ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
ดู: 491|ตอบกลับ: 3

จ้าธารา

[คัดลอกลิงก์]

โสด

   ศาสตราจารย์เอื้ออาทร
อาจารย์พิเศษ
คัดลอกมาครับ

-๗-
   “…จ้าวพี่โคจร…”
   มันคือความเงียบงัน…ยิ่งกว่าความเงียบทั้งหมดที่เคยเผชิญมาก่อนในชีวิต
   หลังจากน้ำเสียงสั่นระริกที่เปรยเรียกออกไปอย่างลืมตัวเช่นนั้น ก็ไม่มีใครแม้แต่จะขยับตัวหรือส่งเสียงอันใดอีก  

ทั้งสี่คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ทำสีหน้าราวกับมีใครเอาน้ำเย็นมาสาดโครม  และยืนแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น  จ้องมองตรงไปยังสถานการณ์ด้านหน้า  ยกเว้นเพียงหยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มใส หลั่งรินอย่างไร้ซึ่งความหมาย
   อ้ายรดินและอ้ายสหัสมองหน้ากัน ก่อนทั้งคู่จะเป็นฝ่ายขยับตัวก่อน…พวกเขาเปลี่ยนมายืนห่างกัน

สองช่วงแขน  โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไม ไม่ว่าใครตรงนั้นก็คงอยากถามหาเหตุผลออกมา  แต่…ไม่มีคำตอบ  ไม่ว่าใครตรงนั้นก็ให้คำตอบของเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้
   และในเพลาต่อมา  
เด็กหนุ่มจึงได้เบือนสายตาหันไปมองอ้ายพี่แสนตาของตนที่ข้างตัว
   ดวงหน้าคมเข้มไม่แสดงสีหน้าใดๆนอกจากมองตรงไปข้างหน้า หันไปมองคนที่เคยเป็น ‘เพื่อนรัก’ ครั้งหนึ่ง…

แล้วปลายสายตามอง ‘ภรรยา’ตัวเองอีกครั้งหนึ่ง  กิริยาเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เชื่องช้า…กระทั่งแผ่นอกแกร่งก็ไม่มีวี่แววของการกระเพื่อม ราวกับว่าจระเข้ตนนี้ลืมแม้กระทั่งเวลาหายใจของตัวเอง
   จ้าวโคจรขยับตัวตาม  ก้าวเท้าเข้ามาหา..อย่างเชื่องช้า  แต่อีกคนกลับยกมือขึ้น
หมายมาดให้เพื่อนรักหยุดอยู่ตรงนั้น
   มันเป็นการกระทำที่พันวังมองแล้วเผลอหลั่งน้ำตาออกมาจนเปียกแก้ม ผิวหน้านุ่มค่อยแปรเปลี่ยนเป็นเกล็ดแข็งตามร่องรอยความชื้น กระนั้นเขาก็ห้ามไม่ได้  
ต่อให้ต้องร่ำไห้จนร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นจระเข้เสียเต็มตัวเขาก็ห้ามมิได้
   ตลอดเวลาที่ผ่านมา…จริงอยู่ที่เขารับรู้ความรู้สึกที่อ้ายพี่โคจรมีต่อแม่หญิงบุหลัน รับรู้…และเก็บซ่อนไว้

ภายในเสมอ  ปกปิดความจริงด้วยความภักดี แม้จะหึงหวงมากมายแค่ไหน…ก็ต้องยอรับว่าตนต่ำทรามขนาดยอมร่วมรักกับจ้าวต่างแดนเพื่อระบายความทุกข์ในอกได้ แย่ถึงขนาดเอาความรู้สึกของอ้ายพี่มาล้อเล่นเช่นก่อนหน้านั้น
   แต่ถึงกระนั้นเขาก็ตั้งตัวได้ ด้วยเพราะอีกฝ่ายกำลังจะแต่งงาน..ไม่ควรมีภาระพันผูกกับนายกำนัลต่างถิ่น พวกเขาคิดว่าเรื่องทั้งหมดใกล้จะจบลงด้วยดี…
ด้วยคืนแต่งงานที่คงทำให้สถานการณ์เคลือบแคลงเช่นนี้มันจางหายลงไป

   ….แล้วนี่อะไร? …….สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้…คืออะไร?

   ที่แย่ไปกว่านั้น…กับอ้ายพี่แสนตาที่แสนดีของเขา………
   พันวังไม่รู้ว่าตัวเองเผลอทำสีหน้าเช่นไรออกไปให้จ้าวเหนือหัวของตัวเองเมื่ออีกฝ่ายทอดมองมา เขารู้แต่เพียงว่าน้ำตานี่ทำให้ภาพพร่าเลือนเหลือเกิน  ขาที่ยืนอยู่ก็ซัดเซไร้เรี่ยวแรงแทบจะล้มเสียตรงนั้น
   ขนาดเขายังเป็นเช่นนี้…
แล้วอ้ายพี่แสนตาเล่า
   ..หนึ่งก็เพื่อนรัก  ส่วนอีกหนึ่งก็ภรรยาของตัวเอง..

   ในอกเขาเสียใจและผิดหวัง แต่ความรู้สึกที่แทรกขึ้นมายิ่งกว่านั้นคือความสงสารคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขารู้ว่าตัวเองเจ็บแค่ไหน  และ..รู้ว่าคนตรงหน้าเจ็บทบทวีมากกว่าเพียงใด แม้ดวงหน้านั้นจะไม่แสดงอะไรออกมาเลยก็ตาม
   “พวกเจ้า….”

