tanya โพสต์ 2014-12-3 09:55:48

จ้าธารา

คัดลอกมาครับ

-๗-
   “…จ้าวพี่โคจร…”
   มันคือความเงียบงัน…ยิ่งกว่าความเงียบทั้งหมดที่เคยเผชิญมาก่อนในชีวิต
   หลังจากน้ำเสียงสั่นระริกที่เปรยเรียกออกไปอย่างลืมตัวเช่นนั้น ก็ไม่มีใครแม้แต่จะขยับตัวหรือส่งเสียงอันใดอีก
ทั้งสี่คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ทำสีหน้าราวกับมีใครเอาน้ำเย็นมาสาดโครมและยืนแน่นิ่งอยู่เช่นนั้นจ้องมองตรงไปยังสถานการณ์ด้านหน้ายกเว้นเพียงหยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มใส หลั่งรินอย่างไร้ซึ่งความหมาย
   อ้ายรดินและอ้ายสหัสมองหน้ากัน ก่อนทั้งคู่จะเป็นฝ่ายขยับตัวก่อน…พวกเขาเปลี่ยนมายืนห่างกัน
สองช่วงแขนโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไม ไม่ว่าใครตรงนั้นก็คงอยากถามหาเหตุผลออกมาแต่…ไม่มีคำตอบไม่ว่าใครตรงนั้นก็ให้คำตอบของเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้
   และในเพลาต่อมาเด็กหนุ่มจึงได้เบือนสายตาหันไปมองอ้ายพี่แสนตาของตนที่ข้างตัว
   ดวงหน้าคมเข้มไม่แสดงสีหน้าใดๆนอกจากมองตรงไปข้างหน้า หันไปมองคนที่เคยเป็น ‘เพื่อนรัก’ ครั้งหนึ่ง…
แล้วปลายสายตามอง ‘ภรรยา’ตัวเองอีกครั้งหนึ่งกิริยาเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เชื่องช้า…กระทั่งแผ่นอกแกร่งก็ไม่มีวี่แววของการกระเพื่อม ราวกับว่าจระเข้ตนนี้ลืมแม้กระทั่งเวลาหายใจของตัวเอง
   จ้าวโคจรขยับตัวตามก้าวเท้าเข้ามาหา..อย่างเชื่องช้าแต่อีกคนกลับยกมือขึ้น หมายมาดให้เพื่อนรักหยุดอยู่ตรงนั้น
   มันเป็นการกระทำที่พันวังมองแล้วเผลอหลั่งน้ำตาออกมาจนเปียกแก้ม ผิวหน้านุ่มค่อยแปรเปลี่ยนเป็นเกล็ดแข็งตามร่องรอยความชื้น กระนั้นเขาก็ห้ามไม่ได้ต่อให้ต้องร่ำไห้จนร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นจระเข้เสียเต็มตัวเขาก็ห้ามมิได้
   ตลอดเวลาที่ผ่านมา…จริงอยู่ที่เขารับรู้ความรู้สึกที่อ้ายพี่โคจรมีต่อแม่หญิงบุหลัน รับรู้…และเก็บซ่อนไว้
ภายในเสมอปกปิดความจริงด้วยความภักดี แม้จะหึงหวงมากมายแค่ไหน…ก็ต้องยอรับว่าตนต่ำทรามขนาดยอมร่วมรักกับจ้าวต่างแดนเพื่อระบายความทุกข์ในอกได้ แย่ถึงขนาดเอาความรู้สึกของอ้ายพี่มาล้อเล่นเช่นก่อนหน้านั้น
   แต่ถึงกระนั้นเขาก็ตั้งตัวได้ ด้วยเพราะอีกฝ่ายกำลังจะแต่งงาน..ไม่ควรมีภาระพันผูกกับนายกำนัลต่างถิ่น พวกเขาคิดว่าเรื่องทั้งหมดใกล้จะจบลงด้วยดี…ด้วยคืนแต่งงานที่คงทำให้สถานการณ์เคลือบแคลงเช่นนี้มันจางหายลงไป

   ….แล้วนี่อะไร? …….สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้…คืออะไร?
   ที่แย่ไปกว่านั้น…กับอ้ายพี่แสนตาที่แสนดีของเขา………
   พันวังไม่รู้ว่าตัวเองเผลอทำสีหน้าเช่นไรออกไปให้จ้าวเหนือหัวของตัวเองเมื่ออีกฝ่ายทอดมองมา เขารู้แต่เพียงว่าน้ำตานี่ทำให้ภาพพร่าเลือนเหลือเกินขาที่ยืนอยู่ก็ซัดเซไร้เรี่ยวแรงแทบจะล้มเสียตรงนั้น
   ขนาดเขายังเป็นเช่นนี้…แล้วอ้ายพี่แสนตาเล่า
   ..หนึ่งก็เพื่อนรักส่วนอีกหนึ่งก็ภรรยาของตัวเอง..
   ในอกเขาเสียใจและผิดหวัง แต่ความรู้สึกที่แทรกขึ้นมายิ่งกว่านั้นคือความสงสารคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขารู้ว่าตัวเองเจ็บแค่ไหนและ..รู้ว่าคนตรงหน้าเจ็บทบทวีมากกว่าเพียงใด แม้ดวงหน้านั้นจะไม่แสดงอะไรออกมาเลยก็ตาม
   “พวกเจ้า….”
