเช่นไรมัน…”
“ข้ารู้สึกเป็นเกียรตินัก” เด็กหนุ่มสวนขึ้นมาด้วยมิอยากรู้สึกกระอักกระอ่วนกับสถานการณ์เคลือบแคลงเช่นนี้ไปมากกว่านั้น
“ขอบคุณอ้ายพี่มาก ข้า…ข้าคงต้องขอตัวไปพักผ่อนก่อน…”
“จ้ะใช่…เอ่อตามสบายนะ”
“ขอรับ”
“หากขาดเหลืออะไรจักให้เด็กรับใช้สรรหามาให้…ไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม”
“เป็นความเมตตานักขอบพระคุณขอรับ”
เด็กหนุ่มก้าวเท้าถอยหลังไปที่หน้าประตูห้องช้าๆ ยังคงเก้ๆกังๆกับกระแสเสียงประหลาดของอ้าย
พี่แสนตาอยู่กระนั้นเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้านี่เป็นสิ่งที่ถูกที่ควรแล้ว..พวกเขาสิควรเว้นระยะห่างกัน
ไม่ว่าจะด้วยรู้สึกผิดต่อจ้าวโคจรก็ดี ต่ออ้ายพี่หญิงบุหลันก็ดี …แต่กับความรู้สึกข้างในของตัวเองเนี่ยสิ…ที่หนักหน่วงกว่านั้นเยอะ
“น้องพันวัง”
สุรเสียงแหบทุ้มนั้นเรียกขึ้นมาเสียก่อน
“เรายัง…เป็นพี่น้องกันได้ใช่รึไม่?”
คำถามนั้นทำให้คนฟังชะโงกหน้าออกมาจากประตูห้องอีกครั้งหนึ่ง แล้วพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มอ่อน
“…เหมือนเช่นที่เคยเป็นมาขอรับ”
“..เจ้าคิดเหมือนที่ข้ากำลังคิดอยู่รึไม่อ้ายรดิน”
“ข้าว่าเจ้าคงคิดเรื่องเดียวกันอยู่เป็นแน่”
“บรรยากาศนี่ช่างประหลาดนัก”
“เจ้าพูดถูก”
“แล้วอ้ายอินทรเล่ารู้สึกเช่นเดียวกันรึไม่?”
เจ้าของนามเงยหน้าขึ้นจากปั้นข้าวเหนียวในมือ
“มีอะไรกันเล่า?”
สองหนุ่มมองหน้ากันด้วยรดินแห่งพิจิตรนครกับสหัสของชนอโยธยาเป็นเกลอกันมาแต่เล็ก มิได้ต่างจากท่านจ้าวทั้งสองของคนทั้งคู่และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยมิรู้จะพูดเรื่องนี้ออกไปดีรึไม่
“เจ้าพูดสิ” สหัสชิงก่อน
“ใยข้าต้องพูดเล่าเจ้าสิเป็นคนเป็นบทนะ”
“ก็ข้าเปิดให้แล้วอย่างไรเล่า”
“อ้ายอ้าวเวรนี่”
“พวกเจ้าสิตลกนักกำลังพยายามเล่นอะไรอยู่รึ?” อ้ายอินทรขมวดคิ้ว
“มีกระไรก็พูดก็รีบว่ามาก่อนข้านี่แหละจะเอาตีนยันเจ้า”
“แค่ขู่ก็พอใยต้องยกเท้าขึ้นมาเช่นนั้นด้วยเล่า!”
รดินหน้าแหยหันไปมองรอบวงเสียหนึ่งหนก่อนก้มลงมากระซิบกระซาบ
“จ้าวแสนตาก็ดีจ้าวโคจรก็ดีนับแต่มานี่ยังมิได้โผล่หัวออกมาด้านนอกสักตน พวกเจ้าสิมิรู้สึกประหลาดบ้างรึ?”
“จริงสินะ” หนึ่งบ่าวกระซิบตอบ
“ข้าจักเพิ่งสังเกตบัดเดี๋ยวนี้”
“ยามปกติจ้าวทั้งสองสนิทสนมกลมเกลียว อย่างคราที่แล้ว ณ เมืองพิจิตร…จ้าวสิลากคอข้าสองคนออกมาดื่มเหล้าตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน”สหัสเสริมต่อ
“ยามนี้ดูแปลกตายังจะครบรอบวันอยู่แล้วยังมิออกมาสรวลเสเฮฮาดังเช่นเดิม”
“ข้าก็ว่าประหลาดแท้น้อยครั้งนักที่ท่านจ้าวแสนตาจะรับสั่งให้นำสำรับขึ้นไปถึงเรือน”
“เช่นกันข้าก็ว่าท่านจ้าวแห่งข้าสิเงียบหงอยลงอย่างชัด”
“ฤๅจะมีเรื่องผิดใจ?”
“หากมีสิเหตุใดเกิดจ้าวโคจรจะถ่อเดินทางมาฉลองครานี้ด้วยเหตุใดเล่า”
“นั่นสิ”
“บ๊ะไอ้พวกนี้…”อ้ายอินทรแทรกขัดแม้ตัวเองจะรู้สึกคลางใจมิใช่น้อยกับเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นก็ตาม
“จับกลุ่มนินทานายกันให้วุ่นเรื่องของจ้าวท่านใช่บ่าวสู่รู้”
“กระนั้นก็ตามอ้ายอินทรข้าจักพูดเพราะห่วงท่านจ้าวเพียงเท่านั้น”
“ถึงอย่างนั้นก็เทอด…”
“แล้วเจ้าเล่าอ้ายพันวัง?”
ใครคนหนึ่งหันมาถามเข้า
“เจ้าสิสนิทกับจ้าวทั้งสองมากที่สุด พอจะรู้เหตุอันใดบ้างรึไม่?”
เด็กหนุ่มรู้สึกข้าวเหนียวในปากช่างหวานเหลือเกิน ถึงได้เพิ่งรู้ตัวว่าอมข้าวไว้เช่นนี้นานแค่ไหนจึงรีบๆเคี้ยวแล้วรีบๆกลืนสิ่งนั้นลงคอก่อนจะหยิบผ้าน้อยบนไหล่มาเช็ดหน้าเช็ดปากเสียหนึ่งที แล้วหยิบเนื้อเค็มชิ้นน้อยมาถือเตรียมเอาไว้
“ข้ามิรู้ดอก” เขาโกหกอีกครั้ง
“จ้าวพี่โคจรคงเหนื่อยจากการเดินทางกระมัง”
“แล้วจ้าวแสนตาเล่า?”
“อ้ายพี่คงตื่นเต้นอีกมะรืนนี้จะเข้าหอมิใช่เรื่องแปลกอะไรดอก”
ทุกคนหันไปมองหน้ากันแล้วพยักหน้าเออๆออๆ
คนพูดมองไปรอบๆ..พยายามควบคุมสายตาตัวเองไม่ให้เลิ่กลั่ก แล้วเคี้ยงเอื้องชิ้นเนื้อเค็มช้าๆไม่มีมีสิ่งใดพิรุธไปมากกว่าคำพูดคำจาของตัวเอง
ก่อนหัวข้อสนทนากลางวงข้าวนี้จะเปลี่ยนไป เด็กหนุ่มจึงผลุนตัวลุกขึ้นแยกออกอ้างว่าสิไปเดินย่อยอาหาร แต่ก็นั่นแหละ..เพียงเขาปรารถนาจะอยู่เงียบๆและคิดทบทวนเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นอีกครั้งแม้ว่ามันจะซับซ้อนเหลือเกิน
ก็ตาม
ร่างโปร่งเดินขึ้นกระไดมาถึงเรือนด้านหลัง จนกระทั่งเสียงหัวเราะจากเรือนบ่าวดังเพียงแค่ไกลๆเขาเงยหน้าขึ้นมองม่านฟ้าวันนี้เป็นคืนเดือนมืด…ม่านผืนนั้นจึงคราคร่ำไปด้วยหมู่ดาวมากมายและ…ไร้ซึ่งแสงใดๆนอกจาก
เปลวไฟจากตะเกียง
จ้าวพี่โคจร
อ้ายพี่แสนตา
แม่หญิงบุหลัน
..และ..ตัวเขา
“...ดวงดาวเจ้าเอ๋ยขอให้ค่ำคืนแต่งงานนั้นมาถึงในเร็ววัน…”
เสียงหวานภาวนาสั่นพร่าจนจับสัมผัสได้…สองมือยกประนมที่กลางอก ดวงตากลมโตจับจ้องที่เม็ดดาวบนท้องฟ้านั่งนับให้ครบเก้าสิบเก้าดวงตามคำที่เคยได้ยินมา
“…ให้เรื่องเลวร้ายเช่นนี้…จบสิ้นลงเสียที…”
“มีใครอยู่ตรงนั้นรึจ้ะ?”