   นาน…นานมากพอที่จะได้คิดทบทวนถึงเรื่องต่างๆ ถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดมา  แสนตาสูดลมหายใจ หยดน้ำหนึ่งไหลรินออกจากดวงตา
   “…ออกไป…จากบ้านข้าบัดเดี๋ยวนี้…”

   คืนเดือนมืด
   จากเพลาที่ทุกอย่างใกล้จะมืดสนิท กลับสว่างไสวขึ้นอีกครั้งด้วยไฟจากตะเกียงน้ำมันตามจุดต่างๆ เสียงสับเท้ากระทบพื้นไม้ดังไปทั่วเสมือนเป็นเวลาฟ้าสางก็มิปาน คล้ายกับเรือนไม้หลังนี้กำลังตื่นขึ้น…
ตื่นขึ้นผิดเวล่ำเวลา
   ประตูเรือนบ่าวรับใช้เปิดผ่างออก พร้อมเจ้าของดวงตาข้างเดียวจึงได้กล่าวเข้าไปในห้อง  
แล้วหยิบค้อนมาฟาดระฆังด้านหน้าเรือนให้ดังเหง่งหง่างสั่นสะเทือนอยู่นาน
   จระเข้น้อยใหญ่พากันผุดลุกเงยหน้าขึ้นมาจากที่นอนเรียงรายกัน
แล้วถามเสียงไม่สร่างเมา
   “อะไร?  มีเรื่องอะไรกันรึ!?”

   “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
   “ศัตรูบุกรึไร?”
   “มิใช่ดอก  พวกเจ้าสิเตรียมตัวกลับเมืองพิจิตรได้แล้ว”
   คำตอบสั้นๆเช่นนั้นทำให้คนฟังทุกคนเลิกคิ้ว หันมาสบตากันอย่างมึนงงนัก
   “มีเหตุอันใดเกิดขึ้นรึ?”

   “โปรดอย่าซักถามนัก” รดินกล่าว  ตั้งหน้าตั้งตาเก็บสัมภาระของตัวเอง

“เก็บข้าวของเสีย เราจะออกเดินทางจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”
   “อ้ายรดิน…”
   “อย่าถามข้า”
   เขาพูด  ด้วยน้ำเสียงที่ปรับให้เรียบนิ่งมากที่สุด
   “…ได้โปรด”

   จนทุกคนที่กึ่งหลับกึ่งตื่นในเรือนบ่าวจำต้องพยักหน้าเข้าใจ แล้วเริ่มต้นปฏิบัติตามอย่างเสียมิได้  ใครบางคนจุดไฟที่กลางเรือน แสงสว่างเพียงเล็กน้อยเหล่านั้นก็มากพอจะให้ทุกคนกวาดข้าวของส่วนตัวลงถุงย่าม..ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เตรียมตัวพร้อมแน่นอนนัก
   กลุ่มหนึ่งไปเตรียมนำเรือเข้าเทียบท่า อีกกลุ่มหนึ่งได้รับอนุญาตให้ขนบรรดาอาหารออกจากครัว  
แม้จะไม่มาเป็นลักษณะของปิ่นโตเรียบร้อยแต่ก็พอประทังความหิวโหยระหว่างทางไปได้
   “เกิดเหตุอันใดขึ้นรึ?”

   “มิรู้สิ..ถามข้าแล้วข้าจักไปถามผู้ใด”
   “แล้วท่านจ้าวเล่าไปไหนเสีย”
   “เดี๋ยวก็คงมากระมัง”
   “ง่วงนัก…นี่คิดเช่นใดจึงจะออกเดินทางเวลานี้กันเนี่ย”
   “ข้าสิยังมิได้หลับสักตื่น  จะหอบเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปถึงพิจิตรได้เล่า”
   คำถามมากมายดังขึ้นมาเซ็งแซ่ระหว่างเตรียมการ ไม่นานเรือก็ทยอยกันเข้ามาเทียบท่า  พร้อมๆกับลำเลียงลูกเรือลงไปประจำตำแหน่ง
   อ้ายรดินแบกอ้ายอินทรที่หลับใหลเมาไม่ได้สติโยนขึ้นเรือไปก่อน แล้วเป็นคนบังคับการเองทั้งๆที่รู้ดีว่า

ความรู้สึกตน…ก็มิได้ปกตินัก ไม่ต่างจากใครต่อใครเลยด้วยซ้ำ  แต่ในเพลาเช่นนี้ใครเล่าจะสั่งการได้เช่นปกติ
   ..วาระที่เห็นจ้าวของตัวเอง…
กระทำการเช่นนั้น..
   หากตนเองเป็นจ้าวแสนตาคงได้เข้าไปต่อยเสียหนึ่งหมัด ซ้ำยังไม่ฆ่าให้ตายก็ดีถมเถไป  แต่ด้วยตนเป็นเพียงบ่าวรับใช้อีกนายหนึ่ง
จะว่ากระไรได้เล่า
   …หากนึกอย่างเห็นแก่ตัวก็เพียงแค่ทีนี้ชาวเราก็มิต้องกังวลเรื่องการสืบเผ่าพันธุ์อีกต่อไป เพียงแค่ ‘ขโมย’

นางกลับมาเพียงเท่านั้น  ขโมยด้วยวิธีที่ย่ำแย่ที่สุด  มากพอจะทำลายความรู้สึกและสัมพันธ์อันดีที่มีมาตลอดหลายสิบปีนี่
   ชายหนุ่มทอดสายตาที่เหลือเพียงข้างเดียวของตัวเองขึ้นไปยังบนเรือนใหญ่
ระหว่างโบกมือไล่พวกบ่าวรับใช้ตนอื่นลงเรือกันไปเสียก่อน
   …ฤๅไมตรีอันดีจะขาดสะบั้นลงเพียงเท่านี้… …พิจิตรและอโยธยา…