   นาน…นานมากพอที่จะได้คิดทบทวนถึงเรื่องต่างๆ ถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดมาแสนตาสูดลมหายใจ หยดน้ำหนึ่งไหลรินออกจากดวงตา
   “…ออกไป…จากบ้านข้าบัดเดี๋ยวนี้…”
   คืนเดือนมืด
   จากเพลาที่ทุกอย่างใกล้จะมืดสนิท กลับสว่างไสวขึ้นอีกครั้งด้วยไฟจากตะเกียงน้ำมันตามจุดต่างๆ เสียงสับเท้ากระทบพื้นไม้ดังไปทั่วเสมือนเป็นเวลาฟ้าสางก็มิปาน คล้ายกับเรือนไม้หลังนี้กำลังตื่นขึ้น…ตื่นขึ้นผิดเวล่ำเวลา
   ประตูเรือนบ่าวรับใช้เปิดผ่างออก พร้อมเจ้าของดวงตาข้างเดียวจึงได้กล่าวเข้าไปในห้องแล้วหยิบค้อนมาฟาดระฆังด้านหน้าเรือนให้ดังเหง่งหง่างสั่นสะเทือนอยู่นาน
   จระเข้น้อยใหญ่พากันผุดลุกเงยหน้าขึ้นมาจากที่นอนเรียงรายกัน แล้วถามเสียงไม่สร่างเมา
   “อะไร?มีเรื่องอะไรกันรึ!?”
   “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
   “ศัตรูบุกรึไร?”
   “มิใช่ดอกพวกเจ้าสิเตรียมตัวกลับเมืองพิจิตรได้แล้ว”
   คำตอบสั้นๆเช่นนั้นทำให้คนฟังทุกคนเลิกคิ้ว หันมาสบตากันอย่างมึนงงนัก
   “มีเหตุอันใดเกิดขึ้นรึ?”
   “โปรดอย่าซักถามนัก” รดินกล่าวตั้งหน้าตั้งตาเก็บสัมภาระของตัวเอง
“เก็บข้าวของเสีย เราจะออกเดินทางจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”
   “อ้ายรดิน…”
   “อย่าถามข้า”
   เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ปรับให้เรียบนิ่งมากที่สุด
   “…ได้โปรด”
   จนทุกคนที่กึ่งหลับกึ่งตื่นในเรือนบ่าวจำต้องพยักหน้าเข้าใจ แล้วเริ่มต้นปฏิบัติตามอย่างเสียมิได้ใครบางคนจุดไฟที่กลางเรือน แสงสว่างเพียงเล็กน้อยเหล่านั้นก็มากพอจะให้ทุกคนกวาดข้าวของส่วนตัวลงถุงย่าม..ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เตรียมตัวพร้อมแน่นอนนัก
   กลุ่มหนึ่งไปเตรียมนำเรือเข้าเทียบท่า อีกกลุ่มหนึ่งได้รับอนุญาตให้ขนบรรดาอาหารออกจากครัวแม้จะไม่มาเป็นลักษณะของปิ่นโตเรียบร้อยแต่ก็พอประทังความหิวโหยระหว่างทางไปได้
   “เกิดเหตุอันใดขึ้นรึ?”
   “มิรู้สิ..ถามข้าแล้วข้าจักไปถามผู้ใด”
   “แล้วท่านจ้าวเล่าไปไหนเสีย”
   “เดี๋ยวก็คงมากระมัง”
   “ง่วงนัก…นี่คิดเช่นใดจึงจะออกเดินทางเวลานี้กันเนี่ย”
   “ข้าสิยังมิได้หลับสักตื่นจะหอบเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปถึงพิจิตรได้เล่า”
   คำถามมากมายดังขึ้นมาเซ็งแซ่ระหว่างเตรียมการ ไม่นานเรือก็ทยอยกันเข้ามาเทียบท่าพร้อมๆกับลำเลียงลูกเรือลงไปประจำตำแหน่ง
   อ้ายรดินแบกอ้ายอินทรที่หลับใหลเมาไม่ได้สติโยนขึ้นเรือไปก่อน แล้วเป็นคนบังคับการเองทั้งๆที่รู้ดีว่า
ความรู้สึกตน…ก็มิได้ปกตินัก ไม่ต่างจากใครต่อใครเลยด้วยซ้ำแต่ในเพลาเช่นนี้ใครเล่าจะสั่งการได้เช่นปกติ
   ..วาระที่เห็นจ้าวของตัวเอง…กระทำการเช่นนั้น..
   หากตนเองเป็นจ้าวแสนตาคงได้เข้าไปต่อยเสียหนึ่งหมัด ซ้ำยังไม่ฆ่าให้ตายก็ดีถมเถไปแต่ด้วยตนเป็นเพียงบ่าวรับใช้อีกนายหนึ่ง จะว่ากระไรได้เล่า
   …หากนึกอย่างเห็นแก่ตัวก็เพียงแค่ทีนี้ชาวเราก็มิต้องกังวลเรื่องการสืบเผ่าพันธุ์อีกต่อไป เพียงแค่ ‘ขโมย’
นางกลับมาเพียงเท่านั้นขโมยด้วยวิธีที่ย่ำแย่ที่สุดมากพอจะทำลายความรู้สึกและสัมพันธ์อันดีที่มีมาตลอดหลายสิบปีนี่
   ชายหนุ่มทอดสายตาที่เหลือเพียงข้างเดียวของตัวเองขึ้นไปยังบนเรือนใหญ่ ระหว่างโบกมือไล่พวกบ่าวรับใช้ตนอื่นลงเรือกันไปเสียก่อน
   …ฤๅไมตรีอันดีจะขาดสะบั้นลงเพียงเท่านี้… …พิจิตรและอโยธยา…
   ฝ่ายพันวังนั้นยังอยู่บนเรือน เขาเป็นคนปิดประตูห้องอ้ายแม่หญิงบุหลันด้วยมือตัวเอง
   เด็กหนุ่มหยุดที่จะสะอึกสะอื้น หยาดน้ำตาทุกหยดแห้งลงไปอย่างง่ายดายเหลือเกินแล้วจึงหันกลับมาเดินตามชายหนุ่มเจ้าของผิวสีเข้มไปแทนทิ้งให้จ้าวโคจรและแม่หญิงบุหลันแต่งกายให้เรียบร้อยอยู่ในห้อง ด้วยเวลาที่ไม่รู้ว่าอ้ายพี่จะให้มากมายเท่าไหร่
   โดยไม่ต้องเดาเลย…จ้าวแสนตาเตรียมจะเดินเข้าห้องด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆเหมือนเช่นก่อนหน้านี้
   …และภาพที่เห็นนั้นช่างเจ็บปวดนัก…
   “อ้ายพี่แสนตา”
   คำที่เรียกนั้นทำให้เจ้าของนามชะงักอยู่ตรงประตูห้อง อีกคนไม่ได้หันมา
   “…มีกระไรรึ…น้องพันวัง?”