คำทักที่ทำเอาร่างโปร่งบางสะดุ้งเฮือกแทบเซล้ม แต่ก็คว้าราวระเบียงเอาไว้ได้ทัน
เด็กหนุ่มยันตัวขึ้นยืนไว้ได้สำเร็จ ก่อนจะรีบหันไปรอบตัวเพื่อหาที่มาของเสียงซึ่งไม่ได้ยากเลยกลางชานเรือน
มีต้นโพธิ์ต้นใหญ่ตามความเชื่อของเรือนเก่าแก่และคนพูดก็ยืนอยู่ใต้ต้นนั้นเองเธอกระชับผ้าคลุมไหล่ห่อตัวเองไว้เสียมิดชิดเรือนผมสีดำสนิทถักเปียเคลียลงมาที่บ่าข้างหนึ่ง และเค้าหน้าที่ยังคงมิได้ต่างจากเดิมสักนิดนับแต่วันที่เธอจากมา ไม่สิถ้าให้พูดตามตรงแล้วพวกเขาก็ไม่ได้เจอหน้ากันเพียงสามสามอาทิตย์เท่านั้น จะเปรียบเปรยก็เพียงความเจ็บปวดที่แสนยาวนานนัก ..แต่กลับสั้นเพียงชั่วอึดใจ
“สวัสดีขอรับอ้ายพี่หญิง”
เขารีบชิงยกมือไหว้ก่อน
“เป็นเช่นไรบ้าง…มิได้เจอกันเสียนาน สบายดีรึไม่ขอรับ?”
“สบายดีจ้ะ” เธอบอก หันไปมองรอบๆคล้ายกับกำลังหาอะไรบางอย่างแต่ก็พูดต่อไป
“ขอโทษที่ไม่ได้ลงไปรับเมื่อเย็นนะจ้ะ”
“มิเป็นไรดอกพักนี้อ้ายพี่หญิงคงยุ่งนัก”
“ไม่สักเท่าใด...แล้วจ้าวพี่โคจรเล่า?”
เด็กหนุ่มชะงัก..แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น
“จ้าวพี่พักผ่อนอยู่ในเรือนนอนขอรับ”
“เช่นนั้นเอง…”
“อ้ายพี่หญิงมีเหตุอันใดรึ?”
คู่สนทนาอึกอักเล็กน้อยแต่ก็ทำเพียงส่ายหน้าช้าๆ
“มิมีดอกแค่ถามหาเท่านั้นด้วยมิได้เจอกันเสียนาน…แล้วเจ้าเล่าสบายดีรึไม่?เดินทางมาไกลคงเหนื่อยมิใช่น้อย”
“มิเหนื่อยเท่าใดดอกข้าสิมิได้ทำสิ่งใดนอกจากนั่งชมนกชมไม้ก็เพียงเท่านั้น”
เธอยิ้มหวาน
“เป็นเช่นไรเล่า..เมืองอโยธยางามตาดั่งที่ใครต่อใครเลื่องลือรึไม่”
..อ้ายพี่หญิงก็เป็นอ้ายพี่หญิงคนเดิม ที่ทั้งอ่อนหวานอ่อนโยนกับตัวเขาซ้ำยังแสดงอาการเอ็นดูเหมือนน้องชายอีกคนของนางก็มิปาน
พันวังกร่นยิ้มไม่แสดงอาการออกมาว่าฝืนใจ “อดีตเมืองหลวงนี้น่าอยู่นัก ท้องนาเต็มไปด้วยทุ่งข้าวอากาศ
มิแปรปรวนเช่นเมืองเหนือเรือนหลักนี่ก็กว้างโอ่โถงข้าสินึกอิจฉาอ้ายพี่หญิงอยู่นิดๆแต่ติดตรงที่ข้าคงชอบอยู่กับบ้านที่โน่นมากกว่ากระมัง”
“เจ้าพูดคล้ายคิดถึงบ้าน?”
“ข้ามิได้คิดถึงบ้านเสียหน่อย!ข..ข้าก็แค่เปรียบเปรยเพียงเท่านั้น”
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ
“อย่าเพิ่งเสียข้ากับจ้าวพี่แสนตายังมิได้พาเจ้าไปชมทั่วนครเลย อยู่ที่นี่สักพักหนึ่งก่อนย่อมได้”
“แน่นอนสิขอรับ..งานรื่นเริงของจ้าวแสนตากับแม่หญิงบุหลันเห็นจะได้จัดเลี้ยงไปถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนดังคำเล่า
ใยข้าต้องรีบกลับให้พลาดโอกาสสนุกด้วย” เด็กหนุ่มยิ้มหวานแก้มแดงระเรื่อ
“ครานี้ข้าสิเตรียมเพลงขิมมาบรรเลงฉลองมิเคยเล่นถวายที่แห่งใด”
“ข้ายินดีนักขอบใจเจ้ามาก”
“ข้ามิมีแก้วแหวนเงินทองจะมอบให้ หากอยากแสดงสิ่งนี้เพื่อแสดงความยินดีนักถือเป็นกำนัลจากข้า”
เด็กหนุ่มค้อมศีรษะลงเล็กน้อย หลับตา..เอ่ยปากบอกออกไปพยายามมากแค่ไหนเพื่อควบคุมไม่ให้เสียงตนสั่นสะท้าน
“ข้าขอให้อ้ายพี่หญิงมีความสุข..กับอ้ายพี่แสนตา”
…โปรดอย่าได้ระราน ‘ดวงใจ’ข้าอีกเลย
-๖-
กิ่งโลหะแตะกระทบเส้นสายที่ถูกขึงไว้หย่อนตึงไล่เรียงกันไปส่งเสียงหวานถี่ระรัวเป้นทำนองเพลงสรวล ดังกังวาลกระทบไปทั่วทั้งเรือนเสนาะเพราะจนคนฟังหลายต่อหลายคนต้องหลับตาลงปล่อยให้เนื้อเสียงนุ่มนวลนั้นไหลผ่านโสตประสาท คลอเคล้าเสียงขลุ่ยผิวแทรกเป็นจังหวะจากห้องหนึ่งสู่อีกห้องหนึ่ง
เด็กหนุ่มเหยียดหลังขึ้นตรงขยับข้อมือซ้ายขวาพร้อมบรรเลงไปอย่างเชื่องช้าเขานึกขอบคุณเส้นเสียงเครื่องดนตรีชั้นดีที่แสนหวานล้ำยามลงมือบรรเลงจึงได้ความไพเราะเช่นนี้แม้ไม่ได้มากด้วยความสามารถมากมายก็ตาม
ทุกคนในที่นั้นนั่งกันสงัดนัก ปล่อยให้ห้วงทำนองไหลไปกระทบตามกิ่งไม้ไหวบรรยากาศเย็นสบายในยามเช้าชวนให้ต้องยิ้มออกมาเสียทุกผู้คน
จ้าวแสนตายังคงจับจ้องร่างโปร่งบางไม่วางตา
แม้กระนั้นแม่หญิงที่นั่งอยู่เคียงข้างก็มิปริปากขัดสิ่งใด
จวบจนกระทั่งดนตรีบรรเลงมาถึงท่อนจบ หนุ่มสาวทั้งสองจึงได้ขยับตัวหันมาเผชิญหน้ากันท่ามกลางสักขีพยานทั้งหมด โดยมีจ้าวโคจรเนี่ยแหละที่นั่งเป็นประธานโดดเด่นพันวังเงยหน้ามามองเพียงชั่วครู่แต่ก็จับรอยยิ้มฝืดฝืนของนายเหนือหัวตนเองได้…ไม่เป็นไร…วันนี้…หลังจากที่ทุกอย่างเป็นไปตามประเพณี ความทรมานจึงจะสิ้นสุด
ครั้งเมื่อโน้ตตัวสุดท้ายได้ถูกบรรเลงออกไป เสียงลมหายใจของทุกคนก็ดังออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันเด็กหนุ่ม
ยกมือขึ้นจากขิมรวบวางไม้ไผ่ทั้งสองชิ้นวางไว้ด้านข้าง ปล่อยให้เส้นเสียงที่ยังคงสั่นอยู่นั้นกรีดร้องออกมาเพียง
ชั่วอึดใจจึงค่อยยกมือไหว้
“ข้า อ้ายพันวัง แห่งพิจิตรนคร ขอถวายบทเพลงเมื่อครู่นั้นเป็นของกำนัลเนื่องในวันร่วมหอ แด่จ้าวแสนตา
และแม่หญิงบุหลัน”
เขาระบายยิ้มกว้างให้สุขด้วยจากหัวใจ
“ขอให้ชีวิตคู่ของอ้ายพี่ทั้งสอง…งดงามดั่งเช่นในเนื้อเพลง”
จ้าวแสนจะระบายยิ้มบาง
“ข้ายินดีนัก”
“เพราะมากจ้ะน้องพันวังเจ้าประพันธ์เองรึ?”