   ฝ่ายพันวังนั้นยังอยู่บนเรือน เขาเป็นคนปิดประตูห้องอ้ายแม่หญิงบุหลันด้วยมือตัวเอง
   เด็กหนุ่มหยุดที่จะสะอึกสะอื้น หยาดน้ำตาทุกหยดแห้งลงไปอย่างง่ายดายเหลือเกิน  แล้วจึงหันกลับมาเดินตามชายหนุ่มเจ้าของผิวสีเข้มไปแทน  ทิ้งให้จ้าวโคจรและแม่หญิงบุหลันแต่งกายให้เรียบร้อยอยู่ในห้อง
ด้วยเวลาที่ไม่รู้ว่าอ้ายพี่จะให้มากมายเท่าไหร่
   โดยไม่ต้องเดาเลย…
จ้าวแสนตาเตรียมจะเดินเข้าห้องด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆเหมือนเช่นก่อนหน้านี้
   …และภาพที่เห็นนั้นช่างเจ็บปวดนัก…

   “อ้ายพี่แสนตา”
   คำที่เรียกนั้นทำให้เจ้าของนามชะงักอยู่ตรงประตูห้อง อีกคนไม่ได้หันมา
   “…มีกระไรรึ…น้องพันวัง?”

   เสียงที่เอ่ยทั้งแหบแห้งและสั่นพร่า แผ่นหลังกว้างสีน้ำตาลนี้ดูอ่อนแอยิ่งกว่าที่เคยเห็นครั้งไหนๆ กระนั้นก็ยังรักษากระแสเสียงอ่อนโยนที่ใช้พูดกับเขาเป็นประจำไว้ได้
   ร่างโปร่งสูดลมหายใจสะอึก  
ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหา
   “…เป็น…อะไรรึเปล่าขอรับ?”

   อีกฝ่ายหลับตาลง  ยกมือกดนวดที่หว่างคิ้วของตัวเอง..ทั้งน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “จะเป็นกระไรเล่า  แค่เห็นเพื่อนรักกับเมียร่วมเตียงกัน…มิใช่เรื่องที่น่าหนักใจอะไรนักดอก”
   “อ้ายพี่….”
   “ข้าสิ…ข้าผิดเอง…”
   เขายังคงพูดต่อไป  เสียงทุ้มแหบสั่นไหวขึ้นเรื่อยๆ
   “ข้าสิบอกไปแล้วว่าอ้ายแม่หญิงมีสิทธิเลือก มีสิทธิที่จะรักใคร  เลือกใคร หรือแม้กระทั่งร่วมหลับนอนกับใคร  

ข้าสิให้โอกาสนางเสมอ  ด้วยเป็นตัวเมียที่เหลืออยู่เพียงไม่มาก…นั่นก็ล้ำค่านักแล้ว”
   “อ้ายพี่…”
   “ช่างน่าขันนัก” ชายหนุ่มนึกขำ แต่นั่นช่างฝืนเหลือเกิน ”ทั้งที่บางที..ข้าคิดว่าหากอ้ายแม่หญิงตั้งท้องลูกของอ้ายโคจรด้วยข้าก็มินึกห้าม เพื่อเผ่าพันธุ์ของเราจะได้ดำรงสืบไป…ไม่ว่าจะเป็นพิจิตรหรืออโยธยา…”

   คราที่จ้าวโคจรแบ่งปันนายกำนัลคนโปรดให้ หรือจะกี่ร้อยกี่พันครั้งที่พวกเขามีน้ำใจไมตรีต่อกัน  ด้วยเป็นจระเข้  ด้วยเป็นพี่น้องที่มีเหลืออยู่ไม่มากนัก
   …หรือจะด้วย…
อะไรก็ตามแต่
   “ข้าเพียง…เพียงแค่คืนนี้ คืนนี้มันเป็นคืนแต่งงานของข้า”

   คำนั้นหลุดออกมาดัง  คล้ายจะขาดใจ
   “…ข้าก็แค่โดน ‘ทรยศ’เท่านั้นเอง…”

   เบาเหมือนสายลมที่พัดผ่าน  แต่กลับทิ้งก้อนตะกอนตกค้างคาไว้ในจิตใจ
   บรรยากาศกลับเข้าสู่ความเงียบงันอยู่เนิ่นนาน คงฟังรู้สึกคอแห้งคล้ายกลืนกำทรายหนึ่งหยิบมือ  แต่ก็ทำอะไรมิได้นอกจากยืนมองแผ่นหลังสะท้านนั่นอยู่แบบนั้น  ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทรกกลาง  
ปล่อยให้เงาจากแสงไฟตะเกียงที่หัวเรือนขยับไหววูบ
   “…เจ้าจงรีบไปเก็บของเสีย” นาน..ก่อนจะพูดต่อ

“…ตามจ้าวพี่ของเจ้ากลับไปเสียเถิด”
   “แต่อ้ายพี่…”
   “รีบไปเถิด” เขาย้ำ..อีกครั้งหนึ่ง

“..ข้า..อยากอยู่คนเดียว”
   พันวังคิดว่าตัวเองบ่อน้ำตาตื่นเสียเหลือเกิน เขาขยับกายเข้าไปกอดอีกคนจากด้านหลัง  แล้วซุกหน้าลงที่

แผ่นหลังกว้างก่อนแน่นิ่งอยู่แบบนั้น
   “….ข้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้….”

   คำนั้นพูดออกไปไม่ชัดนัก  ทั้งน้ำมูกน้ำตาพาลอึดอัดไปเสียหมด
   “ข้าปล่อย…ให้ท่านอยู่เพียงคนเดียวมิได้….”

