ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
ดู: 687|ตอบกลับ: 8

จ้าวธารา

[คัดลอกลิงก์]

โสด

   ศาสตราจารย์เอื้ออาทร
อาจารย์พิเศษ
คัดลอกมาครับ

-๕-
   
ใกล้ได้ฤกษ์แต่งงานจ้าวแสนตากับแม่หญิงบุหลัน
   ขบวนจระเข้แห่งพิจิตรนครจึงจัดเตรียมความพร้อมออกเดินทางไกล ด้วยล่องไปตามลำน้ำเช่นนี้กว่าจะถึงอโยธยาคงจะเสียเวลาไปหนึ่งวันเต็ม ทั้งสำรับปิ่นโตน้ำสะอาดอาหารแห้ง  ทิ้งเพียงอ้ายแม่พิกุล อ้ายกล้า  
และจระเข้อีกครึ่งกองพำนักต่อที่เรือน
   พันวังตระเตรียมห่อผ้าน้อยสะพายขึ้นบ่า เดินลัดเลาะผ่านบรรดาจระเข้น้อยใหญ่ที่กำลังวุ่นวายในเวลาย่ำรุ่ง ทุกผู้ตนต่างดูเร่งร้อนไปเสียหมดด้วยจ้าวโคจรท่าทางกระหายอยากจะไปมากกว่าใคร แรกรับสั่งจะออกตอนรุ่งสาง  

ฉไนยังไม่ทันจะอะไรดึก็ออกมาตีฆ้องร้องป่าว  เร่งเวลารัดขึ้นกว่าชั่วยาม
   “ยินว่าท่านจ้าวสิออกมาเดินเล่นเสียทั้งคืน”บ่าวหนึ่งกล่าว

“มิได้หลับได้นอนรึไร”
   “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรเล่า?”
   “ข้าสิท้องไม่ค่อยดี  ถึงได้ออกมาแทบทุกชั่วโมง” เขาอธิบาย

“คราเห็นท่านจ้าวนั่งชมดาวอยู่บนแคร่ใหญ่  พอออกมาอีกครั้งจึงได้เปลี่ยนไปเดินจงกรมใต้ต้นโพธิ์  ท่าทางกระวนกระวายนัก”
   “คงจะตื่นเต้นกระมัง”
   “ตื่นเต้นอะไรกันเล่า  นี่มิใช่หนแรกที่จะออกเรือไปต่างเมืองเสียหน่อย”
   “บ๊ะ  แต่นี่สิเป็นหนแรก”อ้ายอินทรกล่าว  ด้วยวางภูมิรู้ใจจ้าวยิ่งกว่าใคร

“หนแรกที่จ้าวแสนตาเพื่อนรักจะได้แต่งนางเข้าเรือน เป็นเจ้าจักไม่ตื่นเต้นพร้อมแสดงความยินดีกับเกลอหรอกรึ?”
   “ข้าก็มิได้คลางใจอะไรนักดอก”
   “เออ  ก็ดี”
   “…แต่อย่าหาว่าอย่างนี้อย่างนั้นเลยอ้ายอินทร”
   
หนึ่งในบรรดาเด็กรับใช้กระซิบกระซาบ
   “ตื่นเต้นเช่นนี้  หากมิบอกข้าคงจะคิดว่าจ้าวโคจรจะแต่งงานเสียเอง”

   “ชิชะดูพูดเข้า  จ้าวแสนตากับจ้าวโคจรเป็นเพื่อนเล่นหัวกันมาตั้งแต่เจ้ายังเป็นแค่ไข่ ฤๅจะรู้ความผูกพันของทั้งคู่ได้กระไรเล่า”
   “ยามอยู่ก็เห็นมีปากเสียงสรวลกันทุกเมื่อเชื่อวัน…”
   “ก็มิได้หมายความว่ามิได้ลงรอยกันเสียหน่อย”ชายวัยกลางเท้าสะเอว  เฉดหัวไอ้คนปากมากไปหนึ่งที

“ดู  ยังจะมัวมาพูดเข้า รีบหอบขบวนสำรับอาหารนี่ขึ้นเรือไปเสีย  ประเดี๋ยวท่านจ้าวก็จะลงมาแล้ว….แล้วอ้ายพันวังไปไหนเสียเล่า  พันวัง! อ้ายพัน….”
   “ข้าอยู่นี่อ้ายพี่อินทร” เด็กหนุ่มร้องตอบ  รีบสาวเท้าเข้าหา

“ข้าสิรอท่านเรียกมานานแล้ว  จะให้ข้าขึ้นไปเรียนท่านจ้าวแล้วกระนั้นรึ?”
   คนฟังหมุ่นคิ้ว

“บ๊ะ  หากเจ้ารู้งานใยไม่เริ่มลงมือเลยเล่า”
   “ข้ารู้งาน  มิได้รู้เวลาสักหน่อย…”
   “เอ้า  ยังมิวายมาเล่นลิ้น…ไป  ไปเสีย  เรียนท่านจ้าวทราบ ขบวนเรือพร้อมออกเดินทางแล้ว”
   เด็กหนุ่มอมยิ้มแก้มปริ  ละออกจากงานใต้โถงด้านล่างวิ่งทั่กๆขึ้นบันไดไป  สวนกับบรรดาพี่น้องที่หอบข้าวของ

ลงมา  ด้วยจ้าวโคจรมีคำสั่งให้ตระเตรียมแก้วแหวนเงินทองเป็นของกำนัลจากแดนพิจิตรไว้พร้อม ราวกับจะไปสู่ขอสาวนางใดก็มิปาน  และเมื่ออ้ายอินทรถาม…
   “คราวข้า…” นั่นเป็นคำตอบ

“…อ้ายแสนตาคงทำเช่นเดียวกัน”
   
..จึงไม่มีข้อกังขาใดๆอีก
   ไม่นานก็สาวเท้ามาถึงหน้าเรือนใหญ่ เท้าเปล่าทั้งสองข้างเหยียบบนพื้นไม้ส่งเสียงดังตึกตักเพียงแผ่วเบากว่าจะไปถึงหน้าห้อง
ซึ่งประตูไม้สักบานใหญ่กลับเปิดออกก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปสัมผัสสลักประตูเสียอีก
   ร่างสูงใหญ่ก้าวเท้ามาเจอก็แทบผงะ
ก่อนจะเอ่ยถามเสียงอ่อน
   “ได้เวลาแล้วรึ?”

   เด็กหนุ่มคลางใจในกระแสเสียงนั้นเพียงเล็กน้อย แต่ก็มิอาจทำสิ่งใดได้นอกจากรับคำง่ายๆ

“ขอรับ”
   “ดี”
   “แล้วข้าวของของจ้าวพี่เล่าขอรับ?”
   “ให้เด็กยกไปตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว”
   “ดู…จ้าวพี่ตื่นเต้นนะขอรับ?”
   นั่นเป็นคำถามลองเชิง  
และคนฟังก็ดูพร้อมที่จะตอบบ่ายเบี่ยงนัก
   “แน่สิ” ชายหนุ่มก้าวเท้านำออกไปก่อน

“นั่นสหายข้า”
   คนฟังพยักหน้ารับคำ  แม้จะรู้สึกประหลาดกับพฤติกรรมที่แปลกไปของคนตรงหน้า  แต่ความจริงที่ว่ายิ่งตนรู้มากเท่าใดตนก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น ไม่มีอะไรดีขึ้นนอกจากข่มอารมณ์หึงหวงไว้ในใจ และนั่งท่องทุกคืนหน้ากระจกใหญ่

ว่าตนเป็นเพียงบ่าวรับใช้หาใช่คู่ครอง
   ร่างโปร่งบางเดินตามร่างสูงกว่าลงมาที่หน้าชาน สาวเท้าลงบันไดไปจนขึ้นเรือ  บรรดาบ่าวไพร่ทยอยตามประจำตำแหน่งพร้อม ไม่นานหัวเรือจึงเป่าแตรร้อง…
พร้อมออกเดินทาง
   เพลานั้นแสงตะวันยังไม่มีวี่แววจะขึ้น อาศัยตะเกียงสลัวและแสงจันทร์อ่อนนำทางไปตลอดลำน้ำ  เสียงไม้พายเรือแจวแหวกในห้วงธาราดังเป็นจังหวะพร้อมเพรียงกัน ขบวนเรือแจวนับสิบลำจึงเคลื่อนตัวแหวกหมู่น้ำไปด้านหน้า เพียงเรือลำใหญ่ตรงกลางเท่านั้นที่มีนายพายมากกว่า  นั่นคือเรือจ้าว…
อย่างมิต้องสงสัย
   อ้ายพันวังวางหอบของใช้ส่วนตัวของตนไว้ใต้ที่นั่ง
ซึ่งอยู่เยื้องไปทางด้านขวามือของที่จ้าว
   
ก่อนจะหันไปเกาะขอบเรือมองไปรอบๆอย่างใคร่รู้
   ด้วยตนนั้นเกิดและโตที่เรือนในเพียงแห่งเดียว แม้แต่ตลาดหรือวัดวาอารามก็ยังมิเคยแม้แต่จะมีโอกาสไป  จริงอยู่ที่ได้ออกมาพายเรือเก็บรากบัวกับอ้ายแม่พิกุลอยู่บ้าง แต่ก็มิเคยไปไกลถึงต่างนครข้ามแดน  ด้วยเหตุนั้น...ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรให้กระวนกระวายใจก็ตาม
เด็กหนุ่มก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้จริงๆ
   “ยามนี้มองไปก็เห็นแต่ความมืดนัด” อ้ายรดินหัวเราะร่วน

“เจ้าสิจักกลัวเสียเปล่า”
   คนถูกค่อนแคะมุ่ยหน้า “อ้ายพี่รดินก็ทำเป็นรู้  ข้าสิแค่ดูไปรอบๆเท่านั้น”
   “ดูทำไมกัน?”
   “ข-ข้าคอยระวังภัยยังไงเล่า!”
   “ระวังภัยกับผีสิ  หากเกิดเรื่องจริงเจ้าสิคงถูกนำไปอยู่กลางวง  มิได้คอยมารับมือเป็นทัพหน้าดอก ยังจะปากแข็ง” ชายหนุ่มตาเดียวหัวเราะ ก้าวเท้าข้ามที่นั่งไป “จะนอนเอาแรงก็ย่อมได้ รอให้ตะวันขึ้นก่อนจักเห็นอะไรมากขึ้น”
   “ยินว่าจะเลียบเลาะหลบหมู่มนุษย์มิใช่รึ? ข้าคงมิเห็นอันใดนอกจากหมู่แมกไม้นานา  คงมิต่างจากท่องป่าเสียเท่าไหร่”
   “รู้กระนั้นเจ้าก็ยังตื่นเต้น?”
   “ข-ข้าสิเคยท่องป่าเสียที่ไหน”
   “นั่นประไรเล่า”
   “อ้ายพี่รดินจักไปไหนก็ไป!  ข้ามิพูดด้วยแล้ว”
   “ฮ่าๆๆ”
   “จะหัวเราะอะไรกันเล่า!”
   “ถึงจะมิต่างจากท่องป่า  แต่หากมองสูงขึ้นไปกว่านั้นก็มีอะไรเพลินตามิใช่น้อย”
   จ้าวโคจรเอ่ยมาประโยคแรก  
ก่อนจะกวักมือเรียกให้อีกคนเข้าหา
   “เจ้าสิเห็นเหล่าวัดวาอาราม  ประดับแก้วเพชรตามยอดเจดีย์  ยามต้องแสงตะวันสดใสจึงได้งามจับตานัก ฤๅจะพูดถึงทุ่งนาเขียวขจีไกลสุดลูกหูลูกตาดีเล่า  มิว่าจะสิ่งใดก็น่าประทับใจไปเสียหมด”

   รอยยิ้มนั้นทำให้เสี้ยวหนึ่งของดวงใจรู้สึกโล่งอก ด้วยจ้าวพี่โคจรเอาแต่ตีหน้าเครียดจริงจัง  ไม่หยอกล้อหือรือกระไรตั้งแต่เมื่อคืนวาน  ครานี้จึงสบายนัก…
ว่าจอมทะเล้นกะล่อนของตนได้กลับคืนมาแล้ว
   “จ้าวพี่เคยผ่านไปอโยธยากี่หนกันรึ?”