   เสียงที่เอ่ยทั้งแหบแห้งและสั่นพร่า แผ่นหลังกว้างสีน้ำตาลนี้ดูอ่อนแอยิ่งกว่าที่เคยเห็นครั้งไหนๆ กระนั้นก็ยังรักษากระแสเสียงอ่อนโยนที่ใช้พูดกับเขาเป็นประจำไว้ได้
   ร่างโปร่งสูดลมหายใจสะอึกก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหา
   “…เป็น…อะไรรึเปล่าขอรับ?”
   อีกฝ่ายหลับตาลงยกมือกดนวดที่หว่างคิ้วของตัวเอง..ทั้งน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “จะเป็นกระไรเล่าแค่เห็นเพื่อนรักกับเมียร่วมเตียงกัน…มิใช่เรื่องที่น่าหนักใจอะไรนักดอก”
   “อ้ายพี่….”
   “ข้าสิ…ข้าผิดเอง…”
   เขายังคงพูดต่อไปเสียงทุ้มแหบสั่นไหวขึ้นเรื่อยๆ
   “ข้าสิบอกไปแล้วว่าอ้ายแม่หญิงมีสิทธิเลือก มีสิทธิที่จะรักใครเลือกใคร หรือแม้กระทั่งร่วมหลับนอนกับใคร
ข้าสิให้โอกาสนางเสมอด้วยเป็นตัวเมียที่เหลืออยู่เพียงไม่มาก…นั่นก็ล้ำค่านักแล้ว”
   “อ้ายพี่…”
   “ช่างน่าขันนัก” ชายหนุ่มนึกขำ แต่นั่นช่างฝืนเหลือเกิน ”ทั้งที่บางที..ข้าคิดว่าหากอ้ายแม่หญิงตั้งท้องลูกของอ้ายโคจรด้วยข้าก็มินึกห้าม เพื่อเผ่าพันธุ์ของเราจะได้ดำรงสืบไป…ไม่ว่าจะเป็นพิจิตรหรืออโยธยา…”

   คราที่จ้าวโคจรแบ่งปันนายกำนัลคนโปรดให้ หรือจะกี่ร้อยกี่พันครั้งที่พวกเขามีน้ำใจไมตรีต่อกันด้วยเป็นจระเข้ด้วยเป็นพี่น้องที่มีเหลืออยู่ไม่มากนัก
   …หรือจะด้วย…อะไรก็ตามแต่
   “ข้าเพียง…เพียงแค่คืนนี้ คืนนี้มันเป็นคืนแต่งงานของข้า”
   คำนั้นหลุดออกมาดังคล้ายจะขาดใจ
   “…ข้าก็แค่โดน ‘ทรยศ’เท่านั้นเอง…”
   เบาเหมือนสายลมที่พัดผ่านแต่กลับทิ้งก้อนตะกอนตกค้างคาไว้ในจิตใจ
   บรรยากาศกลับเข้าสู่ความเงียบงันอยู่เนิ่นนาน คงฟังรู้สึกคอแห้งคล้ายกลืนกำทรายหนึ่งหยิบมือแต่ก็ทำอะไรมิได้นอกจากยืนมองแผ่นหลังสะท้านนั่นอยู่แบบนั้นปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทรกกลางปล่อยให้เงาจากแสงไฟตะเกียงที่หัวเรือนขยับไหววูบ
   “…เจ้าจงรีบไปเก็บของเสีย” นาน..ก่อนจะพูดต่อ
“…ตามจ้าวพี่ของเจ้ากลับไปเสียเถิด”
   “แต่อ้ายพี่…”
   “รีบไปเถิด” เขาย้ำ..อีกครั้งหนึ่ง
“..ข้า..อยากอยู่คนเดียว”
   พันวังคิดว่าตัวเองบ่อน้ำตาตื่นเสียเหลือเกิน เขาขยับกายเข้าไปกอดอีกคนจากด้านหลังแล้วซุกหน้าลงที่
แผ่นหลังกว้าง…ก่อนแน่นิ่งอยู่แบบนั้น
   “….ข้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้….”
   คำนั้นพูดออกไปไม่ชัดนักทั้งน้ำมูกน้ำตาพาลอึดอัดไปเสียหมด
   “ข้าปล่อย…ให้ท่านอยู่เพียงคนเดียวมิได้….”
   ..อ้ายพี่แสนตาที่แสนดี..
