รักเรียวไม่เปลี่ยนแปลง
本帖最後由 หนุ่มบ้านนา 於 2010-10-4 15:07 編輯... เมื่อปี 1996 และ 1997 ผมได้มีโอกาศเดินทางไปเรียนใน ระดับ มัธยม ปลายที่ ประเทศญี่ปุ่น ครับ โรงเรียนที่เรียน ตั้งอยู่แถบชานเมืองโตเกียว จะเลยออกไป
ทาง จังหวัด จิบะ และเป็นโรงเรียน ที่แยก นักเรียนเรียนตามแผนก คือ แผนก นัก
เรียนชาย และ นักเรียนหญิง ซึ่งจะถูกกั้นเอาไว้ด้วยถนน ตอนนั้น เป็นการเริ่มภาค
เรียนใหม่ ถ้าจำไม่ผิด จะเป็น ช่วงต้นเดือน เมษายน..
"ผม เป็นนักเรียนใหม่ สังกัดนักเรียนต่างชาติ **** Hidden Message ***** เวลานั้น ดึกมากแล้ว.. ปกติ รถไฟสายนี้ จะไม่มีแม้แต่ที่จะยืนด้วยซ้ำ ถ้าเป็น
เวลาเร่งด่วน แต่นี้มันคงดึกมากแล้ว เราเลยได้นั่งกัน ระหว่างทางที่นั่งไปด้วย
กันนั้น เรียวก็เอาแต่ หลับ คอพับมาซบเราอยู่ที่ไหล่.. ทั้งๆ ที่เราก็ตัวเล็ก
กว่า หัวเรียวก็หนัก เหม็นเหล้าอีกต่างหาก.. ตอนนั้น คิดแต่ว่า ทำไม เราต้องมา อยู่กับไอ้นี่ด้วย มันอะไรเนี่ย เพิ่งจะคุยกันเองเนี่ยนะ ห้องเราก็ไม่ใช่ แล้ว
ทำไม มายุ่งกับห้องเราได้ งง ไปหมด.. อยากให้ถึง ป้ายบ้านเขาเร็วๆ จะได้ลงๆ ไป ซะที ไป ไป ไป รีบๆ กลับบ้านไปซะที ง่วง ...
แต่ว่า พอถึงป้ายเขาแล้ว ปลุกก็แล้ว บอกว่า เรียวคุง ตื่น ! ถึงแล้ว ลงได้
แล้ว.. แต่เรียวก็ไม่ตื่น หลับตาอยู่อย่างนั้น อึม อัม อึม อัม อะไรก็ฟังไม่
ออก โนะ โนะ เนะ เนะ "ไม่ได้ๆ ตื่นแล้วลงป้ายนี้เร็วๆ สิ" ท่ามกลางสายตาของคนใน ตู้นั้นที่มองผมกับ
เรียว อาจจะเพราะ ผมเสียงดังเกินไปก็ได้ แต่ทำไงได้ เรียวต้องตื่น ตื่น เดี๋ยวนี้ "ตื่น สิ ตื่น ตื่น ตื่น" (okite okite okite okite imasugu okite ryou)
ปลุกเท่าไหร่ ก็ไม่ตื่นทำไงอ่ะ อีก 3 ป้ายถึง หอผม จะเอาไง จะให้ลากลงไป หรือจะ
จัดการไงดี.. หรือจะให้ นอนไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเขาก็มาลากลงไปเอง เอาไงดี พอถึง
ป้ายหอผม ผมเรียก แค่ "เรียว" !! คำเดียว ก็ลืมตา แบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาถาม
ว่าถึงป้ายแล้วหรอ ผมบอกว่า เลยมาแล้วนะ..ป้ายบ้านเรียวอ่ะ จะเอาไง จะลงแล้วต่อ
กลับบ้านไป หรือจะเอาไง ถ้าตัดสินใจตอนนี้ ก็คงจะยังทัน รถไฟเที่ยวสุดท้าย
นะ..
เรียวไม่ตอบ แต่บอกแค่ว่า ถ้ากลับบ้านตอนนี้ เขาต้องลำบาก เพราะ ปกติ ถ้าจะออก
ไป ไหนแล้วกลับดึกๆ เขาจะไม่กลับไปนอนที่บ้าน เพราะทุกคนที่บ้านจะนอนกันหมดแล้ว ปกติกลับบ้านได้ไม่ดึกนัก เพราะถ้าปิดบ้านแล้ว ก็คงไม่มีใคร ลงมาเปิดบ้าน
ให้...
อ้าว .... แล้วเรียวไม่มีกุญแจบ้าน ? คำตอบคือ ไม่มี .. แล้วปกติ เวลามี ดื่ม เรียวทำไง ? คำตอบคือ ไปนอน บ้านเพื่อน แล้วจะทำไงคืนนี้ ? เขาถามกลับแบบทันที
ว่า ถ้าจะขอรบกวน นอนที่หอด้วย ซักคืนจะได้ไหม..? พูดแล้วก็มอง แบบ น่าสงสาร ตา
ตี่ๆ หน้าแดงๆ เพราะเหล้า ผมข้างหน้ายาวลงมา ปรกตา มันทำให้ผมใจอ่อน บอกไปแค่
ว่า รกหน่อยนะ เพิ่งมาถึง ยังไม่ถึงเดือน ของยังไม่เข้าที่ ห้องก็แค่ 6 เสื่อ มันคงไม่สบายเหมือน นอนที่บ้าน... "คืนนี้รบกวนด้วยนะครับ " เรียวพูดแค่นั้น.. ตอนนั้น อีก แค่สถานีเดียว จะถึงหอผมแล้ว.. "อืมมมม อีก ป้ายเดียวเอง ขอยืมไหล่นอนเล่นหน่อยนะ" แล้วก็นอนบนไหล่ผม หลับตา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ...
นี่มันอะไรวะ... ผมคิดได้แค่นั้น จากนั้น รถไฟก็พาเรามาถึง ป้ายหอผมครับ ลงจาก
รถไฟ แล้ว จำได้ว่า คืนนั้น 5 ทุ่มกว่าๆ แล้ว คนก็พอมี "ถือกระเป๋าให้ก็ได้ ถือว่าตอบแทนที่คืนนี้ให้ที่พัก" ผมกำลังจะตอบ ปฏิเสธแต่เรียวก็ ขว้าเอา กระเป๋า หนังสือผมไปซะแล้ว .....
..... คืนนั้น เรา 2 คนเดินจาก สถานีรถไป หอผม.. จริงๆ แล้วผมเดินผ่านทางนี้ทุก
วัน จนรู้สึกว่ามันใก้ลมาก.. แต่ทำไม วันนี้มีเรียวมาเดินด้วยแล้ว เหมือนกับ
ว่า ทางมันไกลออกไปอีก เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงหอ สักที ง่วงก็ง่วง พรุ่งนี้จะมี
แรงตื่นแต่เช้า ขึ้นรถไฟไปเรียนหรือป่าวนะ.. นักเรียน ญี่ปุ่นนี่เก่งจริง ขนาด
เรียนๆ กันอยู่ ยังออกไปฉลอง ออกไปดื่ม ไปร้อง คาราโอเกะกันได้ทุกวัน ทุกคืน ถ้าอยู่เมืองไทยไม่ได้ทำแน่ๆ เรื่องแบบนี้
เดินกันไปเรื่อยๆ ถนนแคบๆ มีเสาไฟเป็นระยะ บ้านคนที่แทบจะปิดไฟนอนกันหมดแล้วทุก
บ้าน เด็กโรงเรียนชายล้วน 2 คนในชุดยูนิฟอร์ม เดินกันไปเรื่อยๆ โดยที่อีกคน
หนึ่ง กำลังถือกระเป๋าให้อีกคนนึงอยู่ ระหว่างทางจากสถานี ไปที่หอผมนั้น จะมี
ร้านบะหมี่แบบรถเข็น จอดขายอยู่ด้วย.. จริงๆ ผ่านทุกวัน แต่ไม่เคยสังเกตุหรอก
ครับ เพิ่งจะมาเห็นวันนี้เอง เพราะเรียวหิว เรียวเลยชวนกิน.. จริงๆ ตอนนั้น ผม
ไม่ได้หิวเลย อยากจะกลับไปนอน นอน นอน นอน นอน ให้สบายด้วยซ้ำ แต่ไม่อยากตอบ ปฏิเสธไปเพราะสงสาร...
เรียวสอนผม ถึง วัฒนธรรมการกิน บะหมี่ในคืนนั้น.. จริงๆ แล้ว ก่อนหน้านี้ผมก็
เคยมาญี่ปุ่นบ้างแล้ว ร้านบะหมี่ข้างทาง หรือ บะหมี่ ยืนกินก็เคยกินแล้ว รู้
วิธีกินแล้ว แต่ต้องทำไม่รู้ ฟังไปเรื่อยๆ อย่างนั้น ... กินเสร็จแล้ว ผมก็ชี้
ให้เรียวดูว่า หอผมอยู่ตรงนี้ๆ นะ เดินไปอีกนิดเดียวเอง..
จำได้ว่า คืนนั้นเราคุยกันว่า พรุ่งนี้ใครจะตื่นไปโรงเรียนก่อนกัน ใครตื่นก่อน
ให้ปลุกด้วย เรียวบอกว่า เรียวคงไม่ตื่นก่อนโบ้ทคุงหรอก เพราะเรียวอยู่บ้านแม่
ปลุก ทุกเช้าเลย ... จริงๆตอนนั้น ผมคิดแต่ว่า ขึ้นไปบนห้องแล้วจะทำไงดี รกก็รก ของก็เกลื่อนออกอย่างนั้น น่าอาย.. เขาจะคิดว่าเราสกปรกป่าวเนี่ย "รบกวนหน่อยนะ
ครับ" เสียงเรียวพูดพร้อมๆ กับก้าวเข้ามาในห้องผม..
ยัง ไม่ทันไรก็เริ่ม พูด พูด พูด พูด ตื่นตาตื่นใจ กับสิ่งที่ได้เห็นเหลือเกิน ถามใหญ่ ไอ้นั่นอะไร ไอ้นี่อะไร ทำไมไม่เก็บซะ มาตั้งหลายวันห้องยังรกอยู่
เลย.. ผมก็ได้แต่ยิ้มกับหัวเราะ แล้วบอกว่าจะอาบน้ำ เรียวจะอาบหรือป่าว ? ดีที่
เรียว บอกว่าไม่อาบ ไม่อย่างนั้นก็ต้องอายห้องน้ำอีก ... ก่อนไปอาบน้ำ เราตกลงกันว่าจะตื่นกี่โมงในวันพรุ่งนี้ แล้วก็ตั้งนาฬิกาปลุกเอา
ไว้.. ผมนำฝูกที่นอนมาปู แล้วบอกเรียวให้นอนซะ ไปอาบน้ำเดี๋ยวมา แล้วผมก็ไปอาบ
น้ำ ผมใช้เวลาไม่มากนักในการอาบน้ำ 5 นาทีก็ไม่ถึง แต่พอออกมาจากห้องน้ำ เรียว
ก็ หลับไปแล้ว หลับบนเสื่อด้วย ไม่ได้นอน บนฝูกที่ปูไว้ให้ ดื้อจริงๆ.. ตอนนั้น กลัวแต่ว่าเรียวจะไปพูดกับคนอื่นว่า มาค้างห้องเราลำบาก จะหาว่าเราใจดำ ถ้าพูด
แบบนั้นจริงๆ ก็ช่วยไม่ได้นี่หว่า อยากหลับเลยมาเองทำไม.. ผมปิดไฟทิ้งตัวลงนอน ก่อนนอน พูดกับเรียวเบาๆ ว่า "oyasumi" [ราตรีสวัส] แล้วก็หลับไม่รู้
เรื่อง ......
เสียงเพลง อึกทึกโครมคราม ประสาทๆ ดังขึ้น เป็นเสียงจากนาฬิกาปลุก Super ของผม
เองครับ ปลุกด้วยเสียง เพลงบ้าๆ จะได้ตื่นเร็วๆ .. ผมตื่นขึ้นมาดูเวลา แล้วก็
ตกใจ เพราะเรียวหายไปแล้ว หายไปไหนวะ !! มองไปมองมา ที่ประตู เรียวเขียนข้อความ
เอาไว้ประมาณว่า "ขอบคุณมากที่ให้ที่พักและพากลับบ้าน เจอกันที่โรงเรียนนะคับ" ลงชื่อว่า "เรียวสุเกะ"
อ่อ ... จริงๆ ชื่อเรียวสุเกะหรอกหรอ ซื่อบ้านนอกจังว่ะ เพราะปกติคนญี่ปุ่น จะ
ตั้งชื่อลูกชายออกมาเหมือนกัน ต้องมี สุเกะๆ ต่อท้าย ชื่อโคตรโหลเลย ผมเอา
กระดาษเล็กนั้น มาใส่ไว้ในไดอารี่ ของผม ไอดารี่เล่มที่ผมคัดลอกเอา ชีวิตในแต่
ละวันของผม มาเขียนเป็นเรื่องนี้นั่นแหละครับ.. แล้วผมก็อาบน้ำแต่งตัวไปเรียนตามปกติ ก็เหมือนๆ กับวันที่ปกติทั่วๆ ไป เว้นแต่
ว่า ที่หน้าสถานีวันนี้ มีคนหน้าตาคุ้นๆ ยืนอยู่ เรียว นั่นแหละครับ "หวัดดี" เขาทัก ผมงงๆ นิดหน่อย ดูจากชุดและทรงผม คงผ่านการอาบน้ำ แต่งตัว มาแล้วเรียบร้อย "มาทำอะไรหรอ?" ผมถาม
"รอนายอยู่เนี่ย อยากมารับไปโรงเรียน เพราะปกติผมไม่มีเพื่อนไปโรงเรียนเลย เพราะบ้านอยู่ไกลจากโรงเรียน มีนายคนเดียวที่ผมรู้จัก ที่ต้องขึ้นรถไฟสายเดียว
กับผม ต่อไปนี้ไปโรงเรียนด้วยกันทุกวัน ได้ใช่ไหม..?"
ผมงงๆ นิดหน่อย แล้วตอน ม.ต้น มันทำไมไปคนเดียวได้มาตั้ง 3 ปี แล้วทำไมเพิ่งจะ
มาเหงา แต่ก็เออๆ ออๆ ไปด้วยอ่ะครับ ดีซะอีก มีอะไรกับคนญี่ปุ่นระหว่างทาง จะ
ได้ให้มันช่วยซะเลย เพราะปกติ เวลานั่งรถไฟไปโรงเรียน บางทีก็มีปัญหา สื่อสาร
กับคนทั่วๆ ไปไม่รู้เรื่อง มีเรียวอยู่ด้วยคงดี...
ใน รถไฟวันนั้น เราคุยกันหลายเรื่อง ทั้งชื่อจริงของ เรียว ชื่อเล่นของเรียว ชื่อโบ้ท ชื่อจริง ชื่อเล่น ของคนไทย และอะไรอีกหลายๆ อย่าง.. เรียวบอกด้วยว่า เมื่อคืนนี้เมา ขอโทษด้วยที่ทำให้เดือดร้อน ผมก็ตอบได้แค่ ไม่เป็นไร [เพราะว่า
ไม่รู้จะตอบอะไรให้มันดีกว่านี้]
เรายืนคุยกันไปตลอดทาง เปลี่ยนสายรถไฟ แล้วก็ยืนคุยกันไป เดินคุยกันไปจนถึง
โรงเรียน.. ด้วยลายมือไก่เขี่ยของผม ในไดอารี่ ผมเขียนเอาไว้ว่า.. "วันนี้ไปโรงเรียนสนุกที่สุด นับตั้งแต่ไปมา เกือบ 2 อาทิตย์ เพราะตลอดทางมี
เพื่อนคุยไปตลอด มีคนคอยบอกตลอดว่า ลงสถานีนี้ต่อไปที่นั่นที่นี่ได้ อยากไปที่
นั่นที่นี่ ให้ไปอย่างไร เหมือนมีไกด์ส่วนตัว คอยแนะนำ เราอยู่ตลอดเวลา" ....
แต่ผมก็ไม่ลืมถามหรอกว่า ทำไมเรียวถึงได้มามีส่วนร่วม กับเด็กนักเรียนห้องผม
ได้ คำตอบที่ได้รับก็คือ เพราะว่าตอน ม.ต้น เรียวสนิทกับพวกเพื่อนที่ห้องผมมาก เรียกว่าเรียนมาด้วยกัน แต่พอขึ้น ม.ปลาย เหมือนโชคร้าย ที่เขาโดนจับไปอยู่ อีก
ห้องนึง ซึ่งโรงเรียนจะจัดกลุ่มนักเรียน โดยแยกตามความถนัด แต่เรียวก็ยังมา
เล่น มาคุยมากินข้าวที่ห้องผมเสมอๆ ... อ่อ อย่างนี้เองถึงว่า สนิทกันดีจัง ...... ... หลังจากที่เช้านั้น เรามาโรงเรียนด้วยกัน มันก็ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น.. วันนั้น เรียวมาหาที่ห้องตอนพักทานข้าว แล้วก็ตอนเลิกเรียนด้วย จริงๆ แล้วหลัง
จากเลิกเรียน นักเรียนส่วนใหญ่จะไปเข้าชมรม ซึ่งมีอยู่มากมาย.. ทั้งชมรมกีฬาและอื่นๆ อืมมม แต่คนอย่างผมไม่สนใจอะไรอยู่แล้ว ถึงเวลาเลิกเรียน
ก็กลับบ้าน หรือไปเถลไถลดีกว่าอีก แต่มันก็เปลี่ยนไปเมื่อตอนเย็นวันนั้น.. "ไม่เข้าชมรมอะไรเลยหรอ?" "ทำไม ? ไม่เข้าก็ได้ไม่ใช่หรอ ?" "แล้วเลิกเรียนแล้วจะทำอะไร ?" "ไปเดินเล่น" "รู้หรอว่าจะต้องไปเดินเล่นที่ไหน" "รู้ ถามพวกโคเฮดูแล้ว Yamanote ไปไง" "อยากไปแค่ที่ซ้ำๆ เดิมนั่นน่ะหรอ" "แล้วที่ไหนที่มันใหม่ๆ ?"
แล้วคุยกันจนเหมือนเถียงกันจนเพื่อนๆ ต้องมาดูว่าไอ้พวกนี้มันคุยอะไรกัน.. สรุป
ว่าผมอยากจะไปเดินเล่นหลังเลิกเรียนบ้าง ไปเดินซื้อของบ้าง ก็เท่านั้นเอง.. แต่
ว่ามีคนบางคนที่ต้องการจะให้ผมเข้าชมรม ซึ่งมันคือ ชมรมเบสบอล กีฬาที่เวลาเล่น
แล้ว ต้องเหนื่อยเสียเหงื่อเป็นถังๆ คิดหรอว่าจะเล่น... "ถ้าเรียวพาไปที่ที่มันใหม่ๆ ไปกว่า shibuya, harajuku จะยอมเช้าชมรม" ที่พูดออกไปอย่างนั้น ตอนนั้นก็เพราะว่า คงจะหาเรื่องเที่ยวน่ะครับ ไม่ได้คิด
หรอกครับว่า ถ้าได้ไปจริงๆ แล้วจะต้องทำอะไร.. คิดอย่างเดียวว่า อยากจะเที่ยว
ให้ทั่วโตเกียว อยากไปที่นั่นที่นี่เป็น อยากขึ้นรถไฟเป็น ต่อสายรถไฟได้ เวลา
อยากไปไหนมาไหน จะได้ไม่ลำบาก...
สรุปแล้วก็คือ เดี๋ยวเรียวจะพาผมไปในที่ที่ สุดยอด ที่ไม่ซ้ำกับแบบเดิมๆ แต่ว่า
ยัง ไง ก็ต้องรอให้เรียวทำชมรม ก่อน นั่นก็หมายความว่าต้องรอให้ซ้อม เบสบอล เสร็จก่อน .. ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะยังมีเพื่อนอีกตั้งหลายคนที่ยัง อยู่โรงเรียน
แล้วก็ยังไม่กลับบ้าน...
เย็นนั้นตอนที่รอเรียวอยู่ผมกับเพื่อนๆ เดินออกไปนอกโรงเรียนไปซื้อ ขนมมากินกัน
ใน ห้องเรียน คุยกันสนุกสนาน.. จำได้ว่าคุยกันเรื่องเมืองไทยตอนนั้น ทาทายัง เพิ่งดังใหม่ๆ คนญี่ปุ่นก็รู้จัก ก็เลยบอกเพื่อนๆ ว่า ถ้ามีโอกาสจะให้ที่บ้าน
ส่งเทป ทาทายัง มาแล้วจะเอามาให้ฟัง..
กินขนมเสร็จเพื่อนๆ ก็พาผมไปเดินดูรอบๆ โรงเรียน ไปดูชมรมต่างๆ ว่าเขากำลังทำ
อะไรกันอยู่.. บางมุม บางตึกในโรงเรียน ที่ผมยังไม่เคยไป ก็ได้ไปในเย็นวัน
นั้น.. เดินกันไปคุยกันไป มีเรื่องราวมากมาย เกิดขึ้นในวันนั้น ทั้งเรื่องผีตาม
ตึก เรื่องอาจารย์สาวสวย มาใหม่เป็นแฟนกับนักเรียน เรื่องรุ่นพี่ที่เป็นโฮโม ว่าจริงหรือป่าว รวมไปถึงเรื่องคนนั้น คนนี้หล่อไม่หล่อ ก็เลยไม่พ้นคำถามว่า "โบ้ทว่าเรียวดูดีไหม" เพื่อนคนนึงถามขึ้น [ซึ่งผมมารู้เอาทีหลังว่า เพื่อนกลุ่มนี้ รุมสุมหัวกันเป็น
พ่อสื่อแม่สื่อให้เรียว เพราะเรียวมาขอร้อง พวกนี้ ให้ช่วย คือทุกคนได้เตรียม
กันเอาไว้แล้ว]
จำไม่ได้ว่าตอบไปว่าอะไร แต่ถ้าจำไม่ผิดไม่ได้ตอบว่า "หล่อ" แน่ๆ รู้สึกจะตอบไป
ว่า ก็เหมือนคนญี่ปุ่นทั่วๆ ไป แล้วทุกคนก็ทำท่าแบบ .. อ๋อหรอ .. souka souka ... แล้วก็เปลี่ยนเรื่องคุยกัน..