   “นับครั้งไม่ถ้วนเชียวล่ะ” มือใหญ่รั้งเอวบางให้ขึ้นไปนั่งบนตั่งด้วย “ก่อนนี้ตอนเจ้ายังเล็กนัก..เด็กกว่าอ้ายกล้าเสียด้วยซ้ำ ข้าจึงมิได้พาไปด้วย”
   “ยินว่านครแห่งนั้นเคยเป็นเมืองหลวงมาก่อน…คงจะแตกต่างจากเมืองเรามิใช่น้อย”
   “แต่เดชะเราสิเป็นเผ่าจระเข้ เรือนของอ้ายโคจรจึงมิได้แตกต่างจากเรานัก”
   “….เช่นนั้นหรอกรึ…”
   เสียงหวานอ่อนลงพร้อมใบหน้าน่ารักที่เง้างอด คนมองขยับยิ้มกว้าง  
จับเชยคางมนให้ขึ้นมาสบตา
   “หากเจ้าทำตัวดี  ข้าสิพาไปชมเมืองด้วยตัวเอง”

   “จริงรึ!?” ดวงตาสีอำพันเป็นประกายระรื่นทันตา

“จ้าวพี่สัญญาแล้วนะ?”
   “ข้าให้คำมั่นเช่นนั้น”
   “จ้าวพี่ช่างมีเมตตานัก  นี่สิบารมีจ้าวโคจรถึงได้ขจรขจายไกลนัก---”
   “พอเลย  หากจะเยินยอประจบข้าจะมะเหงกให้ เอ้า  มาทางนี้”
   ร่างสูงตบตักตัวเองเบาๆ  ส่วนอีกคนกลับทำหน้าฉงนนัก  จนกระทั่งมือใหญ่ต้องรั้งลำคอระหงลงมานอน

แนบตัก  แล้วขยี้ศีรษะเจ้าตัวเล็กอย่างเอ็นดูระคนหมั่นเขี้ยวเหลือครณา
   “นอนเสีย  อ้ายน้องพันวัง การเดินทางไกลมันเหนื่อยและลำบากกว่าที่เจ้าคิดนัก”

   “แต่ข้ายังมิง่วงนี่…”
   “ใครสั่งใครสอนให้ต่อปากต่อคำกับข้ากันหืม?”นายเหนือหัวหมุ่นคิ้ว  แกล้งทำเป็นดุ

“จ้าวสั่งให้นอน  เจ้าก็ต้องนอน”
   เด็กหนุ่มหน้างอ  เบ๊ะปากหันไปทางอื่น

“ขอรับ…”
   อีกคนหัวเราะเบาๆ

“แหน่ะ  ยังมาเง้างอน”
   “ข้าจะไปงอนอะไรได้เล่า”
   “แหน่ะ  ยังมิยอมนอนดีๆอีก”
   “จ้าวพี่นี่..!  ข้าอยากจะตีปากท่านนัก”
   “เอ้า  นอนเสีย ข้าสิจะร้องเพลงกล่อมเจ้า”
   ชายหนุ่มขยับยิ้มหวาน  ค่อยบรรจงลูบผมอีกคนช้าๆ…ต้องยอมรับว่าน้องพันวังของเขาช่างน่ารักนัก ไม่ว่าใครเห็น

ก็อดที่จะเอ็นดูเสียมิได้
   ก่อนจะเอ่ยปากขับเพลงออกมาแผ่วเบา ดังเคล้าเสียงแจวเรือเป็นจังหวะนุ่มนวลไปเรื่อย  เด็กหนุ่มหัวเราะคิกคัก…ด้วยไม่เคยเห็นอีกคนร้องเพลงกล่อมนอนมาก่อน
พอเหลือบสายตาขึ้นไปสบกับดวงตาหวานล้ำนั่น..เลยยอมลดเสียงหัวเราะลงเสีย
   เสียทุ้มห้าวดังแผ่วๆท่ามกลางความเงียบงัน เป็นท่วงทำนองที่ไม่ได้เพราะพริ้งนักแต่กลับจับใจ  คนฟังปรือตาลงช้าๆ…กำลังจะปล่อยให้ร่างกายตัวเองหลับใหลด้วยการหลับตา  มันเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางที่แสนหอมหวาน  

โดยที่พันวังไม่เคยรู้เลยว่า…อีกมิช้านานนี้…ชีวิตของเขาคงได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

   “อ้ายบักโคจรนี่  ดูสิ  ใยไม่หาหมวกเหมิกผ้าคลุมหัวมาสวมให้น้องเล่า เดินทางตอนกลางวันเช่นนี้มิเป็นลมแดดเอาหรอกรึ!”
   นั่นเป็นคำทักทายแรกทันทีที่ขบวนเรือจระเข้แห่งพิจิตรเข้าเทียบท่า เท่านั้นแหละคนฟังทั้งหลายถึงกับหัวเราะ

คิกคัก  ไม่เว้นแม้แต่คนถูกด่าที่ระเบิดหัวเราะลั่น แล้วยกขาแทบจะถีบอีกคนไปเสียที
   “อ้ายนี่  ข้าสิเดินทางมาเหนื่อยยังจะมาว่า”

   “เจ้าเหนื่อย  น้องก็เหนื่อยมิแพ้กันดอก ผิวน้องแดงหมดแล้วเจ้ามิเห็นรึ?”
   “อ้ายนี่  ยังมิเลิกมอง น้องพันวังก็หาใช่จะอ่อนแอดั่งเจ้าเปรียบเปรย  หากเช่นนั้นคงไม่หอบหิ้วพาเดินทางไกลมาถึงนี่ดอก”
   “ถูกของจ้าวพี่โคจร  อ้ายพี่สิพูดจาประหลาดนัก” เด็กหนุ่มโพล่งขึ้นทันที ดวงหน้าขาวโดนแดดระเรื่อจับสี

ชมพูจางๆ

“ข้ามิได้อ่อนแอเช่นนั้นเสียหน่อย  แดดเพียงแค่นี้มิระคายผิว  ล่องมาตามลำน้ำสิเย็นชื่นใจ จักห่วงกระไรเล่า”
   “เอ้า” จ้าวบ้านแสร้งทำเป็นฉงน ทั้งรอยยิ้มกว้างยังฉาบอยู่บนใบหน้า

“ไม่ห่วงเจ้าแล้วจะให้ข้าห่วงหมาแมวที่ไหน จึงเฝ้าบอกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน…อ้ายโคจรดูแลเจ้าได้มิดีพอดอก”
   “ชะอ้าว  แล้วไอ้ที่เจ้าดูแลแม่หญิงบุหลันเล่า? จักมาว่าอะไรข้าได้?”
   “เมียก็เมียสิ  พันวังก็พันวัง  ใช่สิ่งเดียวกันที่ไหน”
   “ชิชะ  ข้าคงต้องเด็ดดอกไม้ไปซับน้ำตาให้อ้ายแม่หญิงแล้วกระมังเช่นนี้”
   น้ำเสียงนั้นพยายามพูดให้ติดตลก ซึ่งจ้าวแสนตาเองก็หัวเราะร่วนเช่นกัน  
ราวกับไม่ได้รับรู้ถึงสีหน้าประหลาดบางอย่างของไอ้คนพูดสักนิด
   “มาเถิด  พวกเจ้าทั้งสอง”

   มือใหญ่ผายไปด้านหลัง  
พยักเพยิดขึ้นเรือนหลัก
   “มายืนคุยตรงนี้เห็นจะไม่ดีนัก ขึ้นเรือนพักผ่อนก่อนเทอด…ข้าให้คนเตรียมน้ำท่าไว้พร้อม พวกเจ้าเองให้ปฏิบัติตัวตามสบาย  ที่นี่มิต่างจากบ้านอีกหลังหนึ่ง จระเข้ด้วยกัน…ข้าพร้อมต้อนรับเต็มที่อยู่แล้ว”

   เรือนหมู่หลังนี้กว้างขวางโอ่โถงนัก ด้วยรู้กันว่ากำลังของจ้าวแสนตาซึ่งสู้รบกับหมออาคมเป็นนิจนั้นยิ่งใหญ่กว่าชนพิจิตรเราเกือบเท่าเห็นจะได้ เสาไม้แดงหลักทุกตนดูราวกับถูกปลูกสร้างขึ้นมาใหม่มิช้านาน ยินว่าเมื่อไม่กี่ขวบปีที่ผ่านมาเพิ่งโดนจู่โจมหนัก  คงบูรณะก่อร่างสร้างตัวสมัยนั้น  ต่างกับเมืองสระหลวง ซึ่งอยู่มาเนิ่นนานไม่รู้

กี่ร้อยปี  สภาพจึงเป็นไม้เก่าขึ้นเทาสวย…แต่ก็มีบรรยากาศที่แตกต่างกันไป
   ขอบรั้วของเรือนคือหมู่แมกไม้ดอกครึ้ม เลยไปหน่อยจึงจะเป็นทุ่งนากว้างใหญ่  แตกต่างจากเมืองพิจิตรที่มีเพียงป่ารกกับท้องน้ำล้อมรอบ นั่นเป็นเหตุผลที่เด็กหนุ่มตื่นตานักทุกย่างที่ก้าวเดิน
และเป็นสิ่งที่จ้าวแสนตาแอบลอบมองด้วยรอยยิ้มเล็กๆด้วย
   “เจ้าสินอนเรือนนี้” ชายหนุ่มผิวเข้มชี้ไปที่เรือนรับรองหลังใหญ่หลังหนึ่ง

“ส่วนน้องพันวังจักได้นอนเรือนเล็ก”
   “เอ๋?  มิเป็นไรดอกอ้ายพี่แสนตา ข้าสินอนรวมกับเรือนบ่าวได้”
   “ใยจึงกล่าวเช่นนั้นเล่าคนดี เจ้าสิหาใช่บ่าวธรรมดาแล้วนะ”
   นิ้วกร้านเอื้อมมาหยิบจมูกเสียหนึ่งหนด้วยหมั่นเขี้ยว คนฟังย่นจมูกใส่  
รีบบอก
   “ก-ก็มิต่างกันมากมายดอก”

   “เอ้า  พวกเจ้านี่ขัดหูขัดตานัก เห็นใจข้าบ้างจักตายรึไร?” จ้าวโคจรว่า

“ไป  ไปพักผ่อนเสีย ข้าสิจะนอนหลับสักตื่น  ฝากบอกให้คนนำสำรับมาให้ด้วยล่ะ”
   เจ้าบ้านตัวดีหัวเราะ

“ขอรับท่านจ้าว”
   “บ๊ะ  เจ้านี่ก็กวนประสาท”
   “ใยจึงดูหงุดหงิดเช่นนั้นเล่าอ้ายโคจร ข้าสิเพียงหยอกล้อ  ทำหน้าบูดเป็นตูดลิงไปได้”
   คนฟังยกมือลูบหน้าลูบตาแล้วเสยผมขึ้น เขามองไปรอบๆ..ด้วยเหตุผลที่บ่าวคนสนิทรู้ดีว่าคิดอะไร
แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากแก้ต่างแก้ตัว
   “เดินทางไกลเพียงเหนื่อยนัก  สงสัยจะได้ไข้ขึ้น”

   “งั้นจงรีบไปพักผ่อนก่อนเถอด ที่ขอไว้จะรีบให้เด็กรับใช้เตรียมให้โดยพลัน”
   จ้าวโคจรพยักหน้าหนึ่งครั้ง  เปิดบานประตูเข้าเรือนไป  ตามด้วยพลขนของอีกจำนวนหนึ่ง เด็กหนุ่มยืนมองอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาอาวรณ์..จวบจนกระทั่งบ่าวรับใช้คนอื่นๆเดินออกมา…
แล้วประตูก็ปิดลงอีกครั้งอย่างเงียบงัน
   ..เช่นเดียวกับหัวใจคนมอง…