   ..อ้ายพี่แสนตาที่แสนดี..
   กี่ร้อยกี่พันครั้งที่อ้อมแขนนี้กอดเขาด้วยความรักความอ่อนโยน คอยปลอบประโลมยามเจ็บช้ำไม่ว่าเรื่องอะไร  

คำหวานทุกคำที่พร่ำบอกพร่ำเอาใจ  หรือแม้กระทั่งสีหน้าตอนที่ตัวเองเนี่ยแหละเป็นคนเอื้อนเอ่ยบอกตัดความสัมพันธ์
   ไม่ว่าจะครั้งไหนหนใด  จ้าวแสนตาก็เก็บอารมณ์ได้ดีเสมอ  เขาต่างจากจ้าวโคจรที่มักแสดงสีหน้าท่าทางที่หลากหลาย แต่นั่นมิได้หมายความว่าไม่ได้มีความรู้สึกรู้สา  
เพียงแค่เก็บซ่อนอารมณ์ต่างๆไว้ข้างในเท่านั้นเอง

   แตกต่าง…ตรงที่แม้กระทั่งความเจ็บปวดนี้ก็ไม่มีใครเข้าใจ…

   “..ข้าจักอยู่กับอ้ายพี่แสนตา..”
-๘-
   …ความรักคืออะไรรึ?
   คือการเป็นห่วงหา…ยามที่เห็นเขาเจ็บเราสิเจ็บมากกว่า..
   
หรือเพียงแค่ทนไม่ได้ที่จะเห็นเขาอยู่กับใครอีกคนกันแน่..
   หากไม่อาจเห็นภาพบาดจิตใจยามเห็นจ้าวแสนตาอยู่กับแม่หญิงบุหลันเป็นความรัก แล้วความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับอ้ายแสนตา  ยามที่เห็นเขาทุกข์น้ำตาจึงออกมามากกว่า  หรือแม้กระทั่งเรื่องที่เลือกจะอยู่อโยธยาเช่นนี้โดยไร้ความห่วงหาจากบ้านเกิดเมืองนอนเช่นนี้…มันมิเรียกว่า ‘ความรัก’ หรอกรึ..?

   ถ้าความรักคือการรักใครได้แค่เพียงคนเดียว…ถ้าเช่นนั้นแล้ว…ความรู้สึกที่มีอยู่นี่คืออะไรเล่า?
   “อ้าว  อ้ายพันวัง…มีอันใดรึ?”
   “ข้าสิจะขอยกสำรับมื้อกลางวันไปให้อ้ายพี่แสนตาน่ะขอรับ”
   “อ้อ  ถ้าเช่นนั้นก็นั่นละ”บ่าวหนึ่งชี้

“ยกไปได้เลย”
   “ขอรับ”
   “ท่านจ้าวเป็นเช่นนั้นก็มิรู้จะทำเช่นใด…ข้าฝากเจ้าด้วยล่ะอ้ายพันวัง”
   “ขอรับ”
   เด็กหนุ่มรับคำ…คิดอยู่เสียนานว่าควรมีประโยคอะไรต่อท้ายสักหน่อยดีรึไม่…แต่ไม่เลย
   จากบ้านเกิดเมืองนอนมาแสนไกล เปลี่ยนที่อยู่ใหม่ไร้ที่พึ่งทางใจ  ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมแบบใหม่นี้ แต่พันวังเองก็ทำได้ไม่เลวนัก  เขาค่อยๆคุ้นชินกับมัน ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่เปลี่ยนไป  

หรือคนที่เปลี่ยนตาม…หรืออาจจะเพราะเป็นเรื่องที่ต้องทำ…ก็เป็นไปได้
   ร่างโปร่งตรงไปที่โต๊ะเตรียมของ มองบรรดาอาหารอันกอปรด้วยข้าวต้มและเครื่องเคียงอีกเพียงเล็กน้อย ทุกอย่างทานง่ายและเป็นของโปรดของอ้ายพี่แสนตาทั้งนั้น

   “จนบัดนี้ข้าก็ยังมิรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น”
   “อย่าถามข้าเลย  ข้าก็มิต่างกับเจ้า”
   “เรื่องที่ไล่ท่านจ้าวโคจรออกจากบ้านก็เรื่องหนึ่ง แล้วเหตุใดอ้ายแม่หญิงบุหลันถึงได้ไปกับเขาด้วยเล่า”
   “ข้าว่าเรื่องนี้…หากตริตรองดูดีๆก็จะเห็นความเป็นไปได้กระมัง”
   “เช่นไรล่ะ?”
   “เจ้านี่ก็โง่นัก  เรื่องเช่นนี้จะพูดได้เสียที่ไหน”
   “เอ้า  เจ้าก็รีบๆพูดมาเสียสิ”
   “มิสังเกตหรอกรึ  ใยพอมาถึงนี่จ้าวโคจรถึงได้อาการประหลาดนัก” บ่าวหนึ่งกระซิบกระซาบ

“ไม่หือไม่อือ  ไม่ร่วมยินดี ขนาดข้าวปลาก็ทานน้อยมิได้ต่างจากท่านจ้าวเราตอนนี้สักนิด”
   คนฟังพยักหน้า

“ก็…นั่นสินะ”
   “แล้วเช่นไรอีกเล่า?”
   “แม่หญิงบุหลันยิ่งเป็นตัวเมียที่หาได้ยากยิ่งด้วย คิดเช่นนี้แล้วก็ต่อยอดเอาละกัน”
   “ประเดี๋ยวสิ  บอกมาขนาดนี้แล้วใยจึงมิบอกให้หมดเล่า”
   “นั่นสิ  จะมัวอมพะนำอยู่ใย เขาก็งุนงงกันทั้งค่ายนั่นแหละ”
   “เอ้า  ข้าสิพูดได้เสียที่ไหน เรื่องของจ้าว”
   “กระนั้นก็พูดมาเสียนานมิใช่รึ”
   ว่าแล้วไอ้คนพูดมากก็โดนตะหลิวฟาดไปเสียที ด้วยมือของอ้ายพี่ทองดี  ที่พันวังคิดว่าคงมีศักดิ์เท่าอ้ายอินทร