“ขอรับ” เด็กหนุ่มถูแก้มแดงของตนเองไปมา
“ข้ามิถนัดงานทางนี้นักแต่ก็ทำสุดความสามารถ”
“ใยจึงถ่อมตนเช่นนั้นเล่าข้าสิบอกว่าไพเราะนักแรกนึกว่าเจ้ามีพรสวรรค์เสียอีก”แม่หญิงคนงาม
หัวเราะเบาๆกวักมือเรียกให้เด็กหนุ่มลุกขึ้นไปหา
“น้องพันวังสิช่างน่ารักมิน่าเล่าทั้งจ้าวพี่แสนตาและจ้าวพี่โคจรถึงได้เอ็นดูนักหนา”
“พูดไปนั่นแปลว่าอ้ายพี่หญิงมิเอ็นดูข้าหรอกรึ?”
เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นเง้างอด แต่ก็ลุกจากตั่งเข้าไปนั่งพับเพียบเทียบเคียงอยู่ด้านล่าง
คนฟังหัวเราะอีกครั้งท่าทางมีความสุขนัก
“เจ้าทำตัวเช่นนี้จะมิให้ข้าเอ็นดูได้เยี่ยงไรเล่า”
“ชิชะสองคนนี้อยู่ไปมิวายจะลืมข้าด้วยกันทั้งคู่”
อ้ายแสนตาหมุ่นคิ้วดุแต่ท่าทางก็ไม่ได้จริงจังอะไรอย่างที่ปากว่าซ้ำยังมีกระดกยิ้มมุมปากนิดๆประดับบนใบหน้าคมคาย วันนี้จ้าวแสนตาช่างดูมีราศีนักอาจเพราะแดดอ่อนๆยามเช้าที่จับต้องบนผิวสีเข้มนั่น หรืออาจจะเพราะนี่คือจุดเริ่มต้นแห่งวันมงคลก็เป็นได้
แม่หญิงบุหลันอึกอัก “พูดกระไรน่ะจ้าวพี่แสนตาพันวังสิเป็นเหมือนน้องชายข้าแท้ๆ”
“หากมินานน้องพันวังเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มหล่อกล้า เจ้าสิพูดคำเดิมอยู่รึไม่?”
“บ๊ะน้องชายก็คือน้องชายสิขอรับ อ้ายพี่แสนตานี่ขี้หึงขี้หวงนัก” ร่างโปร่งเง้างอด ตีหน้าขาอีกคนไปเสียที
“พูดจาดูถูกข้ายังมิพอกล้าสบประหม่าอ้ายพี่หญิงเสียอีก”
“เอ้านี่ก็ลูกอีช่างตี”แสนตาตรวญครางแกล้งทำเป็นเจ็บ
“ดูสิใครเป็นจ้าวเป็นบ่าวกันแน่”
พันวังแยกเขี้ยว
“จ้าวชีวิตข้ามีเพียงจ้าวโคจรเท่านั้นรู้แล้วยังจะทำ”
“ป๊าดดูสิ ปากคอนี่น่าเอาขี้เถ้าอุดเสีย”
“ฮ่าๆข้าล้อเล่นหรอก”
“เอ้าทางนั้นอย่ามัวเล่นหรอกกันอยู่เลย”
ผู้สูงวัยที่สุดกล่าวออกมาแล้วรีบโบกมือปัด
“หากชักช้าเกรงจะเสียฤกษ์เสียยามหมด เอ้าพันวัง..เจ้าสิถอยมานี่”
เด็กหนุ่มยังคงหัวเราะอยู่แต่ก็คลานเข่าออกมาตามคำสั่ง..มองซ้ายมองขวาจ้าวพี่โคจรก็นั่งอยู่มิได้ไกลตัวนัก
จึงเข้าไปนั่งพับเพียบอยู่ข้างม้านั่งแล้วหันกลับไปทอดมองพิธีตรงหน้า
ทั้งสองหันไปกราบทิศใต้หนึ่งหน ทิศเหนืออีกหนึ่งหนแล้วจึงหันมากราบหน้ารูปภาพของท้าวรำไพ พ่อผู้ให้กำเนิดจ้าวทั้งสองอีกหนึ่งหนก่อนหญิงสาวโน้มตัวกราบคู่ชีวิตที่หน้าตัก ท่ามกลางเสียงระนาดตีคลอเบาๆสร้างบรรยากาศนั้นเอง
เด็กรับใช้คลานเข่าถือหมอนสีแดงเลือดนกที่มีแหวนสีทองสองวงอยู่ตรงกลางไปให้ทั้งคู่สวมให้แก่กัน ท่าทาง
เก้อเขินมิน้อยด้วยกันทั้งคู่ยินว่าอ้ายพี่แสนตามิเคยแตะเนื้อต้องตัวแม่หญิงบุหลันเลยสักหนด้วยซ้ำ ครานี้คงเป็นครั้งแรกที่คนทั้งคู่ได้ใกล้ชิดกันต่อหน้าประชาชีขนาดนี้
ยามเสร็จสิ้นพิธีสวมแหวนอ้ายพี่สหัสจึงได้ตะโกนออกมาลั่น
“หอมเลย! หอมเลย!”
เท่านั้นแหละเสียงหัวเราะระร่วนก็ดังขึ้นมาจากรอบสารทิศ ไม่เว้นแม้แต่พันวังก็ด้วย
“หอมเลยอ้ายพี่แสนตา” เด็กหนุ่มร่วมตะโกนไปพร้อมกัน
“หอมเลย!”