   “..เจ้านั่นสิดูแปลกนัก” อ้ายพี่แสนตากล่าว

“มิยิ้มแย้มสดใสเช่นเคย”
   “จ้าวพี่คงเหนื่อยกระมัง  เป็นเช่นนี้ตั้งแต่หัววัน” พันวังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะแก้ต่างให้อีกคนทำไม แต่เขาก็ทำ

“อ้ายพี่อย่าได้กังวลเลย”
   “มันเป็นเช่นนั้นมานานเท่าไหร่แล้วเล่า?”
   “ตั้งแต่อยู่พิจิตรกระมังขอรับ หลังฤดูอ้ายพี่มิค่อยสบอารมณ์นัก…เป็นเช่นนี้ทุกปี”
   เขาโกหก
..มันเป็นคำโกหกที่น่าเกลียดที่สุดที่เขาเคยได้ยินมา..
   “นั่นสินะ…อากาศร้อน…”แต่อ้ายแสนตามิได้ติดใจเอาความอะไร  ซ้ำยังยื่นมือมาโอบเอวบางให้เดินเคียงคู่

กันไปด้วย

“..บางคราข้าก็เป็น  จิชักชวนลงไปแหวกว่ายเล่นในลำหนอง ก็กลัวน้องจะเหนื่อยเกินไปเสียหน่อย”
   “อ้ายพี่นี่พูดจาน่าตีนัก  อย่างท่านลงไปเจ้ามนุษย์พวกนั้นคงจะตื่นตูมกันแน่”
   “จะว่าไปข้าก็มิได้คืนกลายมานาน เผลอๆอาจจะลืมวิธีว่ายน้ำไปแล้วก็ได้กระมัง”
   เด็กหนุ่มหัวเราะ  เอามือฟาดแขนไปทีนึง

“ตลกนักนะ”
   “เจ้าสุขข้าก็ดีใจ”
   “อ้ายพี่นี่พูดจาน่าตีนัก” เด็กหนุ่มย้ำคำเดิม

“ตัวจะแต่งงานอยู่รอมร่อยังมีหน้ามาหยอดคำหวาน อ้ายแม่หญิงมายินเข้าเห็นจะได้เข้าใจผิด  รังแต่จะรู้สึกแย่

ทั้งสองฝ่าย
   แสนตาผ่อนลมหายใจ “เจ้าเลิกพูดถึงอ้ายแม่หญิงเสียทีได้ไหม…”
   “ใยจึงพูดเช่นนั้นเล่า  อ้ายพี่หญิงเป็นเมี---”
   “ชี่”
   ปลายนิ้วหนึ่งกดลงมาที่ริมฝีปาก
บังคับให้อีกคนเงียบลง
   “เจ้าจักมิพูดจาขัดบรรยากาศสักหนมิได้รึ ข้าสิอยากย้ำกายในตัวเจ้าสักหนให้รู้ว่าข้าคิดถึงเนื้อเนียนนี่แค่ไหน

แต่เจ้าสิ…ดูท่าทางไม่เคยนอนฝันคิดถึงข้าเสียสักคืน”
   “บ-บัดสินัก!” เด็กหนุ่มแก้มแดงนัก ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนอีกคน

“นี่ก็หมดฤดูมาหลายวันหลายคืนแล้วไซร้  ใยยังจะหื่นมิรู้เวลา”
   “ข้ามิได้คิดอะไรเสียหน่อย  เพียงนึกถึงเจ้า..แล้วกายข้าก็ร้อนรุ่มขึ้นมา”
   “หุบปากบัดเดี๋ยวนี้!  อ้ายพี่สิติดคำท่านจ้าวโคจรมารึไร”
   “เช่นนั้นที่ไหน  อยู่กับข้า…ใยจึงทำหมางเมินเช่นนั้นเล่า”
   “อ้ายพี่กำลังจะแต่งงาน”
   ร่างโปร่งย้ำ  
ขืนกายออกมาได้สำเร็จ
   ดวงตากลมโตช้อนขึ้นสบตากับอีกคนนิ่ง มือสองข้างวางไว้บนอกกว้าง..แนบมากพอได้ยินเสียงหัวใจของอีกคน

ที่ยังคงเต้นเป็นจังหวะ  แตกต่างจากเขานัก…ที่รู้สึกคล้ายว่าดวงใจดวงนี้คงหยุดเต้นไปแล้ว
   “…เรา…มิควรทำเช่นนี้”

   
จระเข้มิใช่สัตว์ที่ถือคู่ครองผัวเดียวเมียเดียว
   แต่ด้วยอาศัยในร่างมนุษย์เสียนาน…วัฒนธรรมบางอย่างที่ซึมซับเข้าไปอย่างช้าๆทำให้อ้ายแสนตาเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น แม้จะไม่มากนัก  กระนั้นการถูกปฏิเสธทันทีที่ตนเข้าสัมผัสเช่นนี้ก็ทำให้ลำคอแห้งผาก
จนชายหนุ่มได้แต่อ้ำอึ้งมิรู้จะพูดสิ่งใดดี
   
ก่อนจะตัดสินใจพยักหน้า
   “ข้าขอโทษ”

   “…มิใช่ความผิดท่านดอก” พันวังกล่าว  ก้มหน้าลงเล็กน้อย

“ข้าสิปล่อยให้มันเกินเลยมาถึงขั้นนี้”
   “อย่าโทษตัวเองเลยน้องพันวัง”
   
ท่าทางสลดเช่นนั้นทำให้เจ้าของนามอ้ำอึ้งนัก
   “อ้ายพี่…”

   “พอเทอดคนดี” จ้าวแสนตายกยิ้มที่มุมปาก..แม้ดวงใจจะบอบช้ำมากก็ตาม

“ยิ่งเจ้าพูดข้ายิ่งรู้สึกผิดนัก  เจ้าไปพักผ่อนเทอด…นี่เรือนเล็กของเจ้า”
   ชายหนุ่มผายมือไปตรงหน้า  
เป็นเรือนหลังเล็กที่ตั้งอยู่ระหว่างกลางของเรือนรับรองและเรือนหลักใหญ่
   “นี่เป็นเรือนของอ้ายน้องพันตรา…ญาติผู้พี่ของเจ้า  แต่จนบัดนี้มิมีบ่าวรับใช้ใดเทียบเคียงได้…ข้าจึง…”

   จู่ๆคำพูดก็หายไปจากปาก  แสนตาหลับตาลง  
ผ่อนลมหายใจ
   “….ขอโทษ  ข้า…ข้ามิรู้จะพูดเช่นไร  มัน…”

   “ข้ารู้สึกเป็นเกียรตินัก” เด็กหนุ่มสวนขึ้นมา  ด้วยมิอยากรู้สึกกระอักกระอ่วนกับสถานการณ์เคลือบแคลงเช่นนี้ไปมากกว่านั้น

“ขอบคุณอ้ายพี่มาก   ข้า…ข้าคงต้องขอตัวไปพักผ่อนก่อน…”
   “จ้ะ  ใช่…เอ่อ  ตามสบายนะ”
   “ขอรับ”
   “หากขาดเหลืออะไร  จักให้เด็กรับใช้สรรหามาให้…ไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม”
   “เป็นความเมตตานัก  ขอบพระคุณขอรับ”
   เด็กหนุ่มก้าวเท้าถอยหลังไปที่หน้าประตูห้องช้าๆ ยังคงเก้ๆกังๆกับกระแสเสียงประหลาดของอ้าย

พี่แสนตาอยู่  กระนั้นเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้านี่เป็นสิ่งที่ถูกที่ควรแล้ว..พวกเขาสิควรเว้นระยะห่างกัน
   ไม่ว่าจะด้วยรู้สึกผิดต่อจ้าวโคจรก็ดี ต่ออ้ายพี่หญิงบุหลันก็ดี …แต่กับความรู้สึกข้างในของตัวเองเนี่ยสิ…
ที่หนักหน่วงกว่านั้นเยอะ
   “น้องพันวัง”

   
สุรเสียงแหบทุ้มนั้นเรียกขึ้นมาเสียก่อน
   “เรายัง…เป็นพี่น้องกันได้ใช่รึไม่?”


   คำถามนั้นทำให้คนฟังชะโงกหน้าออกมาจากประตูห้องอีกครั้งหนึ่ง แล้วพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มอ่อน
   “…เหมือนเช่นที่เคยเป็นมาขอรับ”

   “..เจ้าคิดเหมือนที่ข้ากำลังคิดอยู่รึไม่อ้ายรดิน”
    “ข้าว่าเจ้าคงคิดเรื่องเดียวกันอยู่เป็นแน่”
   “บรรยากาศนี่ช่างประหลาดนัก”
   “เจ้าพูดถูก”
   “แล้วอ้ายอินทรเล่ารู้สึกเช่นเดียวกันรึไม่?”
   เจ้าของนามเงยหน้าขึ้นจากปั้นข้าวเหนียวในมือ

“มีอะไรกันเล่า?”
   สองหนุ่มมองหน้ากัน  ด้วยรดินแห่งพิจิตรนครกับสหัสของชนอโยธยาเป็นเกลอกันมาแต่เล็ก มิได้ต่างจากท่านจ้าวทั้งสองของคนทั้งคู่  และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ทั้งสองคนมองหน้ากัน  
ด้วยมิรู้จะพูดเรื่องนี้ออกไปดีรึไม่
   “เจ้าพูดสิ”
สหัสชิงก่อน
   “ใยข้าต้องพูดเล่า  เจ้าสิเป็นคนเป็นบทนะ”

   “ก็ข้าเปิดให้แล้วอย่างไรเล่า”
   “อ้ายอ้าวเวรนี่”
   “พวกเจ้าสิตลกนัก  กำลังพยายามเล่นอะไรอยู่รึ?” อ้ายอินทรขมวดคิ้ว

“มีกระไรก็พูดก็รีบว่ามา  ก่อนข้านี่แหละจะเอาตีนยันเจ้า”
   “แค่ขู่ก็พอ  ใยต้องยกเท้าขึ้นมาเช่นนั้นด้วยเล่า!”
   รดินหน้าแหย  
หันไปมองรอบวงเสียหนึ่งหนก่อนก้มลงมากระซิบกระซาบ
   “จ้าวแสนตาก็ดี  จ้าวโคจรก็ดี  นับแต่มานี่ยังมิได้โผล่หัวออกมาด้านนอกสักตน พวกเจ้าสิมิรู้สึกประหลาดบ้างรึ?”

   “จริงสินะ” หนึ่งบ่าวกระซิบตอบ

“ข้าจักเพิ่งสังเกตบัดเดี๋ยวนี้”
   “ยามปกติจ้าวทั้งสองสนิทสนมกลมเกลียว อย่างคราที่แล้ว ณ เมืองพิจิตร…จ้าวสิลากคอข้าสองคนออกมาดื่มเหล้าตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน”สหัสเสริมต่อ

“ยามนี้ดูแปลกตายัง  จะครบรอบวันอยู่แล้วยังมิออกมาสรวลเสเฮฮาดังเช่นเดิม”
   “ข้าก็ว่าประหลาดแท้  น้อยครั้งนักที่ท่านจ้าวแสนตาจะรับสั่งให้นำสำรับขึ้นไปถึงเรือน”
   “เช่นกัน  ข้าก็ว่าท่านจ้าวแห่งข้าสิเงียบหงอยลงอย่างชัด”
   “ฤๅจะมีเรื่องผิดใจ?”
   “หากมีสิเหตุใดเกิด  จ้าวโคจรจะถ่อเดินทางมาฉลองครานี้ด้วยเหตุใดเล่า”
   “นั่นสิ”
   “บ๊ะ  ไอ้พวกนี้…”อ้ายอินทรแทรกขัด  แม้ตัวเองจะรู้สึกคลางใจมิใช่น้อยกับเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นก็ตาม

“จับกลุ่มนินทานายกันให้วุ่น  เรื่องของจ้าวท่านใช่บ่าวสู่รู้”        
   “กระนั้นก็ตามอ้ายอินทร  ข้าจักพูดเพราะห่วงท่านจ้าวเพียงเท่านั้น”

   “ถึงอย่างนั้นก็เทอด…”
   “แล้วเจ้าเล่าอ้ายพันวัง?”
   