   กี่ร้อยกี่พันครั้งที่อ้อมแขนนี้กอดเขาด้วยความรักความอ่อนโยน คอยปลอบประโลมยามเจ็บช้ำไม่ว่าเรื่องอะไร
คำหวานทุกคำที่พร่ำบอกพร่ำเอาใจหรือแม้กระทั่งสีหน้าตอนที่ตัวเองเนี่ยแหละเป็นคนเอื้อนเอ่ยบอกตัดความสัมพันธ์
   ไม่ว่าจะครั้งไหนหนใดจ้าวแสนตาก็เก็บอารมณ์ได้ดีเสมอเขาต่างจากจ้าวโคจรที่มักแสดงสีหน้าท่าทางที่หลากหลาย แต่นั่นมิได้หมายความว่าไม่ได้มีความรู้สึกรู้สาเพียงแค่เก็บซ่อนอารมณ์ต่างๆไว้ข้างในเท่านั้นเอง

   แตกต่าง…ตรงที่แม้กระทั่งความเจ็บปวดนี้ก็ไม่มีใครเข้าใจ…
   “..ข้าจักอยู่กับอ้ายพี่แสนตา..”
-๘-
   …ความรักคืออะไรรึ?
   คือการเป็นห่วงหา…ยามที่เห็นเขาเจ็บเราสิเจ็บมากกว่า..
   หรือเพียงแค่ทนไม่ได้ที่จะเห็นเขาอยู่กับใครอีกคนกันแน่..
   หากไม่อาจเห็นภาพบาดจิตใจยามเห็นจ้าวแสนตาอยู่กับแม่หญิงบุหลันเป็นความรัก แล้วความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับอ้ายแสนตายามที่เห็นเขาทุกข์น้ำตาจึงออกมามากกว่าหรือแม้กระทั่งเรื่องที่เลือกจะอยู่อโยธยาเช่นนี้โดยไร้ความห่วงหาจากบ้านเกิดเมืองนอนเช่นนี้…มันมิเรียกว่า ‘ความรัก’ หรอกรึ..?
   ถ้าความรักคือการรักใครได้แค่เพียงคนเดียว…ถ้าเช่นนั้นแล้ว…ความรู้สึกที่มีอยู่นี่คืออะไรเล่า?
   “อ้าวอ้ายพันวัง…มีอันใดรึ?”
   “ข้าสิจะขอยกสำรับมื้อกลางวันไปให้อ้ายพี่แสนตาน่ะขอรับ”
   “อ้อถ้าเช่นนั้นก็นั่นละ”บ่าวหนึ่งชี้
“ยกไปได้เลย”
   “ขอรับ”
   “ท่านจ้าวเป็นเช่นนั้นก็มิรู้จะทำเช่นใด…ข้าฝากเจ้าด้วยล่ะอ้ายพันวัง”
   “ขอรับ”
   เด็กหนุ่มรับคำ…คิดอยู่เสียนานว่าควรมีประโยคอะไรต่อท้ายสักหน่อยดีรึไม่…แต่ไม่เลย
   จากบ้านเกิดเมืองนอนมาแสนไกล เปลี่ยนที่อยู่ใหม่ไร้ที่พึ่งทางใจไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมแบบใหม่นี้ แต่พันวังเองก็ทำได้ไม่เลวนักเขาค่อยๆคุ้นชินกับมัน ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่เปลี่ยนไป
หรือคนที่เปลี่ยนตาม…หรืออาจจะเพราะเป็นเรื่องที่ต้องทำ…ก็เป็นไปได้
   ร่างโปร่งตรงไปที่โต๊ะเตรียมของ มองบรรดาอาหารอันกอปรด้วยข้าวต้มและเครื่องเคียงอีกเพียงเล็กน้อย ทุกอย่างทานง่ายและเป็นของโปรดของอ้ายพี่แสนตาทั้งนั้น
   “จนบัดนี้ข้าก็ยังมิรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น”
   “อย่าถามข้าเลยข้าก็มิต่างกับเจ้า”
   “เรื่องที่ไล่ท่านจ้าวโคจรออกจากบ้านก็เรื่องหนึ่ง แล้วเหตุใดอ้ายแม่หญิงบุหลันถึงได้ไปกับเขาด้วยเล่า”
   “ข้าว่าเรื่องนี้…หากตริตรองดูดีๆก็จะเห็นความเป็นไปได้กระมัง”
   “เช่นไรล่ะ?”
   “เจ้านี่ก็โง่นักเรื่องเช่นนี้จะพูดได้เสียที่ไหน”
   “เอ้าเจ้าก็รีบๆพูดมาเสียสิ”
   “มิสังเกตหรอกรึใยพอมาถึงนี่จ้าวโคจรถึงได้อาการประหลาดนัก” บ่าวหนึ่งกระซิบกระซาบ
“ไม่หือไม่อือไม่ร่วมยินดี ขนาดข้าวปลาก็ทานน้อยมิได้ต่างจากท่านจ้าวเราตอนนี้สักนิด”
   คนฟังพยักหน้า
“ก็…นั่นสินะ”
   “แล้วเช่นไรอีกเล่า?”