เราเดิมคุยกันมาเรื่อยๆ จนจวนจะรอบโรงเรียน ทำให้ผมรู้สึกว่าโรงเรียนนี้ใหญ่
กว่า ที่คิดตั้งเยอะ.. จนกระทั่งเดินมาถึงสนามหน้าโรงเรียน เห็นเรียวกับคนอื่นๆ กำลังซ้อมเบสบอลกันอยู่ ทุกคนขอตัวกลับกันหมด เหลือผมนั่งรอเรียวคนเดียว แต่ก็
รอได้ไม่นาน ก็เลิกซ้อม.. ล้างหน้าเปลี่ยนชุดแล้วก็เดินยิ้มๆ มาหาผม พร้อมกับคำ
ถามที่ว่า หิวไหม? แต่เพิ่งจะกินขนมไปเมื่อกี้เอง ไม่หิวแล้ว แต่ทำไงได้เรียว
หิว ก็เลยตกลงกันว่า เราจะไปหาอะไรกินกันก่อน ...
ญี่ปุ่นนี่สุดยอดจริงๆ ขนาด แมคโดนัล ที่ว่าถูกสุดๆ แล้วเมื่อเทียบกับของกิน
อย่างอื่น ก็ยังแพงอยู่ดีสำหรับนักเรียนไทย แต่สำหรับคนญี่ปุ่นแล้วมันเป็นอะไร
ที่ประหยัดและสะดวกมาก ดูอย่างเรียวดิกินตั้งเยอะ เบอร์เกอร์ 2 อันหายลงไปใน
ท้องอย่างรวดเร็ว
ระหว่างที่กำลังรอเรียวนั่งกินแมค อยู่ผมก็เอา ไอดารี่ออกมา นั่งเขียนบันทึกไป
เรื่อยๆ.. จริงๆ แล้วผมไม่น่าทิ้งนิสัยดีๆ อย่างนี้เลย เมื่อก่อนผมจะมีไดอารี่
ติดตัวเสมอ ว่างเมื่อไหร่ก็จะนั่งเขียน มีอะไรที่ประทับใจ หรือ มีอะไรที่น่าจด
จำเกิดขึ้นก็จะเขียน แต่มันมีเหตุจำเป็นบางอย่าง ที่ทำให้ผมทิ้งนิสัยดีๆ แบบนี้
ไป ..
หลังจากที่กินอิ่มแล้ว เรียวก็พาผมเดินออกมาเรื่อยๆ เดินดูโน่นดูนี่ คุยเรื่อง
จิปาถะมากมาย ก็ดีครับสนุกดี แต่นี่น่ะหรอ ที่สุดยอดที่ว่า ? ... เมื่อโดนถาม
ท้วงแบบนั้น เรียวก็ทำหน้ายิ้มๆ ถามผมว่า คิดว่า ที่สุดยอด ที่เขาว่าจะเป็นที่
แบบไหน ผมตอบได้ก็แค่ไม่รู้ ก็พาไปสิจะได้รู้
เขา เล่าว่า ที่ที่เขาจะพาไปนี้ เป็นที่ที่เรียวชอบมาก แต่แปลกที่หลายๆ คน รู้สึกเฉยๆ เรียวบอกว่าเขาจะไปซื้อของ ไปพักผ่อนที่นั่นเสมอๆ ในความคิดของเรียว
ที่ สุดยอด ที่พูดถึงกันอยู่นี้เป็นที่ที่ ดีมากๆ เราเดินคุยกันถึงที่สุดยอดกัน
จนมาถึงสถานี เรียวบอกว่า อีกประมาณ 20 นาทีโบ้ทจะได้เห็นที่สุดยอดของเรียว
แล้ว ตื่นเต้นไหม แล้วยังหัวเราะเบาๆ ออกมา.. ผมรู้สึกทั้งตื่นเต้น ทั้งแปลกใจ ว่า ได้สถานที่ สุดยอดนั้น มันคือที่ไหน ก็ได้
แต่รอไปเรื่อยๆ ว่าเมื่อไหร่จะไปถึง เมื่อถึงสถานีที่เรียวบอกว่า OK ที่นี่
ล่ะ.. ผมก็เดินตามเรียวออกมา เดินออกห่างจากสถานีได้สักพัก เรียวก็ชี้ให้ดู ที่
สุดยอดของเรียว..
ผมมองไปตามที่เรียวชี้ เห็นอาคราสีขาวครีมๆ ลักษณะใหญ่ เป็นโดม ด้านหน้ามี
ลานกว้าง ปูอิฐ ดูสะอาดตา ด้านบนของอาคารนั้นมีตัวหนังสือ ภาษาอังกฤษ เขียน
ว่า "TOKYODOME" .... .... "TOKYODOME" เนี่ยนะที่สุดยอดของเรียว ....
ผมรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ที่เรียวพาโตเกียวโดม ถึงแม้ว่าเรียว จะดูตื่นเต้นที่
พาผมมา ถึงแม้เรียว จะยิ้มแบบมีความสุข.. แต่ผมก้ไม่เห็นว่า "BigEgg" ของคน
โตเกียวจะน่าสนใจตรงไหนเลย.. ผมถามเรียวไปว่า โตเกียวโดมสุดยอดยังไง.. เรียวก็ถามกลับผมมาว่า สำหรับคนอื่น
หรือสำหรับเรียว.. สำหรับคนอื่น ก็คงเป็นแค่สนามกีฬา แต่สำหรับเรียวมันเป็นที่
ที่ดีมากๆ "งั้นหรอ" ผมตอบ..
เรียว มักจะมาดูเบสบอล ที่นี่เสมอๆ เขาบอก "ผมมักจะมาเดินเล่น มาซื้อของที่ระลึกเกี่ยวกับทีมเบสบอลและนักเบสบอลที่ผม
ชอบ" "งั้นหรอ" "ลานกว้างๆ หน้าโดมนี้ ผมมักจะถ่ายรูปเก็บไว้เสมอ เวลาผมมาดูเบสบอลหรือมา
ดู LiveShow" "งั้นหรอ" เรียวเล่าความประทับใจ ความภาคภูมิใจกับไอ้โดมไข่นี่ มากมายให้ผมฟัง แต่ผมก็ได้
แต่ souka .... souka .... งั้นหรอ งั้นหรอ ... ไปเรื่อยๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร
ออกไป ผิดหวังที่พามาดูโดม เรียวชวนผมเดินไปดูรอบๆ แล้วก็มาหยุดอยู่ตรงที่ลาน
หน้าโดม..
"ผมชอบตรงนี้มากเลยนะ มีหลายๆอย่างเกิดขึ้นที่ลานนี้" "เช่นอะไรบ้าง" ผมถาม..
" มาดู LiveShow ก็มักจะนัดเจอเพื่อนตรงนี้ พาแฟนมาเดท ครั้งแรกก็พามา
ดู LoveShow ที่นี่.." ผมตกใจนิดหน่อย.. "อ้าวเรียวคุงมีแฟนแล้วหรอเนี่ย ไม่ยักกะรู้เลย ใครล่ะแฟนเรียว ?" เรียวตอบแค่
ว่า "แฟนหรอ ? ไปแล้ว ไม่อยู่แล้ว" ... "แย่จังนะ แล้วตอนนี้ ไม่มีคนที่ชอบหรอ ?"
ผมถามไปอย่างนั้นๆ เพราะเด็กญี่ปุ่นในหมู่เพื่อน มักจะถามกันเสมอๆ ว่า มีคนที่
ชอบอยู่หรือยัง ที่ญี่ปุ่นคำว่า "แฟน" "คนที่มาชอบ" หรือ "คนที่ชอบ" นั้น มัน
ไม่ เหมือนกัน... "มีเพิ่งจะรู้ตัวว่าชอบ" เรียวตอบ "หรอดีจังนะ พยายามต่อไปนะ โบ้ทคุงมาอยู่ที่นี่มีใครที่ชอบหรือยัง ?" "ยัง" ... "ทำไม ผู้ชายญี่ปุ่นดูไม่ดีหรือ ?" "ป่าวแต่ยังไม่เจอ รู้มั้ยว่าคนไทยชอบคนญี่ปุ่นมาก" "เพราะคนญี่ปุ่นตาตี่ๆ น่ารัก งั้นหรอ" ... "อย่างผม โบ้ท..นายชอบหรือป่าว" "ทำไมถามแบบนั้นล่ะ โบ้ทมาเรียนไม่ได้มาหาแฟน" "ผมชอบนายได้หรือป่าว" .... ?????????????????????? ....
ผมยังไม่ได้ตอบว่า "ได้" หรือ "ไม่ได้" .. เรียวก็จับมือผมแล้วก็ร้องเพลง ของจิ
ซะโตะให้ผมฟัง ผมจำไม่ได้ว่ามันเป็นเพลงอะไร แต่รู้ว่าเนื้อเพลงมีความหมาย
ประมาณว่า .. "มีคน 2 คนมาพบกัน แล้วก็ชอบกันรักกัน" ... นั่งกันอยู่ 2 คน หลัง
พิงพนัก ผมก้มหน้าตลอดเวลา เลยไม่รู้ว่า ตอนที่เรียวกำลังร้องเพลงอยู่นั้น เป็น
อย่างไร..
จนเรียวร้องจบ .... แต่ก็ยังจับมือผมไว้ กลับกันได้เถอะ หิวแล้วจะไปหาอะไร
กิน.. ผมบอกแล้วค่อยๆ ดึงมือกลับออกมา รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้ว
เดินนำหน้าออกมาก่อน มีเรียวเดินตามผมมา ... ผมเดินนำหน้าเรียวมา เขาก็เดินตาม
ผม มาเรื่อยๆ จนถึงหน้าสถานีรถไฟ.. เขาพูดตามหลังผมมา เบาๆ ว่า.. "ถ้าทำให้ตกใจ หรือกังวล ก็ขอโทษนะ" ผมหันไป แต่ไม่ได้ตอบมีแต่รอยยิ้มที่จะให้เขา "ถือให้" เรียวดึงกระเป๋าผมไปอีก ซึ่งไม่รู้จะปฎิเสธอย่างไร ก็เลยต้องปล่อยเลยตาม
เลย ...
เราต่อรถไฟกันจนถึงสายประจำ ที่เราใช้ไปโรงเรียนกันในตอนเช้า.. เรายืนอยู่ด้วย
กันข้างๆ ประตู ทั้งๆ ที่ที่นั่งก็ว่างอยู่ แต่ทำไมยืนคุยกันก็ไม่ทราบ.. ซึ่ง
เรื่องที่คุยกันวันนั้น ก็ยังคงเป็นเรื่อง "TOKYODOME" อยู่ดี.. ผมก็ อึมอำ อึ
มอำ ตอบไป เพราะว่ายังไงๆ ก็ยังไม่รู้พิเศษหรือตื่นเต้น กับโดมที่ว่านี่เลย.. จนกระทั่งอีก 1 ป้ายจะถึงป้ายที่เรียวต้องลง เขาก็บอกว่า "พรุ่งนี้วันเสาร์ ว่างหรือป่าว.." ผมเลี่ยงตอบไปว่า "คงไม่ว่างมั้งเพราะว่า จะจัดของให้เข้าที่ให้เสร็จเรียบร้อยวันพรุ่งนี้เลย" คิดว่าจะอ้างได้ "ช่วยจัดของเอาไหม" เรียวบอกว่า ปกติวันเสาร์เขาก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้นัดกันออกไปไหนกับ
เพื่อนๆ แล้วพรุ่งนี้เขาก้ไม่มีแผนที่จะออกไปไหนด้วย.. "งั้นพรุ่งนี้รบกวนหน่อยแล้วกันนะ" ไม่รู้เหมือนกันว่าพูดออกไปได้อย่างไร ตกลงเรานัดเวลากันเรียบร้อยว่า 10 โมง
เช้าของวันรุ่งขึ้น..
ก่อน ที่เรียวจะลงจากรถไฟ เขาหันมาบอกผมพร้อมกับรอยยิ้มว่า.. "เจอกันพรุ่งนี้นะ.. กลับไปคิดนะ ว่าค้างคำตอบอะไรผมไว้ แล้วผมจะมาเอาคำตอบของ
โบ้ท.." แล้วจมูกของเรียวก็มาแตะที่แก้มผมเบาๆ .. ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ปลายจมูก.. ถึงแม้
ว่าผมจะรู้สึกได้ว่า ปลายจมูกของเรียวกับแก้มผมนั้น สัมผัสกันเบามาก จนเหมือน
กับว่า แทบจะไม่ได้สัมผัสกันด้วยซ้ำ.. แต่มันก็ทำให้ผมตกใจและร้อนไปทั้งหน้า ว่าทำไมเรียวถึงกล้าขนาดนั้น .. เขาเดินออกไปจากรถไฟ หันกลับมายืนยิ้มให้ผม .. ระหว่าง ผมกับเรียว ที่ถูกกั้นด้วยประตูรถไฟที่ เปิด-ปิด ด้วยระบบอัตโนมัติ
นั้น.. ผมรู้สึกแปลกๆ กับผู้ชายคนนี้ซะแล้ว เขาโปกมือให้ผมช้าๆ แล้วก็ทำหน้า
แปลกๆ เต้นแร้งเต้นกา ชี้ๆ ให้ผมดูบางสิ่งในมือของเขา ... "เฮ้ย กระเป๋า !!! กระเป๋าโบ้ท" ...... .... รถไฟเคลื่อนออกห่างชานชาลาไปเรื่อยๆ เรียวก็ยังเต้นแร้งเต้นกา ชี้ให้ผมดู
สิ่งที่เขาถืออยู่ในมือ นั่นก็คือ กระเป๋าหนังสือของผมเอง .. ผมเองก็ไม่รู้จะทำ
อย่างไรเหมือนกัน ได้แต่พูดปากเปล่าๆ แบบไม่มีเสียงไปว่า พรุ่งนี้นะ พรุ่งนี้
นะ.. แต่ก็ไม่รู่ว่า เรียวจะรู้เรื่องหรือเปล่า.. สรุป วันนั้นผมก็กลับบ้านตัว
เปล่า ไม่มีกระเป๋าหนังสือทั้วๆ ที่เป็นของสำคัญ.. ในนั้นมีทั้งบัตรชาวต่าง
ชาติ บัตรนักเรียน บัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศ ใบรับรองแพทย์ ตั๋วเงิน บัตรเงิน และอีกหลายๆ อย่าง..
ทำไมก่อนลง เราถึงไม่ทวงคืนจากเรียว และทำไมก่อนลง เรียวไม่คืนให้เรา.. ทำไมเรา
ถึงลืมของสำคัญแบบนี้ได้ หรือว่าเรียวจงใจไม่คืน หน้าตายิ้มๆ แบบน่าสงสัยแบบ
นั้น ทำให้ผมคิดออกไปได้อีกหลายอย่าง.. ถึงสถานีแล้ว ผมเดินตัวเปล่าๆ กลับหอ รู้สึกเบาๆ ยังไงไม่รู้.. เดินไปเรื่อยๆ ผ่านทางเดินเดิมๆ ผ่านร้านบะหมี่รถเข็น
ที่เคยมานั่งกินกับเรียว ทำให้นึกถึงเรียว ทำให้ยิ้ม ทำให้ผม .....
เมื่อเดินขึ้นหอไป ดีนะที่กุญแจกับกระเป๋าเงินยังอยู่ในกางกาง ไม่งั้นผมคงทำ
อะไรไม่ถูก งงอยู่ในรถไฟ.. กลับมาแล้ว อาบน้ำแต่งตัวเตรียมจะนอน แล้วก็จัดการนำ
ของทุกอย่างที่อยู่ในลัง ซึ่งบ้าขนบ้าส่ง มาจากเมืองไทย ออกมากองเอาไว้ในห้อง
แคบๆ ของผมเอง.. มันเยอะแยะไปหมด หนังสือเรียนที่ขนมา พจนานุกรม ของกิน เสื้อ
ผ้า รองเท้า เครื่องกันหนาว เทป วีดิโอ สารพัดที่บ้าขนมา เอามากองรวมไว้กลาง
ห้อง.. คอยดูแล้วกัน ในวันพรุ่งนี้ ของทั้งหมดนี้จะต้องเข้าที่เรียบร้อย และก็
ไม่แน่ถ้าเรียวมาเห็น ว่าของเรารก ขนาดนี้ อาจจะขอตัวกลับบ้านไปเลย.. อาจจะไม่
อยากช่วยเราจัดของแล้วก็ได้ ฮึฮึ.. เอาของมากองเสร็จ ก็มานอนเขียนไอดารี่ แล้ว
ก็นึกๆ ว่า พรุ่งนี้จะทำอะไรดี จะเอาอะไรวางไว้ตรงไหน จะซื้ออะไรเพิ่มบ้าง ซึ่ง
สิ่งแรกที่ แวบเข้ามาในหัวของผมขณะนั้นคือ TV และ โทรศัพท์.. อืมม ค่อยถามเรียว
พรุ่งนี้ ว่าจะไปหาซื้อถูกๆ ได้ที่ไหนบ้าง ก็แล้วกัน ZzZzZzZ.....
วันรุ่งขึ้น.. ผมตื่นนอนตอน 9 โมงกว่าๆ ทั้งๆ ที่อยากจะนอนมากๆ กว่านี้ ตื่น
สายๆ กว่านี้ ทั้งๆ ที่ทั้งอาทิตย์ ต้องตื่นแต่เช้าไปโรงเรียน วันนี้ไม่ได้ไป ก็อยากจะนอนตื่นสาย แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะนัดเรียวเอาไว้แล้ว ที่จริงไม่น่าด่วนไป
ตอบรับ ด่วนไปนัดเช้าขนาดนี้เลย พรุ่งนี้จะตื่นสักเที่ยงคอยดู.. ผมอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ก็เดินลงไปข้างล่าง หาซื้ออะไรกิน แล้วก็ขึ้นมาบน
ห้อง นั่งรอใครบางคน ที่อาสาจะมาช่วยจัดห้องวันนี้..
ไม่นานนักเรียวก็มา ซึ่งเรียวก็๋ได้พิสูจน์ให้ผมเห็นได้ว่า.. คนญี่ปุ่นนั้นเป็น
คน ตรงต่อเวลาจริงๆ 10โมง ก็คือ 10 โมง ไม่มีขาดไม่มีเกิน.. พอ10 โมงเรียบร้อย เรียวก็มายืนอยู่หน้าห้องผม เคาะประตูเรียก โบ้ทๆ เรียบร้อย เหมือนกัน เปิด
ประตูออกไป ผมตกใจนิดหน่อยเพราะ นอกจากจะมีเรียวแล้ว ยังมีกระเป๋าหนังสือผม [
ชัวร์ต้องเอามาคืน] กับกล่องคล้ายๆ กระเป๋าอีกใบนึงใหญ่ๆ ..
หลังจากที่เราสวัสดีกันแล้ว ผมก็ชวนให้เข้ามาในห้อง แล้วก็ถามว่าที่เอามาด้วย
นั่นมันอะไร เรื่องของเรื่องก็คือ เรียวไปเล่าให้แม่เรียวฟัง เรื่องจะมาช่วยผม
จัดห้อง แม่เรียวเลยทำข้าวกล่องมาให้.. อืมมม รบกวนทำไม ฝากขอบคุณแม่ด้วย ผมพูด
ไปตามมารยาท แม่ยังบอกเลยว่าให้ชวนโบ้ทไปเที่ยวบ้าน แม่เคยไปเมืองไทย แม่ชอบ
เมืองไทยมาก.. อืมมม เอาไงดี ผมตอบกลับไปว่า เอาไว้มีเวลาว่างๆ จะไปรบกวน ... แล้วเราก็เริ่มจัดห้องกันครับ..
เรียวจัดไปบ่นไปตลอดเวลา ไม่รู้บ่นอะไรนักหนา แต่จำได้ว่าบ่น.. เราเถียงกันด้วย
ว่า ไอ้นั่นจะเอาวางไว้ตรงไหน ไอ้นี่จะเอาวางไว้ตรงไหน ทั้งๆ ที่ผมเป็นเจ้าของ
ห้อง เนี่ยนะ ทำไมต้องมาวุ่ยวายอะไร กับความคิดเรียวคุงด้วยเนี่ย.. จัดกันอยู่นานย้ายกันอยู่นาน จนกระทั่งบ่ายๆ ห้องของผมก็ดูเป็นห้องที่ คนอาศัย
ขึ้นมาหน่อย ผมขอบคุณเรียว ที่มาช่วย บอกว่าถ้ามีโอกาศจะตอบแทนนะ เขาก็ตอบแค่
ว่า ที่เขามานี่ เขาตั้งใจมาเขาอยากมา ก็แค่นั้น ไม่ต้องขอบคุณอะไร สิ่งที่อยาก
ได้ไม่ใช่คำขอบคุณ ...
เราทานข้าวเสร็จ ทำความสะอาด เอาขยะไปทิ้ง เรียวก็ถามผมว่า ผมจะทำอะไรต่อ.. จริงๆ ตอนนั้น ไม่อยากทำอะไรแล้ว อยากจะนอน แต่ตอบว่าอยากนอนไม่ได้ เดี๋ยวเสีย เลยแกล้งบอกไปว่า จะไปซื้อของที่อยากได้บางอย่าง ฝ่ายคนได้ฟัง ก็ถามกลับทันควัน
ว่าอยากได้อะไร ผมก็ตอบไปเรื่อยเปื่อย ของกิน ของใช้ TV โทรศัพท์ ... "เดี๋ยวพาไป" .. อ้าวอะไรวะ จะไม่กลับบ้านกลับช่องเลยหรือไง "ไม่เหนื่อยหรอ" ผมถาม "เล่นซอพบอลทั้งวัน เหนื่อยกว่านี้อีก" "แล้วเกี่ยวอะไรด้วยกับซอพบอล" ผมถามอีก "ก็จะตอบว่าไม่เหนื่อย" "วันนี้รบกวนมามากแล้ว ไม่อยากรบกวนเรียวอีก.."