ใครคนหนึ่งหันมาถามเข้า
   “เจ้าสิสนิทกับจ้าวทั้งสองมากที่สุด พอจะรู้เหตุอันใดบ้างรึไม่?”

   เด็กหนุ่มรู้สึกข้าวเหนียวในปากช่างหวานเหลือเกิน ถึงได้เพิ่งรู้ตัวว่าอมข้าวไว้เช่นนี้นานแค่ไหน  จึงรีบๆเคี้ยวแล้วรีบๆกลืนสิ่งนั้นลงคอ  ก่อนจะหยิบผ้าน้อยบนไหล่มาเช็ดหน้าเช็ดปากเสียหนึ่งที
แล้วหยิบเนื้อเค็มชิ้นน้อยมาถือเตรียมเอาไว้
   “ข้ามิรู้ดอก” เขาโกหกอีกครั้ง

“จ้าวพี่โคจรคงเหนื่อยจากการเดินทางกระมัง”
   “แล้วจ้าวแสนตาเล่า?”
   “อ้ายพี่คงตื่นเต้น  อีกมะรืนนี้จะเข้าหอ  มิใช่เรื่องแปลกอะไรดอก”
   ทุกคนหันไปมองหน้ากัน  
แล้วพยักหน้าเออๆออๆ
   คนพูดมองไปรอบๆ..พยายามควบคุมสายตาตัวเองไม่ให้เลิ่กลั่ก
แล้วเคี้ยงเอื้องชิ้นเนื้อเค็มช้าๆไม่มีมีสิ่งใดพิรุธไปมากกว่าคำพูดคำจาของตัวเอง
   ก่อนหัวข้อสนทนากลางวงข้าวนี้จะเปลี่ยนไป เด็กหนุ่มจึงผลุนตัวลุกขึ้นแยกออก  อ้างว่าสิไปเดินย่อยอาหาร แต่ก็นั่นแหละ..เพียงเขาปรารถนาจะอยู่เงียบๆ  และคิดทบทวนเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นอีกครั้ง  แม้ว่ามันจะซับซ้อนเหลือเกิน

ก็ตาม
   ร่างโปร่งเดินขึ้นกระไดมาถึงเรือนด้านหลัง จนกระทั่งเสียงหัวเราะจากเรือนบ่าวดังเพียงแค่ไกลๆ  เขาเงยหน้าขึ้นมองม่านฟ้า  วันนี้เป็นคืนเดือนมืด…ม่านผืนนั้นจึงคราคร่ำไปด้วยหมู่ดาวมากมาย  และ…ไร้ซึ่งแสงใดๆนอกจาก

เปลวไฟจากตะเกียง
   
จ้าวพี่โคจร
   
อ้ายพี่แสนตา
   
แม่หญิงบุหลัน
   ..
และ..ตัวเขา
   “...ดวงดาวเจ้าเอ๋ย  ขอให้ค่ำคืนแต่งงานนั้นมาถึงในเร็ววัน…”

   เสียงหวานภาวนา  สั่นพร่าจนจับสัมผัสได้…สองมือยกประนมที่กลางอก ดวงตากลมโตจับจ้องที่เม็ดดาวบนท้องฟ้า  
นั่งนับให้ครบเก้าสิบเก้าดวงตามคำที่เคยได้ยินมา
   “…ให้เรื่องเลวร้ายเช่นนี้…จบสิ้นลงเสียที…”

   “มีใครอยู่ตรงนั้นรึจ้ะ?”
   คำทักที่ทำเอาร่างโปร่งบางสะดุ้งเฮือกแทบเซล้ม
แต่ก็คว้าราวระเบียงเอาไว้ได้ทัน
   เด็กหนุ่มยันตัวขึ้นยืนไว้ได้สำเร็จ ก่อนจะรีบหันไปรอบตัวเพื่อหาที่มาของเสียง  ซึ่งไม่ได้ยากเลย  กลางชานเรือน

มีต้นโพธิ์ต้นใหญ่ตามความเชื่อของเรือนเก่าแก่  และคนพูดก็ยืนอยู่ใต้ต้นนั้นเอง  เธอกระชับผ้าคลุมไหล่ห่อตัวเองไว้เสียมิดชิด  เรือนผมสีดำสนิทถักเปียเคลียลงมาที่บ่าข้างหนึ่ง และเค้าหน้าที่ยังคงมิได้ต่างจากเดิมสักนิดนับแต่วันที่เธอจากมา   ไม่สิ  ถ้าให้พูดตามตรงแล้วพวกเขาก็ไม่ได้เจอหน้ากันเพียงสามสามอาทิตย์เท่านั้น   จะเปรียบเปรยก็เพียงความเจ็บปวดที่แสนยาวนานนัก   ..แต่กลับสั้นเพียงชั่วอึดใจ
   “สวัสดีขอรับอ้ายพี่หญิง”

   
เขารีบชิงยกมือไหว้ก่อน
   “เป็นเช่นไรบ้าง…มิได้เจอกันเสียนาน สบายดีรึไม่ขอรับ?”

   “สบายดีจ้ะ” เธอบอก หันไปมองรอบๆคล้ายกับกำลังหาอะไรบางอย่าง  แต่ก็พูดต่อไป

“ขอโทษที่ไม่ได้ลงไปรับเมื่อเย็นนะจ้ะ”
   “มิเป็นไรดอก  พักนี้อ้ายพี่หญิงคงยุ่งนัก”
   “ไม่สักเท่าใด...แล้วจ้าวพี่โคจรเล่า?”
   
เด็กหนุ่มชะงัก..แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น
   “จ้าวพี่พักผ่อนอยู่ในเรือนนอนขอรับ”

   “เช่นนั้นเอง…”
   “อ้ายพี่หญิงมีเหตุอันใดรึ?”
   คู่สนทนาอึกอักเล็กน้อย  แต่ก็ทำเพียงส่ายหน้าช้าๆ

“มิมีดอก  แค่ถามหาเท่านั้นด้วยมิได้เจอกันเสียนาน…แล้วเจ้าเล่า  สบายดีรึไม่?  เดินทางมาไกลคงเหนื่อยมิใช่น้อย”
   “มิเหนื่อยเท่าใดดอก  ข้าสิมิได้ทำสิ่งใด  นอกจากนั่งชมนกชมไม้ก็เพียงเท่านั้น”
   เธอยิ้มหวาน

“เป็นเช่นไรเล่า..เมืองอโยธยา  งามตาดั่งที่ใครต่อใครเลื่องลือรึไม่”
   ..อ้ายพี่หญิงก็เป็นอ้ายพี่หญิงคนเดิม ที่ทั้งอ่อนหวานอ่อนโยนกับตัวเขา  
ซ้ำยังแสดงอาการเอ็นดูเหมือนน้องชายอีกคนของนางก็มิปาน
   พันวังกร่นยิ้ม  ไม่แสดงอาการออกมาว่าฝืนใจ “อดีตเมืองหลวงนี้น่าอยู่นัก ท้องนาเต็มไปด้วยทุ่งข้าว  อากาศ

มิแปรปรวนเช่นเมืองเหนือ  เรือนหลักนี่ก็กว้างโอ่โถง  ข้าสินึกอิจฉาอ้ายพี่หญิงอยู่นิดๆ  แต่ติดตรงที่ข้าคงชอบอยู่กับบ้านที่โน่นมากกว่ากระมัง”
   “เจ้าพูดคล้ายคิดถึงบ้าน?”
   “ข้ามิได้คิดถึงบ้านเสียหน่อย!ข..ข้าก็แค่เปรียบเปรยเพียงเท่านั้น”
   หญิงสาวหัวเราะเบาๆ

“อย่าเพิ่งเสีย  ข้ากับจ้าวพี่แสนตายังมิได้พาเจ้าไปชมทั่วนครเลย อยู่ที่นี่สักพักหนึ่งก่อนย่อมได้”
   “แน่นอนสิขอรับ..งานรื่นเริงของจ้าวแสนตากับแม่หญิงบุหลันเห็นจะได้จัดเลี้ยงไปถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนดังคำเล่า

ใยข้าต้องรีบกลับให้พลาดโอกาสสนุกด้วย” เด็กหนุ่มยิ้มหวาน  แก้มแดงระเรื่อ

“ครานี้ข้าสิเตรียมเพลงขิมมาบรรเลงฉลอง  มิเคยเล่นถวายที่แห่งใด”
   “ข้ายินดีนัก  ขอบใจเจ้ามาก”
   “ข้ามิมีแก้วแหวนเงินทองจะมอบให้ หากอยากแสดงสิ่งนี้เพื่อแสดงความยินดีนัก  ถือเป็นกำนัลจากข้า”
   เด็กหนุ่มค้อมศีรษะลงเล็กน้อย หลับตา..เอ่ยปากบอกออกไป  
พยายามมากแค่ไหนเพื่อควบคุมไม่ให้เสียงตนสั่นสะท้าน
   “ข้าขอให้อ้ายพี่หญิงมีความสุข..กับอ้ายพี่แสนตา”

   …โปรดอย่าได้ระราน ‘ดวงใจ’
ข้าอีกเลย
-๖-
   กิ่งโลหะแตะกระทบเส้นสายที่ถูกขึงไว้หย่อนตึงไล่เรียงกันไปส่งเสียงหวานถี่ระรัวเป้นทำนองเพลงสรวล ดังกังวาลกระทบไปทั่วทั้งเรือน  เสนาะเพราะจนคนฟังหลายต่อหลายคนต้องหลับตาลงปล่อยให้เนื้อเสียงนุ่มนวลนั้นไหลผ่านโสตประสาท
คลอเคล้าเสียงขลุ่ยผิวแทรกเป็นจังหวะจากห้องหนึ่งสู่อีกห้องหนึ่ง
   เด็กหนุ่มเหยียดหลังขึ้นตรง  ขยับข้อมือซ้ายขวาพร้อมบรรเลงไปอย่างเชื่องช้า  เขานึกขอบคุณเส้นเสียงเครื่องดนตรีชั้นดีที่แสนหวานล้ำ  
ยามลงมือบรรเลงจึงได้ความไพเราะเช่นนี้แม้ไม่ได้มากด้วยความสามารถมากมายก็ตาม
   ทุกคนในที่นั้นนั่งกันสงัดนัก ปล่อยให้ห้วงทำนองไหลไปกระทบตามกิ่งไม้ไหว  
บรรยากาศเย็นสบายในยามเช้าชวนให้ต้องยิ้มออกมาเสียทุกผู้คน
   
จ้าวแสนตายังคงจับจ้องร่างโปร่งบางไม่วางตา
   
แม้กระนั้นแม่หญิงที่นั่งอยู่เคียงข้างก็มิปริปากขัดสิ่งใด
   จวบจนกระทั่งดนตรีบรรเลงมาถึงท่อนจบ หนุ่มสาวทั้งสองจึงได้ขยับตัวหันมาเผชิญหน้ากันท่ามกลางสักขีพยานทั้งหมด โดยมีจ้าวโคจรเนี่ยแหละที่นั่งเป็นประธานโดดเด่น  พันวังเงยหน้ามามองเพียงชั่วครู่  แต่ก็จับรอยยิ้มฝืดฝืนของนายเหนือหัวตนเองได้…ไม่เป็นไร…วันนี้…หลังจากที่ทุกอย่างเป็นไปตามประเพณี
ความทรมานจึงจะสิ้นสุด
   ครั้งเมื่อโน้ตตัวสุดท้ายได้ถูกบรรเลงออกไป เสียงลมหายใจของทุกคนก็ดังออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน  เด็กหนุ่ม