   “แม่หญิงบุหลันยิ่งเป็นตัวเมียที่หาได้ยากยิ่งด้วย คิดเช่นนี้แล้วก็ต่อยอดเอาละกัน”
   “ประเดี๋ยวสิบอกมาขนาดนี้แล้วใยจึงมิบอกให้หมดเล่า”
   “นั่นสิจะมัวอมพะนำอยู่ใย เขาก็งุนงงกันทั้งค่ายนั่นแหละ”
   “เอ้าข้าสิพูดได้เสียที่ไหน เรื่องของจ้าว”
   “กระนั้นก็พูดมาเสียนานมิใช่รึ”
   ว่าแล้วไอ้คนพูดมากก็โดนตะหลิวฟาดไปเสียที ด้วยมือของอ้ายพี่ทองดีที่พันวังคิดว่าคงมีศักดิ์เท่าอ้ายอินทร
ของฝั่งพิจิตรคนโดนฟาดก็ร้องโอดโอยเสียยกใหญ่ แต่ทองดีก็ยังตีหน้ายักษ์ใส่แล้วเอ็ดเสียงดัง
   “พวกเจ้าสิเลิกนินทาเรื่องพวกนี้เสีย หากใครมาได้ยินเข้าคงจะเล่ากันไปปากต่อปาก”
   “ฤๅเจ้ารู้เรื่องนี้ดีกระนั้นรึ? อ้ายทองดี”
   “รู้สักที่ไหนอย่างน้อยข้าก็มิได้เอามาถกเป็นประเด็นเช่นเจ้าก็แล้วกัน” ชายหนุ่มเจ้าของนามหรี่ตาจับผิด
โบกตะหลิวอีกครา “ไป ไปให้พ้นเสียทำงานทำการซะ ข่าวว่าหน้านางานหนักนักมิใช่รึ”
   “ขอร้าบ”
   “แหน่ะยังมีน่ามาล้อเลียน”
   “พวกข้าก็กำลังจะรีบไปอยู่นี่”
   พันวังลอบผ่อนลมหายใจคว้าสำรับอาหารที่ตนตั้งใจมาเอาเดินออกจากโรงครัวแม้ตนมิได้มีส่วนร่วมกับบทสนทนาทายปริศนาเมื่อครู่แต่ก็อยู่ฟังจนจบกระบวนความ
   แม้เวลาจะผ่านมาเสียร่วมสัปดาห์ตั้งแต่ที่ขบวนจระเข้แห่งพิจิตรยกกองกลับไป…การเดินทางที่มิได้ผ่านการเตรียมพร้อมนั้นคงลำบากนักทั้งไม่มีปิ่นโตกินข้าวระหว่างทางทั้งบางตัวยังมิได้หลับได้นอน ซ้ำวันนั้นแดดยังออกร้อนเปรี้ยงปร้างเสียอีกคิดแล้วก็อดเป็นห่วงพรรคพวกของตนไม่ได้ด้วยกลัวใครสักคนจะเป็นลมเป็นแล้งกับอากาศร้อนเช่นนั้นเสียก่อน
   …แต่ดูคล้ายฝั่งนี้จะน่าเป็นห่วงมากกว่านัก
   นอกจากคำครหาและเสียงกระซิบกระซาบไปทั่วทั้งเรือนแล้ว สิ่งที่น่าหนักใจกว่านั้นคงจะเป็นความรู้สึกของจ้าวแสนตา…ที่ไม่รู้ว่าถูกทำลายลงไปเท่าไหร่
   เด็กหนุ่มก้าวเท้าขึ้นบันไดช้าๆด้วยกลัวน้ำแกงในมือจะหกเสียก่อน หลายคนเหลือบมามองเขาแล้วหลบไป…
มันเป็นจุดเริ่มต้นของคำถามง่ายๆ ...ที่ว่าทำไมเขาถึง…ยังอยู่ที่นี่…แค่เพราะเขาปล่อยอ้ายพี่แสนตาให้อยู่คนเดียวเช่นนี้ไม่ได้…
   ความจริงที่ว่าตนควรจะกลับไปยังคงค้างคาอยู่ในหัว และเรื่องที่จ้าวเหนือหัวของตนได้กระทำการเช่นนั้นก็เป็นเหตุผลที่ดีที่หลายคนจะขับไล่ไสส่งตัวเองออกไป กระนั้นก็ไม่มีใครทำด้วยเพราะรู้ดีว่าจ้าวแสนตาเอ็นดูเด็กหนุ่มพันวังนี่มากมายเพียงไร   แค่เพียงเหตุผลนั้น…จะพอแล้วรึไม่?
   ก๊อกๆๆ
   “อ้ายพี่แสนตาขอรับ”
   …ไม่มีเสียงตอบรับ…
   พันวังผ่อนลมหายใจก่อนจะถือวิสาสะผลักบานประตูให้เปิดออกเขาวางสำรับอาหารลงบนโต๊ะกลางก่อน
ถึงจะเดินกลับไปปิดประตูบานเดิมให้สนิท แล้วชะโงกหน้าเข้าไปมองในห้องนอน   เจ้าของห้องยังคงนอนอยู่บนเตียงเช่นเดิมเหมือนกับตอนที่เขาออกไป
   ร่างสูงดูอ่อนแรงนักเมื่อทำได้เพียงทอดกายอยู่บนเตียง ปล่อยให้ดวงตาสีอำพันคู่นั้นเบือนมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไรจุดหมาย ทั้งวรกายด้วยเหนื่อยล้าแม้ไม่ได้ทำกิจอันใดมากนัก..กระนั้นก็เข้าใจได้ไม่ยากเย็น…
   “…อ้ายพี่แสนตา…”
   เจ้าของนามเบือนสายตามาสบแล้วยิ้มอ่อนให้   คนมองกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แต่ก็ต้องเอ่ยออกไป
   “กินอาหารเสียหน่อยเถิดขอรับ ข้าจะยกมาให้นะ”
   การพยักหน้าเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นทำให้คู่สนทนาอึดอัดในอกนัก ยามที่หันหลังกลับมายกสำรับอาหารอีกครั้งนั้นต้องยกมือปาดหยดน้ำตาเล็กๆเสียก่อน พันวังใช้เวลาสงบสติจากอาการนั้นอยู่เพียงไม่นานก็เข้าไปปรนนิบัติอ้ายพี่ของตนได้
   ..จ้าวแสนตาอ่อนแอลงนัก..