คุยกันได้สักพัก ผมก็ต้องยอมให้กับ แม่น้ำทั้งหลายร้อยสาย ที่เรียวชักเอามาให้
เหตุผล ว่า ทำไม ผมต้องออกไปซื้อของกับเรียว.. อันที่จริงมันก็ใช่ อย่าง TV กับ โทรศัพท์ จริงๆ แล้วผมคิดว่าซื้อที่ไหนก็เหมือนกัน.. แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ เพราะก็ต้องไปซื้อที่แหล่ง ถึงจะได้ของดีและ ราคาถูก ยิ่งชาวต่างชาติซื้อ ยิ่ง
ไม่ต้องจ่ายภาษี ถูกหนักลงไปอีก.. ก็คือตกลง บ่ายวันนั้น ผมกับเรียวจะไป "อะคิฮะบะระ" กัน .. ฟังๆ ดู จากหอผมกว่า
จะไปถึงที่นั่นได้ มันก็ลำบากมากเหมือนกัน.. แต่ทำไงได้ไหนๆ ก็ไหนๆ ไปก็ไป จะ
ได้ซื้อๆ เสร็จๆ หมดเรื่องไปซะที.. ระหว่างทางที่ไปนั้น บนรถไฟเราคุยกันตลอด หยอกกันคุยกัน จนบางครั้งทำให้ผม
รู้สึกว่า เรียว ..... แต่ก็คงไม่มั้ง ไม่มีอะไรหรอก
.. "อะคิฮะบะระ" นั้นมีแต่ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าจริงๆ ลายตาไปหมดไม่รู้ว่าจะ
เลือกร้านไหนดี จนต้องให้เรียวตัดสินใจให้.. เวลานั้นเป็นเวลาเย็นๆ ใกล้ค่ำ คน
ก็ยิ่งเยอะขึ้นมาอีก และเนื่องจากย่านนั้น เป็นย่าน ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์
คอมพิวเตอร์ ทำให้ย่านนั้น ไม่ค่อยได้รับความนิยมในหมู่ผู้หญิงมากนัก.. นับคน
ได้เลยด้วยซ้ำ ผมเลยออกอาการนิดหน่อย เพราะสเป็คที่ชอบก็ต้องตี๋ๆ น่ารักๆ มองไป
ทางไหน กวาดตาไปทางไหน ก็เจอแต่อาตี๋ โตเกียวน่ารักๆ เต็มไปหมด.. สงสัยว่าผมจะ
จ้อง มากไปหน่อย จนทำให้คนที่ไปด้วยกันรู้ตัว "kare suki" [ชอบเขาหรอ] "nani" [อะไร] "kare .. keitai motteru hito sukidesho" [ชอบคนที่ถือโทรศัพท์อยู่ใช่ไหม] "jigau yo"[ไม่ใช่นะ]
ผมยังจำตอนนั้นได้ดี ที่ในร้านแห่งนึง เรากำลังเลือกซื้อโทรศัพท์กันอยู่ เรียว
ก็ถามเรื่องพวกนี้กับผม แล้วยังพูดกับผมเลยว่า ให้ชอบเรียวได้คนเดียว .. ผม
เริ่มรู้สึกตัว ถึงการเข้ามาของผู้ชายคนนี้ เราคงไม่ได้หลงตัวเองจนเกินไป
แน่ๆ ..
อืม.. จะทำไงดี ถ้าชอบเขาเหมือนกัน จะบอกไงดี จริงๆ ตอนนั้นไม่ได้ถึงกับ ชอบ
เรียวแบบมากมายหรอกนะครับ ก็แค่เริ่มๆ ประทับใจอะไรนิดหน่อย.. หลังจากซื้อ
โทรศัพท์แล้ว ผมก็ตัดสินใจซื้อ TV ที่ร้านนั้นเลย.. ตกลงที่อยู่ที่จะให้ไปส่ง
ของเรียบร้อย ผมกับเรียวก็ออกไปหาอะไรกินกัน.. ผมบอกเรียวว่า อย่ากินอะไรที่แพง
นัก เพราะผมต้องประหยัด.. ถ้ารู้ว่าบอกแบบนี้แล้วจะพาไปกินบะหมี่ ไม่บอกดีกว่า เพราะเรียวพาไปกินบะหมี่.. เพิ่งมารู้ว่า ชอบบะหมี่ก็วันนั้น.. เฮ้อ อยากกินราด
หน้า แต่ไม่รู้ว่าจะไปกินที่ไหน..
ทานข้าวเสร็จ เราก็เดินๆ เล่นกันอยู่สักพัก "จะรีบกลับหรือป่าว" "ไม่อ่ะ ทำไมหรอ ไหนๆ ได้ออกมาแล้ว" "จะชวนไป TOKYODOME" "ไปทำไม" "แค่อยากไป ไปไหม?" ผมคิดอยู่นาน ก่อนที่จะตอบแบบ อึมอัม อึมอัม ไปว่า ไปก็ได้ ..... ..... TOKYODOME ในตอนกลางคืน.. มีแค่ผมกับเรียว.. เรา 2 คนเดินกับไปเรื่อยๆ โดยมีเรียวเป็นไกด์ แนะนำว่าอะไรเป็นอะไร.. ในตอนนั้นเราเดินไปรอบๆ โดมอ้อมจาก
ข้างหน้าโดม ไปทางด้านข้างๆ .. เรียวบอกว่า เขาอยากจะไปหาซื้ออะไรนิดหน่อย.. ใน
รอบๆ โตเกียวโดมนั้น จะมีร้านค้าที่ขายของที่ระลึกเกี่ยวกับ ทีมเบสบอล นักเบส
บอล และการแข่งขันต่างๆ รวมทั้งขายของที่ระลึกเกี่ยวกับ LiveShow ที่เคยมา
จัดการแสดงในโดมด้วย เรียวเดินนำผมไปเรื่อยๆ ..
เขาพาผมเข้าไปในร้านขายของที่ระลึกร้านหนึ่ง แล้วก็เลือกซื้อของ.. ในร้านไม่
ค่อยจะมีคน ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะอะไร.. ดูเรียวมีความสุข ยิ้มแย้ม เวลาได้
อยู่กับอะไรแบบนี้ คงเป็นเพราะเรียวชอบเบสบอลมากละมั้ง.. เรียวเลือกซื้อของอยู่
นานแต่ก้ไม่เห็นว่าจะได้อะไร..
จนสักพัก.. เขาก็เรียกผมไป ให้ดูอะไรบางอย่าง.. มันเป็น Card แข็งๆ สีทองเป็น
ภาพ ของ โตเกียวโดมในตอนกลางคืน.. เรียวถามผมว่าสวยมั้ย แม้ว่าจริงๆ ในตอนนั้น จะเห็นว่ามันไม่เห็นจะสวยหรือ พิเศษอะไร แต่ก็ตอบไปว่า สวยดี.. เขาบอกว่าเขา
อยากจะซื้อ Card นี้ .. ผมงงๆ นิดหน่อย ไหนว่าชอบนักชอบหนา กะแค่ Card เนี่ยน่า
จะซื้อเก็บไปไว้ได้ตั้งนานแล้ว ทำไมเพิ่งจะมาซื้อ สงสัยไม่ใช่แฟนตัวจริง แต่ก็
ไม่ได้ถามอะไรมากมาย.. ตกลงว่าตอนนั้นเรียวซื้อ Card สีทองนั่นมา 2 ใบ.. แล้วเราก็พากันเดินออกมา ตอน
นั้นทั้งเรียวและผม เรา 2 คนต่างคนต่างก็ไม่รู้ว่า เราจะเดินไปที่ไหนกัน.. เรา
เดินไปรอบๆ โดมจนไปสะดุดกับสิ่งหนึ่ง ..
"ตู้ สติ๊กเกอร์" เรียวชวมผม ถ่ายสติ๊กเกอร์.. ตอนนั้นสติ๊กเกอร์เป็นอะไรที่ ฮิต และ in มากในญี่ปุ่น.. ผมก็ไม่รอช้า ถ่ายสติ๊กเกอร์กับเรียว แล้ว print ออก
มา 2 ใบแบ่งกัน.. เมื่อได้สติ๊กเกอร์แล้ว เรียวก็แกะเอาสติ๊กเกอร์ใบหนึ่งที่
เป็นรูปของผม เอาไปแปะเอาไว้ที่ ข้างหลังนาฬิกาข้อมือของเขา.. ผมถามว่าทำไมต้อง
ทำแบบนั้น.. เรียวก็ไม่ตอบ มีแต่เสียงหัวเราะของเรียวและ พนักงานประจำตู้
สติ๊กเกอร์ ที่หัวเราะออกมาพร้อมกันเบาๆ ..
เรียวชวนผมไปนั่งที่ ลานหน้าโดม ทั้งๆที่เมื่อวานก็เพิ่งจะมานั่งกัน ทำไมวันนี้
ยัง จะชวนไปอีกนะผมก็ชักสงสัย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะไม่รู้ว่าจะไปไหนเหมือนกัน.. ผมเดินนำหน้าไป โดยมีเรียวเดินตามมาข้าวหลังติดๆ .. ไหล่ของเรียวกับผม แทบจะชน
กันอยู่แล้ว จนอยากจะหันไปถามว่า จะเดินเข้ามาชิดมากๆ แบบนี้ทำไม.. แต่เพราะ
อะไรก็ไม่ทราบ ผมไม่ยักจะหันไปถาม ว่าเพราะอะไร ปล่อยให้เรียวเดินตามผมไปอย่าง
นั้น ใก้ลกันไปอย่างนั้น ....
ที่ม้านั่งหน้าโตเกียวโดม ไม่ไกลจากตัวโดมนัก.. เรานั่งกันอยู่ 2 คน คุยกันไป
คุยกันมาในเรื่องหลายๆ เรื่อง.. แล้วเรียนก็ เอา Card สีทองนั้นขึ้นมา.. เรียว
เล่า ให้ฟังว่า Card นี้ เรียวอยากได้มาตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสจะได้ซื้อ เพราะมันเป็น Card คู่ทำขึ้นมาขายเป็นชุด อย่างละ 2 ใบ.. ถ้าเรียวซื้อก็ต้องมี
อีก 1 ใบเหลือ แต่ตอนนี้เรียวซื้อได้แล้ว เพราะอีก 1 ใบที่เหลือนั้น เขาอยากจะ
ให้ผมเก็บเอาไว้.. ผมรู้สึกตกใจและแปลกใจ พร้อมทั้งรู้สึกเหมือนอะไรบางสิ่ง
บางอย่าง ที่ก่อนหน้านี้ 3-4 วัน ที่ผมรู้สึก ว่ามันแปลกๆ นั้น มันกำลังใกล้
เข้ามาแล้ว..
ผมขอบคุณเรียว รับเอา Card นั้นมา ใส่ในกระเป๋าเงินของผม แล้วก็ไม่ได้พูด
อะไร.. นั่งเงียบไปสักครู่ จนเรียวก็ได้พูดขึ้น.. "จะรังเกียจไหมถ้าเรา 2 คนจะคบกัน" ผมพยายาม ตีความเป็นภาษาญี่ปุ่น พร้อมทั้งถามเป็นถาษาอังกฤษ เพื่อความแน่ใจ ว่า
สิ่งที่ผมได้ยินนั้นไม่ได้ฟังผิด.. แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรไป เงียบไปสักพัก เรียวเริ่มรุกด้วยคำถามเข้ามาอีก "ให้ผมชอบโบ้ทได้ใช่ไหม.." ผมเริ่มทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้ยินแบบนั้น มันเร็วมาก ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่อง
จริง..
เขาเริ่มเล่าไปอีกว่า เขาบอกเพื่อนสนิทเขาทุกคนว่า เขาชอบผม.. เขาอยากจะอยู่
ใกล้ผม.. ตอนนี้ เพื่อนสนิทของเขาทุกคน รู้เรื่องนี้แล้ว ซึ่งก็แน่นอน.. พวก
เพื่อนๆ ในกลุ่มที่ห้องของผมก็ต้องรู้แล้ว..
วันนั้นวันที่ไป ฉลองกันไปดื่มกัน จริงๆ แล้วเขาก็ไม่อยากไป แต่เพราะว่ามีผมไป
ด้วย เขาจึงอยากจะตามไปดู.. ผมก็ยังไม่ได้พูดอะไรมากมาย ฟังเรียวพูดต่อไปจึงถาม
เขา ว่า "ทำไมเรียวถึงชอบโบ้ทล่ะ" "แล้วโบ้ทเคยมีคนที่ชอบไหม" "เคยสิทำไมจะไม่มี" "แล้วทำไมโบ้ทถึงชอบคนคนนั้น" "มันก็เพราะหลายอย่าง" "แต่ผมชอบโบ้ทเพราะเหตุผลอย่างเดียว.. มันเป็นเพราะ ความชอบ.. ผมบอกไม่ได้ว่า
เพราะอะไรผมถึงชอบ ผมบอกได้ว่าแค่ผมชอบ" เรียวพูดช้าๆ ด้วยภาษาญี่ปุ่นที่ฟังได้ง่าย เหมือนกับว่า เขาต้องการที่จะให้ผม
เข้า ใจจริงๆ ผมงงไปหมด ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป.. "ได้ใช่ไหมครับ" ผมก็ยังเงียบ.. "ถ้าอย่างนั้น ตั้งแต่นี้ต่อไป ขอฝากเนื้อฝากตัว รบกวนด้วยนะครับ" เขาเอามืออุ่นๆ ของเขามาจับมือผมเอาไว้.. แล้วเอาไปวางไว้ที่บนตักของเขา "อืมม ถ้างั้น โบ้ทก็.. ฝากเนื่อฝากตัวด้วยนะ รบกวนด้วยนะ.." ผมอธิบายไม่ถูกว่าเรียว ยิ้มแบบไหน หลังจากที่ผมพูดจบ.. แต่มันเป็นรอยยิ้ม ที่
ผมรู้สึกได้ถึงความดีใจ ความจริงใจ.. เรานั่งจับมือคุยกันสักพักนึง จึงชวนกันกลับ.. ระหว่างทางจากโตเกียวโดมไปสถานี
นั้น เราต่างคนต่างก็เงียบ ไม่ได้พูดด้วยกันเลยสักคำ.. อาจจะเป็นเพราะว่าในตอน
นั้น แม้คำที่ฟังดูเพราะที่สุด ก็ไม่สามารถพูดความในใจของเราได้..
เราสองคนได้แต่ปล่อยให้มือของเราทั้งคู่ที่ยังจับกันแน่น สื่อสารกันไปเองอย่าง
นั้น.. บนรถไฟระหว่งทาง เรียวบอกผม อธิบายให้ผมฟัง ถึงเรื่องของการรับของ เวลา
ที่ร้านไฟฟ้านำของมาส่ง เซ็นอะไร ให้คนที่มาส่ง ทำอะไรให้บ้าง เงินไม่ต้องจ่าย
เงิน และอื่นๆ อีกมายมาย.. เรียวนำสติ๊กเกอร์ที่ผมฝากไว้มาคืนให้ แล้วยังพูดแหย่ผมอีกว่า "วันนี้ไม่ลืมนะ" คงจะหมายถึง ที่เขาลืมคืนกระเป๋าผมละมั้ง.. เรียวให้เบอร์โทรศัพท์ที่บ้านเขามา ผมเพิ่งรู้ว่าเรียวมีมือถือด้วย.. ราคามือถือที่ญี่ปุ่นถูกมาก จนผมสังเกตุว่า
ใครๆ ในห้องก็มีรวมทั้งเรียว.. นี่แค่เด็ก มัธยมปลายปีแรกเอง คนญี่ปุ่นนี่สุดๆ ไปเลย..
เรานัดกันว่า ต่อไปนี้.. เราจะไปโรงเรียนพร้อมกันทุกวัน โดยเรียวจะมารับผมที่
หอ จริงๆ ก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้.. แต่ถ้าเรียวอยากจะมาจริงๆ ก็คงห้ามไม่ได้.. รถไฟแล่นไปเรื่อยๆ ตามหน้าที่ของมัน จนถึงป้ายบ้านเรียว.. ก่อนจะถึงป้ายเขาจับ
มือผมเอาไว่แน่น แล้วชักมือของเขา ที่กำลังกำมือของผมอยู่นั้น ไปลูบที่แก้มของ
เขา เบาๆ .. ผมรู้สึกขนลุกอย่างประหลาด แล้วเขาก็บอกราตรีสวัสดิ์ผม.. เขาเดินออกไปจากรถไฟช้าๆ .. ยืนยิ้ม.. แล้วบอกว่าวันจันทร์เจอกัน.. ประตูรถไฟปิดตามหน้าที่ของมัน พร้อมที่จะออกเดินทางต่อไป..
ระหว่างเรียวกับผมในคืนนั้น.. คืนที่แสนวิเศษนั้น.. เหมือนกับว่าระหว่างเรา
นั้น แม้จะถูกกั้นเอาไว้ด้วยอะไรก็ตาม แต่ก็เหมือนกับว่า เราต่างสื่อสารกันตลอด
เวลา.. เอาโบกมือให้.. ผมยังคงมองเห็นเรียว ยืนส่งผมอยู่ที่ชานชาลา จนลับตา
ไป.. ระหว่างที่ผมยืนอยู่ในรถไฟคนเดียว ผมคิดถึงเรื่องนี้ไปต่างๆ นานา.. เวลาแค่ 4-5 วัน กับสิ่งที่เกิดขึ้น.. .. แฟนที่เป็นรุ่นพี่ที่เมืองไทย.. .. เรียว ...... ..... "รอนานหรือเปล่า" เรียวตะโกนถามผม ขณะที่เดินออกมาจากห้องแต่งตัว สะพาย
กระเป๋า Puma ใบใหญ่ขนาดคนลงไปนอน ขดอยู่ในนั้นได้.. 2-3 วันมานี้เรียว ซ้อมเบส
บอลหลังเลิกเรียนหนักมาก ทำให้ผมซึ่งไม่ได้สังกัดชมรมใดๆ ต้องอยู่ว่างๆ ในตอน
เย็น ที่โรงเรียนทุกวัน.. เพื่อรอเรียวไปทานข้าว ไปเดินเล่น และทำอะไรอีกหลายๆ อย่างก่อนที่จะกลับบ้านด้วยกัน.. จริงๆ แล้ว ไม่ว่าวันที่เรียวซ้อมเลิกเร็ว หรือเลิกช้า คำแรกที่ผมมักจะได้ยินเขาถามผม หลังจากซ้อมเสร็จเสมอๆ ก็คือ "รอนาน
หรือเปล่า" "หิวหรือยัง" หรือ "อยากจะไปไหน" ตลอดระยะเวลาประมาณ 2 อาทิตย์ ที่
ผ่านมา.. ตั้งแต่คืนนั้นที่โตเกียวโดม ผมกับเรียว เรามาโรงเรียน พร้อมกัน กลับ
บ้านพร้อมกัน ทำอะไรๆ ด้วยกันมาตลอด.. เรียวเคยถามผมว่า เบื่อบ้างหรือเปล่า กับ
การรอคอยหลังเลิกเรียน.. ผมตอบไปว่า ไม่เคยเบื่อผมเต็มใจรอเขาด้วยซ้ำไป ถ้าเป็น
เรียวล่ะก็ยังไงก็ได้ ...
... ผมมารอเรียวที่สนามข้างโรงเรียนทุกวัน หลังจากซ้อม เรียวมักจะพาผมไปเที่ยว
เสมอๆ ทุกๆ ที่ในโตเกียว.. อุเอะโนะ, ชิบุยะ, อะโอะยะมะ, ชินจุกุ, ฮะระจุกุ และ
ที่อื่นๆ .. ตอนนี้ผมได้ไปมาหมดแล้ว รู้จักโตเกียวมากขึ้นแล้ว.. โดยมีเรียวคอยเป็นไกด์ พาผม
ไปไหนต่อไหน ผมได้รู้จักคนมากขึ้น เกือบจะทั้งโรงเรียน.. ได้รู้จักและสนิทกับคน
ให้ห้องมากขึ้น หลายครั้งที่ผมไปฉลองกัน กับเพื่อนๆ แล้วไปค้างที่บ้านของเพื่อน
หลายๆ คน [แต่ยังไม่เคยไปบ้านเรียว] ผมได้เรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นมากมาย ที่เมืองไทยไม่มีสอน ได้เรียนรู้วิถีชีวิตคน
ญี่ปุ่น แบบถึงแก่นที่สำคัญ.. ผมได้รู้จักเรียวมากขึ้น ได้สัมผัสความอบอุ่น ความห่วงใยจากเรียวมากขึ้น ผมมีความสุขมาก ....
... วันนี้วันศุกร์ครับ มีงานดื่ม ของห้อง.. เรานัดกันที่ร้านประจำ เวลาประมาณ 6 โมง หรือ 1 ทุ่ม.. นี่ก็ยังมีเวลาเหลืออีกเยอะ เรียวชวนผมไปหาอะไร
กิน แถวๆ ชิบุยะ.. ผมไม่ขัดข้องอะไร ชิบุยะ ก็ชิบุยะ ใกล้ร้านที่นัดดีด้วย.. เดินแถวนั้นก็สบายๆ เหมือนสยาม มาบุญครอง เดินดูของไปเรื่อยๆ กับเรียว 2 คน มี
ความสุขที่สุด...
... แต่วันนั้น ไม่ได้มีแค่ผมกับเรียว 2 คน มีเพื่อนๆ ในห้องบางคน ที่อยู่ซ้อม
เบสบอลกับเรียวด้วย ไปด้วยกัน.. ซึ่งทุกคนก็เห็นตรงกันว่า ควรจะไปหาอะไรกินกัน
ก่อน ก่อนที่จะไปดื่ม .. ตั้งแต่ ที่เพื่อนๆ ในห้องรู้ว่าผมกับเรียวคบกัน.. ผม
มี ความรู้สึกว่าผมเข้ากับเพื่อนๆ ได้ดีมากขึ้น ไม่มีใครรังเกียจ มีแต่รอยยิ้ม สนุกสนาน.. เวลาเรียวเดินมาหาผมที่ห้อง จะมีเสียงคอยแซว คอยแหย่จากหลังห้อง
เสมอๆ แต่ถึงยังไงก็มีแต่รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ...