ยกมือขึ้นจากขิม  รวบวางไม้ไผ่ทั้งสองชิ้นวางไว้ด้านข้าง ปล่อยให้เส้นเสียงที่ยังคงสั่นอยู่นั้นกรีดร้องออกมาเพียง

ชั่วอึดใจ  จึงค่อยยกมือไหว้

   “ข้า อ้ายพันวัง แห่งพิจิตรนคร ขอถวายบทเพลงเมื่อครู่นั้นเป็นของกำนัลเนื่องในวันร่วมหอ แด่จ้าวแสนตา

และแม่หญิงบุหลัน
   เขาระบายยิ้มกว้าง  
ให้สุขด้วยจากหัวใจ
   “ขอให้ชีวิตคู่ของอ้ายพี่ทั้งสอง…งดงามดั่งเช่นในเนื้อเพลง”

   จ้าวแสนจะระบายยิ้มบาง

“ข้ายินดีนัก”
   “เพราะมากจ้ะน้องพันวัง  เจ้าประพันธ์เองรึ?”
    “ขอรับ” เด็กหนุ่มถูแก้มแดงของตนเองไปมา

“ข้ามิถนัดงานทางนี้นัก  แต่ก็ทำสุดความสามารถ”
   “ใยจึงถ่อมตนเช่นนั้นเล่า  ข้าสิบอกว่าไพเราะนัก  แรกนึกว่าเจ้ามีพรสวรรค์เสียอีก”แม่หญิงคนงาม

หัวเราะเบาๆ  กวักมือเรียกให้เด็กหนุ่มลุกขึ้นไปหา

“น้องพันวังสิช่างน่ารัก  มิน่าเล่าทั้งจ้าวพี่แสนตาและจ้าวพี่โคจรถึงได้เอ็นดูนักหนา”
    “พูดไปนั่น  แปลว่าอ้ายพี่หญิงมิเอ็นดูข้าหรอกรึ?”
    เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นเง้างอด
แต่ก็ลุกจากตั่งเข้าไปนั่งพับเพียบเทียบเคียงอยู่ด้านล่าง
    คนฟังหัวเราะอีกครั้ง  
ท่าทางมีความสุขนัก
   “เจ้าทำตัวเช่นนี้  จะมิให้ข้าเอ็นดูได้เยี่ยงไรเล่า”

   “ชิชะสองคนนี้  อยู่ไปมิวายจะลืมข้าด้วยกันทั้งคู่”
   อ้ายแสนตาหมุ่นคิ้วดุ  แต่ท่าทางก็ไม่ได้จริงจังอะไรอย่างที่ปากว่า  ซ้ำยังมีกระดกยิ้มมุมปากนิดๆประดับบนใบหน้าคมคาย วันนี้จ้าวแสนตาช่างดูมีราศีนัก  อาจเพราะแดดอ่อนๆยามเช้าที่จับต้องบนผิวสีเข้มนั่น
หรืออาจจะเพราะนี่คือจุดเริ่มต้นแห่งวันมงคลก็เป็นได้
   แม่หญิงบุหลันอึกอัก “พูดกระไรน่ะจ้าวพี่แสนตา  พันวังสิเป็นเหมือนน้องชายข้าแท้ๆ”

   “หากมินานน้องพันวังเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มหล่อกล้า เจ้าสิพูดคำเดิมอยู่รึไม่?”
   “บ๊ะ  น้องชายก็คือน้องชายสิขอรับ อ้ายพี่แสนตานี่ขี้หึงขี้หวงนัก” ร่างโปร่งเง้างอด ตีหน้าขาอีกคนไปเสียที

“พูดจาดูถูกข้ายังมิพอ  กล้าสบประหม่าอ้ายพี่หญิงเสียอีก”
   “เอ้า  นี่ก็ลูกอีช่างตี”แสนตาตรวญครางแกล้งทำเป็นเจ็บ

“ดูสิใครเป็นจ้าวเป็นบ่าวกันแน่”
   พันวังแยกเขี้ยว

“จ้าวชีวิตข้ามีเพียงจ้าวโคจรเท่านั้น  รู้แล้วยังจะทำ”
   “ป๊าด  ดูสิ ปากคอนี่น่าเอาขี้เถ้าอุดเสีย”
   “ฮ่าๆ  ข้าล้อเล่นหรอก”
   “เอ้า  ทางนั้นอย่ามัวเล่นหรอกกันอยู่เลย”
   ผู้สูงวัยที่สุดกล่าวออกมา  
แล้วรีบโบกมือปัด
   “หากชักช้าเกรงจะเสียฤกษ์เสียยามหมด เอ้า  พันวัง..เจ้าสิถอยมานี่”

   เด็กหนุ่มยังคงหัวเราะอยู่  แต่ก็คลานเข่าออกมาตามคำสั่ง..มองซ้ายมองขวา  จ้าวพี่โคจรก็นั่งอยู่มิได้ไกลตัวนัก

จึงเข้าไปนั่งพับเพียบอยู่ข้างม้านั่ง  แล้วหันกลับไปทอดมองพิธีตรงหน้า
   ทั้งสองหันไปกราบทิศใต้หนึ่งหน ทิศเหนืออีกหนึ่งหน  แล้วจึงหันมากราบหน้ารูปภาพของท้าวรำไพ พ่อผู้ให้กำเนิดจ้าวทั้งสองอีกหนึ่งหน  ก่อนหญิงสาวโน้มตัวกราบคู่ชีวิตที่หน้าตัก
ท่ามกลางเสียงระนาดตีคลอเบาๆสร้างบรรยากาศนั้นเอง
   เด็กรับใช้คลานเข่าถือหมอนสีแดงเลือดนกที่มีแหวนสีทองสองวงอยู่ตรงกลางไปให้ทั้งคู่สวมให้แก่กัน ท่าทาง

เก้อเขินมิน้อยด้วยกันทั้งคู่  ยินว่าอ้ายพี่แสนตามิเคยแตะเนื้อต้องตัวแม่หญิงบุหลันเลยสักหนด้วยซ้ำ ครานี้คงเป็นครั้งแรกที่คนทั้งคู่ได้ใกล้ชิดกันต่อหน้าประชาชีขนาดนี้
   ยามเสร็จสิ้นพิธีสวมแหวน  
อ้ายพี่สหัสจึงได้ตะโกนออกมาลั่น

   “หอมเลย! หอมเลย!”

   เท่านั้นแหละเสียงหัวเราะระร่วนก็ดังขึ้นมาจากรอบสารทิศ
ไม่เว้นแม้แต่พันวังก็ด้วย
   “หอมเลยอ้ายพี่แสนตา” เด็กหนุ่มร่วมตะโกนไปพร้อมกัน

“หอมเลย!”
   “หอมเลย! หอมเลย!”
   “หอมเลย! หอมเลย!”
   “หอมเลย! หอมเลย!”
   “พวกเจ้าน่ะเงียบไปเลย!”
   อ้ายแสนตาแก้มแดงจนปลั่ง  หันมาชี้หน้าใส่จระเข้ทั้งหลายเรียงตัว  แต่แทนที่หลายคนจะนึกกลัว
กลับทวีเสียงเฮฮาให้ดังขึ้นเพียงเท่านั้น
   ชายหนุ่มโคลงศีรษะไปมา  เหลือบสายตามอง ‘เจ้าสาว’ ของตนที่กำลังก้มหน้าเขิน จึงลอบผ่อนลมหายใจ…แล้วจับเชยคางมนให้เงยหน้าขึ้นมาสบตานิ่ง
แล้วบรรจงจุมพิตลงที่ข้างแก้มเนียนอย่างที่กองเชียร์ทั้งหลายเรื่องร้องนักหนา
   
เท่านั้นแหละเสียงวี๊ดวิ้วผิวปากจึงได้ดังหนักกว่าเดิมนัก
   “จ้าวแสนตาคนกะล่อน!”

   “ชี่!  หุบปากมิเป็นกันบ้างรึพวกเจ้าน่ะ”ชายหนุ่มว่า  ยกมือชี้ปราดไปทั่วด้วยกิริยาเดิม

“ดูสิ  แสดงกิริยาห่ามๆเช่นนั้น…แม่หญิงของข้าสิอายม้วนหมดแล้ว”
   “คนที่อายน่ะท่านจ้าวมิใช่รึ? ฮ่าๆ”
   “ยังจะปากมากมิรู้ดี”
   “เอ้า  หยุดล้อเล่นกันได้แล้วหนุ่ม”อ้ายอินทรปรบมือเรียกสติให้ทุกคนลดเสียงลง

“เสร็จพิธีแล้วจักได้ยกสำรับอาหารไปถวายพระแม่คงคาเสีย ส่วนนึงจึ่งนำไปถวายวัด  คืนนี้ยังมีงานเลี้ยง

ฉลองใหญ่  พวกเจ้าก็อย่าลืมกันจนเผลอสนุกสนานกันแต่หัววันเล่า ไป  ไปทำงาน”
   “ขอร้าบ”
   ใครสักคนลากเสียงยาว  
เท่านั้นแหละเสียงหัวเราะจึงได้ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
   พันวังเองก็ร่วมหัวเราะด้วย  
ความสุขบางอย่างเอ่อล้นออกมาจนแก้มแทบปริ..แม้กว่าครึ่งหนึ่งของหัวใจจะมิสู้ดีนักด้วยมัวแต่เฝ้าภาวนาให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปเร็วๆ
   ดวงตากลมโตมองกลับไปยังอ้ายพี่แสนตาและอ้ายพี่หญิง…ทั้งคู่ประคองมือทั้งสองไว้แนบกันพร้อมสบตาอยู่เสียเนิ่นนาน  เห็นเป็นข้อพิสูจน์ชัดว่าจ้าวแสนตาคงมิได้ถนัดรับมือกับผู้หญิงจริงดังคำเล่าลือ
แต่ก็ไม่ใช่ชายหนุ่มไร้เดียงสาเกินกว่าจะเข้าใคความหมายของการแต่งงาน..ที่จัดขึ้นเพื่อสืบเผ่าดำรงพันธุ์ต่อไป
   ไม่นานนักคนข้างตัวก็ขยับบ้าง เด็กหนุ่มละสายตาจากคู่สามีภรรยานั้นขึ้นไปหาจ้าวเหนือหัวของตน ร่างสูงลุกเดินออกไปท่ามกลางบ่าวไพร่ที่ทยอยเก็บข้าวของ ตระเตรียมงานสำหรับในช่วงมื้อเย็น   เขามิได้หายไปอย่างรวดเร็วจนมิอาจทักท้วง   
แผ่นหลังที่ค่อยๆเล็กลงนั่นไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆจนน่ากลัว
   พันวังเองก็มิรู้จะพูดอย่างไรดี…นอกจากทอดสายตามองจ้าวพี่ของตนเดินกลับเข้าห้องไปอย่างเงียบงันเช่นนั้น

แล้วจึงค่อยตัดสินใจลุกไปช่วยงานอ้ายอินทรบ้าง
   …จ้าวพี่คงเสียใจมิใช่น้อย…
   เด็กหนุ่มรำพึงรำพันในใจ  
หอบกระจาดปลาไปตากที่ศาลาด้านหลัง
   จริงอยู่ที่เขาภาวนาให้ทุกเรื่องมันจบสิ้นลงไปโดยเร็ว แต่เมื่อเห็นสีหน้าสลดสลัวท่าทางมัวหมองเช่นนั้น  
ก็อดที่จะนึกเสียใจกับความคิดของตนเองมิได้
   …ใยใจเจ้าถึงเอาแต่ใจนัก  มิห่วงความสุขท่านจ้าวหรืออย่างไร……ข้านี่ช่างเป็นบ่าวรับใช้ที่แย่เสียจริง…

   ว่าแล้วก็เงยหน้ามองไปยังเรือนหลับนอนของจ้าวโคจรเสียหนึ่งครั้ง เห็นชายม่านปลิวสไวจากขอบหน้าต่าง  

อากาศดีลมแรง เช่นนี้หวังว่าจ้าวพี่คงจะรีบอารมณ์ดีโดยเร็วพลัน  มิใช่เอาแต่ปั้นหน้าเรียบเฉย..ไม่ยิ้มไม่หือรือแบบที่เป็นหลายวันมานี้ …แบบที่คนมองไม่สบายใจเอาเสียเลย

   “จ้าวแสนตามีรับสั่ง  ให้เปลี่ยนรายการอาหารวันนี้เป็นแต่ของที่จ้าวโคจรชอบ”
   อ้ายอินทรกล่าวขึ้น  
ก่อนลอบถอนหายใจ
   “ยิ่งดูวันนี้ท่านจ้าวอารมณ์มิสู้ดีนัก หน้าตาอมทุกข์อย่างไรชอบกล”

   
..เงียบ..
   “ฤๅอาหารที่ใหม่นี่มิถูกปาก? อากาศวันนี้ก็ไม่ได้ร้อนนัก  เมฆเยอะออกจะสลัวเสียทั้งวัน”

   
..เงียบ..
   “อ้ายรดิน” ชายวัยกลางขึ้นเสียง

“ข้าสิถามเจ้าอยู่  บักนี่..ทำเป็นเมิน”
   เจ้าของนามกลืนกล้วยน้ำว้าลงคอ
แล้วรีบหันมาทำท่าหน้าตาตื่น
   “ชะอ้าว  เจ้าถามข้าอยู่กระนั้นรึ?”