   ราวกับวันที่ท้องน้ำแห้งขอดจนเห็นพื้นดินแห้งแตกระแหง และ…เขากำลังรู้สึกเช่นนั้น

   ครั้งหนึ่ง…เคยได้ยินถึงเหตุผลที่ทำไมจ้าวถึงเป็นจ้าว เพราะสายเลือดสูงศักดิ์กับพลังอำนาจสูงส่งนี้หากจระเข้แปลงอย่างเรามีอายุได้มากถึงหนึ่งร้อยปีจ้าวอาจจะอยู่ได้ถึงพันปีหมื่นปียามรบราต่อกรกับมนุษย์ อาคมคาถา
หรือหอกดาบก็มิอาจสะเทือนซึ่งผิวหนังของจ้าวได้
   …จึงได้ชื่อว่า ‘จ้าวธารา’
   แต่กระนั้นอายุจ้าวก็มิเคยอยู่ได้นานนัก
   แม้จะเคยได้ยินมาเพียงตำนานอันแสนไกล ว่าเพียงคมหอกเดียวที่สามารถแทงทะลุผิวหนังจ้าวได้เพียงสิ่งเดียว…
ที่ทรงอำนาจมากพอจะสังหารจ้าวได้
   …คือการ ‘ทรยศ’
   อาจเพราะครึ่งหนึ่งกลายเป็นมนุษย์ ความรู้สึกจึงได้สร้างความสัมพันธ์ที่แสนเปราะบางขึ้นมา
   เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วมือที่พยายามตักป้อนข้าวอยู่นั้นก็สั่นเสียดื้อๆเด็กหนุ่มรู้สึกยากที่จะสะกดความรู้สึก
ไว้ข้างในยิ่งมองคนตรงหน้าที่อ่อนแอลงแบบนี้ด้วยแล้ว…
   ในอกปวดนัก…ราวกับพร้อมจะแตกสลายลงเหมือนเม็ดดินก็มิปาน
   “พันวัง?”
   เสียงแหบเรียกดวงตาคู่นั้นยังเจือความเป็นห่วงอยู่มิใช่น้อย
   “เจ้าเป็นกระไรรึ?”
   คนถูกถามหลุบตาลง
“มิเป็นไรดอกอ้ายพี่สิกินเสีย”
   ว่าแล้วก็จ่อช้อนที่ริมฝีปาก คู่สนทนายังคงดูเหมือนสงสัยอยู่แต่ก็อ้าปากรับแต่โดยดี
   “พอแล้ว” จ้าวหนุ่มกล่าว
“ข้าอิ่มแล้วล่ะ”
   พันวังก้มหน้าลงมองข้าวต้มที่ยังเหลือกว่าครึ่งในชามตัวเองเขามีหน้าที่เฝ้าดูแลอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิดขนาดนี้
แต่หากแม้แต่งานที่ได้รับมอบหมายให้ป้อนข้าวป้อนน้ำยังมิสำเร็จจะช่วยอ้ายพี่แสนตาได้อย่างไรกัน
   “อ้ายพี่กินอีกเสียหน่อยข้าสิจะไปเอายาบำรุงกำลังมาให้” เด็กหนุ่มกล่าว พยายามคะยั้นคะยอ
   “จะต้องกินยาอีกรึ?”
   “แน่สิขอรับ”
   อีกคนเบ๊หน้า “งั้นข้าไม่กินเห็นจะดีกว่า”
   “อ้าวโถ่อ้ายพี่”ร่างโปร่งโอดครวญ
“เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่จะหายเป็นปกติล่ะขอรับ”
   ช่วงเวลานั้นเองที่คนฟังเงียบไป   นาน..กว่าจะเอ่ยออกมา
   “ข้าสิ…อยากตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด”
   คำพูดนั้นทำให้ในอกแห้งผากนัก เด็กหนุ่มสั่นศีรษะระรัว
   “โปรดอย่าพูดเช่นนั้น”
   “ทำไมล่ะ?”