... รถไฟสาย Yamanote นำผม เรียว และเพื่อนๆ มาถึงสถานีชิบุยะเป็นที่เรียบ
ร้อย.. ท่าทางเรียวคงจะหิวมาก สั่งให้ทุกคนตกลงกันว่าจะกินอะไร.. เถียงกันอยู่
ได้ไม่นาน ก็มาตกลงกันที่ไก่ KFC หรือที่คนญี่ปุ่นมักเรียกว่า "เกนตะ" ผมก็ไม่
ว่าอะไร เกนตะก็เกนตะ.. ผมเป็นคนที่กินอะไรค่อนข้างเร็วนะครับ เวลาไปกินด้วยกัน
กับเพื่อนเยอะๆ ผมมักจะกินหมดเป็นคนแรก.. ผมกินเสร็จแล้วไม่มีอะไรทำ ผมจึงนำเอา
การบ้านมหาโหด ออกมาทำ.. ที่เรียกว่าการบ้านมหาโหดก็เพราะว่า.. นักเรียนต่าง
ชาติ จำเป็นต้องเรียนภาษาญี่ปุ่นหนักกว่า นักเรียนญี่ปุ่นปกติ มีข้อสอบพิเศษ
ด้วย.. ผมกับเรียวมักจะทะเลาะกัน เสมอๆ เพราะเรื่องการบ้าน ซึ่งก็แน่นอน วัน
นั้นก็ด้วย ....
... ผมนั่งอยู่ข้างๆ เรียวซึ่งดูยุ่งๆ มือซ้ายกำลังถือไก่ ปากกำลังเคี้ยวมือขวา
กำลัง ถือแก้ว Pepsi เอาไว้.. ผมนั่งทำการบ้านไปสักครู่ จึงเริ่มออกอาการ.. "เรียว สอนคันจิตัวนี้หน่อย" "คันจิ" ก็คือตัวอักษรที่ญี่ปุ่นไปยืมมาจากจีนมาใช้.. ทั้งยังมีเสียงอ่านทั้ง
แบบ ญี่ปุ่นและแบบจีน.. คันจิ นี่ทำความลำบากให้ผมมาก.. เกลียดตั้งแต่อยู่
ญี่ปุ่น กลับมาเมืองไทยก็เรียนได้ไม่ดี ก็ไม่ทราบว่าทำไม .. เรียวเคี้ยวไก่อยู่สักครู่ หันมามองสมุดการบ้านผม แล้วพูดขึ้นว่า.. "อะไร ... คันจิประถมอย่างนี้ไม่รู้จักได้ไง" "ก็ไม่รู้จริงๆ นี่ยากอ่ะสอนสิ สอนจะได้รู้" แต่เรียวก็ไม่สนใจ ตั้งหน้าตั้งตากินต่อไป.. กลิ้งตาไปๆ มาๆ เหมือนจะแกล้งเย้ย
ผม ทำให้เพื่อนอีก 2-3 คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม หัวเราะ กันคิกๆ คักๆ แซวกัน
ใหญ่ ......
... ผมปิดสมุดการบ้านลงดัง ปัง!! .. เลื่อนเก้าอี้ออกทำหน้าวีนๆ บอกเพื่อนๆ ว่า.. เดี๋ยวมาจะออกไปเดินเล่น แล้วเดินออกจากร้านไป.. จริงๆ ผมไม่ได้โกรธ ไม่
ได้งอน.. แค่อยากให้เรียวรู้สึก สนใจและจริงจังกับผมมากขึ้น.. เพราะเรียวเป็นคน
ที่ขี้เล่น เล่นมากๆ .. บ่อยครั้ง ที่ผมตั้งใจกับอะไรมากๆ แต่เรียวกับทำเป็น
เล่นๆ .. ซึ่งครั้งนี้ก็ด้วย ผมเดินออกมางั้นๆ ไม่รู้จะเดินไปไหน.. ชิบุยะ ก็เดิมๆ เดิน
แทบ จะทุกวัน ผมเดินไปเดินมาได้สักครู่ คิดว่าทุกคนคงจะกินกันเรียบร้อยแล้ว.. จึงเดินกลับเข้าไปในร้าน ซึ่งก็เป็นตามที่คิดเอาไว้.. ทุกคนอิ่มและ กำลังรอผม
กันอยู่ ผมเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าตัวเองออกมา ไม่ได้พูดอะไรกับใคร.. แม้แต่กับ
เรียว ที่ทำยิ้มแย้มหน้าตายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น.. ผมเดินออกมาเรื่อยๆ ถาม
เพื่อนว่า จะไปที่ร้านเลยใช่มั้ย.. แล้วเดินนำหน้าออกมา ทิ้งเรียวเอาไว้กับ
เพื่อนๆ คิดแต่ว่านี่จะไม่รู้จริงๆ เลยหรอว่าผมวีน...
... ผมเดินนำหน้ามาได้สักครู่ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากข้างหลัง.. "คิดว่ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ ไม่น่ารักเลย" เป็นเสียงที่คุ้นที่สุด แต่ผมไม่อยากจะหันกลับไป มองหน้าเค้า.. จริงๆ แค่นี้ผม
ก็หายบ้าแล้ว ดีใจด้วยซ้ำ ที่ทำไปแบบนั้น.. ก็แค่อยากจะแกล้งเรียวเล่นๆ แต่ถ้า
ผมกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว มันจะง่ายเกินไป.. ผมยังคงปั้นหน้ารักษาฟอร์ม แล้ว
เดินต่อไป [โบ้ทฟอร์มสด] เรียวฉุดเอากระเป๋านักเรียนจากมือผม ไปถือ.. ผมตกใจนิด
หน่อยหัน ไปทำหน้าดุใส่.. แต่เรียวก็ยังยิ้ม ทำหน้าเป็น หน้าตายใส่ผม.. ผมเลย
ต้องรีบหันกลับมา กลัวว่าจะอดกลั้นความขำเอาไว้ไม่ได้.. แล้วเดินต่อไป ระหว่าง
ทางที่ผมเดินนำหน้าเรียวไปนั้น.. เพื่อนที่มาด้วยกันก็แซว ผมกับเรียวไปตลอด
ทาง.. มันทำให้ผมเกือบเก๊กแตก ตลกมากไม่คิดว่าจะทำได้ และได้ทำ..
... จนกระทั่งที่ร้าน วันนั้น..จำได้ว่าทุกคนสนุกกันมาก กินเบียร์กันแทนน้ำ.. ไก่ย่าง ลูกชิ้น และอาหาร อื่นๆ คาราโอเกะ.. ทุกคนเต็มที่ ผมคนนึงแหละ ที่ตะโกน
แหกปาก ตรบมือเวลาร้องเพลง หรือเวลามีใครจะ ดวลเบียร์กัน.. แต่ผมก็ยังไม่สนใจ
เรียว ทั้งที่นั่งข้างๆ กันก็จริง แต่ก็ไม่คุยกัน.. ผมนั่งหันข้างให้เรียว คุย
กับ แผ่นหลังของผมไป แล้วผมก็ไปสนุกสนานกับคนอื่นๆ ในห้องต่อ.. แผนของผมได้ผล เรียวชักออกอาการ นั่งเงียบไม่คุยกับใคร.. คนนั้นคนนี้เข้ามาถามก็ไม่พูด ผมก็
ไม่สนใจ อยากมาแกล้งเราก่อนทำไม.. สักพัก นึกขึ้นได้ว่ามีการบ้านคันจิ จึงเอา
สมุดการบ้านไปถามเพื่อน.. คนที่พูดภาษาอังกฤษได้เยี่ยมที่สุดในห้อง ว่ามันแปล
ว่าอะไร.. เผื่อว่าจะอธิบายเป็นภาษาอังกฤษได้ดีกว่า แต่คำตอบที่ผมได้รับกลับ
เป็น .. "ตัวนี้หรอ .. ไปถามเรียวสิ เรียวตอบได้" ผมบอกเขาไปว่า เรียวไม่ยอมบอก เขากลับหัวเราะร่า บอกว่า.. เดี๋ยวเรียวก็บอกผม
เอง ...
... ผมละออกจากเพื่อนคนนั้นมา ไม่ได้สนใจอะไรมากมายนัก เอาสมุดการบ้านไปเก็บ แล้วก็เดินร่อนไปหา คนโน้น คนนี้ เต้นบ้าตรบมือ แหกปากร้องเพลงไปเรื่อยๆ .. เข้าไปคุยกับเพื่อนคนนั้น และก็ย้ายไปคุยกับเพื่อนอีกกลุ่ม ปล่อยให้เรียวนั่ง
บ้าไปอย่างนั้น.. ไม่ได้สนใจ มีเพื่อนบางคน ชวนให้ผมร้องคาราโอเกะ.. ผมก็ร้อง
โดยที่ใช้ภาษาญี่ปุ่น ห่วยๆ ของผมร้องนั้นแหละ.. ร้องเหมือนกับเป็นตัวตลก ปกติ
ผมจะไม่ยอมกลายเป็นตัวตลกเท่าไหร่.. แต่วันนั้น อาจเป็นเพราะยังอยู่ในช่วงบ้า
เลยยอม.. ร้องเพลงไปเรื่อยๆ ผิดๆ ถูกๆ .. ทุกคน หัวเราะกันยกใหญ่.. มีแต่เรียว
นั่นแหละ ที่นั่งเอาหลังพิงกำแพง ทำหน้าบอกบุญไม่รับไปอย่างนั้น แต่ผมก็ไม่
สนใจ..
... จนกระทั่งจ่ายเงิน ทุกคนแยกย้ายกันกลับ.. ผมกับเรียวก็กลับ แต่ผมก็ยังไม่ได้คุยกับเรียว บนรถไฟก็ไม่ได้คุยกัน.. จากที่ตอนแรก ผมเป็นคนเครียด เรียวยิ้มแย้ม กลับกลายเป็นเรียวเครียดอย่างเห็น
ได้ ชัด.. ทำไงดีผมสงสารเรียวมาก แต่ก็ไม่รู้จะบอกยังไง กลัวเสียฟอร์ม.. เรายังเงียบกันไปอย่างนั้น จนกระทั่ง..เรียวพูดขึ้นมาว่า.. จะขอไปนอนหอผม ซึ่งผมก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร อยากไปก็ไปก็แค่นั้น..
... เรานั่งนิ่งไปเรื่อยๆ .. .. ลงรถไฟ.. .. เดินเข้าไปในหอ.. .. ผ่านร้านบะหมี่รถเข็น.. .. ก็ยังคงเงียบ..... มีแต่ความเงียบ....... .. จนเข้าไปในห้อง.. ผมกำลังถอดเครื่องแบบออก.. .. ก็มีเสียงเรียวพูดขึ้นมาว่า ................................... .. "อยากรู้หรือเปล่า.. ว่าคันจิตัวนั้นอ่านว่าอะไร ?" ......
... "อยากรู้หรือเปล่าว่าคันจิตัวนั้นอ่านว่าอะไร" ...
.. เรียวพูดประโยคนี้พร้อมกับมองหน้าผม.. จ้องหน้าผมนิ่ง ผมเริ่มรู้สึกว่าตัว
เอง ชนะ แต่ก็ยังคงรักษา ฟอร์มเอาไว้บอกว่าเอาไว้ก่อน.. ผมส่งเสื้อผ้าและผ้า
เช็ดตัวให้เรียว บอกให้เขาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ.. เขารับ เอาเสื้อผ้านั้น
แล้วก็ไปอาบน้ำ.. ผมยิ้มให้กับชัยชนะของตัวเอง จัดแจงเอาฝูกมาปู รอเรียวอาบน้ำ
เสร็จ.. ผมจึงเข้าไปอาบน้ำต่อจากเขา เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วนำการบ้านออกมานั่งทำ
ไปเรื่อย.. เรียวเองก็ทำการบ้านของเขา นำออกมานั่งทำไปเรื่อยๆ .. เราสองคน นอน
คว่ำอยู่บนฝูก ต่างคนต่างทำการบ้านของตัวเองไปเรื่อยๆ ผมไม่ลืมที่จะ ถามเรียว
ว่า ไม่โทรไปบอกที่บ้านหรือ ว่าวันนี้จะไม่นอนที่บ้าน.. เขาว่าไม่เป็นไร เพราะ
ปกติทุกคืนวันศุกร์ เรียวก็ไม่ได้กลับไปนอนบ้านอยู่แล้ว ทำให้ผมนึกขึ้นได้เพราะ
ศุกร์ที่แล้วผมกับเรียว ก็ไปค้างที่บ้านเพื่อนอีกคนนึงมา .....
... เรียวทำการบ้านเสร็จก่อนผม เขาจัดแจงเก็บสมุดการบ้านของเขา ลงไปในเป้พูม่า
ใบใหญ่ ขนาดคนลงไปนอนได้ของเขา แล้วถามผมว่า.. ผมทำการบ้านของผมเองเสร็จหรือ
ยัง ผมตอบไปว่ายัง แต่คงอีกยังไม่นาน เอาไว้ให้การบ้านข้อนี้เสร็จ ผมจะให้เรียว
สอนคันจิให้.. เขาพยักหน้าเบาๆ แล้วบอกว่าหิว จะลงไปหาซื้ออะไรกินสักครู่ ถามผม
ว่าจะเอาอะไรหรือป่าว.. ผมฝากเรียวซื้อน้ำผลไม้มา น้ำอะไรก็ได้ เขา "hai" รับคำ
สั่งของผม ซึ่งถ้าเป็นภาษาไทยก็คงจะเป็น "ครับผม" .. ผมสังเกตุเห็นว่าเรียวดี
ขึ้น ไม่ค่อยจะเครียดเหมือนเมื่อสักครู่แล้ว เสียงเรียวปิดประตูและเดินออกจาก
หน้าห้องผมไป ผมรอฟังเพื่อให้แน่ใจว่า เรียวเดินออกไปแน่ๆแล้ว .. จากนั้นผมก็
แอบเอาสมุดไอดารี่ ออกมาเขียน ผมเขียนบรรยายไปว่าวันนี้ ผมทำอะไรไปรอเรียวซ้อม
เสร็จ ไปไหนมาบ้าง เกิดอะไรขึ้น.. วันนี้ทุกคนสนุกกันแค่ไหน เขียนไปได้แค่ แผ่นกว่าๆ เรียวก็กลับเข้ามาพร้อมกับ ถุงขนมและน้ำ ผมรีบนำไอดารี่ไปเก็บแบบไม่
ให้เรียวรู้ ว่าผมกำลังเขียนอะไรอยู่ แล้วกลับมานั่งบนเตียง..
... ผมเปิดถุงออกดูว่าเรียวซื้ออะไรมาบ้าง ก็แค่ ขนมปัง 2-3 อย่างกับ น้ำบ๊วย ที่ผมชอบ จากนั้นผมก็ให้เรียวตรวจการบ้านให้ผมซึ่งเรียว ถึงแม้ว่าจะยังร่าเริง
ไม่เต็มที่เหมือนเดิม แต่เรียวก็ยังไม่ทิ้งความขี้เล่นเวลาตรวจการบ้านผม.. ผม
กับเรียวนั่งอยู่บนฝูก เรียวนั่งอยู่ข้างๆ ผม คอยเรียกผมไปดูสมุดการบ้าน ของตัว
เองเสมอๆ ว่า ตรงไหนผิดตรงไหนถูกอะไรยังไง.. ผมก็ไม่ค่อยได้สนใจ ดู TV ไป
เรื่อยๆ เรียวเรียกให้ดู สมุดทีนึงก็สนใจสมุดทีนึง แล้วก็ ไปสนใจกับ TV ของผม
ต่อ ขนมปังในมือผมที่ผมถืออยู่นั้น.. บ่อยครั้งที่ผมไม่ได้ส่งมันเข้าไปปากตัว
เอง เพราะจะมีคนคอยทำเสียงประหลาดๆ "tabetai tabetai" อยากกิน อยากกิน.. เหมือน
เด็กๆ อยู่อย่างนั้น ผมก็เลยต้องป้อนเรียวไปดูTVไป จนกระทั่ง ขนมปังหมด เรียว
ตรวจการบ้านเสร็จ และ .......
... เรียวเข้ามากอดผมจากข้างหลัง มันเป็นการกอดครั้งที่นับไม่ถ้วนของผมกับ
เรียว ผมปล่อยให้เขากอดผมไปอย่างนั้น เพราะผมกำลังสนใจ Kimura Takuya ใน TV อยู่.. เขาถามผมว่า เมื่อตอนเย็นนี้ โกรธอะไรเขา ผมจำไม่ได้ว่าเรียวถามผมอยู่
กี่ครั้ง แต่ก็คงจะหลายครั้งมาก.. จนเรียวรำคาญเอื้อมมือมากดรีโมทปิด TV และ
โยนรีโมท ไปในวิถี ที่ผมไม่สามารจะเอื้อมไปหยิบได้.. "อะ-ไร-กัน-เนี่ย" ผมถามพร้อมกับทำหน้าด..ุ "เมื่อเย็นนี้โกรธอะไร" "ป่าวไม่มีอะไรไม่ได้โกรธ" "ไม่น่ารักเลยรู้หรือป่าว" "รู้สิเรียวพูดเสมอ" "ทำตัวน่ารักๆ หน่อยสิ" "ไม่ได้ทำอะไรนี่ ก็อยู่เฉยๆ" "แล้วทำไมไม่พูด" " ก็ไม่รู้จะพูดอะไร เรียวไม่ยอมบอกก่อนเองว่าคันจินั้น แปลว่าอะไร ยังมาว่าเรา
เป็นเด็กประถมอีก อายพวกโคเฮ บ้างสิ" ผมพร้อมกับหันหน้าไปพูดกับเรียวที่นั่งกอด
ผมอยู่....
... "แล้วอยากรู้ไหมว่าจริงๆ แล้วคันจิตัวนั้นแปลว่าอะไร.." " เคยอยากรู้แต่ตอนนี้ไม่แล้ว" "ทำไมล่ะ" "ก็เคยถามเรียวคุงแล้วนี่ แต่เรียวคุงไม่ตอบ ก็เลยไม่อยากรู้แล้ว" ... ผมตอบพร้อมทิ้งน้ำหนักตัวลงบนตัวเรียว.. ผมนั่งพิงเรียวในอ้อมกอดของเรียว พร้อม
ทั้งพูดต่อว่าเขา ที่ไม่ยอมสอนคันจิผมเมื่อเย็น.. "ไม่อยากรู้จริงๆหรอ" ผมแกล้งไม่ตอบ หลับตานอนในอ้อมกอดเรียวไปอย่างนั้น.. เพราะยังไงซะเรียวก็ต้องบอกผมเอง หรือถ้าไม่บอกผมก็ค่อย ไปเปิดพจนานุกรมเองก็
ได้ "ตอนนั้นที่ไม่บอกเพราะว่ามีพวก โคเฮอยู่ด้วย เลยไม่อยากบอก เพราะคำๆ นี้อยากจะ
บอกกับโบ้ทแค่ 2 คนไม่อยากให้ใครรู้" ผมเริ่มสงสัยว่ามันหมายความว่าอะไรกัน
แน่.. เลยลุกขึ้นไปหยิบเอาสมุดการบ้านคันจิออกมา กางหน้าที่มีตัวคันจินั้นกาง
ให้เรียวดู ...
... "คันจิตัวนี้อ่านว่าอะไร" ผมนั่งยองๆ ลงหน้าเรียว หันสมุดไปทางเขาซึ่งกำลัง
นั่ง ขัดสมาธิอยู่บนฝูก "อ่านว่า อั้ย" เรียวตอบผมนำดินสอมาจดเสียงอ่าน ลงบนสมุดนั้น.. "แปลว่าอะไร" เรียวทวนคำถามของผมเป็นภาษาญี่ปุ่น "แปลว่าอะไรดีนะ" แล้วทำตากลิ้งไปมา เหมือนคนกำลังนึก.. ผมเร่งให้เขารีบๆ ตอบ.. แล้วเรียวก็ทำให้ผมตกใจมากที่สุดครั้งหนึ่ง เพราะปกติเรียวมักจะทำให้ผม
ตกใจเสมอๆ .. เขานิ่งเงียบไปสักครู่ ก่อนจะพูดออกมาเสียงดังฟังชัดว่า.. "รัก" .. เขามองหน้าผม ผมนิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออก จนกระทั่งคำว่า "ผม-รัก-คุณ" ถูกเปล่งออกมาจากปากเรียว.. ถึงแม้ว่า ผมรักคุณของเรียว จะออก อักขระ ได้ไม่ถูก
ต้อง ตามหลักภาษาไทย.. ไม่มีเสียง ร.เรือ ควบคล้ำไพเราะ แต่มันเป็นคำว่า "ผมรัก
คุณ" ที่เพราะน่าฟังที่สุด.. เขาพยายาม ที่จะออกเสียงให้ชัดที่สุด มันประทับใจ
ที่ สุด จนผมทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่านี่คือเรียวสุเกะ คนที่ผมรัก.. เขามาสามารถ พูดภาษาไทยคำว่ารักได้ น้ำตาไหล ออกมาจากตาผม ผมสวมกอดเขาไว้แน่น พูดแต่คำว่า ขอบคุณ ขอบคุณ อยู่พักนึง.. ผมพยายามถามว่า ไปได้ยินมาจากไหน ใครสอน แต่เขาไม่
ตอบ..
... สิ่งที่ผมรู้สึกได้ คือเรียวค่อยๆ คลายกอดของเขาออก จากแน่นออกมาเป็น
หลวมๆ .. เขาบอกรักผมเป็นภาษาญี่ปุ่น หน้าของเรียวเคลื่อนเข้ามาใกล้ หน้าผม
เรื่อยๆ .. ผมยังจำความรู้สึกในคืนนั้นได้ ผมค่อยๆ หลับตาลง .. ในจังหวะที่ปาก
ของผมและเรียวสัมผัสกันนั้น ตัวของผมร้อนผ่าวไปหมด.. มันเป็นจูบแรกของผมกับ
เรียว เป็นจูบของผมแรกที่ญี่ปุ่น.. เป็นจูบที่เรียวจูบผมหลังจากที่บอกรักผม.. หลังจากบอกชอบผมและขอผมเป็นแฟนที่โตเกียวโดม...