ของฝั่งพิจิตร  คนโดนฟาดก็ร้องโอดโอยเสียยกใหญ่ แต่ทองดีก็ยังตีหน้ายักษ์ใส่  แล้วเอ็ดเสียงดัง
   “พวกเจ้าสิเลิกนินทาเรื่องพวกนี้เสีย หากใครมาได้ยินเข้าคงจะเล่ากันไปปากต่อปาก”

   “ฤๅเจ้ารู้เรื่องนี้ดีกระนั้นรึ? อ้ายทองดี”
   “รู้สักที่ไหน  อย่างน้อยข้าก็มิได้เอามาถกเป็นประเด็นเช่นเจ้าก็แล้วกัน” ชายหนุ่มเจ้าของนามหรี่ตาจับผิด  

โบกตะหลิวอีกครา “ไป ไปให้พ้นเสีย  ทำงานทำการซะ ข่าวว่าหน้านางานหนักนักมิใช่รึ”
   “ขอร้าบ”
   “แหน่ะ  ยังมีน่ามาล้อเลียน”
   “พวกข้าก็กำลังจะรีบไปอยู่นี่”
   พันวังลอบผ่อนลมหายใจ  คว้าสำรับอาหารที่ตนตั้งใจมาเอาเดินออกจากโรงครัว  แม้ตนมิได้มีส่วนร่วมกับบทสนทนาทายปริศนาเมื่อครู่  แต่ก็อยู่ฟังจนจบกระบวนความ
   แม้เวลาจะผ่านมาเสียร่วมสัปดาห์ตั้งแต่ที่ขบวนจระเข้แห่งพิจิตรยกกองกลับไป…การเดินทางที่มิได้ผ่านการเตรียมพร้อมนั้นคงลำบากนัก  ทั้งไม่มีปิ่นโตกินข้าวระหว่างทาง  ทั้งบางตัวยังมิได้หลับได้นอน ซ้ำวันนั้นแดดยังออกร้อนเปรี้ยงปร้างเสียอีก  คิดแล้วก็อดเป็นห่วงพรรคพวกของตนไม่ได้  
ด้วยกลัวใครสักคนจะเป็นลมเป็นแล้งกับอากาศร้อนเช่นนั้นเสียก่อน
   …
แต่ดูคล้ายฝั่งนี้จะน่าเป็นห่วงมากกว่านัก
   นอกจากคำครหาและเสียงกระซิบกระซาบไปทั่วทั้งเรือนแล้ว สิ่งที่น่าหนักใจกว่านั้นคงจะเป็นความรู้สึกของจ้าวแสนตา…
ที่ไม่รู้ว่าถูกทำลายลงไปเท่าไหร่
   เด็กหนุ่มก้าวเท้าขึ้นบันไดช้าๆด้วยกลัวน้ำแกงในมือจะหกเสียก่อน หลายคนเหลือบมามองเขา  แล้วหลบไป…

มันเป็นจุดเริ่มต้นของคำถามง่ายๆ ...ที่ว่าทำไมเขาถึง…ยังอยู่ที่นี่…แค่เพราะเขาปล่อยอ้ายพี่แสนตาให้อยู่คนเดียวเช่นนี้ไม่ได้…
   ความจริงที่ว่าตนควรจะกลับไปยังคงค้างคาอยู่ในหัว และเรื่องที่จ้าวเหนือหัวของตนได้กระทำการเช่นนั้นก็เป็นเหตุผลที่ดีที่หลายคนจะขับไล่ไสส่งตัวเองออกไป กระนั้นก็ไม่มีใครทำ  ด้วยเพราะรู้ดีว่าจ้าวแสนตาเอ็นดูเด็กหนุ่มพันวังนี่มากมายเพียงไร   แค่เพียงเหตุผลนั้น…จะพอแล้วรึไม่?
   ก๊อกๆๆ
   “อ้ายพี่แสนตาขอรับ”

   …ไม่มีเสียงตอบรับ…
   พันวังผ่อนลมหายใจ  ก่อนจะถือวิสาสะผลักบานประตูให้เปิดออก  เขาวางสำรับอาหารลงบนโต๊ะกลางก่อน

ถึงจะเดินกลับไปปิดประตูบานเดิมให้สนิท แล้วชะโงกหน้าเข้าไปมองในห้องนอน   เจ้าของห้องยังคงนอนอยู่บนเตียงเช่นเดิม  เหมือนกับตอนที่เขาออกไป
   ร่างสูงดูอ่อนแรงนักเมื่อทำได้เพียงทอดกายอยู่บนเตียง ปล่อยให้ดวงตาสีอำพันคู่นั้นเบือนมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไรจุดหมาย ทั้งวรกายด้วยเหนื่อยล้าแม้ไม่ได้ทำกิจอันใดมากนัก  ..กระนั้นก็เข้าใจได้ไม่ยากเย็น…

   “…อ้ายพี่แสนตา…”
   เจ้าของนามเบือนสายตามาสบ  แล้วยิ้มอ่อนให้   คนมองกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แต่ก็ต้องเอ่ยออกไป
   “กินอาหารเสียหน่อยเถิดขอรับ ข้าจะยกมาให้นะ”