“หอมเลย! หอมเลย!”
“หอมเลย! หอมเลย!”
“หอมเลย! หอมเลย!”
“พวกเจ้าน่ะเงียบไปเลย!”
อ้ายแสนตาแก้มแดงจนปลั่งหันมาชี้หน้าใส่จระเข้ทั้งหลายเรียงตัวแต่แทนที่หลายคนจะนึกกลัว กลับทวีเสียงเฮฮาให้ดังขึ้นเพียงเท่านั้น
ชายหนุ่มโคลงศีรษะไปมาเหลือบสายตามอง ‘เจ้าสาว’ ของตนที่กำลังก้มหน้าเขิน จึงลอบผ่อนลมหายใจ…แล้วจับเชยคางมนให้เงยหน้าขึ้นมาสบตานิ่ง แล้วบรรจงจุมพิตลงที่ข้างแก้มเนียนอย่างที่กองเชียร์ทั้งหลายเรื่องร้องนักหนา
เท่านั้นแหละเสียงวี๊ดวิ้วผิวปากจึงได้ดังหนักกว่าเดิมนัก
“จ้าวแสนตาคนกะล่อน!”
“ชี่!หุบปากมิเป็นกันบ้างรึพวกเจ้าน่ะ”ชายหนุ่มว่ายกมือชี้ปราดไปทั่วด้วยกิริยาเดิม
“ดูสิแสดงกิริยาห่ามๆเช่นนั้น…แม่หญิงของข้าสิอายม้วนหมดแล้ว”
“คนที่อายน่ะท่านจ้าวมิใช่รึ? ฮ่าๆ”
“ยังจะปากมากมิรู้ดี”
“เอ้าหยุดล้อเล่นกันได้แล้วหนุ่ม”อ้ายอินทรปรบมือเรียกสติให้ทุกคนลดเสียงลง
“เสร็จพิธีแล้วจักได้ยกสำรับอาหารไปถวายพระแม่คงคาเสีย ส่วนนึงจึ่งนำไปถวายวัดคืนนี้ยังมีงานเลี้ยง
ฉลองใหญ่พวกเจ้าก็อย่าลืมกันจนเผลอสนุกสนานกันแต่หัววันเล่า ไปไปทำงาน”
“ขอร้าบ”
ใครสักคนลากเสียงยาวเท่านั้นแหละเสียงหัวเราะจึงได้ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
พันวังเองก็ร่วมหัวเราะด้วยความสุขบางอย่างเอ่อล้นออกมาจนแก้มแทบปริ..แม้กว่าครึ่งหนึ่งของหัวใจจะมิสู้ดีนักด้วยมัวแต่เฝ้าภาวนาให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปเร็วๆ
ดวงตากลมโตมองกลับไปยังอ้ายพี่แสนตาและอ้ายพี่หญิง…ทั้งคู่ประคองมือทั้งสองไว้แนบกันพร้อมสบตาอยู่เสียเนิ่นนานเห็นเป็นข้อพิสูจน์ชัดว่าจ้าวแสนตาคงมิได้ถนัดรับมือกับผู้หญิงจริงดังคำเล่าลือ แต่ก็ไม่ใช่ชายหนุ่มไร้เดียงสาเกินกว่าจะเข้าใคความหมายของการแต่งงาน..ที่จัดขึ้นเพื่อสืบเผ่าดำรงพันธุ์ต่อไป
ไม่นานนักคนข้างตัวก็ขยับบ้าง เด็กหนุ่มละสายตาจากคู่สามีภรรยานั้นขึ้นไปหาจ้าวเหนือหัวของตน ร่างสูงลุกเดินออกไปท่ามกลางบ่าวไพร่ที่ทยอยเก็บข้าวของ ตระเตรียมงานสำหรับในช่วงมื้อเย็น เขามิได้หายไปอย่างรวดเร็วจนมิอาจทักท้วง แผ่นหลังที่ค่อยๆเล็กลงนั่นไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆจนน่ากลัว
พันวังเองก็มิรู้จะพูดอย่างไรดี…นอกจากทอดสายตามองจ้าวพี่ของตนเดินกลับเข้าห้องไปอย่างเงียบงันเช่นนั้น
แล้วจึงค่อยตัดสินใจลุกไปช่วยงานอ้ายอินทรบ้าง
…จ้าวพี่คงเสียใจมิใช่น้อย…
เด็กหนุ่มรำพึงรำพันในใจหอบกระจาดปลาไปตากที่ศาลาด้านหลัง
จริงอยู่ที่เขาภาวนาให้ทุกเรื่องมันจบสิ้นลงไปโดยเร็ว แต่เมื่อเห็นสีหน้าสลดสลัวท่าทางมัวหมองเช่นนั้นก็อดที่จะนึกเสียใจกับความคิดของตนเองมิได้
…ใยใจเจ้าถึงเอาแต่ใจนักมิห่วงความสุขท่านจ้าวหรืออย่างไร……ข้านี่ช่างเป็นบ่าวรับใช้ที่แย่เสียจริง…
ว่าแล้วก็เงยหน้ามองไปยังเรือนหลับนอนของจ้าวโคจรเสียหนึ่งครั้ง เห็นชายม่านปลิวสไวจากขอบหน้าต่าง
อากาศดีลมแรง เช่นนี้หวังว่าจ้าวพี่คงจะรีบอารมณ์ดีโดยเร็วพลันมิใช่เอาแต่ปั้นหน้าเรียบเฉย..ไม่ยิ้มไม่หือรือแบบที่เป็นหลายวันมานี้ …แบบที่คนมองไม่สบายใจเอาเสียเลย
“จ้าวแสนตามีรับสั่งให้เปลี่ยนรายการอาหารวันนี้เป็นแต่ของที่จ้าวโคจรชอบ”
อ้ายอินทรกล่าวขึ้นก่อนลอบถอนหายใจ
“ยิ่งดูวันนี้ท่านจ้าวอารมณ์มิสู้ดีนัก หน้าตาอมทุกข์อย่างไรชอบกล”
..เงียบ..
“ฤๅอาหารที่ใหม่นี่มิถูกปาก? อากาศวันนี้ก็ไม่ได้ร้อนนักเมฆเยอะออกจะสลัวเสียทั้งวัน”
..เงียบ..
“อ้ายรดิน” ชายวัยกลางขึ้นเสียง
“ข้าสิถามเจ้าอยู่บักนี่..ทำเป็นเมิน”
เจ้าของนามกลืนกล้วยน้ำว้าลงคอ แล้วรีบหันมาทำท่าหน้าตาตื่น
“ชะอ้าวเจ้าถามข้าอยู่กระนั้นรึ?”
“ไม่ถามเจ้าคงถามกับเห็บไรแถวกกหูนี่อยู่กระมัง”
“จะไปรู้เสียที่ไหนปกติท่านเคยเอาความอะไรมาถามความเห็นข้าบ้างเล่า…”
“เอ๊ะเจ้านี่นายตัวป่วย มิห่วงบ้างรึไร?”
“ข้าสิทักไปตั้งแต่วันก่อนพอมาตระหนักดูก็อาจเป็นเพียงอารมณ์ท่าน” รดินตอบ ตีท่าทางคร่ำเครียดมิแพ้กัน “แปลกที่ต่างเมือง คงหงุดหงิดนัก”
“จะแปลกกระไรจะมาพักเรือนนี้หนแรกก็มิใช่”
“เอ้าแล้วข้าจะหาเหตุใดมาอ้างได้อีกเล่า”
อินทรฮึดฮัดไม่พอใจด้วยรู้ว่าปรึกษาไปก็คงไม่มีใครพอจะให้คำตอบของคำถามนั้นได้
“ข้าสิเกรงท่านจ้าวจักเป็นหวัดอีกไม่ช้านานอาจจะออกอาการสาหัสล้มป่วยไปมากกว่านี้ทางเราคงสั่นคลอนมิใช่น้อย…จะทำอย่างไรดีกันเล่า?”