... ผมเริ่มทิ้งน้ำหนักตัวลงกับฝูกที่นอนนั้น.. .. เรียวโน้มตัวเขาลงมา ถามผมว่ากลัวมั้ย.. .. ผมส่ายหน้า ไม่ได้ตอบอะไร เรียวถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมด.. .. เป็นครั้งแรก ที่เราได้เห็นกันและกันในสภาพเปลือยเปล่า.. .. เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็น ผิวขาวสะอาดของ เรียว.. ชายที่โรแมนติคที่สุด.. .. เขาบรรจงจูบผมเบาๆ ผมทำอะไรไม่ได้ มากไปกว่าปล่อยให้เวลาและ.. .. สิ่งที่เรา 2 คนอยากทำดำเนินต่อไปอย่างนั้น ... .. ต่อไปอย่างนั้น.... .. จนกระทั่งเรา 2 คนนอนกอดกันหลับไป....... ..... มันเป็นเวลาสายๆ ของเช้าวันใหม่.. ผมพยายามจะลืมตาสู้กับแสงแดดจ้า ที่
ส่องผ่านเข้ามา จนถึงตัวผมที่นอนกอดเรียว อยู่บนฝูกที่นอน.. ผมแหงนมองดูนาฬิกา ซึ่งมันก็เป็นเวลาที่สายมากแล้ว แต่เพราะอะไรก็ไม่ทราบ ผมยังไม่อยากตื่นยังคง
นอน กอดเรียวหนุนไหล่เรียวไปอย่างนั้น.. คิดถึงเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด.. คิดกี่
ครั้งๆ ก็มีความสุข คิดกี่ครั้งๆ ก็อดยิ้มให้กับตัวเองไม่ได้.. คิดเรื่องราวที่
ผ่าน มาเมื่อวานนี้.. เมื่อคืนนี้.. เรื่องราวของคืนที่สมบูรณ์แบบที่สุดของผม.. แล้วก็นอนลงเอาหน้าแนบอกเรียว นอนต่อไปเรื่อยๆ .. ตอนนี้สภาพของเรา 2คน ก็คงไม่
ต่างอะไร กับ แมว และ สุนัขจิ้งจอกที่นอนก่ายกันอยู่ ... ดั่งในเทพนิยาย
... จนกระทั่งผมมารู้สึกตัว ก็เมื่อมีใครบางคนพยายามเขย่าตัวผมให้ตื่น อืมมม.. คงไม่มีใครจะสามารถเข้ามาอยู่ในห้องผม ได้อีกแล้วนอกจากสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
ตัวนั้น.. ผมลืมตาตื่นขึ้น เห็นเรียวแต่งเครื่องแบบนักเรียน เรียบร้อยแล้ว "เอ๋......." ผมร้องขึ้นเพราะสงสัยนิดหน่อย เมื่อกี้นี้ยังนอนกอดกับเราอยู่เลย.. ทำไมอยู่ดีๆ ลุกขึ้นพรวด ไปแต่งเครื่องแบบ
นักเรียนเรียบร้อยแล้ว ... ก็คือสุนัขจิ้งจอก จะกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่
บ้าน.. ผมพยักหน้ารับคำ แต่เจ้ากรรมตามันดันจะปิดเอาเพราะว่าง่วง และไม่อยากจะ
ตื่น "ตื่นได้แล้ว..ลืมตาสิลืมตา" ผมพยายามถ่างตาคุยกับเจ้าของเสียงนั้น ....
... เขาบรรจง หอมแก้มผมเบาๆ บอกว่าใก้ลๆ เที่ยงจะมาหา เอาไว้ไปเที่ยวไปทานข้าว
กัน ให้รอด้วย จะกลับไปที่บ้าน ไปอาบน้ำแต่งตัวก่อน แล้วจะกลับมารับ... ผม
ก็ hai hai hai รับไปอย่างนั้น.. แล้วเรียวก็เดินออกไปจากห้องผม แต่ก็ยังไม่ลืมตะโดนออกมาก่อนจะเดินออกไปว่า "ไอ้แมว ตื่นได้แล้ว" แล้วเขาก็หัวเราะเบาๆ ปิดประตูเดินออกไป.. หลังจากเรียวออกไปจากห้องผมได้ไม่นาน ผมก็ลุกขึ้น เก็บฝูกที่นอนเข้าที่ เก็บผ้า
เอาไว้ เตรียมที่จะซัก จริงๆ อยากจะซักซะวันนี้เลย แต่เดี๋ยวเสียระบบ เพราะ
ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะซักผ้า ทุกๆ วันอาทิตย์ แล้วก็ทำนู่นทำนี่ ไปเรื่อย
เปื่อย นึกขึ้นได้เอาสมุดการบ้านคันจิมาเปิดดู ....
... อืมมม คันจิตัวนี้ แปลว่ารัก.. ผมพยายาม หัดเขียนตามแบบฝึกหัดที่มีให้
เขียน แล้วก็คิดกับตัวเองว่า จะเขียนให้เรียวดู อิอิอิ.. จะเขียนสวยๆ ให้เหมือน
คนญี่ปุ่นเขียน แล้วก็จะเขียนให้เรียว จะเขียนเอาไว้ที่สมุดเรียวทุกเล่ม อิอิ
อิ... ผมบ้าอยู่คนเดียวพักใหญ่ ก็นึกเอาได้ว่ายังไม่อาบน้ำ ก็เลย.. คว้าเอาผ้าเช็ดตัว
เดินเข้าห้องน้ำไป เมื่อเข้าไปในห้องน้ำ ผมก็หยิบเอายาสีฟันออกมา กำลังจะบีบ ยา
สีฟันลงไปบนแปรงสีฟันของผม แต่ผมก็ต้องแปลกใจ เพราะที่แปรงสีฟันของผมนั้น ยาสี
ฟันได้ถูกบีบเอาไว้เรียบร้อยแล้ว.. คงจะไม่ใช่ผีหลอก หรือผมคงจะไม่ได้ละเมอลุก
ขึ้นมา บีบยาสีฟันเอาไว้หรอกครับ คงจะเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวนั้น บีบเอาไว้ให้ก่อน
จะกลับไป..
... ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็นั่งดู TV ไปเรื่อยๆ เขียนไดอารี่ไปเรื่อยๆ สลับกับ
ทำการบ้านไปเรื่อยๆ รอเรียวมารับไปทานข้าว.. ผมนั่งทำอย่างนั้นไปเรื่อยๆ แล้ว
เสียงโทรศัพท์ ก็ดังขึ้น.. ถ้าไม่ใช่ พ่อกับแม่ ผมโทรมาจากที่เมืองไทย ก็คงจะ
เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเรียว.. แล้วก็ใช่ครับ เรียวโทรมาบอกว่า เพิ่งตื่นกลับมา
บ้าน ก็เผลอหลับไป เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ.. บอกให้ผมรออีก ประมาณ 1 ชั่วโมง "คิดว่ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ ไม่น่ารักเลยรู้มั้ย" ผมนำเอาประโยคที่เรียวมักพูดกับผมเสมอๆ มาใช้ เขาหัวเราะเสียงดังก่อนที่จะบอก
ให้ผม เปิดประตูห้องให้เขา.. ผมงงๆ บอกว่าจะไม่เปิดในตอนนั้น ผมไม่เข้าใจความ
หมายของเรียวคือทั้งๆ ที่ยังอยู่ที่บ้านจะให้ผมเปิดประตูให้ทำไม..
... เสียงเคาะ ประตูดังขึ้น ผมบอกเรียวว่าให้รอ.. มีคนมาหาผม ผมจะไปเปิดประตู เรียวก็รับคำผมดี ha-i แล้วผมก็เดินไปเปิดประตู.. เมื่อประตูถูกเปิดออก สุนัข
จิ้งจอกตัวหนึ่ง ยืนอยู่ที่ตรงหน้าผม.. มือข้างนึงถือโทรศัพท์ มือถือเอาแนบเอา
ไว้ ที่ข้างหู.. พูดทักทายผมด้วย ภาษาไทยเสียงดังฟังชัดว่า "สวัสดีครับ" ผมเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ถามเขาไปว่า "สนุกใช่ไหมล่ะ" คนได้ฟังก็ยักคิ้วไปๆ มาๆ บอกว่า.. ก็สนุกดี แล้วเดินตามหลังผมเข้ามาในห้อง ถามผมในคำถามเดิมๆ เหมือนเป็น ข้อบังคับที่เราถามกับเสมอๆ ว่า.. หิวหรือยัง อยากจะไปกินอะไรที่ไหน ซึ่งหลายๆ ครั้งก็ต้องไปจบลงที่ร้านบะหมี่ ....
... วันนั้น บังเอิญว่า ความอยากในอาหารไทยของผมมีมาก ก็เลยชวนเรียวไป กินอาหาร
ไทย ทั้งๆ ที่ตอนนั้นก็ไม่ค่อยจะมีเงิน แต่ก็ทำไงได้ เพราะว่าอยากมากยังไงๆ วันนี้ก็ต้องได้กินอาหารไทย.. ซึ่งถ้าจะกินอาหารไทยแล้วล่ะก็ ตอนนั้นผมรู้จัก
อยู่ 2-3 ร้านแต่ร้านที่ไปง่าย และสะดวกที่สุดก็คือร้าน "พัทยา" จะอยู่ที่ไหน
ได้ ถ้าไม่ใช่ "ชิบุยะ-อะโอะยะมะ" แถวๆนั้น.. แค่คิดว่าต้องนั่งรถไฟไปกี่ต่อ กี่สถานีก็ล้าแล้ว.. แต่ถ้าเพื่อ ได้กินอาหารไทย
แล้วยังไงๆ ก็ต้องยอม.. เรียวเองก็ดูจะตื่นเต้น จริงๆ ผมเคยไปกินอาหารไทยกับ
เรียวมาแล้ว 1 ครั้งก่อนหน้านี้.. ยังจำ ได้ว่า เรียวสั่งต้มยำกุ้งมา กินคน
เดียวหมดหม้อ.. แล้วกลับบ้านไปก็ท้องเสีย จนต้องพกเอายามากินที่โรงเรียน อิอิ
อิ... ... รถไฟพาผมกับเรียวมาจนถึง สถานี "ชิบุยะ" เดินตรงไปหลังสถานี จริงๆ ผมก็ไม่
แน่ใจว่าตรงไหนเรียกว่า หน้าสถานีหรือว่าหลังสถานีกันแน่.. แต่ว่าผมก็กำหนดเอา
เอง ว่าต้องเดินไปทางหลังสถานี เราเดินกันเร็วมาก เพราะใครบางคนบ่นอยู่ ตลอด
เวลาว่า "หิวแล้วๆ" ผมก็อยากจะ บอกเหมือนกันว่า รู้แล้วๆ หิวเหมือนกัน แต่ก็ไม่
กล้าเพราะว่ากลัวว ... อาหารไทยวันนั้น.. ข้าวสวย ไก่ทอด ต้มข่าไก่ และกับข้าวอีก 2 อย่าง.. เป็นการ
กิน ข้าวที่ร่วมกับของผม กับเรียว ที่แพงที่สุดครั้งนึงเลยก็ได้.. รวมๆ กันแล้ว ตกร่วม 2 พันบาท แต่ก็ไม่สนใจเพื่อให้ได้กิน อาหารไทยผมยอม ... ดูท่าทางเรียวก็
มีความสุข กับการที่ผมสั่งอาหารแปลกๆ [จริงๆไม่แปลกแต่เรียวเองที่คิดว่าแปลก] มาให้เค้ากิน .....
... ทานข้าวเสร็จ ก็เพิ่งจะบ่ายๆ .. เราเดินออกมา แล้วนั่งตกลงกันอยู่ว่าจะทำ
อะไร ดี ผมเสนอไปว่า.. กลับบ้าน เรียวได้ฟังก็ทำตาโตตกใจ อะไรกลับบ้านอีกแล้ว.. ผมก็เลยบอกไปว่า ถ้าจะเดินเล่นชิบุยะ ก็.. อีกแล้วเหมือนกัน.. เดินมาพอแล้ว รู้
แล้วว่าอะไรอยู่ตรงไหน ..
.. คุยกันไปคุยกันมา เถียงกันไปเถียงกันมา ก็สรุปได้ว่า.. เรียวจะพาผมไปไหว้
พระ ผมก็งงๆ เหมือนกัน ว่าทำไมมันมาหยุดตรงไหว้พระ.. ถามเรียวว่า ทำไมต้องไปไหว้พระ วันนี้.. ตอนนี้.. เดี๋ยวนี้เลยหรอ ? เรียวก็ตอบแค่ว่า อยากไปก็ไป ไม่อยากไปก็ไม่ไป.. แค่นี้เองตามใจผม ผมตอบไปว่าตกลง แล้วเรียวจะพาผมไปไหว้พระที่ไหน คำตอบที่ได้รับคือ "อะซะคุซะ" ... ห๋า "อะซะคุซะ" เหมือน อยู่บางบัวทอง.. แล้วจะไปไหว้พระที่บางนา เนี่ยนะ ........ ..... เราตกลงกันว่าเรียวจะพาผมไป "อะซะคุซะ" ไปไหว้พระที่นั่น.. ผมเคยไป อะซะ
คุซะ เมื่อนานมาแล้ว ตอนมาเที่ยวญี่ปุ่นกับครอบครัว สมัยยังเรียนประถม.. ผมยัง
สามารถ ที่จะ นึกภาพของ อะซะคุซะออกรางๆ ว่ามันเป็นอย่างไร.. .. ผู้คนมากมาย ของขาย ควันธูป โคมไฟสีแดงใหญ่ๆ .. ผมนึกและอยากจะไปเห็นว่า อะ
ซะคุซะ ในวันนี้กับ อะซะคุซะ เมื่อหลายปีก่อนนั้น ต่างกันอย่างไร.. ก็เลยพูด
ขึ้นกับเรียวว่า "อยากไปเร็วๆ เพราะอยากรู้ว่า อะซะคุซะ ตอนนี้ กับ อะซะคุซะ เมื่อตอนเป็นเด็ก
มันเปลี่ยนไปยังไง" "ไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปหรอก วัดก็ยังเหมือนเดิม.. เปลี่ยนไปก็ที่เมื่อหลายปี
ก่อน ไปไหว้พระกับใคร วันนี้ไปกับใครและ ครั้งต่อไปจะไปกับใคร" ผมคุ้นๆ กับประโยคที่เรียวพูดออกมา คิดว่าเขาต้องไปลอกใครมาแน่ๆ แต่ก็ได้แต่นึก
ไปอย่างนั้น..
... จาก ชิบุยะ เรานั่งรถไฟกันแค่สายเดียวไปจนถึง อะซะคุซะ.. แต่มันเป็นการนั่ง
จาก ต้นทางไปลงที่ปลายทาง เรานั่งคุยกันไปตลอดทาง หยอกกันไปตลอดทาง.. โดยที่มือ
ของ เราทั้ง 2 คน ก็แอบจับกันอยู่อย่างนั้น โดยที่ใครก็ไม่สามารถมองเห็นได้.. เราคุย กันไปต่างๆ นาๆ ทำไมวันนี้เรียวชวนมาไหว้พระ ทำไม ทำไม และ ทำไม.. .. ผมคิดว่าคนญี่ปุ่นจะไหว้พระกันเฉพาะปีใหม่ซะอีก.. แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ อย่างเรียวกับที่บ้านถ้าเขาว่างๆ เขาก็ไปไหว้พระ ใกล้สอบ ก็ไปไหว้พระ..ไปขอพร ไปขอให้สุขภาพแข็งแรง.. ถ้าเพิ่มบน ไปอีกอย่างก็เหมือนคนไทยเลย.. แล้วผมก็
อธิบายเกี่ยวกับเรื่อง บนบานสานกล่าวให้เรียวฟัง.. ซึ่งก็ทำให้ผมตกใจ ว่าที่
ญี่ปุ่นก็มีเหมือนกัน สงสัยมันก็คงจะมีเหมือนๆ กันทุกที่ ...
... เราลงรถไฟกันที่ สถานีรถไฟใต้ดิน อะซะคุซะ.. สถานีอะซะคุซะ เราเดินขึ้นมา
จากสถานีมุ่งหน้าไปสู่วัด.. วัด วัดอะไรที่จำชื่อ ไม่ได้แล้ว.. ถามเรียวเขาก็
ได้แต่ยิ้มและขำ บอกว่าวัดนี้ดังมาก ทำไมทั้งๆ ที่ผมเคยมาแล้วก็น่าจะจำชื่อวัด
นี้ ได้.. แล้วก็เดินเอามือล้วง กระเป๋าทำหน้าตามึนๆ เดินนำหน้าผมไป.. .. ผมเดินตามไปคาดคั้น เอาชื่อวัดออกมาจากปากเรียว "วัดชื่ออะไร วัดชื่ออะไร" พลันสุนัขจิ้งจอก ก็ยักคิ้วหลิ่วตา พูดออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่น แบบชัดถ้อยชัดคำ
ว่า "เซนโซะจิ" อืมมม วัดเซนโซะจิ พูดมาตั้งนานก็รู้แล้ว แล้วเรียวก็ไม่ทำอะไร นอกจากขำแล้วเราสองคนก็เดินไปเรื่อยๆ ...
... เดินออกมาจาก สถานี อะซะคุซะ ได้นิดเดียวเท่านั้น ก็จะเจอกับทางเข้าวัด เซน
โซะจิ.. มีประตูใหญ่ตั้งอยู่ที่ปากทางเข้า มองเข้าไปแล้ว ถนนเข้าวัดนี้ยาวพอ
สมควร คนก็เยอะพอสมควรด้วย ดูคึกคัก มีสีสันและมีชีวิตชีวามาก.. ผมถามเรียวว่า ผมเยอะอย่างนี้ เราจะหลงกันหรือป่าว ? เขาไม่ตอบในทันที คว้าเอามือผมไป แล้วจูง
มือผมเข้าไป แล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษที่ฟังยังไงๆ ก็เป็นภาษาญี่ปุ่นว่า.. "Welcome to Asakusa Nakamise Street" ผมเลยรับมุขบ้าๆ ไปกับเรียวด้วย "ขอบคุณนะคุณไกด์" ..
.. สองข้างทางของถนน ที่จะพาเราเข้าไปยัง วัด เซนโซะจิ ถ้าจะให้ผมเปรียบแล้ว ก็
เหมือนกับงานวัดภูเขาทองบ้านเรานี่เอง เพียงแต่ งานวัดของเซนโซะจิ นี่มีกันตลอด
ปี และตี๋ๆที่เซนโซะจิ ก็ดูน่ารักกว่าตี๋ๆ ที่ภูเขาทองครับ ....
... เราเดินกันไปเรื่อยๆ แวะดูของข้างทางไปเรื่อยๆ จนเกือบลืมไปว่านี่เราจะมา
ไหว้ พระไม่ได้มา Shopping แต่มันก็น่าจะทำให้เราลืมได้ เพราะสองข้างทางนั้น.. ของที่วางขายทำให้ผมตื่นตาตื่นใจมาก ของฝากของที่ระลึก กระเป๋า กล้องถ่ายรูป รองเท้า ตุ๊กตา ขนม ของกิน รวมไปถึง กิโมโน ก็ยังมี.. เรียวก็ชี้โน่นชี้นี่ ให้
ผมดูเสมอๆ .. ผมมีความสุขมากจนลืมไปว่า.. นี่มือเรายังจับกันอยู่อย่างนี้ ปกติผมเป็นคนที่
ทำอะไร โดยที่ไม่แคร์สายตาใครๆ อยู่แล้ว.. จะจับมือจะทำอะไรกันก็ได้ เพราะมันก็
คือ ตัวของเรา แต่ผมไม่รู้ว่า เรียวคิดแบบนั้นหรือป่าว.. ผมค่อยๆ ถามเขา เบาๆ ว่า "มือเรายังจับกันอยู่อย่างนี้จะดีหรือ.. เดี๋ยวคนอื่นจะมองเรา 2 คนไม่ดีนะ เรา
จับมือกันมาตั้งแต่ลงรถไฟแล้วนะคุณไกด์"
... ไม่มีคำตอบใดๆ จากไกด์ที่แสนดีของผม.. แต่เขายังคงจับมือผม ซ้ำยังบีบมือผม
เบาๆ และเราก็เดินเข้าไปเรื่อยๆ ผ่านร้านค้ามากมาย คุยกันไปต่างๆนาๆ จนกระทั่ง
เดินเข้ามาถึงตัววัด "เซนโซะจิ" .. .. ผู้คนมากมายเดินไปเดินมา คนญี่ปุ่นเอง ก็เยอะแล้ว คนต่างชาติก็มี และ ที่
สำคัญ "เรามีเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งที่จะเที่ยวชมในบริเวณนี้นะครับ หลังจากนั้นทุก
คน เจอกันตรงโคมไฟแดงนั่นนะครับ" .. ไกด์คนไทยพูดภาษาไทยเสียงดังฟังชัด กับลูกทัวร์โขลงใหญ่ของเขา ผมเรียกให้
เรียวดูว่านี่ นี่ นี่ นี่แหละคนไทยดูซะ.. เขาจ้องมองดูคนไทยนั้นซักครู่ แล้วก็
พูดออกมากับผมว่า "สะวัดเดค้าบ" .. ผมอดที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังๆ ไม่ได้ เรียวบีบมือผมแรงๆ ถามว่าหัวเราะ
อะไร.. ผมก็เลยต้องสอน การออกเสียงคำว่า สวัสดี ที่ถูกต้องให้เรียว.. แล้วเดิน
เข้าไปในวัด กันสองคน ...