   การพยักหน้าเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นทำให้คู่สนทนาอึดอัดในอกนัก ยามที่หันหลังกลับมายกสำรับอาหารอีกครั้งนั้นต้องยกมือปาดหยดน้ำตาเล็กๆเสียก่อน พันวังใช้เวลาสงบสติจากอาการนั้นอยู่เพียงไม่นาน  ก็เข้าไปปรนนิบัติอ้ายพี่ของตนได้
   
..จ้าวแสนตาอ่อนแอลงนัก..
   ราวกับวันที่ท้องน้ำแห้งขอดจนเห็นพื้นดินแห้งแตกระแหง และ…
เขากำลังรู้สึกเช่นนั้น

   ครั้งหนึ่ง…เคยได้ยินถึงเหตุผลที่ทำไมจ้าวถึงเป็นจ้าว เพราะสายเลือดสูงศักดิ์กับพลังอำนาจสูงส่งนี้  หากจระเข้แปลงอย่างเรามีอายุได้มากถึงหนึ่งร้อยปี  จ้าวอาจจะอยู่ได้ถึงพันปีหมื่นปี  ยามรบราต่อกรกับมนุษย์ อาคมคาถา

หรือหอกดาบก็มิอาจสะเทือนซึ่งผิวหนังของจ้าวได้
   …จึงได้ชื่อว่า ‘จ้าวธารา’
   แต่กระนั้นอายุจ้าวก็มิเคยอยู่ได้นานนัก
   แม้จะเคยได้ยินมาเพียงตำนานอันแสนไกล ว่าเพียงคมหอกเดียวที่สามารถแทงทะลุผิวหนังจ้าวได้  เพียงสิ่งเดียว…

ที่ทรงอำนาจมากพอจะสังหารจ้าวได้
   …คือการ ‘ทรยศ’
   อาจเพราะครึ่งหนึ่งกลายเป็นมนุษย์ ความรู้สึกจึงได้สร้างความสัมพันธ์ที่แสนเปราะบางขึ้นมา
   เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว  มือที่พยายามตักป้อนข้าวอยู่นั้นก็สั่นเสียดื้อๆ  เด็กหนุ่มรู้สึกยากที่จะสะกดความรู้สึก

ไว้ข้างใน  ยิ่งมองคนตรงหน้าที่อ่อนแอลงแบบนี้ด้วยแล้ว…
   ในอกปวดนัก…ราวกับพร้อมจะแตกสลายลงเหมือนเม็ดดินก็มิปาน
   “พันวัง?”

   เสียงแหบเรียก  ดวงตาคู่นั้นยังเจือความเป็นห่วงอยู่มิใช่น้อย
   “เจ้าเป็นกระไรรึ?”

   คนถูกถามหลุบตาลง

“มิเป็นไรดอก  อ้ายพี่สิกินเสีย”
   ว่าแล้วก็จ่อช้อนที่ริมฝีปาก คู่สนทนายังคงดูเหมือนสงสัยอยู่  แต่ก็อ้าปากรับแต่โดยดี
   “พอแล้ว” จ้าวหนุ่มกล่าว

“ข้าอิ่มแล้วล่ะ”
   พันวังก้มหน้าลง  มองข้าวต้มที่ยังเหลือกว่าครึ่งในชามตัวเอง  เขามีหน้าที่เฝ้าดูแลอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิดขนาดนี้

แต่หากแม้แต่งานที่ได้รับมอบหมายให้ป้อนข้าวป้อนน้ำยังมิสำเร็จ  จะช่วยอ้ายพี่แสนตาได้อย่างไรกัน
   “อ้ายพี่กินอีกเสียหน่อย  ข้าสิจะไปเอายาบำรุงกำลังมาให้” เด็กหนุ่มกล่าว
พยายามคะยั้นคะยอ
   “จะต้องกินยาอีกรึ?”

   “แน่สิขอรับ”
   อีกคนเบ๊หน้า “งั้นข้าไม่กินเห็นจะดีกว่า”
   “อ้าว  โถ่อ้ายพี่”ร่างโปร่งโอดครวญ

“เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่จะหายเป็นปกติล่ะขอรับ”
   ช่วงเวลานั้นเองที่คนฟังเงียบไป   นาน..กว่าจะเอ่ยออกมา
   “ข้าสิ…อยากตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด”

   คำพูดนั้นทำให้ในอกแห้งผากนัก เด็กหนุ่มสั่นศีรษะระรัว
   “โปรดอย่าพูดเช่นนั้น”

   “ทำไมล่ะ?”
   “หากอ้ายพี่จากไปเสีย  แล้วข้าเล่าจะอยู่กับใคร”
   คนฟังยิ้มอ่อน  แตะมือลูบไล้ที่ข้างแก้มเนียน..สัมผัสอบอุ่นเช่นนั้นทำให้อีกฝ่ายเอียงหน้ารับ ก่อนหันไปจูบมือที่แสนอ่อนโยนข้างนั้นอย่างเผลอไผล
   “ไม่รู้สิ..พันวัง…ข้าน่ะ….”เปลือกตาสีเข้มปิดลงสนิท  กลีบปากหยักเม้มเข้าหากันแน่น

“ข้ารู้สึกคล้ายตัวเองทำผิดนัก  ทั้งกับอ้ายโคจร…แม่หญิงบุหลัน…หรือกระทั่งเจ้า”
   “อ้ายพี่ไม่ผิดสักนิด”
   พันวังวางชามลง  โผเข้ากอดซบอีกคนซุกหน้าลงที่อกกว้าง…แม้จะปฏิเสธออกไปเช่นนั้น แต่เขาก็มิอาจพูดออกไปได้อย่างเต็มปากว่าเป็นความผิดจ้าวโคจร หรือเป็นความผิดใครต่อใคร
   …อาจจะเพียงคนละเล็กละน้อย…
เรื่องเล็กน้อยที่ละเอียดละอ่อนนัก
   “…เรื่องนี้ไม่มีใครผิดทั้งนั้นดอกขอรับ”