“อ้ายแม่พิกุลก็ไม่อยู่ให้ดูอาการ รึจะให้ข้าไปเรียนถามจ้าวแสนตาขอยารักษารึ?”
“ข้าไปเอง”
พันวังโพล่งขึ้น
“ข้าจักไปเรียนอ้ายพี่แสนตาหากตามหมอหายูกยาได้ก็จักทำ”
ว่าแล้วก็ลุกพรวดออกจากแคร่ไม้ไผ่ไม่รอฟังคำทัดทาน ร่างโปร่งวิ่งผ่านเรือนบ่าวรับใช้ไปยังเรือนใหญ่ซอยเท้าขึ้นกระไดตึกๆตักๆตรงไปหาอ้ายพี่แสนตาของตนถึงที่ห้อง
ตลอดทั้งวันที่ผ่านมาจ้าวโคจรมิรับสั่งสิ่งใด สำหรับอาหารกลางวันก็ขอให้จัดไปถวายถึงเรือนนอนใครจะเข้าไปหาก็ไม่อนุญาตใดๆทั้งสิ้นรวมไปถึงคนสนิทอย่างพันวังก็ด้วย เพราะตนเองยังรู้สึกผิดอยู่บ้าง..จึงไม่กล้าเง้างอนปั่นปึ่งใส่อีกคน ไม่แม้กระทั่งจะเข้าไปอ้อนหาในยามนี้แบบที่ควรจะเป็น
หลังจากทูลความเสร็จจึงได้หอบกันมาทั้งสองคนยังหน้าเรือนรับรองพ่วงบ่าวใช้มาอีก2-3คนเป็นต้นเผื่อรองรับสถานการณ์
เด็กหนุ่มเหลือบสายตามองจ้าวแสนตาเพียงเล็กน้อย ซึ่งร่างสูงกว่าก็พยักหน้าให้สัญญาณก่อนมือเล็กจะค่อยบรรจงเคาะประตูบานใหญ่นั้นเบาๆ
ก๊อกๆๆ
..ไร้เสียงตอบรับ..
ก๊อกๆๆ
“จ้าวพี่ขอรับ” พอได้เอ่ยชื่อไป ถึงได้รู้ว่ามันเบากว่าที่ตนตั้งจะจะเอื้อนเอ่ยนัก “จ้าวพี่โคจรขอรับ”
..เงียบ..
เมื่อไร้เสียงตอบกลับเด็กหนุ่มจึงหันกลับมามองคนข้างหลังอีกเสียรอบหนึ่งด้วยใบหน้าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
คนมองเลยสะดุ้งใหญ่สาวเท้าเข้าไปใกล้แล้วลูบหัวปลอบ
“มิเป็นไรดอกน้องพันวัง” แสนตากล่าว “จ้าวพี่ของเจ้าคงจะหลับอยู่กระมัง”
“ข-ข้าเกรงว่าจ้าวพี่เป็นแบบนี้จะไม่สบายเอา..”
“อ้ายโคจรสิแข็งแรงแค่ไหนเจ้าน่าจะรู้นักลมแดดอากาศเช่นนี้มิเป็นไรมากดอก เผลอๆตกค่ำจะได้ออกมาเริงรื่นหัวร่อเรียกบ่าวใช้มาปรนเปรอด้วยซ้ำไป”
นั่นเป็นคำพูดที่พยายามทำให้ติดตลก แต่คนฟังมิได้ยิ้มตามไปด้วย
“ข้าขอโทษอ้ายพี่แทนจ้าวพี่โคจรด้วย”
สองมือประนมซบลงบนอกกว้าง
“ทำให้เดือดร้อนเสียฤกษ์ในวันมงคล ฟ้าดินมิรู้จะเป็นเช่นไร”
“พอเทอดนี่เป็นเหตุสุดวิสัย”จ้าวแสนตายิ้มอ่อน
“ข้ากับแม่หญิงไม่ได้ติดใจเรื่องนั้นนักเกรงก็แต่กลัวอ้ายโคจรสิจะเป็นกระไรมากไว้ดึกค่ำค่อยมาใหม่ หากเตรียมอาหารถูกใจคงจะได้ยอมก้าวเท้าออกจากเรือน”
“ขอรับ..”
คนมองผ่อนลมหายใจเบาๆ “มาเทอดคนดีเหตุเพียงเท่านี้จะร่ำไห้ทำไมกันเล่า”
ร่างโปร่งยกมือเช็ดน้ำตาที่ข้างแก้มทันที ก่อนสูดลมหายใจฟืดกลั้นเสียงร้อง
“เหตุใดจึงขี้แยเช่นนี้เล่า” อีกคนหัวเราะเบาๆโอบไหล่บางพาเดินลงไปที่ชานพักผ่อน
“มิมีสิ่งร้ายใดเกิดขึ้นดอกพระแม่คงคาสิคุ้มครองเราอยู่นั่น เห็นไหม”
ชายหนุ่มพาอีกคนเดินมาที่มุมชาน แลเห็นคลองใหญ่ที่ตัดผ่านหน้าบ้านจึงชี้ไปที่แพสำรับอาหารรวมถึงดอกไม้ธูปเทียนที่เพิ่งจัดพิธีบูชาพระแม่คงคาไปเมื่อเช้า
“เหตุร้ายใดที่พึงจะเกิดจงปล่อยให้ไหลไปตามสายน้ำ นานหลายพันปีแล้วที่เราปล่อยให้เป็นเช่นนั้น”
คนฟังทอดมองไกลออกไปแล้วพยักหน้ารับคำนั้นอย่างเลื่อนลอย..หากค่ำคืนนี้จบลงเร็วๆเสียคงจะดี..
และแม้จะเป็นเช่นนั้น..ก็ไม่เห็นวี่แววของจ้าวพี่โคจรจะออกมาจากห้องแม้ตอนตกเย็นพลบค่ำ
บ่าวรับใช้ไปเคาะประตูก็มิมีเสียงตอบอันใด หนำซ้ำยังไม่มีใครหาญกล้าพอจะเปิดประตูเข้าไปด้วยกลัวว่ารบกวนจ้าวยามที่หงุดหงิดคงมิใช่เรื่องดีนักจ้าวแสนตาจึงสั่งให้เตรียมสำรับอาหารไปวางไว้หน้าประตูห้องหากสหายรักของตนตื่นขึ้นมาจะได้ทานเสียตรงนั้นไม่ต้องออกมาให้ลำบากใจงานเลี้ยงในตอนค่ำจึงเริ่มโดยไม่มีจ้าวโคจร
และแม้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ทุกคนจะดูตึงเครียดไม่น้อย แต่ยามที่เหล้ายาเข้าปากบทสนทนาเฮฮาก็ออกมาเคล้าบรรยากาศให้ได้อรรถรส
พันวังนึกขอบคุณฤทธิ์สุราอยู่มากกว่าพันรอบ ที่แม้จ้าวโคจรจะเสียใจแต่อย่างน้อยเจ้าของงานอย่างอ้ายพี่แสนตาที่เขาผูกพันก็ยังสามารถยิ้มออกมาได้
จนกระทั่งตกดึกค่ำอ้ายพี่สหัสที่เริ่มได้ที่แล้วจึงหยอกล้อ
“แล้วท่านจ้าวเล่าขอรับดึกดื่นมืดป่านนี้แล้วยังมิคิดอยากจะขึ้นหอบ้างหรอกรึ?”