   “ไม่ถามเจ้าคงถามกับเห็บไรแถวกกหูนี่อยู่กระมัง”
   “จะไปรู้เสียที่ไหน  ปกติท่านเคยเอาความอะไรมาถามความเห็นข้าบ้างเล่า…”
   “เอ๊ะเจ้านี่  นายตัวป่วย มิห่วงบ้างรึไร?”
   “ข้าสิทักไปตั้งแต่วันก่อน  พอมาตระหนักดูก็อาจเป็นเพียงอารมณ์ท่าน” รดินตอบ ตีท่าทางคร่ำเครียดมิแพ้กัน “แปลกที่ต่างเมือง คงหงุดหงิดนัก”
   “จะแปลกกระไร  จะมาพักเรือนนี้หนแรกก็มิใช่”
   “เอ้า  แล้วข้าจะหาเหตุใดมาอ้างได้อีกเล่า”
   อินทรฮึดฮัดไม่พอใจ  ด้วยรู้ว่าปรึกษาไปก็คงไม่มีใครพอจะให้คำตอบของคำถามนั้นได้

“ข้าสิเกรงท่านจ้าวจักเป็นหวัด  อีกไม่ช้านานอาจจะออกอาการสาหัส  ล้มป่วยไปมากกว่านี้ทางเราคงสั่นคลอนมิใช่น้อย…จะทำอย่างไรดีกันเล่า?”
   “อ้ายแม่พิกุลก็ไม่อยู่ให้ดูอาการ รึจะให้ข้าไปเรียนถามจ้าวแสนตาขอยารักษารึ?”
   “ข้าไปเอง”
   
พันวังโพล่งขึ้น
   “ข้าจักไปเรียนอ้ายพี่แสนตา  หากตามหมอหายูกยาได้ก็จักทำ”

   ว่าแล้วก็ลุกพรวดออกจากแคร่ไม้ไผ่ไม่รอฟังคำทัดทาน ร่างโปร่งวิ่งผ่านเรือนบ่าวรับใช้ไปยังเรือนใหญ่  
ซอยเท้าขึ้นกระไดตึกๆตักๆตรงไปหาอ้ายพี่แสนตาของตนถึงที่ห้อง
   ตลอดทั้งวันที่ผ่านมาจ้าวโคจรมิรับสั่งสิ่งใด สำหรับอาหารกลางวันก็ขอให้จัดไปถวายถึงเรือนนอน  ใครจะเข้าไปหาก็ไม่อนุญาตใดๆทั้งสิ้น  รวมไปถึงคนสนิทอย่างพันวังก็ด้วย เพราะตนเองยังรู้สึกผิดอยู่บ้าง..จึงไม่กล้าเง้างอนปั่นปึ่งใส่อีกคน
ไม่แม้กระทั่งจะเข้าไปอ้อนหาในยามนี้แบบที่ควรจะเป็น
   หลังจากทูลความเสร็จ  จึงได้หอบกันมาทั้งสองคนยังหน้าเรือนรับรอง  
พ่วงบ่าวใช้มาอีก2-3คนเป็นต้นเผื่อรองรับสถานการณ์
   เด็กหนุ่มเหลือบสายตามองจ้าวแสนตาเพียงเล็กน้อย ซึ่งร่างสูงกว่าก็พยักหน้าให้สัญญาณ  
ก่อนมือเล็กจะค่อยบรรจงเคาะประตูบานใหญ่นั้นเบาๆ
   
ก๊อกๆๆ
   
..ไร้เสียงตอบรับ..
   
ก๊อกๆๆ
   “จ้าวพี่ขอรับ” พอได้เอ่ยชื่อไป ถึงได้รู้ว่ามันเบากว่าที่ตนตั้งจะจะเอื้อนเอ่ยนัก “จ้าวพี่โคจรขอรับ”

   
..เงียบ..
   เมื่อไร้เสียงตอบกลับ  เด็กหนุ่มจึงหันกลับมามองคนข้างหลังอีกเสียรอบหนึ่งด้วยใบหน้าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

คนมองเลยสะดุ้งใหญ่  สาวเท้าเข้าไปใกล้แล้วลูบหัวปลอบ
   “มิเป็นไรดอกน้องพันวัง” แสนตากล่าว “จ้าวพี่ของเจ้าคงจะหลับอยู่กระมัง”

   “ข-ข้าเกรงว่าจ้าวพี่เป็นแบบนี้จะไม่สบายเอา..”
   “อ้ายโคจรสิแข็งแรงแค่ไหน  เจ้าน่าจะรู้นัก  ลมแดดอากาศเช่นนี้มิเป็นไรมากดอก เผลอๆตกค่ำจะได้ออกมาเริงรื่นหัวร่อ  เรียกบ่าวใช้มาปรนเปรอด้วยซ้ำไป”
   นั่นเป็นคำพูดที่พยายามทำให้ติดตลก
แต่คนฟังมิได้ยิ้มตามไปด้วย
   “ข้าขอโทษอ้ายพี่แทนจ้าวพี่โคจรด้วย”

   สองมือประนม  
ซบลงบนอกกว้าง
   “ทำให้เดือดร้อนเสียฤกษ์ในวันมงคล ฟ้าดินมิรู้จะเป็นเช่นไร”

   “พอเทอด  นี่เป็นเหตุสุดวิสัย”จ้าวแสนตายิ้มอ่อน

“ข้ากับแม่หญิงไม่ได้ติดใจเรื่องนั้นนัก  เกรงก็แต่กลัวอ้ายโคจรสิจะเป็นกระไรมาก  ไว้ดึกค่ำค่อยมาใหม่ หากเตรียมอาหารถูกใจคงจะได้ยอมก้าวเท้าออกจากเรือน”
   “ขอรับ..”
   คนมองผ่อนลมหายใจเบาๆ “มาเทอดคนดี  เหตุเพียงเท่านี้จะร่ำไห้ทำไมกันเล่า”
   ร่างโปร่งยกมือเช็ดน้ำตาที่ข้างแก้มทันที
ก่อนสูดลมหายใจฟืดกลั้นเสียงร้อง
   “เหตุใดจึงขี้แยเช่นนี้เล่า” อีกคนหัวเราะเบาๆ  โอบไหล่บางพาเดินลงไปที่ชานพักผ่อน

“มิมีสิ่งร้ายใดเกิดขึ้นดอก  พระแม่คงคาสิคุ้มครองเราอยู่  นั่น เห็นไหม”
   ชายหนุ่มพาอีกคนเดินมาที่มุมชาน แลเห็นคลองใหญ่ที่ตัดผ่านหน้าบ้าน  
จึงชี้ไปที่แพสำรับอาหารรวมถึงดอกไม้ธูปเทียนที่เพิ่งจัดพิธีบูชาพระแม่คงคาไปเมื่อเช้า
   “เหตุร้ายใดที่พึงจะเกิดจงปล่อยให้ไหลไปตามสายน้ำ นานหลายพันปีแล้วที่เราปล่อยให้เป็นเช่นนั้น”

   คนฟังทอดมองไกลออกไป  แล้วพยักหน้ารับคำนั้นอย่างเลื่อนลอย..หากค่ำคืนนี้จบลงเร็วๆเสียคงจะดี..

   และแม้จะเป็นเช่นนั้น..ก็ไม่เห็นวี่แววของจ้าวพี่โคจรจะออกมาจากห้องแม้ตอนตกเย็นพลบค่ำ
   บ่าวรับใช้ไปเคาะประตูก็มิมีเสียงตอบอันใด หนำซ้ำยังไม่มีใครหาญกล้าพอจะเปิดประตูเข้าไป  ด้วยกลัวว่ารบกวนจ้าวยามที่หงุดหงิดคงมิใช่เรื่องดีนัก  จ้าวแสนตาจึงสั่งให้เตรียมสำรับอาหารไปวางไว้หน้าประตูห้อง  หากสหายรักของตนตื่นขึ้นมาจะได้ทานเสียตรงนั้น  ไม่ต้องออกมาให้ลำบากใจ  
งานเลี้ยงในตอนค่ำจึงเริ่มโดยไม่มีจ้าวโคจร
   และแม้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ทุกคนจะดูตึงเครียดไม่น้อย แต่ยามที่เหล้ายาเข้าปาก  
บทสนทนาเฮฮาก็ออกมาเคล้าบรรยากาศให้ได้อรรถรส
   พันวังนึกขอบคุณฤทธิ์สุราอยู่มากกว่าพันรอบ ที่แม้จ้าวโคจรจะเสียใจ  
แต่อย่างน้อยเจ้าของงานอย่างอ้ายพี่แสนตาที่เขาผูกพันก็ยังสามารถยิ้มออกมาได้
   จนกระทั่งตกดึกค่ำ  
อ้ายพี่สหัสที่เริ่มได้ที่แล้วจึงหยอกล้อ
   “แล้วท่านจ้าวเล่าขอรับ  ดึกดื่นมืดป่านนี้แล้วยังมิคิดอยากจะขึ้นหอบ้างหรอกรึ?”

   เท่านั้นแหละคนถูกค่อนแคะจึงได้หยิบเม็ดถั่วมาปาใส่หน้า

“เจ้านี่ก็ปากมากไม่หยุด”
   “เอ้า  ฉไนจึงดุข้าเช่นนั้นเล้า”
   “จริงด้วยท่านจ้าว  คืนแรกของวันแต่งงานนั้นสำคัญนัก  ใยจึงไม่รีบเข้าไปเล่า”
   “ข้าสิอดใจรอเห็นจ้าวตัวเล็กตัวน้อยมาวิ่งเล่นอยู่แล้วนะ”
   “ไปเลย ไปเลย!”
   “เผด็จศึกเลย!”
   “ชะพวกเจ้า!  มานี่เลย ข้าสิจะเตะให้เรียงตัว” ร่างสูงลุกพรวดชี้หน้าทั้งหน้าแดงก่ำ

“ยกคำว่าล้อนายนี่บ่าวที่ไหนเค้าจักทำกัน”
   “แล้วใยจึงมิรีบไปเล่า?”
   
สหัสร้อง
   “ฤๅจะบอกจ้าวแสนตาผู้ยิ่งใหญ่แห่งอโยธยานคร…กลัวคืนแต่งงานกระนั้นรึ?”