   มือใหญ่เลื่อนมาโอบปลอบร่างโปร่งบางไว้ แล้วลูบสัมผัสทั้งหัวทั้งหลัง  หมายจะปลอบโยนคนตัวเล็กที่ขี้แยร้องไห้โฮเช่นนี้อีกครั้ง
   “ข้าฝืนรั้งเจ้าไว้ด้วยความอ่อนแอของข้า..ข้าสิผิดนัก”

   “มิใช่ดอก…” เสียงหวานพร่ำกระซิบบอก

“เป็นประสงค์ของข้าเอง  ข้าจะอยู่กับอ้ายพี่แสนตา จะมิทิ้งท่านไปไหน”
   “จะสงสารก็ดี  หรือจะอยู่ด้วยรู้สึกผิดต่อข้าก็ดี”จมูกโด่งกดลงบนหน้าผากเนียน  จูบปลอบให้อีกคนหยุดสั่นสะท้านเช่นนี้…หรือบางทีอาจจะแค่การปลอบใจตัวเอง

“ช่างน่าสมเพชนักที่…ข้ากลับนึกดีใจ อย่างน้อยเจ้าก็มิได้จากข้าไปไหนเหมือนใครคนอื่น”
   “อ้ายพี่แสนตา…ข้าจะอยู่กับอ้ายพี่แสนตา”
   “ข้ารักเจ้า..พันวัง”
   มันเป็นเสียงกระซิบที่เอื้อนเอ่ยออกมา ราวน้ำเย็นหวานที่ราดลงบนเนื้อหัวใจ
   “แล้วเจ้าเล่า…รู้สึกเช่นไร?”

   พันวังมิได้ตอบสิ่งใดออกไป   เพียงเงยหน้าขึ้นประทับริมฝีปากเคล้าเคลียกับอีกคน   เขายังไม่แน่ใจคำตอบของคำถามนั้น  จึงเลี่ยงที่จะไม่พูดออกไป แต่ก็มีบางอย่างที่เขาพอจะเข้าใจตัวเองได้ชัดเจน……
   “…ข้าจะไม่ทิ้งท่านไปไหน  ข้าสัญญา”

   “น้องพันวัง”
   “ขอรับ?”
   ชายหนุ่มร่างใหญ่ยกมือเกาแก้ม

“ยินข่าวว่าขบวนของจ้าวโคจรเดินทางถึงพิจิตรปลอดภัยดี เจ้ามิต้องเป็นห่วงนักนะ”
   “ขอรับ  ขอบคุณอ้ายพี่สหัสนักที่เป็นธุระให้ข้า”
   “มิใช่ดอก  ที่จริงข้าเองก็เป็นห่วงอยู่มิใช่น้อย ด้วยพวกเราทั้งหมดก็คนกันเองทั้งนั้น…เพียงแค่…”
   จังหวะที่เสียงเงียบทิ้งช่วงลงไปนั้นคือความเงียบงัน ที่พวกเขาทั้งคู่เข้าใจกันดี
   ในเพลานั้นมีเพียงหกตนเท่านั้นที่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โชคดีที่อ้ายพี่รดินและอ้ายพี่สหัสช่างแสนภักดีนัก  ถึงได้เก็บเงียบเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ยอมปริปากพูดออกมา  ด้วยคิดว่ามิใช่เรื่องที่ต้องหยิบยกเอานายไปพูดจาพล่อยๆ  
รังแต่จะให้เกิดความแตกแยกเสียดสีกันเสียเปล่าๆ
   ในใจพันวังนึกขอบคุณอ้ายพี่สหัสคนนี้อยู่ไม่ใช่น้อย ทั้งที่ตนเป็นคนของทางฝั่งโน้น  แต่ก็มิได้แสดงอาการรังเกียจหรือเหยียดนัก ซ้ำยังคอยถามความเป็นไปอยู่เสมอ  
แม้จะออกมาแบบเก้ๆกังๆนักก็ตาม
   มิว่าจะเป็นคนของฝั่งใด  จะผิดใจกันแค่ไหน  แต่จระเข้ก็คือจระเข้   ชนเผ่าที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น  
และสหัสคงตระหนักถึงความจริงข้อนั้นได้ดี
   “แล้วท่านจ้าวล่ะ…เป็นเช่นไรบ้าง?”

   “ตอนนี้เริ่มกินอาหารได้เยอะขึ้นแล้วขอรับ”เด็กหนุ่มตอบกลับไป

“นี่ก็เพิ่งต้มยาให้ไป  ยังคงนอนพักอยู่เพียงแต่ในห้อง”
   “ดีแล้ว  ท่านร่าเริงขึ้นบ้างรึไม่?”
   พันวังส่ายหน้าช้าๆ

“…คงยากนัก  แต่ข้าจักพยายามให้ดีที่สุด”
   “ขอบใจเจ้ามาก”
   “เรื่องกระไรรึ?”
   “ทั้งๆที่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าเพียงสักนิด…แต่ต้องมารับกรรมที่ตนมิได้ก่อ”
   “ข้าไม่เห็นว่าเป็นกรรมเช่นนั้น ข้าทำเพราะประสงค์ของข้า”
   “ข้าถึงต้องขอบใจเจ้า”
   เขายิ้มตอบ “อ้ายพี่สหัสอย่ากังวลไปเลย ท่านจ้าวของท่านมิเป็นไรดอก  ท่านมิใช่รึที่รู้จักความแข็งแกร่งของอ้ายพี่แสนตายิ่งกว่าใคร”
   “เรื่องนั้นก็ใช่…”
   “อีกไม่นานเท่านั้น  บาดแผลนี้เพียงต้องใช้เวลารักษา”
   “….ข้ามิอยากให้มันนานมากไปกว่านี้เลย…”
   คำที่คล้ายกับกระซิบกระซาบไม่แน่ใจเช่นนั้นทำให้คนฟังต้องเลิกคิ้วมอง
   “อะไรนะขอรับ?”