เท่านั้นแหละคนถูกค่อนแคะจึงได้หยิบเม็ดถั่วมาปาใส่หน้า
“เจ้านี่ก็ปากมากไม่หยุด”
“เอ้าฉไนจึงดุข้าเช่นนั้นเล้า”
“จริงด้วยท่านจ้าวคืนแรกของวันแต่งงานนั้นสำคัญนักใยจึงไม่รีบเข้าไปเล่า”
“ข้าสิอดใจรอเห็นจ้าวตัวเล็กตัวน้อยมาวิ่งเล่นอยู่แล้วนะ”
“ไปเลย ไปเลย!”
“เผด็จศึกเลย!”
“ชะพวกเจ้า!มานี่เลย ข้าสิจะเตะให้เรียงตัว” ร่างสูงลุกพรวดชี้หน้าทั้งหน้าแดงก่ำ
“ยกคำว่าล้อนายนี่บ่าวที่ไหนเค้าจักทำกัน”
“แล้วใยจึงมิรีบไปเล่า?”
สหัสร้อง
“ฤๅจะบอกจ้าวแสนตาผู้ยิ่งใหญ่แห่งอโยธยานคร…กลัวคืนแต่งงานกระนั้นรึ?”
คำสบประหม่าเช่นนั้นทำเอาทุกคนหัวเราะร่วนก่อนชายหนุ่มจะตบเข่าฉาดพร้อมกระทืบเท้าไม่พอใจ
“พวกเจ้าสิยังมีหน้ามาว่าข้าอีกกระนั้นรึ? บางตัวแม้แต่จะสัมผัสกายสาวยังมิเคยด้วยซ้ำจะตื่นประหม่าก็มิใช่เรื่องน่าประหลาดอะไรเสียหน่อยซ้ำนี่ยังเพิ่งพ้นฤดูมามินานจะให้ปลุกเร้าอารมณ์เข้าหอได้รวดรัดดั่งมนุษย์น่ะเป็นไปได้
ที่ไหน”
สารพัดคำอ้างพวกนั้นไม่ได้ทำให้เสียงหัวเราะร่าพวกนั้นลดลงเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังทวีลั่นมาขึ้นอีกด้วยซ้ำบ่าวรับใช้คนนึงลุกขึ้นไปรินของเหลวบางแล้วเดินกลับมาถวาย
คนจะกินหมุ่นคิ้วมอง
“อะไรน่ะ?”
“ยาขอรับ” สหัสกล่าวตอบแทน
“ดื่มเสียจักได้คึกคักนัก”
“บ๊ะอ้ายนี่…ปากมันน่า…เอ้า!น้องพันวัง!เจ้าก็ร่วมชวนหัวไปกับเขาด้วยกระนั้นรึ!”
พอโดนดุเด็กหนุ่มเลยหุบปากฉับ แต่ก็กลั้นยิ้มเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
“หามิได้ขอรับพวกข้าสิอดเป็นห่วงอ้ายพี่แสนตามิได้แม้จะไม่ใช่การหลับนอนร่วมกันครั้งแรกกับอ้ายพี่หญิง
ก็มิได้หมายความว่าจะเลี่ยงการขึ้นหอได้เสียหน่อย” พันวังรีบพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ดื่มยาเสียแล้วทุกอย่างข้างในจะมาเองขอรับ”
คนฟังชี้หน้าควับขยับปากคาดโทษเป็นคำว่า ‘ข้าสิจะใช้กับเจ้าเป็นคนแรก’
..เคราะห์ดีที่ไม่มีใครเห็นตอนนั้น..
เจ้าของผิวสีเข้มดูฮึดฮัดขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยอมหันไปคว้าขึ้นมากระดกเสียหมดแก้วแล้วกระแอมกระไอท่ามกลางสายตาสู่รู้ของคนมอง
“วู้ว~ เก่งมากขอรับ”
“ทีนี้ก็ปล่อยไก่ลงชนได้แล้วเน้อ”
“ฮ่าๆ”
“พวกเจ้าสิจักหัวเราะกันอีกนานมั้ย? ลุกขึ้นมารำวงให้ข้าดูชมบัดเดี๋ยวนี้!”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วหมุ่นหงุดหงิดจนเลิกด่าเลยออกคำสั่งแทนแล้วก็นั่งลงที่เดิมเหมือนเคย ก่อนจะหันมากระซิบกระซาบกับพันวังที่นั่งเทียบอยู่ตั่งข้างเคียงกัน
“หากอ้ายโคจรมาด้วยคงจะสนุกมิเช่นน้อย ข้าสิภาวนาให้เจ้านั่นหายโดยไว”
“ข้าก็เช่นกันขอรับ”
“ฤๅเจ้าจักไปดูเสียหน่อยเกลี้ยกล่อมตะล่อมให้มันออกมาทีจะได้รึไม่?”
พันวังเลิกคิ้วหันไปสบตา
“แล้วถ้าหากข้าโดนตะเพิดออกมาเล่า”
“อ้ายนั่นเคยขึ้นเสียงใส่เจ้าที่ไหน จะห่วงไรไปน่า…เพื่อข้า”
“แล้วอ้ายพี่มิไปเองเล่าข้าสิกลัวนายโกรธเป็นเหมือนกันนะขอรับ”
“เอ้า!เจ้านี่…นับวันยิ่งต่อล้อต่อเถียงกับข้านักจะบิดปากเล็กๆนี่เสียให้เข็ด”
“โอ้ยไม่พอแล้วขอรับ ข้าไปก็ได้”
ร่างโปร่งรีบเอี้ยวตัวหลบมือที่ยื่นเข้ามา แล้วหัวเราะคิกคักระริกระรี้ก่อนเสียงเชียร์ลุ้นให้จ้าวแสนตาเข้าหอไปเสียทีจะดังตามมา ครานี้สิมาเป็นวงร้องรำทำเพลงสนุกสนานท่าจะเมาหนักขนาดเอาเรื่องจ้าวมาล้อเล่นกัน ซึ่งนายเหนือหัวตัวดีก็มิได้ว่าอะไร…นอกจากการอายม้วนต้วนให้ใครต่อใครผิวปากแซวกันต่อ ..ยังโชคดีที่อ้ายพี่แสนตา
มีความสุขนักคงวางใจไปได้หนึ่งเปราะ
ความสัมพันธ์ของแสนตาและพันวังยังคงเป็นแบบเดิมเหมือนเช่นที่พวกเขาเคยเป็น คือเป็นห่วงเป็นใยกัน
ฉันพี่น้องแม้ว่าทั้งคู่อาจจะมีอาการเก้อเขินบ้างในบางเวลา…แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้แตะต้องฉวยจับโน่นจับนี่เหมือนก่อน
หน้านี้ …เป็นระยะห่างที่ให้รู้สึกปลอดภัย แต่กระนั้นข้างในดวงใจก็ยังโหวงเหวงอย่างไรมิรู้
ซึ่งประเด็นนั้นคงตกไปเมื่อเขาใกล้จะได้เดินทางกลับพิจิตรในอีกสองวันข้างหน้า คำมั่นที่จะพาเด็กหนุ่มไปเที่ยวชมอโยธยานครก็เป็นอันตกไป ด้วยวันหนึ่งยุ่งวุ่นวายนักจะปลีกตัวจากเสียก็เห็นมิได้
ซ้ำจ้าวโคจรยังมีอาการซึมเศร้าเช่นนี้อีก ใยจะจับลากไปเดินเล่นก็คงผิดทีแต่ความกังวลมากกว่าที่พันวังจะรู้สึกเสียดาย ..ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจ้าวพี่โคจรจะเสียใจขนาดนี้..ยิ่งย้ำก็ยิ่งช้ำในอกนัก
ก๊อกๆๆ
ร่างโปร่งมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้อง ออกแรงเคาะประตูเป็นรอบที่เท่าไหร่มิรู้ของวัน
..ไร้เสียงตอบกลับเช่นเดิม..
เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจสั้นๆนึกท้อแท้ในอกอย่างบอกไม่ถูกแต่วินาทีที่กำลังจะกลับลำหมุนตัวเดินจาก..
ดวงตาปราดมองไปเห็นสำรับอาหารมื้อเย็นที่ยังคงวางอยู่หน้าห้องโดยไม่มีท่าทีว่าจะมีใครเคยแตะต้องมาก่อน
จึงได้ฉุกใจคิด
“จ้าวพี่” ว่าแล้วก้มลงไปจนเกือบติดประตู
“จ้าวพี่ขอรับพันวังเอง…ได้ยินรึเปล่าขอรับ?”
..เงียบ..
“จ้าวพี่โคจรขอรับ!” เขาออกแรงทุบประตูห้องอีกครั้งอย่างกระวนกระวาย
“จ้าวพี่โคจร!”
..เงียบ..
พันวังรู้สึกในอกเต้นแรงนักเขามองซ้ายมองขวาเผื่อหาคนแถวนั้นมาช่วยแต่ก็เปล่า นอกจากเสียงหัวเราะร่วนจากวงเหล้าที่อยู่ไกลๆแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรอีก
จึงกลืนน้ำลายแล้วตัดสินใจผลักบานประตูให้เปิดเข้าไป
“ขออนุญาตขอรับ!”
เช่นกัน นอกจากเสียงเปิดประตูผลัวะนั้นแล้วไม่ได้ยินเสียงใดๆอื่นอีก
กลางอกเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆอย่างห้ามไม่ได้ ดวงตาปราดมองไปรอบเรือนนอนที่ว่างเปล่า..จ้องดูทุกจุดมากพอจะรู้ว่าไม่มีใครอยู่ข้างใน ทั้งเตียงที่เรียบสนิทราวกับไม่มีใครเคยนอนมาก่อนหน้าต่างก็เปิดเอาไว้..ปล่อยให้สายลมพัดผ้าม่านปลิวสไวโบกพัดหัวใจให้เย็นชืด
“จ้าวพี่…?”
เด็กหนุ่มรู้สึกยิ่งกว่าลำคอแห้งผาก
“อ…” จึงได้หันมา แล้วออกวิ่งกลับไปที่เดิม
“อ้าย…อ้ายพี่..อ้ายพี่แสนตา..!”
ร่างกายคล้ายจะสิ้นเรี่ยวแรงอย่างประหลาด ขนาดบ่อน้ำตายังซึมไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เด็กหนุ่มไม่อยากจะกระวนกระวายเกินกว่าเหตุแต่ทุกอย่างในร่างกายก็ดูคล้ายจะสั่นไปเสียหมด แต่ยังไม่ทันจะวิ่งกลับไปยังตั่งนั่งที่ตนจากมาจึงได้ประจันหน้ากับขบวนจ้าวแสนตาพอดี
ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองอย่างประหลาดใจ “มีกระไรรึน้องพันวัง?”
“อ้ายพันวังเจ้าสิไปไหนมา”
“มาช่วยกันส่งจ้าวแสนตาลงหอโดยเร็ว จะหมดวันเสียฤกษ์เสียยามซะหมด”
บรรดาบ่าวรับใช้คนสนิทที่ตามมาด้านหลังเอ่ยด้วยน้ำเสียงรื่นเริง นั่นทำให้พันวังชะงักนักเขารีบยกมือ
เช็ดน้ำตาไปเสีย
…งานมงคลอ้ายพี่แสนตา…จะเอาเรื่องร้ายๆไปบอกได้กระนั้นรึ…
“พันวัง?” เจ้าบ้านเรียก..เสียงไม่สู้ดีนัก
“เจ้าร้องไห้กระนั้นรึ?”
“มิ-มิมีอันใดขอรับแค่ฝุ่นผงเท่านั้น” เด็กหนุ่มรีบบอก
“อ้ายพี่รีบไปเทอดอย่างที่อ้ายพี่สหัสว่า จะเสียฤกษ์เสียยาม…แม่หมอก็ดูเวลามาให้แล้ว ยาก็ดื่มเรียบร้อยแล้ว
อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าอาจจะมีลูกจ้าวตัวน้อยมาวิ่งเล่นก็ได้”
“ชิชะพูดถูกใจเอาไปสิบเบี้ย!”
“ไปเถิดขอรับเร็วเข้า จะชักช้าอยู่ไร”
ว่าแล้วก็ออกแรงดันเบาๆจ้าวแสนตายังคงหมุ่นคิ้วประหลาดใจอยู่แต่ก็ยอมเดินไปข้างหน้าพร้อมหันไปเอ็ด
“พวกเจ้านี่ก็จะลุ้นกระไรเล่า ก็ทำเหมือนที่เคยทำเป็นปกติ…มิใช่เรื่องประหลาดต้องมานั่งตื่นเต้นเสียหน่อย”
“ที่ตื่นเต้นมันท่านจ้าวต่างหากเล่า!”
“เมื่อครู่ยังกลัวคืนแต่งงานอยู่เลยแท้ๆ ฮ่าๆๆ”
เด็กหนุ่มได้ฟังก็ยิ้มออกเลื่อนตัวเองไปอยู่ที่สุดท้ายของขบวน…มองหาจระเข้จากบ้านเดียวกันอยู่มินาน อ้ายพี่รดินก็ตัวติดกับพี่สหัสนักจะเข้าไปแทรกกลางก็เห็นจะไม่ได้
“อ้ายพี่อินทร”
เขารีบตรงไปสะกิดแม้เจ้าของนามจะตาปรือใกล้หมดสติเต็มทนก็ตาม
“ข้า…ข้าหาจ้าวพี่ไม่เจอ”
คำกระซิบนั้นทำให้คนมองโคลงศีรษะเบาๆ
“อะไรนะ?”
“จ้าวพี่โคจรข้าหาจ้าวพี่โคจรไม่เจอ”
“ท่านจ้าวน่ะรึ?”
“ใช่ข้าหาไม่เจอ”
อินทรกลอกตา..คล้ายกับไม่เข้าใจนัก “แล้วอย่างไรเล่า?”
“อ้ายพี่อินทรฟังข้าก่อนสิ” เด็กหนุ่มเขย่าแขน
“ใช่เพลามาเมามายมิได้สติกระนั้นรึ?”
“ข้าไม่ได้…มาว….”
คนฟังถอนหายใจป้องปากชะโงกขึ้นไปกระซิบเร็วๆ
“อ้ายพี่อินทร!ข้าสิหาท่านจ้าวมิเจอ มิรู้ไปอยู่ที่ซอกรูใด…อ้ายพี่มิคิดจะมาช่วยกันตามหาหรอกรึ?”
คู่สนทนาโคลงศีรษะเล็กน้อยจากฤทธิ์สุรา แล้วพล่ามพูด
“ท่านจ้าวก็ส่วนท่านจ้าวสิเจ้าจักไปยุ่งกระไรเล่า อาจจะออกไปเดินชมนกชมไม้เปลี่ยนบรรยากาศก็เป็นได้…
เป็นข้าคงไม่อุดอู้อยู่เพียงในห้องเท่านั้นหรอก”
“แต่..แต่ทั้งวันนี้ตั้งแต่เสร็จพิธีเมื่อเช้า ข้าก็ยังมิเห็นจ้าวพี่เลยนะขอรับ”
“คงมิอยากให้ผู้ใดเห็นกระมัง”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว
“อ้ายพี่ก็พูดติดตลกไปเรื่องนี้จริงจังนัก”
คนมองยังคงไม่ได้สติเท่าใดนัก แต่ก็ทำเพียงขยี้เรือนผมของอีกฝ่ายเชิงปลอบโยนเพียงเท่านั้น
“เดี๋ยวท่านจ้าวก็กลับมา”
..ข้ารู้ ..เพียงข้า...รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีนัก
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเหลียวซ้ายแลขวามองออกไปแต่ก็ติดอยู่ในขบวนคนเมาที่แสนรื่นเริงนี่ เขาคิดว่าจะหาโอกาสปลีกตัว..แต่ก็ไม่มีแถมอ้ายอินทรยังไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร
เขาถอนหายใจเดินเบียดแทรกไปหาอ้ายรดินที่อยู่เสียหัวขบวน
“อ้ายพี่รดิน” มือเล็กรั้งแขนเอาไว้
“มากับข้าที”
คนถูกเรียกชะงัก
“มีกระไรรึ?”