   คำสบประหม่าเช่นนั้นทำเอาทุกคนหัวเราะร่วน  ก่อนชายหนุ่มจะตบเข่าฉาด  
พร้อมกระทืบเท้าไม่พอใจ
   “พวกเจ้าสิยังมีหน้ามาว่าข้าอีกกระนั้นรึ? บางตัวแม้แต่จะสัมผัสกายสาวยังมิเคยด้วยซ้ำ  จะตื่นประหม่าก็มิใช่เรื่องน่าประหลาดอะไรเสียหน่อย  ซ้ำนี่ยังเพิ่งพ้นฤดูมามินาน  จะให้ปลุกเร้าอารมณ์เข้าหอได้รวดรัดดั่งมนุษย์น่ะเป็นไปได้

ที่ไหน
   สารพัดคำอ้างพวกนั้นไม่ได้ทำให้เสียงหัวเราะร่าพวกนั้นลดลงเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังทวีลั่นมาขึ้นอีกด้วยซ้ำ  
บ่าวรับใช้คนนึงลุกขึ้นไปรินของเหลวบางแล้วเดินกลับมาถวาย
   คนจะกินหมุ่นคิ้วมอง

“อะไรน่ะ?”
   “ยาขอรับ” สหัสกล่าวตอบแทน

“ดื่มเสีย  จักได้คึกคักนัก”
   “บ๊ะ  อ้ายนี่…ปากมันน่า…เอ้า!  น้องพันวัง!เจ้าก็ร่วมชวนหัวไปกับเขาด้วยกระนั้นรึ!”
   พอโดนดุเด็กหนุ่มเลยหุบปากฉับ
แต่ก็กลั้นยิ้มเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
   “หามิได้ขอรับ  พวกข้าสิอดเป็นห่วงอ้ายพี่แสนตามิได้  แม้จะไม่ใช่การหลับนอนร่วมกันครั้งแรกกับอ้ายพี่หญิง

ก็มิได้หมายความว่าจะเลี่ยงการขึ้นหอได้เสียหน่อย” พันวังรีบพูด  พร้อมรอยยิ้มกว้าง

“ดื่มยาเสีย  แล้วทุกอย่างข้างในจะมาเองขอรับ”
   คนฟังชี้หน้าควับ  ขยับปากคาดโทษเป็นคำว่า ‘ข้าสิจะใช้กับเจ้าเป็นคนแรก’
   
..เคราะห์ดีที่ไม่มีใครเห็นตอนนั้น..
   เจ้าของผิวสีเข้มดูฮึดฮัดขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยอมหันไปคว้าขึ้นมากระดกเสียหมดแก้ว  
แล้วกระแอมกระไอท่ามกลางสายตาสู่รู้ของคนมอง
   “วู้ว~ เก่งมากขอรับ”

   “ทีนี้ก็ปล่อยไก่ลงชนได้แล้วเน้อ”
   “ฮ่าๆ”
   “พวกเจ้าสิจักหัวเราะกันอีกนานมั้ย? ลุกขึ้นมารำวงให้ข้าดูชมบัดเดี๋ยวนี้!”
   ชายหนุ่มขมวดคิ้วหมุ่น  หงุดหงิดจนเลิกด่าเลยออกคำสั่งแทน  แล้วก็นั่งลงที่เดิมเหมือนเคย
ก่อนจะหันมากระซิบกระซาบกับพันวังที่นั่งเทียบอยู่ตั่งข้างเคียงกัน
   “หากอ้ายโคจรมาด้วยคงจะสนุกมิเช่นน้อย ข้าสิภาวนาให้เจ้านั่นหายโดยไว”

   “ข้าก็เช่นกันขอรับ”
   “ฤๅเจ้าจักไปดูเสียหน่อย  เกลี้ยกล่อมตะล่อมให้มันออกมาทีจะได้รึไม่?”
   พันวังเลิกคิ้ว  หันไปสบตา

“แล้วถ้าหากข้าโดนตะเพิดออกมาเล่า”
   “อ้ายนั่นเคยขึ้นเสียงใส่เจ้าที่ไหน จะห่วงไรไป  น่า…เพื่อข้า”
   “แล้วอ้ายพี่มิไปเองเล่า  ข้าสิกลัวนายโกรธเป็นเหมือนกันนะขอรับ”
   “เอ้า!  เจ้านี่…นับวันยิ่งต่อล้อต่อเถียงกับข้านัก  จะบิดปากเล็กๆนี่เสียให้เข็ด”
   “โอ้ยไม่  พอแล้วขอรับ ข้าไปก็ได้”
   ร่างโปร่งรีบเอี้ยวตัวหลบมือที่ยื่นเข้ามา แล้วหัวเราะคิกคักระริกระรี้  ก่อนเสียงเชียร์ลุ้นให้จ้าวแสนตาเข้าหอไปเสียทีจะดังตามมา ครานี้สิมาเป็นวงร้องรำทำเพลงสนุกสนาน  ท่าจะเมาหนักขนาดเอาเรื่องจ้าวมาล้อเล่นกัน ซึ่งนายเหนือหัวตัวดีก็มิได้ว่าอะไร…นอกจากการอายม้วนต้วนให้ใครต่อใครผิวปากแซวกันต่อ ..ยังโชคดีที่อ้ายพี่แสนตา

มีความสุขนัก  คงวางใจไปได้หนึ่งเปราะ
   ความสัมพันธ์ของแสนตาและพันวังยังคงเป็นแบบเดิมเหมือนเช่นที่พวกเขาเคยเป็น คือเป็นห่วงเป็นใยกัน

ฉันพี่น้อง  แม้ว่าทั้งคู่อาจจะมีอาการเก้อเขินบ้างในบางเวลา…แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้แตะต้อง  ฉวยจับโน่นจับนี่เหมือนก่อน

หน้านี้ …เป็นระยะห่างที่ให้รู้สึกปลอดภัย แต่กระนั้นข้างในดวงใจก็ยังโหวงเหวงอย่างไรมิรู้
   ซึ่งประเด็นนั้นคงตกไปเมื่อเขาใกล้จะได้เดินทางกลับพิจิตรในอีกสองวันข้างหน้า คำมั่นที่จะพาเด็กหนุ่มไปเที่ยวชมอโยธยานครก็เป็นอันตกไป ด้วยวันหนึ่งยุ่งวุ่นวายนัก  
จะปลีกตัวจากเสียก็เห็นมิได้
   ซ้ำจ้าวโคจรยังมีอาการซึมเศร้าเช่นนี้อีก ใยจะจับลากไปเดินเล่นก็คงผิดที  แต่ความกังวลมากกว่าที่พันวังจะรู้สึกเสียดาย ..ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจ้าวพี่โคจรจะเสียใจขนาดนี้  ..
ยิ่งย้ำก็ยิ่งช้ำในอกนัก
   ก๊อกๆๆ

   ร่างโปร่งมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้อง ออกแรงเคาะประตูเป็นรอบที่เท่าไหร่มิรู้ของวัน
   
..ไร้เสียงตอบกลับเช่นเดิม..
   เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจสั้นๆ  นึกท้อแท้ในอกอย่างบอกไม่ถูก  แต่วินาทีที่กำลังจะกลับลำหมุนตัวเดินจาก..

ดวงตาปราดมองไปเห็นสำรับอาหารมื้อเย็นที่ยังคงวางอยู่หน้าห้องโดยไม่มีท่าทีว่าจะมีใครเคยแตะต้องมาก่อน  

จึงได้ฉุกใจคิด
   “จ้าวพี่” ว่าแล้วก้มลงไปจนเกือบติดประตู

“จ้าวพี่ขอรับ  พันวังเอง…ได้ยินรึเปล่าขอรับ?”
   
..เงียบ..
   “จ้าวพี่โคจรขอรับ!” เขาออกแรงทุบประตูห้องอีกครั้งอย่างกระวนกระวาย

“จ้าวพี่โคจร!”
   
..เงียบ..
   พันวังรู้สึกในอกเต้นแรงนัก  เขามองซ้ายมองขวาเผื่อหาคนแถวนั้นมาช่วย  แต่ก็เปล่า
นอกจากเสียงหัวเราะร่วนจากวงเหล้าที่อยู่ไกลๆแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรอีก
   จึงกลืนน้ำลาย  
แล้วตัดสินใจผลักบานประตูให้เปิดเข้าไป
   “ขออนุญาตขอรับ!”

   เช่นกัน   นอกจากเสียงเปิดประตูผลัวะนั้นแล้ว  
ไม่ได้ยินเสียงใดๆอื่นอีก
   กลางอกเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆอย่างห้ามไม่ได้ ดวงตาปราดมองไปรอบเรือนนอนที่ว่างเปล่า..จ้องดูทุกจุดมากพอจะรู้ว่าไม่มีใครอยู่ข้างใน ทั้งเตียงที่เรียบสนิทราวกับไม่มีใครเคยนอนมาก่อน  
หน้าต่างก็เปิดเอาไว้..ปล่อยให้สายลมพัดผ้าม่านปลิวสไวโบกพัดหัวใจให้เย็นชืด
   “จ้าวพี่…?”

   
เด็กหนุ่มรู้สึกยิ่งกว่าลำคอแห้งผาก
   “อ…” จึงได้หันมา แล้วออกวิ่งกลับไปที่เดิม

“อ้าย…อ้ายพี่..อ้ายพี่แสนตา..!”
   ร่างกายคล้ายจะสิ้นเรี่ยวแรงอย่างประหลาด ขนาดบ่อน้ำตายังซึมไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่  เด็กหนุ่มไม่อยากจะกระวนกระวายเกินกว่าเหตุ  แต่ทุกอย่างในร่างกายก็ดูคล้ายจะสั่นไปเสียหมด   แต่ยังไม่ทันจะวิ่งกลับไปยังตั่งนั่งที่ตนจากมา  
จึงได้ประจันหน้ากับขบวนจ้าวแสนตาพอดี
   ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองอย่างประหลาดใจ “มีกระไรรึน้องพันวัง?”

   “อ้ายพันวังเจ้าสิไปไหนมา”
   “มาช่วยกันส่งจ้าวแสนตาลงหอโดยเร็ว จะหมดวันเสียฤกษ์เสียยามซะหมด”
   บรรดาบ่าวรับใช้คนสนิทที่ตามมาด้านหลังเอ่ยด้วยน้ำเสียงรื่นเริง นั่นทำให้พันวังชะงักนัก  เขารีบยกมือ

เช็ดน้ำตาไปเสีย
   …งานมงคลอ้ายพี่แสนตา…จะเอาเรื่องร้ายๆไปบอกได้กระนั้นรึ…
   “พันวัง?” เจ้าบ้านเรียก..เสียงไม่สู้ดีนัก

“เจ้าร้องไห้กระนั้นรึ?”
   “มิ-มิมีอันใดขอรับ  แค่ฝุ่นผงเท่านั้น” เด็กหนุ่มรีบบอก

“อ้ายพี่รีบไปเทอด  อย่างที่อ้ายพี่สหัสว่า จะเสียฤกษ์เสียยาม…แม่หมอก็ดูเวลามาให้แล้ว ยาก็ดื่มเรียบร้อยแล้ว  

อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าอาจจะมีลูกจ้าวตัวน้อยมาวิ่งเล่นก็ได้
   “ชิชะ  พูดถูกใจเอาไปสิบเบี้ย!”
   “ไปเถิดขอรับ  เร็วเข้า จะชักช้าอยู่ไร”
   ว่าแล้วก็ออกแรงดันเบาๆ  จ้าวแสนตายังคงหมุ่นคิ้วประหลาดใจอยู่  
แต่ก็ยอมเดินไปข้างหน้าพร้อมหันไปเอ็ด
   “พวกเจ้านี่ก็จะลุ้นกระไรเล่า ก็ทำเหมือนที่เคยทำเป็นปกติ…มิใช่เรื่องประหลาดต้องมานั่งตื่นเต้นเสียหน่อย”

   “ที่ตื่นเต้นมันท่านจ้าวต่างหากเล่า!”
   “เมื่อครู่ยังกลัวคืนแต่งงานอยู่เลยแท้ๆ ฮ่าๆๆ”
   เด็กหนุ่มได้ฟังก็ยิ้มออก  เลื่อนตัวเองไปอยู่ที่สุดท้ายของขบวน…มองหาจระเข้จากบ้านเดียวกันอยู่มินาน อ้ายพี่รดินก็ตัวติดกับพี่สหัสนัก  
จะเข้าไปแทรกกลางก็เห็นจะไม่ได้
   “อ้ายพี่อินทร”