   “…ท่านจ้าวหายไปเช่นนี้  บ่าวไพร่พากันวิตกนัก” ชายหนุ่มถอนหายใจ ทอดสายตามองไปรอบๆเรือน

“วาระด้านนอกก็แสนสาหัส  ยากจะรับมือ หากข่าวเรื่องจ้าวแสนตาล้มป่วยหลุดไปถึงหูศัตรู  มิวายพากันล้มตายหมดเสียทั้งเรือน”
   เด็กหนุ่มพยักหน้า  เขาเข้าใจในคำพูดนั้น  ด้วยรู้ว่าเมืองแห่งนี้คราคร่ำไปด้วยผู้คนมากกว่าบ้านเก่าของตน ส่งผลให้จระเข้ที่นี่ถูกตามล่ามากกว่าที่พิจิตร…และเต็มไปด้วยสงครามมากมาย
   ศึกที่บางคราต้องรับนั้นหนักนัก วันหนึ่งเมื่อ ‘จ้าว’ ของพวกเขาเจ็บป่วยลง สถานการณ์คงง่อนแง่นน่าดู  ที่จริงแล้วพันวังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเหล่านั้นมากนัก ด้วยตัวเองเกิดและโตในฐานะนายกำนัล  
แถมยังอยู่ในเมืองที่ไม่ต้องประมือกับหมอปราบจระเข้บ่อยนัก
   ว่าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน หากที่นี่วุ่นวายนัก…หากว่าจ้าวแสนตากับจ้าวโคจรไม่บาดหมางกันเสียก่อนแบบนี้…
ก็หวังให้อพยพย้ายไปอยู่พิจิตรกันเสียให้หมด
   “แล้วอ้ายพี่สหัสเล่า  แต่งองค์เสียครบ  จะไปไหนรึ?”

   คนถูกถามกรอกตา

“ฟังแล้วอย่าเพิ่งเรียนจ้าวเหนือหัวเล่า  รังแต่จะอ่อนล้ากว่าเดิม”
   “ข่าวร้ายกระนั้นรึ?”
   “มิสู้ดีเท่าใดนัก” เขาผ่อนลมหายใจ“ค่ายเราที่ต้นน้ำมิได้ติดต่อกันตั้งแต่ยามก่อน ข้าสิจักไปดู  เกรงว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น พักนี้พวกมนุษย์ยิ่งร้ายนัก  คราก่อนก็บุกจมค่ายตะวันตกไปเสียเฮี้ยน ข้าสิกลัวคราวจะตก

ซ้ำรอยเดิม  ระวังไว้ก่อนจะมิทันการณ์”
   “อ้ายพี่โปรดระวังตัว  ขอให้กลับมาโดยปลอดภัยนะขอรับ”
   “เจ้าเองก็เช่นกัน  ข้าขอฝากท่านจ้าวด้วย”
   “ขอรับ”
   ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ  หมุนตัวเดินก้าวลงกระไดพร้อมเอ่ยเสียงเบา
   “ข้าสิภาวนา…ให้จ้าวแสนตากลับมาแข็งแรงเช่นเดิมในเร็ววัน”

   คนฟังพยักหน้าเพียงเล็กน้อย  รู้สึกภาระที่ตัวเองกำลังแบกอยู่ช่างหนักนัก  กระนั้นคำอวยพรก็ยังทำให้เขา
หลับตาลง แล้วสวดมนต์อ้อนวอนเช่นกัน
   สหัสออกไปในครานี้นำทหารหาญตามติดไปด้วยสองนาย และไม่ใช่ไปด้วยล่องลำเรือแบบที่สัญจรปกติ  หากมุดตัวดำดิ่งลงในน้ำ  
กลายร่างเป็นกุมภาตัวใหญ่เร้นกายอยู่ใต้ห้วงธารา
   เด็กหนุ่มยืนมองทั้งสามคนจากบนเรือนจนลับสายตา มองตามคลื่นน้ำที่ผิดปกติจนหายลับไป  นั่นแสดงว่าอ้ายพี่ทั้งสามคงจะดำลงไปเสียลึก เป็นวิธีแฝงกายที่น่ากลัวนักกับมนุษย์  
แต่เป็นเรื่องปกติยามที่จระเข้มีภัยใกล้ตัว
   …เขารู้สึกไม่สู้ดีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากนัก   ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนก้อนหินที่กลิ้งลงจากเนิน  
รังแต่จะเพิ่มความเร็วมากขึ้นเท่านั้น
   ข้าแต่พระแม่คงคา…ขอให้เรื่องเลวร้ายนี้…
ผ่านพ้นไปในเร็ววันด้วยเถิด


นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
338
พลังน้ำใจ
31588
Zenny
66215
ออนไลน์
8138 ชั่วโมง
โพสต์ 2014-12-8 02:02:47 | ดูโพสต์ทั้งหมด

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
19415
Zenny
2198
ออนไลน์
1152 ชั่วโมง
โพสต์ 2017-2-20 04:43:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณมาก

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
30190
Zenny
21874
ออนไลน์
2288 ชั่วโมง
โพสต์ 2019-4-23 11:14:33 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม

ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2024-11-24 16:08 , Processed in 0.102750 second(s), 26 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.8

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้