“คือว่า….”
ยังไม่ทันจะพูดจบเสียงโห่ร้องฮิ้วฮาก็ดังมาจากรอบทิศร่างโปร่งสะดุ้งเฮือกทันที..ปรายสายตามองไปรอบๆด้วยรู้ว่านี่คงมิใช่สถานการณ์ที่เหมาะสมจะพูดนัก เพราะตอนนี้จ้าวแสนตาได้มาถึงหน้าห้องอ้ายพี่หญิงเสียแล้ว
หนุ่มผิวเข้มยกมือลูบหน้าแล้วกลับหลังหันมาบอก
“พวกเจ้าสิไปให้พ้นเสียนี่ก็ได้เวลาของข้าแล้วไป!”
“บ๊ะ!ทีเช่นนี้เล่าทำมาไล่”
“ไว้วันได้ขาดพวกข้าแล้วท่านจะรู้สึก!”
ว่าแล้วก็ระเบิดหัวเราะกันเสียยกใหญ่ แต่อ้ายพี่สหัสกลับกวักมือไล่ๆเป็นอันรู้กันว่าการละเล่นล้อเลี่ยนเช่นนี้จบลงได้แล้ว
ทุกคนเริ่มทยอยแยกย้ายกันไปหลายกลุ่มกลับไปนั่งที่ตั่งวงเหล้าข้างล่างบ้างทนความง่วงและพิษสุราไม่ไหวจึงเดินกลับไปที่เรือนบ่าว มือของพันวังยังคงเกาะแขนอ้ายพี่รดินแน่นเขาต้องหาโอกาสพูดแต่เหมือนจะยังไม่ใช่เพลานี้ชอบกล
“หากมีอะไรให้ข้ารับใช้ตะโกนเรียกได้ทุกเมื่อเลยนะขอรับ” สหัสกล่าว ยักคิ้วหลิ่วตาให้เสียหนึ่งที “พวกข้าสองคนจะนั่งจิบเหล้าเฝ้าอยู่เสียหน้าเรือน”
“ไปไกลๆเลยไป”
“โถ่ท่านจ้าวข้าสิคอยปรนนิบัติอย่างไรเล่าขอรับ”
“อ้ายพวกนี้รอให้ฟ้าสางจักจับเฆี่ยมเสียให้หมด”
ชายหนุ่มคาดโทษเอาไว้ก่อนแล้วจึงหันไปเคาะประตูบานใหญ่ตรงหน้า
ก๊อกๆๆ
…ไม่มีเสียงตอบ
จ้าวแสนตาหมุ่นคิ้วเล็กน้อยเขาออกแรงผลักบานประตูเบาๆเพียงมันไม่แม้แต่จะขยับ ด้วยถูกลงกลอนเอาไว้จากด้านในสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องประหลาดนัก..หากเป็นตัวเมียเพียงตัวเดียวที่อาศัยอยู่บนเรือน การป้องกันตัวเช่นนี้จัดเป็นเรื่องปกติ
“อ้ายแม่หญิง” เสียงทุ้มกล่าวเรียก น้ำเสียงกลั้วหัวเราะเล็กน้อย “ข้าเอง จ้าวพี่แสนตาของเจ้า…ใยจึงลงกลอนประตูกั้นข้าไว้เช่นนี้เล่า”
ก๊อกๆๆ
“อ้ายแม่หญิงเปิดประตูเถิด”
ก๊อกๆๆ
…วินาทีนั้นอะไรบางอย่างวิ่งเข้ามาจับอยู่ที่ขั้วหัวใจ…
เด็กหนุ่มหายใจแรงหนักความรู้สึกไม่สู้ดีเช่นนั้นเร่งให้รีบรุดตัวไปข้างหน้าเขาตรงไปพยายามผลักประตูให้เปิดออกจนมันดังโครมคราม
“น้องพันวังเจ้าทำอะไรน่ะ?”
จ้าวแสนตาตกใจนึกจึงพยายามรวบมือไว้ทว่าเจ้าของนามกลับไม่แม้แต่จะหันมาเผชิญหน้าหรือรับฟัง ด้วยสังหรณ์นั้นพาลให้ใจเต้นตุ่มๆต่อมๆไปเสียหมดเด็กหนุ่มโถมตัวด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อกระแทกให้ชิ้นไม้สลักอันนั้นหลุดออก
ปึง! ปึง!
“อ้ายพันวัง!เจ้าสิทำอะไรอยู่!?”
“ออกมานี่เลยฤๅจะเป็นบ้าไปเสียหมด นั่นห้องอ้ายแม่หญิงบุหลันนะ”
ปึง!
โดยไม่ฟังคำทัดทาน…ประตูเปิดออกในที่สุด
และสิ่งที่อยู่ด้านในทำให้ทั้งสี่คน ซึ่งประกอบไปด้วย จ้าวแสนตาอ้ายรดิน อ้ายสหัสและพันวังนั้นถึงกับนิ่งงันไป
ร่างบอบบางยังคงกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ขณะที่รั้งผ้าแพรผืนน้อยขึ้นมาห่มกายเปลือยเปล่าเธอจ้องมองมาที่คนทั้งสี่ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเจ้าหล่อนไม่ได้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมจะรับแขกนักนั่นหมายถึงผิวสีน้ำผึ้งที่ขึ้นแดง
ระเรื่อและเรือนผมสีขนกายาวยุ่งเหยิงเช่นนั้นด้วย
หากเป็นในกาลปกติจ้าวแสนตาคงหันมารับสั่งให้อ้ายบ่าวสี่ตนที่เหลือไสหัวไปเสียให้พ้น แต่เพราะครานี้เรื่อง
ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปกตินัก..มีใครอีกคนอยู่ในห้องนั้นด้วย
ร่างสูงโปร่งยืนอยู่ที่ข้างเตียง สองมือยังคงรวบผ้านุ่งช่วงล่างที่นังสวมใส่ได้ไม่เสร็จดีนัก ดวงหน้าคมคายมิได้แสดงสีหน้าเช่นไรนอกจากความกระอักกระอ่วนใจ ประกายตาสีอำพันคู่นั้นอาจจะเกิดจากความรู้สึกผิดความเสียใจ
หรืออาจจะเป็นก้อนตะกอนความหฤหรรษ์ที่ยังคงตกค้างอยู่เมื่อครู่ก็เป็นได้
จากที่เคยเย็นเฉียบจับขั้วหัวใจ ด้านในกลับร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างเสียมิได้ครึ่งหนึ่งของน้ำตาที่ไหลอาบที่อาจจะเป็นความเสียใจอีกครึ่งอาจจะเป็นเพียงความผิดหวังและไม่ว่ามันจะไหลด้วยเหตุใดนั้น…ก็ไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด
“…จ้าวพี่โคจร…”
…อะไรบางอย่างในอก…ได้ขาดหายไป…
ขอบคุณมากครับ ขอบคุณคร้าบ ขอบคุณมาก สนุกจริงๆครับ น่าติดตามมากมาย ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]