   “หากอ้ายพี่จากไปเสียแล้วข้าเล่าจะอยู่กับใคร”
   คนฟังยิ้มอ่อนแตะมือลูบไล้ที่ข้างแก้มเนียน..สัมผัสอบอุ่นเช่นนั้นทำให้อีกฝ่ายเอียงหน้ารับ ก่อนหันไปจูบมือที่แสนอ่อนโยนข้างนั้นอย่างเผลอไผล
   “ไม่รู้สิ..พันวัง…ข้าน่ะ….”เปลือกตาสีเข้มปิดลงสนิทกลีบปากหยักเม้มเข้าหากันแน่น
“ข้ารู้สึกคล้ายตัวเองทำผิดนักทั้งกับอ้ายโคจร…แม่หญิงบุหลัน…หรือกระทั่งเจ้า”
   “อ้ายพี่ไม่ผิดสักนิด”
   พันวังวางชามลงโผเข้ากอดซบอีกคนซุกหน้าลงที่อกกว้าง…แม้จะปฏิเสธออกไปเช่นนั้น แต่เขาก็มิอาจพูดออกไปได้อย่างเต็มปากว่าเป็นความผิดจ้าวโคจร หรือเป็นความผิดใครต่อใคร
   …อาจจะเพียงคนละเล็กละน้อย…เรื่องเล็กน้อยที่ละเอียดละอ่อนนัก
   “…เรื่องนี้ไม่มีใครผิดทั้งนั้นดอกขอรับ”
   มือใหญ่เลื่อนมาโอบปลอบร่างโปร่งบางไว้ แล้วลูบสัมผัสทั้งหัวทั้งหลังหมายจะปลอบโยนคนตัวเล็กที่ขี้แยร้องไห้โฮเช่นนี้อีกครั้ง
   “ข้าฝืนรั้งเจ้าไว้ด้วยความอ่อนแอของข้า..ข้าสิผิดนัก”
   “มิใช่ดอก…” เสียงหวานพร่ำกระซิบบอก
“เป็นประสงค์ของข้าเองข้าจะอยู่กับอ้ายพี่แสนตา จะมิทิ้งท่านไปไหน”
   “จะสงสารก็ดีหรือจะอยู่ด้วยรู้สึกผิดต่อข้าก็ดี”จมูกโด่งกดลงบนหน้าผากเนียนจูบปลอบให้อีกคนหยุดสั่นสะท้านเช่นนี้…หรือบางทีอาจจะแค่การปลอบใจตัวเอง
“ช่างน่าสมเพชนักที่…ข้ากลับนึกดีใจ อย่างน้อยเจ้าก็มิได้จากข้าไปไหนเหมือนใครคนอื่น”
   “อ้ายพี่แสนตา…ข้าจะอยู่กับอ้ายพี่แสนตา”
   “ข้ารักเจ้า..พันวัง”
   มันเป็นเสียงกระซิบที่เอื้อนเอ่ยออกมา ราวน้ำเย็นหวานที่ราดลงบนเนื้อหัวใจ
   “แล้วเจ้าเล่า…รู้สึกเช่นไร?”
   พันวังมิได้ตอบสิ่งใดออกไป   เพียงเงยหน้าขึ้นประทับริมฝีปากเคล้าเคลียกับอีกคน   เขายังไม่แน่ใจคำตอบของคำถามนั้นจึงเลี่ยงที่จะไม่พูดออกไป แต่ก็มีบางอย่างที่เขาพอจะเข้าใจตัวเองได้ชัดเจน……
   “…ข้าจะไม่ทิ้งท่านไปไหนข้าสัญญา”
   “น้องพันวัง”
   “ขอรับ?”
   ชายหนุ่มร่างใหญ่ยกมือเกาแก้ม
“ยินข่าวว่าขบวนของจ้าวโคจรเดินทางถึงพิจิตรปลอดภัยดี เจ้ามิต้องเป็นห่วงนักนะ”
   “ขอรับขอบคุณอ้ายพี่สหัสนักที่เป็นธุระให้ข้า”
   “มิใช่ดอกที่จริงข้าเองก็เป็นห่วงอยู่มิใช่น้อย ด้วยพวกเราทั้งหมดก็คนกันเองทั้งนั้น…เพียงแค่…”
   จังหวะที่เสียงเงียบทิ้งช่วงลงไปนั้นคือความเงียบงัน ที่พวกเขาทั้งคู่เข้าใจกันดี
   ในเพลานั้นมีเพียงหกตนเท่านั้นที่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โชคดีที่อ้ายพี่รดินและอ้ายพี่สหัสช่างแสนภักดีนักถึงได้เก็บเงียบเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ยอมปริปากพูดออกมาด้วยคิดว่ามิใช่เรื่องที่ต้องหยิบยกเอานายไปพูดจาพล่อยๆรังแต่จะให้เกิดความแตกแยกเสียดสีกันเสียเปล่าๆ
   ในใจพันวังนึกขอบคุณอ้ายพี่สหัสคนนี้อยู่ไม่ใช่น้อย ทั้งที่ตนเป็นคนของทางฝั่งโน้นแต่ก็มิได้แสดงอาการรังเกียจหรือเหยียดนัก ซ้ำยังคอยถามความเป็นไปอยู่เสมอแม้จะออกมาแบบเก้ๆกังๆนักก็ตาม
   มิว่าจะเป็นคนของฝั่งใดจะผิดใจกันแค่ไหนแต่จระเข้ก็คือจระเข้   ชนเผ่าที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้นและสหัสคงตระหนักถึงความจริงข้อนั้นได้ดี
   “แล้วท่านจ้าวล่ะ…เป็นเช่นไรบ้าง?”
   “ตอนนี้เริ่มกินอาหารได้เยอะขึ้นแล้วขอรับ”เด็กหนุ่มตอบกลับไป
“นี่ก็เพิ่งต้มยาให้ไปยังคงนอนพักอยู่เพียงแต่ในห้อง”
   “ดีแล้วท่านร่าเริงขึ้นบ้างรึไม่?”
   พันวังส่ายหน้าช้าๆ
“…คงยากนักแต่ข้าจักพยายามให้ดีที่สุด”
   “ขอบใจเจ้ามาก”
   “เรื่องกระไรรึ?”
   “ทั้งๆที่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าเพียงสักนิด…แต่ต้องมารับกรรมที่ตนมิได้ก่อ”
   “ข้าไม่เห็นว่าเป็นกรรมเช่นนั้น ข้าทำเพราะประสงค์ของข้า”
   “ข้าถึงต้องขอบใจเจ้า”
   เขายิ้มตอบ “อ้ายพี่สหัสอย่ากังวลไปเลย ท่านจ้าวของท่านมิเป็นไรดอกท่านมิใช่รึที่รู้จักความแข็งแกร่งของอ้ายพี่แสนตายิ่งกว่าใคร”
   “เรื่องนั้นก็ใช่…”
   “อีกไม่นานเท่านั้นบาดแผลนี้เพียงต้องใช้เวลารักษา”
   “….ข้ามิอยากให้มันนานมากไปกว่านี้เลย…”
   คำที่คล้ายกับกระซิบกระซาบไม่แน่ใจเช่นนั้นทำให้คนฟังต้องเลิกคิ้วมอง
   “อะไรนะขอรับ?”