... ผู้คนมากมาย ควันธูป เสียงจ้อกแจ้ก จอแจ การอธิฐาน และ ผมกับเรียว ... ผม
เพิ่ง จะรู้และระลึกได้ว่า วัดเซนโซะจิ นี่วัดเจ้าแม่กวนอิม เองหรอกหรอ.. เสียดายเรียวอธิบายไม่เป็นว่า อะไรคือเจ้าแม่กวนอิม แต่ก็ไม่เป็นไร วัดเจ้าแม่
กวนอิม .. .. ผมกำลังก้มหน้าก้มตาอธิฐานอยู่ ก็รู้สึกว่าเรียวมา ด่อมๆ มองๆ ผมอยู่ข้าง
หลัง.. ผมอธิฐานเสร็จ ลุกขึ้นเดินออกมา พร้อมกันกับเรียว "อธิฐานอะไรหรอ" เรียวถาม "อ้าว ... บอกแล้วจะเรียกอธิฐานหรอเรียว คนไทยไม่บอกกันหรอกว่า อธิฐานอะไร" "แต่คนญี่ปุ่นบอก" "แต่โบ้ทเป็นคนไทยนะไม่บอกดีกว่า" "แต่มีแฟนเป็นคนญี่ปุ่น" "คนละเรื่องกัน ไม่เอาๆ ไม่บอกๆ" เหมือนเรียวจะรู้ว่า คาดคั้นไปก็ไม่มีประโยชน์ เงียบไปสักครู่มองหน้าผม ...
... เขาหยิบเอา สิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขา ลักษณะคล้ายถุงผ้า
บางอย่าง ประดับไปด้วยเชือก หรือว่าด้ายสีทองเต็มไปหมด.. ผมนึกออกทักทีเพราะว่า
เคยเห็นมาบ้างมันก็คือ เครื่องรางของญี่ปุ่น ที่เชื่อกันว่าถ้าเก็บเอาไว้จะทำ
ให้ โชคดี และมีความสุข เอายื่นให้ผมแล้วบอกว่า.. ให้ผม .. .. ผมยิ้มรับเอามาเก็บเอาไว้ใน กระเป๋าเงินของผม ตอนนี้มันอัดไปด้วย เครื่อง
ราง การ์ดโตเกียวโดม รูปเรียว และเงินของเรียว ตอนนั้นผมคิดแต่ว่า ผมน่าจะให้
อะไรกับเรียวบ้าง คิดไปคิดมา ผมก็นึกออก จูงมือเรียวเดินไปหน้าวัดแล้ว
ก็ ........ "จะพาไปไหน เดินไปเรื่อยๆ รู้ทางหรือป่าว" .. เรียวถามผม ซึ่งกำลังจูงมือเรียว เดินมุ่งหน้าไปทางหน้าวัด ผมยิ้มอยู่คน
เดียว ไม่ได้ตอบอะไรเขากลับไป คิดอยู่ในใจว่า เมื่อกี้เห็นอะไรอย่างนึง ซึ่งผม
คิดว่าผมอยากที่จะให้เรียว .. ผมจูงมือเรียวมาเกือบจะถึงหน้าวัด แล้วผมก็ หยุด ชี้ให้เรียวดู .. อ่างปลา
ทอง ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ กับพื้น มีเด็กๆ มากมายกำลังรุมล้อม อ่างนั้นอยู่.. มัน
เป็นเกมส์อย่างนึงของญี่ปุ่น โดยที่ผู้เล่นจะต้องไปซื้อไม้มาจากผู้ขาย โดยที่
ไม่นั้น จะขึงด้วยกระดาษสาบางๆ เอาไว้ เอาไว้ตักปลาทอง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับฝีมือ ว่าจะได้หรือจะแห้ว ...
"ชอบ มั้ย" ผมชี้แล้วถามเรียว เขาทำหน้างงๆ นิดหน่อย ย้อนถามผมมาว่า "ชอบอะไร" ผมมองหน้าเขา ขำอยู่สักพัก "ก็ชอบอะไรเล่า นี่ชี้ให้ดูอะไร ปลาทองไง ปลาทอง.."
.. เรียวขำบอกผมว่า ทำตัวเหมือนเด็กๆ ไอ้เกมส์ตักปลานี้ มีแต่เด็ก ประถมเท่า
นั้น ที่มาเล่นกัน เด็กมัธยมน่ะ ไม่โดนหลอกหรอก .. ผมทำหน้าเหม็นๆ ใส่เรียวไป คิดสักครู่ไม่อ่ะ ยอมโดนหลอก "เรียวที่บ้านมีปลาทองแบบนี้มั้ย" เขาตอบว่ามีแต่เป็นของน้องสาว .. เรียวคงจะยังไม่รู้ว่า ที่ผมจะตักเอาปลาทองตัวอ้วนๆ ขึ้นมาเนี่ย เพราะจุด
ประสงค์อะไร ผมถือไม้กระดาษเอาไว้ ผมรู้ตัวเองดีว่า มันคงจะไม่สำเร็จในครั้งแรก
ที่เล่นหรอก.. ผมนั่งยองๆ มองไปมองมาสักครู่ หาปลาตัวที่มันผอมๆ จะได้ตัก
ง่ายๆ .. .. สักพักก็มีคนมานั่งยองๆ ข้างๆ ผม จะใครไปไม่ได้ นอกจากเค้าคนนั้น.. ผมหันไป
มองเรียว ก็ตกใจ เรียวถือไม้เอาไว้ด้วย ไหนว่าหลอกไม่ได้ไง ว่าแต่เค้านี่
หว่า ...
.. เรา 2 คนหัวเราะใส่กันเบาๆ ที่อ่างนั้น แล้วเรียวก็บอกให้ผมหยุดดู สิ่งที่
เค้า กำลังจะทำ "ดูนะ ดูนะ" แล้วเรียวก็จ้วงเอาไม้ลงไปตักปลา .. แต่ว่า ในมือของเรียวก็ยังจะมีแต่ไม้เปล่าๆ กับกระดาษขาดๆ รุ่ยๆ .. ผมหัวเราะใส่เขาเบาๆ บอกว่า เรียวเนี่ย..ไม่ใช่คนญี่ปุ่นแท้ๆ ล่ะสิ อิอิ.. .. เรียวทำท่าจะลุกขึ้นไปใหม่ ผมบอกเค้าว่าไม่ต้องแล้ว นั่งดูอยู่นี่แหละโบ้ทจะ
เล่นให้ดูเอง.. ผมเดินไป ซื้อไม้มาอีก ผมจำไม่ได้แล้วว่า ตอนนั้น คิดราคาตาม
ไม้ หรือราคาตามครั้งที่ตัก .. ผมนั่งลง ส่งไม้ให้เรียวถือไว้ แล้วก็ตักไปตักมาได้สักพัก สิ่งที่ทำให้คน
ญี่ปุ่นตาตี่ๆ อย่างเรียวตาโตเท่าล้อเครื่องบินได้ นั่นก็คือ ......
"เอ้ย เอ้ย เอ้ย ทำได้แล้ว ทำได้แล้ว" .. ผมตลกเรียวที่ทำหน้าตา ตื่นตกใจตาโต พูดเสียงดัง มากกว่าดีใจที่ตักปลาได้ซะ
อีก.. เรียวรีบหยิบเอาถ้วย ให้ผมเอามาใส่ปลาเอาไว้ ผมยังจำได้เรียว ยิ้มแบบน่า
รัก ปนตกใจ ทำตาโต ชมผมอยู่นั่นแหละว่า เก่งนะ เก่งนะ .. จากนั้นผมก็ตักปลาได้อีกตัวนึง รวมเป็น 2 ตัว ท่าทางเรียวคงจะทึ่งผมเอามากๆ ว่าทำได้ยังไงกันเนี่ย ... ผมยื่นปลาทั้ง 2 ตัวในถ้วย ให้กับคุณเจ้าของร้านใส่
ถุงให้ พลางถามเรียวว่า "เก่งมั้ยๆ" ไม่มีคำตอบใดๆ จากเรียวนอกจากรอยยิ้มที่น่าดูที่สุดในโลก .. ผมกับเรียวเดินออกมาหน้าวัด เลี้ยวซ้ายเดินออกมาตามถนน ตอนนั้น เป็นเวลาเย็น
แล้ว รถที่วิ่งอยู่ก็เริ่มเปิดไฟกันแล้ว เราเดินนตรงกันไป เรื่อยๆ จนได้พบกับ แม่น้ำ ซุมิดะ ...
"ไป ดูแม่น้ำกันโบ้ท" เรียวชวนผม มือของเขายังจับกับมือของผมอยู่แน่น "อือ" ผมตอบไป .. แต่ในใจก็คิดทำไมต้องไปดูแม่น้ำด้วย แม่น้ำที่ไหนๆ ก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ
ในโลก เดินตามเรียวไป จนถึงฝั่งแม่น้ำ.. .. ภาพที่ผมได้เห็น ก็คือ แม่น้ำซุมิดะที่ทอดผ่านโตเกียว มีเรือ ล่องอยู่กลาง
แม่น้ำ 2 ฝั่งแม่น้ำที่มีต้นซากุระ แสงไฟจากเรือ แสงไฟจาก 2 ริมฝั่งแม่น้ำ ผม
กับเรียวยืนจับมือกัน .. .. มันจะมีอะไรที่ดีกว่านี้อีกมั้ย ผมคิดในตอนนั้น.. วันนี้คงจะมีเรื่องไปเขียน
เก็บเอาไว้ ในไอดารี่แล้วสินะ เรายืนกันอยู่ได้สักพัก เรียวก็ถามผมว่า...
"เรา ไปหาซื้ออะไรมาใส่ปลากันมั้ย" "ทำไมต้องไปหา" "อ้าว.. แล้ว 2 ตัวนี้จะทำยังไง" "2 ตัวนี่ก็ ให้เรียวไง.. ยกให้เรียว ให้เรียวเลี้ยง" "จริงหรอ !!" เรียวทำหน้าตกใจ แบบสุดๆ อีกครั้งนึง ... เขาคงไม่คิดว่าผมจะมีความคิดเด็กๆ ที่จะตักปลาทองให้แฟน ... ... ตั้งแต่ความรักของผมกับเรียวได้เริ่มขึ้น ... โตเกียวโดม โรงเรียน หอผม บ้านเรียว รถไฟสายยะมะโนะเทะ ชิบุยะ จากช่วงเวลาที่อบอุ่นของโตเกียว และเกาะ
ญี่ปุ่น ตอนนี้ ช่วงเวลาจะเปลี่ยนไป เป็นช่วงเวลาของความชื้น และเย็นจากสายฝน มันจะเป็นฝนแรกของผมในโตเกียว บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไร จะเหมือนฝน ที่ กรุงเทพ เชียงใหม่ หาดใหญ่ หรือฝนที่ตกได้ 7-8 วันไม่เคยหยุดอย่างที่ ปัตตานี หรือป่าว.. ในเวลานั้นผมจินตนาการ วันที่ฝนตกใน โตเกียวไม่ได้เลย แต่เท่าที่เคยทราบมาจาก นักเรียนไทยรุ่นพี่ ที่เล่าให้ฟังว่า ในวันฝนตกนั้น มองไปทางไหนก็เหมือนมีงาน
แฟชั่นโชว์ร่ม ยิ่งที่ ซอยเล็กๆ ใน ชินจุกุ ฮาระจุกุ นี่มองไป ไม่เห็นหัวคน มี
แต่ร่ม ... ผมชักอยากจะเห็นภาพแบบนั้นแล้วสิ รู้สึกตื่นเต้น กับหน้าฝนที่กำลัง
จะมาถึง..
... ผมนั่งอยู่ในห้องเรียน มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นฟ้าสี หม่นๆ แล้วก็
ตื่นเต้น ว่าวันนี้ จะตกหรือป่าว รอมาหลายวันแล้วฝนเนี่ย.. ถ้าวันนี้ฝนตก เรียว
ก็จะซ้อมกีฬาไม่ได้ เราก็จะได้กลับบ้านเร็วขึ้น หรือว่าเราจะกลับบ้านได้ช้าขึ้น
เพราะ ว่าติดฝนอยู่โรงเรียน ... เอายังไงดี ผมคิดไปต่างๆ นาๆ ถ้าอย่างนั้นล่ะ ถ้าอย่างนี้ล่ะ จนอาจารย์คงจะ สังเกตุเห็นว่า ผมไม่ได้สนใจในสิ่งที่แกกำลังสอน โดนดุไปนิดหน่อย แล้วก็โดนเพื่อนๆ แซวว่า.. คิดถึงเรียว อยู่ล่ะสิ ! อืม จะว่า
อย่างนั้นก็ถูก ก็คิดอยู่ว่าถ้าฝนตกจะทำยังไงดี กลับบ้านกับเรียว คิดถึงเรียว เรียวที่กำลังนั่งเรียน อยู่อีกห้องนึงถัดไป คนที่ยิ้มเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไร
ขึ้น คนที่เข้ามาทักทายผมบนรถไฟ คนที่เวลาดีใจ ตาจะปิดเป็นเส้นเดียว คนคนนั่น
แหละครับ ที่ผมกำลังนึกถึง ...
.. ยังไม่ทันจะหมดชั่วโมงที่เรียนอยู่ ฝนที่ทำท่าว่าจะตก ก็ตกลงมาจริงๆ ... คง
ไม่ ต้องบอกว่าผมดีใจแค่ไหน "aaa !! futta futta" เหอ เหอ ตกแล้วโว้ยๆ ผมหันไปบอกเจ้าโคเฮ เพื่อนสนิทของผม ดูเหมือนเพื่อนผมมันคงจะ สงสัยว่าทำไม ผมต้องดีใจขนาดนั้น ในขณะที่คนส่วนใหญ่ ไม่ต้องการฝน ทำไม ผมถึงต้องตื่นเต้นกับการที่ฝนตกด้วย นั่นสินะ เพราะอะไร ผม
ยังไม่เข้าใจเลย .... ได้แต่ยิ้มให้กับตัวเอง ก้มลงอ่านหนังสือไปพลาง มองออกไป
นอกหน้าต่างไปพลาง โตเกียวตอนฝนตก โรงเรียนมัธยมชายล้วนตอนฝนตก เดินกลับหอกับ
เรียวตอนฝนตก และ ........ ตอนฝนตก
... หมดชั่วโมง ผมรีบวิ่งออกจากห้อง ไปหาเรียวที่ห้องของเขา ยืนรออยู่ที่หน้า
ห้องสักพัก รอ อาจารย์ที่สอนห้องเรียวอยู่ออกมา ผมก็เดินเข้าไป เข้าไปนั่งบน
โต๊ะของเรียว มองเรียว บอกเขาว่า ฝนตก ฝนตก แล้วนะเรียว !! ตาตี่ๆ คู่นั้น บีบ
เล็ก ลงไปอีก เรียวหัวเราะออกมา "เหมือนเด็กๆ เลยชอบออกไปข้างนอกตอนฝนตก" แสดงว่านี่เรียวกำลังเข้าใจผมผิด ผมไม่ได้ต้องการจะเล่นน้ำฝน แต่แค่ตื่นเต้น ที่ได้เห็นฝนตกครั้งแรกในโตเกียว ก็แค่นั้นเอง.. .. ผมเริ่มถามต่อไปว่า ฝนตกตอนเย็นแบบนี้ เรียวก็ไม่ต้องซ้อมของชมรมใช่มั้ย ? ตาที่ตี่ๆ อยู่นั้นก็ ขยายใหญ่ขึ้นมา อีกนิดหน่อย เหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ซอพบอล-เบสบอล ต้องเล่นกันกลางแจ้ง ก่อนที่จะ ค่อยๆ พูดออกมาว่า ก็คงจะต้องแบบ
นั้น ฝนตกซ้อมไม่ได้ ผมได้ยินแบบนั้นก็ไม่รู้จะตอบไปว่าอะไร นอกจากจะยิ้มให้ แหะ แหะ.. แต่เราต้องติดฝนกันอยู่โรงเรียนหรือป่าวเรียว ? ผมคิดว่า ผมน่าจะได้
อยู่โรงเรียนเย็นๆ นั่งคุยกับเพื่อน คุยกับเรียวบ้าง มันโรแมนติคดีในความคิดของ
ผม แต่ .... "ไม่ต้องนี่ ผมมีร่มอยู่ในล็อกเกอร์ เลิกเรียนแล้วก็เอาร่มผมใช้ก็ได้นี่" ... อะฮ่า เรียวมีร่ม งั้นเราก็ไปเดินเล่นซื้อของกินข้าว กันก่อนก็ได้น่ะสิ เรียวก็ไม่ต้องซ้อมกีฬาแล้ว เราก็มีเวลาตั้งเยอะ ไปเที่ยวกันนะเรียวนะ "เอ .. สงสัยร่มจะพังไปแล้วนะ ฮ่ะ ฮ่ะ" ผมรู้ว่าเรียวล้อเล่น ก็คงแค่อยากจะแหย่
ผมเท่านั้น เรานัดกันว่าเลิกเรียนจะเอายังไง ก็เหมือนเดิม เรียวจะเดินไปหาผมที่
ห้องก่อน แล้วเราจะไปด้วยกัน ....
... ผมเพิ่งจะรู้ว่า ที่ห้องล็อกเกอร์ตรงที่เก็บรองเท้า เอาไว้เปลี่ยนเป็น
รองเท้าใส่เดินในตึกนั้น มีถังเก็บร่มอยู่ อยู่มาก็หลายเดือนเพิ่งจะสังเกตุ และ
ส่วนใหญ่นักเรียนทุกคน ก็จะมีร่มกันอยู่แล้ว ยกเว้นผม .. มันอะไรกันล่ะ
เนี่ย .. เอ้อ โดนเพื่อนหัวเราะใส่อีกแล้ว แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ มีร่มเรียว
แล้วไปกับเรียวก็ได้ ...ไม่เห็นจะยาก ... ผมรอเรียวอยู่ที่ห้องได้ไม่นาน เขาก็เดินมาหาผม เราตกลงกันอยู่ว่าจะไปไหนดี จะ
ไปที่นั่นจะไปที่นี่ ไปทานข้าวแล้วก็ซื้อของ ก็ตกลงกันเอาไว้ว่า ไปทานข้าวก่อน
แล้ว กัน แล้วค่อยว่ากันอีกที เราเดินลงมาข้างล่างพร้อมกัน ในขณะที่ฝนยังไม่หยุดนั้น ผมมองออกไปผ่านกระจก ห้องโถงของโรงเรียน เห็นนักเรียน
มากมาย กำลังทยอยกันเดินออกจากโรงเรียน ด้วยร่มมากมายหลายสีสัน มันเป็นภาพที่
น่าตื่นตาตื่นใจ และมีสีสัน ลมเบาๆ ที่พัดมากับฝน กลิ่นของฝนและดินที่ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน ผมรู้สึก
ว่าเวลาตอนนั้นมันวิเศษมาก โดยเฉพาะเวลามีเรียวอยู่ข้างๆ ....
... ผมเปลี่ยนรองเท้า เรียวเปลี่ยนรองเท้า "ร่มเรียวสวยดีนี่" "ไม่ใช่ร่มของผม ร่มของเรา..." อือ ผมยิ้มแล้วรับคำ เดินไปที่ประตูตึก เรียวกางร่มออก ผมดึงกระเป๋าของเรียวมา
ถือเอาไว้ วันนี้ ผมจะเป็นคนถือกระเป๋าให้เรียวเอง เราสองคนยิ้มให้กันแล้วก็
เดินออกไป ท่ามกลางสายฝนของทางเดินกว้างๆ ในโรงเรียน ฝนที่ตกลงมา.. เสียงคน
อื่นๆ กำลังคุยกันหยอกล้อเสียงดัง.. คนนั้นคนนี้ที่วิ่งผ่านเราไป คนแล้วคน
เล่า.. เรียวที่กำลังถือร่ม.. ผมที่กำลังถือกระเป๋าของเรา 2 คน.. ลมที่พัดมากระทบเรา 2 คนนั้น .. เหมือนกับว่าจะทำให้เราสองคน เดินเข้าไปใกล้กัน
มากขึ้น มากขึ้น ท่ามกลางผู้คนมากมาย ที่กำลังเดินตรงไปยังสถานีรถไฟนั้น เหมือน
กับว่า มีคน 2 คนเท่านั้นที่กำลังเดินอยู่ คือผมกับเรียวเท่านั้น ผมรู้สึกอย่าง
นั้นจริงๆ ..
... ระหว่างทางที่เดินไปนั้น ผมพูดกับเรียวว่า หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว ช่วยพา
ผมไปซื้อร่มหน่อย ผมอยากได้ร่มมาใช้เองสักคัน เอาแบบใสๆ ที่ใครๆ เค้าก็ใช้กัน
อยุ่ เนี่ย จะได้มีติดเอาไว้ใช้เองบ้าง "ใช้ทำอะไร" เรียวถามผม "ก็เอาไว้ใช้ กางเวลาฝนตกอ่ะดิเรียว จากหอมาโรงเรียน จากโรงเรียนไปหอ" ผมตอบไปเพราะผมคิดว่าอย่างนั้นจริงๆ แต่เรียวกลับบอกว่า ...
"แล้ว ร่มคันนี้ล่ะ.." "ของเรียวไง" "ของโบ้ทด้วย" "แต่โบ้ทก็ควรจะมีเอาไว้เองบ้างสัก 1 คัน" "ซื้อแล้วก็เก็บเอาไว้ที่หอแล้วกัน" "ทำไมล่ะเรียว..?" "เพราะเราไปโรงเรียนด้วยกัน กลับด้วยกันทุกวัน โบ้ทก็ต้องมาอยู่ในร่มของ
เรียว" "อยู่ในร่มของเรียวหรอ ?.." "ใช่"
... ผมอดยิ้มและดีใจไม่ได้ ที่เรียวพูดออกมาแบบนั้น วันนั้นผมและเรียวเดินไปด้วยกัน.. ฝ่าฝนไปด้วยกัน.. โดยที่มีผม.. เดินไปอยู่ในร่มของเรียว ... ... มันเป็นช่วงหน้าฝนของโตเกียว ฟ้าสีหม่นๆ กับฝนที่ตกลงมา ถึงแม้ว่าฝนที่ตกลง
มา มันจะไม่ได้ตกหนักอะไรมากมายนัก แต่มันก็ทำให้ทุกๆ คนพร้อมใจกัน นำร่มออกมา กางร่มเดินกันไปไหนต่อไหน มากมายหลายสีสัน มองไปทางไหนก็จะเห็นใครต่อใคร ถือร่ม
กันเต็มไปหมด ลมที่พัดมากับสายฝน ลมที่มาพร้อมกับสายฝน ลมที่พัดพาอย่างอื่นมา
พร้อมๆ กันไปด้วย ...