   เขารีบตรงไปสะกิด  
แม้เจ้าของนามจะตาปรือใกล้หมดสติเต็มทนก็ตาม
   “ข้า…ข้าหาจ้าวพี่ไม่เจอ”

   คำกระซิบนั้นทำให้คนมองโคลงศีรษะเบาๆ

“อะไรนะ?”
   “จ้าวพี่โคจร  ข้าหาจ้าวพี่โคจรไม่เจอ”
   “ท่านจ้าวน่ะรึ?”
   “ใช่  ข้าหาไม่เจอ”
   อินทรกลอกตา..คล้ายกับไม่เข้าใจนัก “แล้วอย่างไรเล่า?”
   “อ้ายพี่อินทร  ฟังข้าก่อนสิ” เด็กหนุ่มเขย่าแขน

“ใช่เพลามาเมามายมิได้สติกระนั้นรึ?”
   “ข้าไม่ได้…มาว….”
   คนฟังถอนหายใจ  ป้องปากชะโงกขึ้นไปกระซิบเร็วๆ

“อ้ายพี่อินทร!  ข้าสิหาท่านจ้าวมิเจอ มิรู้ไปอยู่ที่ซอกรูใด…อ้ายพี่มิคิดจะมาช่วยกันตามหาหรอกรึ?”
   คู่สนทนาโคลงศีรษะเล็กน้อยจากฤทธิ์สุรา แล้วพล่ามพูด

“ท่านจ้าวก็ส่วนท่านจ้าวสิ  เจ้าจักไปยุ่งกระไรเล่า อาจจะออกไปเดินชมนกชมไม้เปลี่ยนบรรยากาศก็เป็นได้…

เป็นข้า  คงไม่อุดอู้อยู่เพียงในห้องเท่านั้นหรอก”
   “แต่..แต่ทั้งวันนี้ตั้งแต่เสร็จพิธีเมื่อเช้า ข้าก็ยังมิเห็นจ้าวพี่เลยนะขอรับ”
   “คงมิอยากให้ผู้ใดเห็นกระมัง”
   เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว

“อ้ายพี่ก็พูดติดตลกไป  เรื่องนี้จริงจังนัก”
   คนมองยังคงไม่ได้สติเท่าใดนัก
แต่ก็ทำเพียงขยี้เรือนผมของอีกฝ่ายเชิงปลอบโยนเพียงเท่านั้น
   “เดี๋ยวท่านจ้าวก็กลับมา”

   ..ข้ารู้ ..
เพียงข้า...รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีนัก
   เด็กหนุ่มกลืนน้ำลาย  เหลียวซ้ายแลขวามองออกไปแต่ก็ติดอยู่ในขบวนคนเมาที่แสนรื่นเริงนี่ เขาคิดว่าจะหาโอกาสปลีกตัว..แต่ก็ไม่มี  
แถมอ้ายอินทรยังไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร

   เขาถอนหายใจ  
เดินเบียดแทรกไปหาอ้ายรดินที่อยู่เสียหัวขบวน
   “อ้ายพี่รดิน” มือเล็กรั้งแขนเอาไว้

“มากับข้าที”
   คนถูกเรียกชะงัก

“มีกระไรรึ?”
   “คือว่า….”
   ยังไม่ทันจะพูดจบ  เสียงโห่ร้องฮิ้วฮาก็ดังมาจากรอบทิศ  ร่างโปร่งสะดุ้งเฮือกทันที..ปรายสายตามองไปรอบๆด้วยรู้ว่านี่คงมิใช่สถานการณ์ที่เหมาะสมจะพูดนัก
เพราะตอนนี้จ้าวแสนตาได้มาถึงหน้าห้องอ้ายพี่หญิงเสียแล้ว
   หนุ่มผิวเข้มยกมือลูบหน้า  
แล้วกลับหลังหันมาบอก
   “พวกเจ้าสิไปให้พ้นเสีย  นี่ก็ได้เวลาของข้าแล้ว  ไป!”

   “บ๊ะ!  ทีเช่นนี้เล่าทำมาไล่”
   “ไว้วันได้ขาดพวกข้าแล้วท่านจะรู้สึก!”
   ว่าแล้วก็ระเบิดหัวเราะกันเสียยกใหญ่ แต่อ้ายพี่สหัสกลับกวักมือไล่ๆ  
เป็นอันรู้กันว่าการละเล่นล้อเลี่ยนเช่นนี้จบลงได้แล้ว
   ทุกคนเริ่มทยอยแยกย้ายกันไป  หลายกลุ่มกลับไปนั่งที่ตั่งวงเหล้าข้างล่าง  บ้างทนความง่วงและพิษสุราไม่ไหวจึงเดินกลับไปที่เรือนบ่าว มือของพันวังยังคงเกาะแขนอ้ายพี่รดินแน่น  เขาต้องหาโอกาสพูด  
แต่เหมือนจะยังไม่ใช่เพลานี้ชอบกล
   “หากมีอะไรให้ข้ารับใช้  ตะโกนเรียกได้ทุกเมื่อเลยนะขอรับ” สหัสกล่าว ยักคิ้วหลิ่วตาให้เสียหนึ่งที “พวกข้าสองคนจะนั่งจิบเหล้าเฝ้าอยู่เสียหน้าเรือน”

   “ไปไกลๆเลยไป”
   “โถ่ท่านจ้าว  ข้าสิคอยปรนนิบัติอย่างไรเล่าขอรับ”
   “อ้ายพวกนี้  รอให้ฟ้าสางจักจับเฆี่ยมเสียให้หมด”
   ชายหนุ่มคาดโทษเอาไว้ก่อน  
แล้วจึงหันไปเคาะประตูบานใหญ่ตรงหน้า
   
ก๊อกๆๆ
   …
ไม่มีเสียงตอบ
   จ้าวแสนตาหมุ่นคิ้วเล็กน้อย  เขาออกแรงผลักบานประตูเบาๆ  เพียงมันไม่แม้แต่จะขยับ ด้วยถูกลงกลอนเอาไว้จากด้านใน  สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องประหลาดนัก..หากเป็นตัวเมียเพียงตัวเดียวที่อาศัยอยู่บนเรือน
การป้องกันตัวเช่นนี้จัดเป็นเรื่องปกติ
   “อ้ายแม่หญิง” เสียงทุ้มกล่าวเรียก น้ำเสียงกลั้วหัวเราะเล็กน้อย “ข้าเอง จ้าวพี่แสนตาของเจ้า…ใยจึงลงกลอนประตูกั้นข้าไว้เช่นนี้เล่า”

   
ก๊อกๆๆ
   “อ้ายแม่หญิง  เปิดประตูเถิด”

   
ก๊อกๆๆ
   …วินาทีนั้นอะไรบางอย่างวิ่งเข้ามาจับอยู่ที่ขั้วหัวใจ…

   เด็กหนุ่มหายใจแรงหนัก  ความรู้สึกไม่สู้ดีเช่นนั้นเร่งให้รีบรุดตัวไปข้างหน้า  เขาตรงไป  
พยายามผลักประตูให้เปิดออกจนมันดังโครมคราม
   “น้องพันวัง  เจ้าทำอะไรน่ะ?”

   จ้าวแสนตาตกใจนึก  จึงพยายามรวบมือไว้  ทว่าเจ้าของนามกลับไม่แม้แต่จะหันมาเผชิญหน้าหรือรับฟัง ด้วยสังหรณ์นั้นพาลให้ใจเต้นตุ่มๆต่อมๆไปเสียหมด  เด็กหนุ่มโถมตัว  
ด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อกระแทกให้ชิ้นไม้สลักอันนั้นหลุดออก
   
ปึง! ปึง!
   “อ้ายพันวัง!  เจ้าสิทำอะไรอยู่!?”

   “ออกมานี่เลย  ฤๅจะเป็นบ้าไปเสียหมด นั่นห้องอ้ายแม่หญิงบุหลันนะ”
   
ปึง!
   โดยไม่ฟังคำทัดทาน…
ประตูเปิดออกในที่สุด
   และสิ่งที่อยู่ด้านในทำให้ทั้งสี่คน ซึ่งประกอบไปด้วย จ้าวแสนตา  อ้ายรดิน อ้ายสหัส  
และพันวังนั้นถึงกับนิ่งงันไป
   ร่างบอบบางยังคงกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ขณะที่รั้งผ้าแพรผืนน้อยขึ้นมาห่มกายเปลือยเปล่า  เธอจ้องมองมาที่คนทั้งสี่ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก  เจ้าหล่อนไม่ได้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมจะรับแขกนัก  นั่นหมายถึงผิวสีน้ำผึ้งที่ขึ้นแดง

ระเรื่อ  และเรือนผมสีขนกายาวยุ่งเหยิงเช่นนั้นด้วย
   หากเป็นในกาลปกติ  จ้าวแสนตาคงหันมารับสั่งให้อ้ายบ่าวสี่ตนที่เหลือไสหัวไปเสียให้พ้น แต่เพราะครานี้เรื่อง

ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปกตินัก..มีใครอีกคนอยู่ในห้องนั้นด้วย
   ร่างสูงโปร่งยืนอยู่ที่ข้างเตียง สองมือยังคงรวบผ้านุ่งช่วงล่างที่นังสวมใส่ได้ไม่เสร็จดีนัก ดวงหน้าคมคายมิได้แสดงสีหน้าเช่นไรนอกจากความกระอักกระอ่วนใจ ประกายตาสีอำพันคู่นั้นอาจจะเกิดจากความรู้สึกผิด  ความเสียใจ  

หรืออาจจะเป็นก้อนตะกอนความหฤหรรษ์ที่ยังคงตกค้างอยู่เมื่อครู่ก็เป็นได้
   จากที่เคยเย็นเฉียบจับขั้วหัวใจ ด้านในกลับร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างเสียมิได้  ครึ่งหนึ่งของน้ำตาที่ไหลอาบที่อาจจะเป็นความเสียใจ  อีกครึ่งอาจจะเป็นเพียงความผิดหวัง  และไม่ว่ามันจะไหลด้วยเหตุใดนั้น…
ก็ไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด
   “…จ้าวพี่โคจร…”

   …อะไรบางอย่างในอก…ได้ขาดหายไป…

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
338
พลังน้ำใจ
31588
Zenny
66215
ออนไลน์
8138 ชั่วโมง
โพสต์ 2014-12-8 02:04:49 | ดูโพสต์ทั้งหมด

มหาลัยซีเนียร์

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
2573
Zenny
583
ออนไลน์
440 ชั่วโมง
โพสต์ 2015-3-26 11:00:14 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณคร้าบ

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
19415
Zenny
2198
ออนไลน์
1152 ชั่วโมง
โพสต์ 2017-2-20 04:47:58 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณมาก

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
7
พลังน้ำใจ
40786
Zenny
35240
ออนไลน์
3552 ชั่วโมง
โพสต์ 2017-2-24 05:20:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด
สนุกจริงๆครับ น่าติดตามมากมาย
 นักศึกษาภาคพิเศษ (M.D.A)
ปริญญากิตติมศักดิ์
โพสต์ 2018-5-3 04:52:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณครับ

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
19666
Zenny
3767
ออนไลน์
2517 ชั่วโมง
โพสต์ 2018-5-3 12:27:11 | ดูโพสต์ทั้งหมด

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
39048
Zenny
1615
ออนไลน์
3169 ชั่วโมง
โพสต์ 2018-10-21 13:15:40 | ดูโพสต์ทั้งหมด

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
30190
Zenny
21874
ออนไลน์
2288 ชั่วโมง
โพสต์ 2019-4-23 10:58:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม

ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2024-11-24 16:50 , Processed in 0.183490 second(s), 26 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.8

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้