   “…ท่านจ้าวหายไปเช่นนี้บ่าวไพร่พากันวิตกนัก” ชายหนุ่มถอนหายใจ ทอดสายตามองไปรอบๆเรือน
“วาระด้านนอกก็แสนสาหัสยากจะรับมือ หากข่าวเรื่องจ้าวแสนตาล้มป่วยหลุดไปถึงหูศัตรูมิวายพากันล้มตายหมดเสียทั้งเรือน”
   เด็กหนุ่มพยักหน้าเขาเข้าใจในคำพูดนั้นด้วยรู้ว่าเมืองแห่งนี้คราคร่ำไปด้วยผู้คนมากกว่าบ้านเก่าของตน ส่งผลให้จระเข้ที่นี่ถูกตามล่ามากกว่าที่พิจิตร…และเต็มไปด้วยสงครามมากมาย
   ศึกที่บางคราต้องรับนั้นหนักนัก วันหนึ่งเมื่อ ‘จ้าว’ ของพวกเขาเจ็บป่วยลง สถานการณ์คงง่อนแง่นน่าดูที่จริงแล้วพันวังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเหล่านั้นมากนัก ด้วยตัวเองเกิดและโตในฐานะนายกำนัลแถมยังอยู่ในเมืองที่ไม่ต้องประมือกับหมอปราบจระเข้บ่อยนัก
   ว่าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน หากที่นี่วุ่นวายนัก…หากว่าจ้าวแสนตากับจ้าวโคจรไม่บาดหมางกันเสียก่อนแบบนี้…ก็หวังให้อพยพย้ายไปอยู่พิจิตรกันเสียให้หมด
   “แล้วอ้ายพี่สหัสเล่าแต่งองค์เสียครบจะไปไหนรึ?”
   คนถูกถามกรอกตา
“ฟังแล้วอย่าเพิ่งเรียนจ้าวเหนือหัวเล่ารังแต่จะอ่อนล้ากว่าเดิม”
   “ข่าวร้ายกระนั้นรึ?”
   “มิสู้ดีเท่าใดนัก” เขาผ่อนลมหายใจ“ค่ายเราที่ต้นน้ำมิได้ติดต่อกันตั้งแต่ยามก่อน ข้าสิจักไปดูเกรงว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น พักนี้พวกมนุษย์ยิ่งร้ายนักคราก่อนก็บุกจมค่ายตะวันตกไปเสียเฮี้ยน ข้าสิกลัวคราวจะตก
ซ้ำรอยเดิมระวังไว้ก่อนจะมิทันการณ์”
   “อ้ายพี่โปรดระวังตัวขอให้กลับมาโดยปลอดภัยนะขอรับ”
   “เจ้าเองก็เช่นกันข้าขอฝากท่านจ้าวด้วย”
   “ขอรับ”
   ชายหนุ่มลอบถอนหายใจหมุนตัวเดินก้าวลงกระไดพร้อมเอ่ยเสียงเบา
   “ข้าสิภาวนา…ให้จ้าวแสนตากลับมาแข็งแรงเช่นเดิมในเร็ววัน”
   คนฟังพยักหน้าเพียงเล็กน้อยรู้สึกภาระที่ตัวเองกำลังแบกอยู่ช่างหนักนักกระนั้นคำอวยพรก็ยังทำให้เขาหลับตาลง แล้วสวดมนต์อ้อนวอนเช่นกัน
   สหัสออกไปในครานี้นำทหารหาญตามติดไปด้วยสองนาย และไม่ใช่ไปด้วยล่องลำเรือแบบที่สัญจรปกติหากมุดตัวดำดิ่งลงในน้ำกลายร่างเป็นกุมภาตัวใหญ่เร้นกายอยู่ใต้ห้วงธารา
   เด็กหนุ่มยืนมองทั้งสามคนจากบนเรือนจนลับสายตา มองตามคลื่นน้ำที่ผิดปกติจนหายลับไปนั่นแสดงว่าอ้ายพี่ทั้งสามคงจะดำลงไปเสียลึก เป็นวิธีแฝงกายที่น่ากลัวนักกับมนุษย์แต่เป็นเรื่องปกติยามที่จระเข้มีภัยใกล้ตัว
   …เขารู้สึกไม่สู้ดีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากนัก   ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนก้อนหินที่กลิ้งลงจากเนินรังแต่จะเพิ่มความเร็วมากขึ้นเท่านั้น
   ข้าแต่พระแม่คงคา…ขอให้เรื่องเลวร้ายนี้…ผ่านพ้นไปในเร็ววันด้วยเถิด


tor_8915 โพสต์ 2014-12-8 02:02:47

ขอบคุณมากครับ แต่ขอนิดครับ คือไม่ลงเลขตอนด้วยล่ะครับ ผมเลยอ่านมั่วเลยครับ
ขอบคุณอีกครั้งครับ

areen โพสต์ 2017-2-20 04:43:29

ขอบคุณมาก

tong111222 โพสต์ 2019-4-23 11:14:33

ขอบคุณครับ
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: จ้าธารา