... มันเป็นเวลาที่ผมกำลังเก็บของ เตรียมตัวจะกลับหอ และรอเรียวเดินมารับที่
ห้อง.. วันนี้เป็นวันศุกร์ จริงๆ แล้ว ผมกับเพื่อนที่ห้องจะมีนัดกัน ไปดื่ม.. ไปเที่ยว.. ไปหาอะไรกินกันทุกวัน ศุกร์ หรือไม่ ก็พุธ แต่นี่ไม่รู้เพราะอะไร ทำไมวันนี้ทุกคนลงความเห็นว่าจะ "ไม่ไป" กันซะดื้อๆ อืมม... ไม่เป็นไร ไม่ไปก็
ดี จะได้เก็บเงินเอาไว้ ซื้อของที่อยากได้ แล้วก็ทำอย่างอื่นด้วย..
.. ผมนั่งรออยู่ในห้องสักพัก เจ้าตาตี่เจ้าของรอยยิ้มที่น่ารักที่สุดก็เดินเข้า
มา พร้อมกับทำหน้า เจื่อนๆ เดินเข้ามาทางผม ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง.. เรียวบอกว่า วันนี้ ให้ผมกลับไปก่อน ไม่ต้องรอกลับบ้านด้วยกัน เพราะเขาต้อง
รีบกลับไปที่บ้าน แม่ของเขาโทรเข้ามือถือมาเรียก.. บอกว่า เย็นนี้ให้รีบกลับ
บ้าน อย่าเถลไถล หลังจากที่ซ้อมกีฬาเสร็จแล้วต้องรีบกลับ ...
"จะ ไปไหนหรอเรียว ?" "ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน สงสัยจะออกไป Yokohama มั้ง" "ไปทำไม ตั้ง Yokohama" "คงจะไปเยี่ยมญาติละมั้ง คงอยู่เสาร์-อาทิตย์ด้วย" "งั้นหรอ ... ให้อยู่รอก็ได้นะ" "รีบกลับไปเถอะ จะมาติดฝนรออยู่ทำไม อย่าดื้อนะเอาร่มผมกลับไปก่อน" "แล้วเรียวล่ะจะทำไง " "ก็ซ้อมเสร็จกลับกับพวก คาไซ โคเฮ ก็ได้ รีบกลับนะโบ้ท อย่าไปเดินเปียกฝนที่
ไหน ว่างแล้วจะโทรไป...."
... พูดเสร็จ เอาก็ยื่นมือมา หยิก จมูกผม.. แล้วก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ผม
นั่งอยู่อย่างนั้น.. อือ ... ไม่เป็นไรมั้ง ก็แค่ซ้อมกีฬาเสร็จ แล้วก็รีบกลับ
บ้าน.. วันนี้ ไม่ได้กลับด้วยกันก็ไม่น่าจะเป็นอะไร คงจะให้กลับพร้อมกันหมดทุก
วัน ใน 1 ปี ก็คงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว.. .. ผมนั่งนึกๆ กับตัวเองไปอย่างนั่น คิดนั่นคิดนี่เก็บของ เดินลงไปที่ ห้องล็อก
เกอร์ เปลี่ยนรองเท้า และไปเอาร่ม.. ผมกะว่าจะขึ้นไปดูเรียว ที่ห้องเค้าซะหน่อย ว่ายังอยู่หรือป่าว เพราะมองออกไปที่สนามยังไม่มีใครซ้อมอยู่เลย ฝนก็ตกลงมาซะ
อีก ถึงแม้จะเป็น ฝนที่ตกลงมาปรอยๆ ก็เถอะ.. แต่เท่าที่รู้มา ฝนปรอยๆ นี่มำให้
เป็นหวัดได้ดีกว่าฝนที่มันตกหนักๆ ซะอีก.... แต่คิดอีกทีไม่ไปดีกว่าเพราะ อาจจะ
ลงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ได้ หรือไม่ก็คงจะยังนั่งคุย รอซ้อมกับเพื่อนในทีม
เค้าก็ได้ ไม่อยากไปรบกวน ....
.. ผมเดินออกมาจากตึก ละอองของฝนปรอยๆ กระเด็นมาถูกที่ใบหน้าผม.. ลมเย็นๆ ที่
พัดมานั้น วันนี้ที่ใต้ร่มของเรียว มีแต่ผมคนเดียวที่เดินออกไป โดยไม่มีเรียว
ข้างๆ .. .. ระหว่างทางจากหน้าตึกออกไปที่ประตูโรงเรียนนั้น เป็นระยะทางแค่นิดเดียว แต่
วันนี้ ผมรู้สึกว่ามันใกล้มากเหลือเกิน ผมรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องมาเดินถือร่มกลับ
บ้านคนเดียว แต่ก็คิดไปคิดมาว่า ถ้าไม่รู้จักเรียว เราก็ต้องกลับบ้านแบบนี้ทุก
วันสินะ เดินไปแล้วก็คิดไป อยู่แบบนั้น ....
... ผมเริ่มคิดต่อไปอีกว่า จะไปไหนดี จะให้กลับหอตอนเย็นๆ แบบนี้ มันคงจะเป็น
อะไร ที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เย็นวันศุกร์.. คืนวันศุกร์.. การกลับหอ ดึกๆ .. อยู่ข้างนอกดึกๆ ... เที่ยวดึกๆ ... นั่นแหละที่ผมต้องการ... .. แต่ถ้าทำแบบนั้น ในวันศุกร์วันนี้ก็คงจะไม่สนุก เพราะไม่มีเรียวอยู่ด้วย อัน
ที่จริงแล้ว ผมไม่ปฎิเสธที่จะต้องทำอะไรคนเดียว เพราะชินแล้ว กับการที่จะต้องทำ
อะไรคนเดียว เที่ยวคนเดียว ดูหนังคนเดียว ตั้งแต่อยู่เมืองไทย ก่อนไปญี่ปุ่น และกระทั่งกลับมาจาก ญี่ปุ่นจนถึงตอนนี้....
... ผมเดินมาจนถึงสถานี คิดอยู่ตั้งนาน ว่าจะไปไหนดี หิวข้าวจะไปกินที่ไหนดี กินข้าวเสร็จ จะทำอะไรต่อดี วางแผนอยู่ว่าจะไปที่ไหน นั่งสายอะไรไป กินอะไร ทำ
อะไร คิดอยู่ตั้งนาน... แต่สุดท้าย ก็ต้องมาลงเอยเอาที่เดิม ... รถไฟสาย Yamanote ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับผม... เพียงแต่วันนี้.. บนรถไฟ
สาย Yamanote ที่จะพาผมไป สถานี ชิบุยะนั้น มีผมยืนอยู่คนเดียว.. ไม่มีตัวตา
ตี่ๆ ยืนอยู่ข้างก็เท่านั้นเอง.. .. ผมยืนไปดู คิดไป จะทำอะไรดีนะวันนี้ [ยังนึกไม่ออกกระทั่งยืนอยู่บนรถไฟ] คิด
ถึงเรียวไปอีกว่า จะซ้อมกีฬาเสร็จหรือยัง ฝนตกๆ อย่างนี้ยังจะต้องซ้อมอีก ซ้อม
เสร็จก็ต้องรีบกลับบ้าน คนที่ปกติหิวอยู่บ่อยๆ แถมยังกินข้าวได้ที่ละมากๆ อย่าง
นั้น... ซ้อมกีฬาเหนื่อยแล้วรีบกลับบ้าน จะได้กินอะไรหรือป่าวนะ อดเป็นห่วงไม่
ได้ ถึงแม้ว่าความจริง ทุกครั้งที่ผ่านมาจะตกเป็นฝ่ายที่ถูกห่วงก็เถอะ.. จะทำ
อะไรอยู่นะ ....
... รถไฟ Yamanote ทำหน้าที่ของมันเสร็จแล้วร้อยแล้ว มีแต่ผม ที่เดินลงรถไฟมา
แล้ว ยังไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรกะชีวิต.. มองซ้ายมองขาว จะเอายังไงดี.. เดินๆ ไป
ก่อนแล้วกัน เจออะไรน่ากินก็ค่อยเข้าไปกิน เดินดูอะไรนิดๆ หน่อยๆ ไปก่อนดี
กว่า.. ทั้งๆ ที่ผมตกอย่างนี้แหละ ลุย.....เป็นไงเป็นกัน ยังๆ ก็ต้องอยู่คน
เดียวแล้ว ... .. ผมเดินไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรแปลกใหม่ เพราะปกติแล้ว ก็มาเดิน
เล่นกับเรียวอยู่บ่อยๆ เดินไปเดินมาอยู่พักใหญ่ ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น หิวก็
หิว..ที่พึ่งสุดท้ายสำหรับวันนั้น.. Mc.....
... ผมนั่งงับเบอร์เกอร์ ของผมไปเรื่อยๆ ตาก็มองคนที่เดินผ่านไปผ่านมา นั่นก็มา
เป็นคู่ นี่ก็มาเป็นคู่.. มา 2 คน ร่มคันเดียว.. นั่นก็ด้วย นี่ก็ด้วย.. คิดถึง
เรียวตอนนี้กำลังจะทำอะไรอยู่นะ จะซ้อมเสร็จหรือยัง จะกลับถึงบ้านหรือยัง คิดไป
คิดมา เอาไว้กลับหอแล้วค่อยโทรไปที่มือถือก็ได้.. คิดถึงจัง ไม่เคยคิดเลยว่า ใน
เวลาที่สถานการณ์บังคับ ให้เราไม่ได้อยู่ใกล้ๆ กันนั้น.. ผมจะกลายเป็นบ้าได้
ขนาดนี้ คิดถึงเรียว รวมทั้งคิดไปถึงการบ้าน ของผมด้วยว่า.. ใครจะมานั่งแปลคัน
จิ และช่วยผมทำกันละที่นี้ เหอ .... .. ไม่มีเรียวนี่ก็ลำบากเหมือนกันนะเนี่ย เรียวไม่ได้เป็นแค่คนรักธรรมดาๆ แต่
เขายังเป็นหลายๆ อย่างของผม เหมือนพี่ชาย.. เหมือนครูสอนภาษาญี่ปุ่น.. บางทีก็
ทำตัวขี้อ้อน เหมือนสัตว์เลี้ยง .....
... ผมอิ่มจากเบอร์เกอร์ และพายตรงหน้า นั่งอยู่ในร้านสักพัก เมื่อเริ่มแน่ใจ
ว่านั่งไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และก็เริ่มอิ่มแล้วด้วย กลับหอกันดีกว่า ... ผม
เดินออกมาตามถนน มุ่งหน้าไปสถานี ชิบุยะ จริงๆ คิดว่าจะ นั่งรถไฟใต้ดินกลับ แต่
คิด ไปคิดมา ไม่เอาดีกว่า.. ไม่คุ้น.. และ ไม่คล่องยังไม่อยากหาเรื่องหลงทาง .. ผมซื้อตั๋วเรียบร้อย ยืนรอรถไฟอยู่ที่ชานชาลา ผมยืนอยู่ แล้วมองโน่นมองนี่ไป
เรื่อยๆ แต่สายตาของผม ก็ไปสะดุดกับอะไรบางอย่าง มีใครบางคนที่ผมรู้จักกำลัง ยืนอยู่ไม่ไกลออกไปจากตรงที่ผมยืน คนคนนั้นคือ เรียว ....
... ผมไม่ได้มองผิดไปนั่นเรียวจริงๆ กำลังยืนอยู่กับเด็ก ผู้ชายอีกคน แต่ง
เครื่องแบบคนละโรงเรียนกับโรงเรียนผม ยืนคุยกันอยู่ ท่าทางคงกำลังสนุก ผมตกใจ
กับส่งที่ผมได้เห็น ... .. ซ้อมกีฬา... ไปYokohama กับที่บ้าน...... เรียวที่ยืนอยู่ที่สถานีชิบุยะตรง
นี้.. นี่มันอะไรกันแน่ ผมยืนมองอยู่ได้ไม่นาน เด็กผู้ชายที่มาด้วยกันกับเรียว คงจะสังเกตุเห็นว่ามีคนจ้องเขาอยู่ จึงได้เรียกเรียวให้ดู..
... ในจังหวะที่เรียวหันกลับมามองผม.. ในจังหวะที่ผมได้เห็นหน้าเรียว.. ได้แน่
ใจว่านั่นคือเรียว.. ได้เห็นว่าเรียว..กำลังถือกระเป๋าอยู่อีกใบ... และทำหน้า
ตกใจ อย่างมาก ที่ผม.. เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น.. .. ผมรีบเดินออกมาจากตรงนั้น ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ในหัวตอนนั้น.. ไม่รู้เหมือน
กันว่าคิดอะไร แต่ตกใจและ งงมาก.. ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น เสียงเรียวเรียกตามมา
ให้หลัง ผมบอกกับตัวเองว่า ผมเกลียดเสียงนี้ ผมมาหยุด อยู่ตรงตำแหน่ง ที่ประตู
รถไฟ จะมาจอดอยู่พอดี.. แล้วเรียวก็เดินมา หยุดลงที่ข้างหน้าผม ...
"อย่านะ ฟังก่อน...." "ขอโทษนะ โบ้ทไม่อยากฟัง" "แต่ต้องฟัง ฟังก่อน ผมต้องอธิบาย" "ไม่จำเป็น.. ไม่เอา... ไม่ต้องมายุ่งแล้ว.... ไป Yokohaya ซะ......." "แต่ ... คือ .." "ไปซะ อย่ามายุ่ง!"
... รถไฟ Yamanote มาแล้ว.. ผมแทบจะรอให้ประตูรถไฟเปิดออกไม่ไหว.. ผมเดินเข้าไป
ในรถไฟ ก่อนจะเข้าไป.. ผมหันกลับไปบอกเรียวว่า.. ไม่ต้องตามมาอีก.. โดยที่ไม่
ได้มองหน้าเขาหรือฟังเสียง เขาเลยแม้แต่นิดเดียว....
.. ผมยืนหันหลังให้กับชานชลา.. .. หันหลังให้กับเรียว.. .. และ........ เด็กผู้ชายคนนั้น.... .. ประตูรถไฟปิด.. .. รถไฟกำลังจะออกไปจากตรงนี้.... .. ผมก็กำลังออกไปจากตรงนี้เหมือนกัน ........... ... เสียงล้อรถไฟที่วิ่งไปบนรางเหล็ก แว่วเข้ามากระทบหูผม.. ผมมองออกไปนอก
หน้าต่างรถไฟ โตเกียวตอนกลางคืน.. ตึกสูงๆ ที่มีแสงไฟระยิบระยับ.. ฝนที่กำลัง
ตกลงมาในตอนนี้ มันก็คงคล้ายๆ กับน้ำตาของผมเอง.. น้ำตาที่ไหลออกมา ให้กับความ
รู้สึก แย่ๆที่เพิ่งจะเกิดขึ้น.. .. ผมลงจากรถไฟ ต่อรถไฟ สายเอกชนอีกสายกลับหอ.. จริงๆ แล้วความรู้สึกตอนนี้ ผม
ยังไม่อยากที่จะกลับหอ ไม่อยากกลับไปอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่อยากให้ความเงียบมัน
เข้ามา ใกล้ชิดผมไปมากกว่านี้ในตอนนั้น ....
... ผมลงรถไฟ เดินออกมาจากสถานี กางร่มเดินฝ่าฝนออกมาจากตรงนั้น กลับหอ ..... ผมได้แต่ก้มหน้าเดินไปเรื่อยๆ ช้าๆ คิดไตร่ตรองเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด.. ตั้งแต่เมื่อเย็นนี้ ที่โรงเรียน จนกระทั่งที่สถานีรถไฟ ผมเข้าใจอะไรผิดไปหรือ
เปล่า.. ผมเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า.. ผมได้แต่ คิด คิด คิด ไปเอง.....
.. เดินผ่านคลองที่เราเคยเดินผ่านด้วยกัน ผ่านร้านบะหมี่รถเข็น ที่ครั้งนึง.. เราเคยมานั่งกินอยู่ด้วยกัน และซื้อขึ้นไปกินบนหอเสมอๆ ฝนที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะ
หยุดตก.. ผมหยุดเดินมองขึ้นไปบนฟ้า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น.. ผมเดินไปจน
ถึงหอ เก็บร่มเอาไว้ที่ ระเบียงหน้าหอ ร่มที่ครั้งนึง เคยมีผมกับเรียวอยู่ข้าง
ใน ...
... ผมเข้ามาในห้องของตัวเอง ไม่มีแรงที่จะทำอะไรทั้งนั้น สมุดการบ้านยังคงอยู่
ในกระเป๋า.. รองเท้านักเรียนที่ยังไม่ทันจะเก็บเข้าที่.. ชุดเครื่องแบบที่ผมยัง
ใส่ อยู่.. ฝูกที่นอนที่ยังคงอยู่ในตู้.. นาฬิกาที่ยังไม่ทันจะถอดเอาไปเก็บ.. หนังสือเรียนของอีกวันที่ยังคงวางอยู่ที่ชั้นหนังสือ.. .. ผมที่นอนอยู่บนพื้นเสื่อของห้อง หลับตา.. คิดถึงเรื่องราวต่างๆ นาๆ ตั้งแต่
วันแรก ที่ทักกันโดยบังเอิญบนรถไฟ จนถึงเรื่องราวเมื่อสักครู่ จะทำอย่างไรเพื่อ
จะห้ามใจไม่ให้คิด จะทำอย่างไร... ผมนอนขดอยู่ที่พื้น อย่างนั้น .....
... ผมไม่รู้ว่ามันเป็น เวลาเท่าไหร่ ดึกแค่ไหน แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังอยู่
นั้น กำลังปลุกให้ผมตื่น ผมไม่ทันที่จะนึกว่า จะมีสักกี่คนที่จะโทรมาหาผม พ่อ.. แม่.. เพื่อนคนไทย.. หรือว่าเขาคนนั้น.. .. ผมยกหูโทรศัพท์ ขึ้น "moshi moshi bo-to" ทันทีที่ผมได้ยินเสียง นั้น เสียง
ที่ปลุกผมให้ตื่นจากอาการ งัวเงียและความง่วง แต่ตอนนั้น ผมไม่อยากจะทำอะไรทั้ง
นั้น ไม่อยากพูด ไม่อยากคุยอะไรทั้งนั้น... ผมบอกเขาว่า ผมยังไม่ต้องการจะฟัง
อะไรทั้งนั้น วางโทรศัพท์ซะ อย่าโทรมาอีก ผมจะปิดสาย แต่เสียงที่สวนกลับมากลับ
บอกว่า.. .. อย่าเพิ่งวาง เขารอผมอยู่ที่ ตู้โทรศัพท์สาธารณะ แถวๆ หลังสถานี อยากให้ผม
ออกไป ได้ยินแบบนั้นผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป วางหูโทรศัพท์ลงเบาๆ ดึงสายโทรศัพท์
ออก แล้วผมก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า ลงไปข้างล่างหยิบร่ม แล้วเดินออกไปสถานี.. .. ฝนที่ตกลงมาปรอยๆ ที่ถนนข้างนอกนั้น มีผมกำลังถือร่มเดินออกไปที่สถานีรถไฟ ผมเดินไปถึงหลังสถานีรถไฟแล้ว แต่ด้วยความที่ ทุกวันผมไม่คยสังเกตุว่า มีตู้
โทรศัพท์อยู่ตรงไหนบ้าง ผมถือร่มเดินไปเดินมา อยู่สักพัก แล้วก็มีเสียงเรียก
ชื่อผม ดังออกมาจากอาคารสถานี.....
.. ฝนที่ตกลงมาตอนกลางคืนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ... นักเรียนโรงเรียนชายล้วน 2 คน ในชุดเครื่องแบบ ต่างคนต่างยืนมองกันอยู่ โดยไม่รู้ว่าควรจะเริ่มบท สนทนา
อย่างไรดี.. เราสองคนต่างยืนนิ่งกันอยู่สักพัก ผมก็พูดกับเขาว่า.. "ที่เรียกออกมาน่ะ เท่านี้ใช่มั้ย.. ผมจะกลับไปนอน "นาย" ก็ไปรีบกลับไปซะ เดี๋ยวจะไม่ทันรถไฟ เที่ยวสุดท้าย" .. ผมหันหลังกลับไปกำลังจะเดินกลับหอ พลันให้คิดได้ถึงบางเรื่อง ผมหยุดกลับหลัง
หันเดินไปที่เขาคนนั้น "ร่มนี่ของนาย ขอบคุณที่ให้ยืมใช้" .. จริงๆ แล้วในความคิดของผม การกระทำแบบนี้ เป็นการกระทำของคนที่มีความกล้าแต่
ทำไม .. ผมนำร่มไปคืนเขา ขอบคุณเขา แต่ตัวผมกลับร้องไห้ออกมา .. ผมเก็บร่ม วาง
ให้เค้า จังหวะที่กำลังจะเดินหันกลับออกจากสถานี ผมรู้สึกได้ว่า มีมืออุ่นๆ มา
จับข้อมือผมเอาไว้ .....
... ฝนที่ตกลงมาปรอยๆ ทั้งผมและเขา ต่างอยู่ในสภาพที่เปียก เพราะร่มที่เรา
ทั้ง 2 เคยใช้กันอยู่ประจำ ผมเพิ่งคืนให้กับเขา และมันก็ถูกวางเอาไว้ที่พื้น
อย่างนั้น.. .. ผมยังหันหลังให้ ก้มหน้าไม่ได้พูดอะไรออกไป มีแต่ข้อมือของผม ที่ถูกรั้งเอา
ไว้ด้วยมือของเขา.. จริงๆ แล้วถ้าผมจะสะบัดมือให้หลุด แล้วเดินกลับไปตอนนี้ผมก็
ทำ ได้แต่เพราะอะไร ผมถึงไม่ทำก็ไม่ทราบ.. .. ผมยังร้องไห้ไปอย่างนั้น.. จนกระทั่ง.. ได้ยินเสียงสั่นๆ ของเขา เสียงที่ผม
คุ้นเคยมาตลอด แต่ครั้งนี้เสียงนั้นมันสั่น จนรู้สึกได้ว่าอีกคนที่กำลังจะพูด ก็กำลังร้องไห้อยู่เหมือนกัน .....
... มันคงไม่ผิด ถ้าเราจะยังคงยินดีกับอดีตที่สวยงาม และมันก็คงจะไม่ผิดอีก ถ้า
อดีตที่สวยงามนั้น ย้อนกลับมาให้เราชื่นชมและทักทาย... วันนี้เป็นวันเกิดของใคร
คนนึง ซึ่งครั้งนึงเคยสำคัญกับเรียวมาก แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ทำให้
เรียว และใครคนนั้น จำเป็นต้องหยุดความสัมพันธ์นั้นลง ยังคงมีแต่ มิตรภาพที่ดีๆ ของเพื่อน ที่หยิบยื่นให้กันตลอดมา.. .. เขาทั้งสองไม่ได้เจอหน้ากันมานานมาก จึงนัดกันว่า ในวันเกิดของใครคนนั้น เรียวจะออกมาพบ และพูดคุย เหมือนที่เคยๆ ทำๆ กันมา ... .. ผมพยายาม จับใจความ ภาษาญี่ปุ่นที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นๆ นั้น.. พยายามทำความเข้าใจว่า ที่เขาไม่กล้าบอกผม เพราะเขากลัว.. กลัวว่าผมจะโกรธ กลัว
ว่าคนไทยจะไม่คิดเรื่อง แบบนี้ในลักษณะเดียวกับคนญี่ปุ่น.. ผมฟังเรื่องราวที่
เขาพยายาม ถ่ายทอดให้ผมฟังจนจบ จนกระทั่ง ...
... ผมยังคงหันหลังให้เขา ก็ยังคงมีแต่มือของเรา ที่ยังจับกันอยู่.. เขาขอโทษ
ผม กับสิ่งที่เกิดขึ้น ขอให้ผมลืม และเข้าใจในความเป็นไปของเรื่องที่เกิด
ขึ้น.. .. ผมหันกลับไป เห็นหน้าที่ผมคุ้นเคยมาตลอดตั้งแต่มาเรียนที่นี่ ถึงแม้ว่าใบ
หน้านั้น จะแปลกไปจากที่ผมเคยเห็น.. ถึงแม้ว่าเรา 2 คนต่างก็แสดงความอ่อนแอของ
ตนออกมา ..
.. ผมค่อยๆ นั่งลง เก็บร่มขึ้นมา.. ไม่ได้พูดอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว.. .. ยิ้มให้กับเรียว ผมพยายามพูดกับเรียวว่า "ไม่เป็นไร" ... .. ผมกางร่มคันนั้นออก ร่มของผมกับเรียว.. ส่งร่มนั้น ให้เขาถือ..
ท่ามกลางความเงียบในคืนที่ฝนตกนั้น.. มีนักเรียนชายสองคนในชุดเครื่องแบบเปียกๆ ...
กางร่มเดินจูงมือกันเดินไป ..... กลางสายฝนที่ตกลงมา.......
... เวลา.. เดินผ่านไปเร็วเหลือเกิน ตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ที่
ญี่ปุ่น จนถึงตอนนี้ ก็เกือบๆ 3 เดือนเข้าไปแล้ว.. ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินผ่านมา
นั้น มีเรื่องราวใหม่ๆ มากมาย ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของผม.. ความสุข รอยยิ้ม ความ
ทุก เศร้า มากมายที่ผ่านเข้ามา.. .. จนถึงวันนี้ มีทั้งเรื่องที่น่าประทับใจ และเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น และ
หนึ่งในเรื่องที่ดีๆ มากมายเหล่านั้น ก็คือเรื่องของ "เรียว" ... ตั้งแต่เจอ
กัน ทำอะไรหลายๆ อย่างด้วยกัน แชร์ความรู้สึกกัน มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุข
มากๆ มาตลอด เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นไม่รู้จบไม่รู้เบื่อตั้งแต่ 3 เดือนที่ผ่าน
มา .....
... มันเป็นเช้าที่เกือบจะสายของวันใหม่ ในห้อง 6 เสื่อแคบๆ นั้น มีผมกับเรียว กำลังนอนขดตัวอยู่ภายใต้ผ่าห่มผืนใหญ่ ไม่มีทีท่าที่จะตื่น แม้ว่าจะมีแสงแดด
อุ่นๆ เล็ดลอดเข้ามาทางช่องหน้าต่างระเบียง.. ผมที่นอนอยู่บนแขนของเรียว ภายใต้
ผ้าห่มและกำลังกอดเขาอยู่นั้น กำลังถูกปลุกให้ตื่น จากเสียงโทรศัพท์ในห้อง
ผม.. .. ใครกันนะโทรมาปลุกตั้งแต่เช้าขนาดนี้ ผมคิดบ่นในใจตัวเอง ก่อนที่จะพูดงึมงัม
งึมงัม ให้เรียวลุกไปรับโทรศัพท์ แต่ก็ไม่เป็นผล สุนัขจิ้งจอกตัวโตยังคงนอน ขด
อยู่ใต้ผ้าห่มอยู่อย่างนั้น เหมือนกับว่าไม่ได้ยินที่ผมพูด.. ผมตัดสินใจว่าจะทำ
อย่าง ไร สุดท้ายก็คิดว่าไม่มีคนรับเดี๋ยวก็วางไปเอง แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ โทรศัพท์นั้นเงียบเสียงลงไป แต่เพียงไม่กี่อึดใจต่อมา ก็ดังขึ้นมาใหม่ ... โอย
ย อะไรกันหนักหนา ผมคลานออกจากฝูกที่นอน มารับโทรศัพท์ โดยบางคนที่กำลังนอนอยู่
บนเตียง พูดสมน้ำหน้าผมออกมาเบาๆ ผมยกหูโทรศัพท์ขึ้น พูดออกไปแบบงัวเงียงัว
เงีย ... "moshi mo...."
"สุขสันต์วันเกิด จ๊ะลูก อะไรกัน ยังนอนอยู่อีกหรอ ญี่ปุ่นน่ะ 10 โมงได้แล้วไม่
ใช่หรอลูก..."
... เป็นเสียงของแม่บังเกิดเกล้าของผมเองครับ ปีนี้จะเป็นปีแรกที่ผมไม่ได้ฉลอง
วันเกิดกับครอบครัว แม่ผมโทรมา สุขสันต์วันเกิดผม พร้อมกับเตือนบอกผมว่าอย่าลืม
ไปทำบุญ จะวัดไทย วัดญี่ปุ่น ก็ไปทำบุญไหว้พระซะ.. .. เมื่อเช้าที่บ้านผม ก็ไปตักบาตรกันมาแล้ว ที่วัด บวร กับ วัดชนะสงคราม .. ผม
อด ไม่ได้ที่จะบอกกับแม่ว่า ผมคิดถึงแม่ คิดถึงพ่อ คิดถึงที่บ้านที่เมืองไทยมาก คิดถึงเพื่อนทุกคน.. แม่บอกกับผมว่า ของขวัญวันเกิด ถูดส่งมาก่อนหน้านี้แล้ว คิดว่าเร็วๆ นี้คงจะถึง ผมคงจะชอบ.. .. หลังจากนั้นผมก็ได้คุยกับพ่อ ได้คุยกับพี่สาว ลูกพี่ลูกน้อง เพื่อนแถวบ้าน และอีก หลายๆ คนที่ โทรมาอวยพรวันเกิดผมจาก กรุงเทพ .. ผมอดที่จะกลั้นน้ำตาเอา
ไว้ไม่ได้ ด้วยความคิดถึงสถานที่ ที่เรียกว่า "บ้าน" และบุคคลเหล่านั้น ... ผม
คุยอยู่ประมาณ 20 นาทีเห็นจะได้ จึงวางโทรศัพท์ แล้วนั่งนิ่งอยู่หน้าโทรศัพท์
สักพักนึง ...
"เป็นอะไร เจ้าแมว" .. เสียงที่ผมคุ้นเคยที่สุดดังมาจากข้างหลัง พร้อมกับตัวของเขา และผ้าห่มผืนโต
โอบกอดผมเอาไว้ ผมไม่ได้ตอบอะไรไป ปล่อยให้น้ำตาไหลออกไปอย่างนั้น.. แล้วคนที่
ปกติชอบทำอะไรแปลกๆ ออกมาให้ผมแปลกใจเสมอๆ ก็ทำในสิ่งที่ต้องทำให้ผมแปลกใจอีก
ครั้ง ..
"ไม่ มีใครหรอกนะ ที่ร้องไห้ตั้งแต่เช้าในวันเกิด" ผมตกใจกับประโยคที่เขาพูดออกมา หันหน้ากลับไป.. "รู้ได้ยังไง" .. ผมจ้องหน้าเขา เหมือนที่จะบอกเขาว่า ผมต้องการที่จะรับรู้คำตอบเดี๋ยวนี้ ว่า
รู้ได้อย่างไรว่า..ผมเกิดวันนี้ "ในหนังสือเดินทางเขียนเอาไว้แบบนี้ไม่ใช่หรอ หรือว่าหนังสือเดินทางโกหก" พูดออกมาด้วยน้ำเสียงกวนประสาท อย่างที่ผมคุ้ยเคย แล้วก็ยิ้มตาตี่ๆ ให้ผมต่อว่า
ผมด้วย ว่าทำไมถึงไม่ยอมบอกเค้าต้องให้รู้เอง ผมก็แค่อยากจะเก็บเอาไว้เป็นความ
ลับ แล้วค่อยมาบอกกับเขาเองในวันนี้ว่า วันนี้วันเกิดผมนะ เราไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันเถอะนะ ก็แค่นั้นเอง แต่ก็ดันมาแอบรู้ก่อน เสียแผนหมดเลย .....
... ผมเข้าไปอาบน้ำหลังจากเรียว เขายังคงน่ารักเสมอ ปีบยาสีฟันใส่แปรงให้ผมไว้
เหมือนทุกวัน เป็นอีกอย่างนึงที่ผมประทับใจ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยลืม ผมอาบน้ำ
แต่งตัวเสร็จ ก็เดินออกมาจากหอกับเรียว.. จริงๆ ผมกะจะไป อะซะคุซะ.. แต่มีบางคน
เบื่อคนเยอะๆ แล้วผมเลยกะจะไปสาลเจ้าชินโตแถวนี้แทน.. .. พระยังไงๆ ผมก็คิดว่าคงเหมือนๆ กัน พุทธเหมือนกันไหว้ๆ ไปเถอะ ได้บุญเหมือน
กัน.. วันนี้ก็เป็นอีกวันนึง ที่ฝนตกลงมา ผมกับเรียวก็เลยต้องกางร่มเดินไปศาล
เจ้ากันเดินไปไม่ไกลจากหอผมเท่าไหร่ ซักประมาณ 10 นาที ก็มาถึงศาลเจ้าแล้ว
ครับ ..
.. ฝนที่กำลังตกลงมาเป็นสายบางๆ ศาลเจ้าเงียบๆ มีคนไม่มากเท่าไหร่.. ผมกับเรียว
กำลังเดินกันอยู่สองคน ในศาลเจ้า หรือจะเรียกว่าวัดก็ไม่แปลกครับ.. ผมเดินไป
เรื่อยๆ จนถึง อะไรสักอย่างผมก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่า ภาษาไทยควรจะเรียกว่า
อะไร เป็นที่ที่ทำเอาไว้เพื่ออธิฐาน มีเชือกที่ห้อยเอาไว้ ซึ่งด้านบนจะผูกติด
เอาไว้กับ กระพวนใหญ่ๆ .. โยนเงินลงไปทางด้านล่าง สั้นกระพรวนกร๋อแกร๋งๆ แล้วก็
พนมมือ อธิฐาน เรียวทำให้ผมดูก่อน 1 ครั้ง แล้วผมก็ทำตาม.. สันกระพรวน กร๋อๆ แก
ร๋งๆ ดังสนั่นวัด แล้วก็พนมมือ อธิฐาน ให้พ่อ แม่ ให้ตัวเอง และเขาคนนั้น.. อธิ
ฐานเสร็จ ผมก็เดินดูไปรอบๆ วัด ที่ขายของเครื่องรางค์ และก็สวนหิน แต่แล้วก็
ต้องถูกรบกวนจาก สุนัขจิ้งจอก .....
"หิว แล้ว หิว"
... สุนับจิ้งจอกตาตี่ หิวแล้วครับ ไม่แปลกเลย คำว่าหิวแล้วกับ หน้าเรียวที่มี
ตา ตี่ๆ อยู่นั้น เป็นของคู่กันที่คุ้นตาผมมาก.. เรา 2 คนเดินออกมาจากศาลเจ้า แล้วเดินย้อนกลับไปทางหอผม ผมชวนเรียวขึ้นรถไฟ ไปทานอาหารไทย ที่ชิบุยะ บอกเขา
ว่าวันนี้วันเกิดผม ผมจ่ายเอง ตาตี่ๆ คู่นั้นก็เบิกโตใหญ่ขึ้นมาอีก แล้วรีบชวน
ผมให้เดินไปสถานีเร็วๆ .. ผมอดยิ้มให้กับท่าที ตลกๆ ของเขาไม่ได้ คนที่จะยิ้ม
และหัวเราะ พร้อมกับทำหน้าตลกๆ เสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ตาม .....
... รถไฟ แถบสีเขียว นำผมกับเรียวมา ชิบุยะ สถานที่ ที่เรา 2 คนจะมาเดินเล่นกัน
ประจำ หลังเลิกเรียน.. สถานที่ที่เรา 2 คน มาตามง้อกันตอนที่อีกคนกำลังงอน.. สถานที่ที่มีแต่ความทรงจำดีๆ เกิดขึ้นมากมาย.. รวมทั้งวันนี้ด้วย ...
.. ผมกับเรียวรอคิวอยู่ที่หน้าร้านไม่นาน ก็เข้าไปนั่ง วันนั้นผมสั่งแบบไม่ดูรา
คา ไม่อยากต้องมาประหยัดอะไรมากมาย ในวันที่พิเศษอย่างนี้ จำได้ว่าสั่ง กับข้าว
มาเยอะกว่าทุกครั้งที่เคยสั่งไป เรานั่งคุยกันไป กินกันไป หัวเราะ ยิ้ม และมี
ความสุขกันมากๆ จนกระทั่ง เรากินอิ่มจ่ายเงินและออกไปจากร้าน ผมยังไม่รู้ว่าจะ
ไปไหนดี ถามเรียวว่าเรียวอยากไปไหน
"โบ้ทอยากได้อะไรหรือป่าววันเกิด" "อืมมม ไม่เอาแล้วพอแล้ว ไม่อยากได้อะไรแล้ว" "แล้วถ้าผมจะให้ล่ะ อยากได้อะไร"
... ผมไม่ตอบเขาไป นิ่งเงียบไปพักนึง จนเขาต้องถามผมซ้ำว่า ตกลงแล้วผมอยากได้
อะไร "อะไรก็ได้ ทีเรียวให้ อะไรก็ได้ที่เป็นของที่เรียวให้" ผมตอบพร้อมกับมองไปในตาของเขา ผมรู้สึกได้ว่าตอนนี้ คนอีกคนคงกำลังอายมาก ขนาด
แก้มที่เคยขาวๆ ก็เปลี่ยนสีเป็นแดงอ่อนๆ ผมกับเรียวยังเดินต่อไปเรื่อยๆ ยังไม่
มีจุดหมาย เราเดินเล่นกันจนถึงค่ำ เดินดูนั่นดูนี่ ไปตามเรื่องตามราวของเรา จน
ถึงเวลาที่เราสองคนควรจะกลับกันได้แล้ว .....
... จากสถานี จนถึงหอผม มือของเรียวที่กำลังถือร่มอยู่ และอีกมือนึงกำลังจับมือ
ผมเอาไว้นั้น เราสองคนอยู่ในร่มคันเดียวกัน เดินผ่าฝนปรอยๆ กลับหอไปในความ
มืด.. ระหว่างทางที่ผ่านร้านบะหมี่รถเข็น ผมถามเรียวให้แวะซื้อ บะหมี่ขึ้นไปบน
หอ เพราะผมไม่ต้องการที่จะลงมาซื้อเป็นเพื่อนอีกเวลาดึกๆ .. ซื้อบะหมี่เสร็จ
แล้ว ผมกับเรียวก็เดินกลับหอกันไป จับมือกันไป อย่างที่ทำมาทุกวัน ... .. เมื่อขึ้นไปถึงบนห้อง ผมยังไม่ทันที่จะเก็บรองเท้าเข้าชั้น สุนัขจิ้งจอกก็
วิ่งแซงผมเข้าไปในห้อง ทำตัวเหมือนเด็กๆ อย่างนั้นล่ะครับ ผมก็บ่นไปคำสองคำ จัด
แจง เก็บรองเท้าเข้าไปในตู้ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองแล้ว ..
.. เรียว คนที่ผมรัก ยืนอยู่ต่อหน้าผม ในมือถือกล่องเล็กๆ ห่อด้วยกระดาษสีฟ้ามี
โบว์สีฟ้า ผมนิ่งอยู่สักครู่.. เดินเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าเค้า ผมเชื่อแล้วว่า คน
ที่ มักจะทำอะไรให้เราประหลาดใจ ก็มักจะทำให้เราประหลาดใจอยู่ได้เสมอๆ .. .. เขาพูดกับผมเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า "สุขสันต์วันเกิด" แล้วก็ไม่ลืมที่จะยิ้มตา
ตี่ให้กับผม ผมเลยลืมไปเลยว่าตั้งแต่เช้าวันนี้ เราคุยกันแต่เรื่องวันเกิดมา
ตลอด แต่เรียวยังไม่ได้บอก สุขสันต์วันเกิดผมเลย.. ตอนนี้เขาบอกแล้ว ถึงแม้ว่า
จะ ไม่ใช่คนแรกที่บอก สุขสันต์วันเกิดผม แต่คำของเรียวก็น่าฟังไม่แพ้คำของใครๆ คำธรรมดาๆ นั้น ทำให้ผมตกใจมาก จนน้ำตาแทบจะไหลออกมา ผมยื่นมือไปรับของนั้นไว้ ขอบคุณเขา แล้ว ....
... เรียวค่อยๆ เลือนตัวเข้ามาใกล้ๆ ผม .. .. เขาจูบผมเบาๆ แต่ความรู้สึกตอนนั้น ทั้งหูทั้งหน้า ร้อนและชาไปหมด .. .. กล่องของขวัญ และถุงบะหมี่ถูกวางลงกับพื้นแล้วเรื่องทุกอย่างก็ .....
... ฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก แม้ว่าจะตกลงมาแค่เบาๆ ในตอนบ่ายแก่ๆ ของวันที่
น่าเบื่อที่สุดของโตเกียว ผมที่กำลังนั่งบ้าอยู่ในห้องเรียน กับวิชา
คณิตศาสตร์.. ศาตร์ที่ผมเกลียดที่สุด พอๆ กับวิทยาศาสตร์ เรียนเท่าไหร่ก็ไม่เคย
รู้เรื่อง ไม่เคยได้ดี.. ผมไม่เคยคิดว่าชีวิตของผม จะจำเป้นต้องใช้อะไรพวกนี้
เลย จะว่าผมเป็นคนพาล ก็ได้นะครับ เพราะตั้งแต่ผมเกิดมา ยังไม่เคยเห็นแม่บ้านคน
ไหนใช้ สมการ x - y ซื้อกับข้าวจ่ายตลาดเลยครับ แล้วยิ่งเวลาผมเรียนแล้วไม่ค่อย
จะ รู้เรื่องแล้วด้วย อะไรๆ มันก็เลยดู ขวางหูขวางตาไปหมด ก็เลยพาลไม่ชอบเรียน เกลียดไปเลยครับ.. อาจารย์ก็พูดแต่อะไรไม่รู้ ภาษาญี่ปุ่น แบบเป็นวิชาการยากๆ อย่างนี้ เบื่อที่สุดเลยครับ ดีที่เรียว กับเพื่อนสนิทของผมในห้องทุกคน ฉลาด
เลิศเรื่อง คณิตศาสตร์ กับ วิทยาศาสตร์กันทุกคน มีแต่ผมคนเดียวที่ยังโง่อยู่
ครับ แต่ก็ไม่เป็นไร ครับ สู้ต่อไป ...
... ฝน..ที่ยังคงตกอยู่ต่อไป กับผมที่ยังนั่งไม่รู้เรื่องอยู่ในห้อง ผมพยายาม
ที่จะทำความเข้าใจ เพื่อที่จะได้เรียนแบบรู้เรื่อง แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ ผม
ปิดสมุดลง นั่งฟังอย่างเดียวไปเรื่อยๆ รอเวลาที่น่าเบื่อนี้ว่า เมื่อไหร่จะหมด
ชั่วโมงซะที.. .. ผมนั่งพิงพนักเก้าอี้ เอนหลังสบายๆ แอบบิดขี้เกียจแบบไม่ให้อาจารย์รู้ หัน
ซ้ายหันขวา หันซ้ายหันขาว เอ๋.. ผมต้องกลับไปหันซ้าย มองให้แน่ใจอีกทีนึง เพราะ
เมื่อสักครู่นี้ผมว่า ผมเห็นอะไรแปลกๆ มีสุนัข จิ้งจอก วิ่งเล่นซอพบอลอยู่ใน
สนามครับ มาถึงตอนนี้ผมอยากจะย้ายที่ไปนั่ง ริมหน้าต่างเหลือเกิน อยากจะเห็น
เรียวชัดๆ ว่ามัน เอ้ย ! เขากำลังทำอะไรอยู่ แล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ฝนตกอย่าง
นี้ยังจะลงไปเล่นอีก เขารักกีฬา รักเบสบอล ซอพบอลมาก นี่ถ้าวันไหนไม่ได้เล่นก็
จะบ่นเสียดายอยู่นั่นแหละ ว่าอยากเล่นๆ จนบางทีเราต้องเถียงกันบ่อยๆ เรื่องนี้ แต่ก็แค่เถียงกันเล่นๆน่ะครับ
... บ่ายแก่ๆ ของวันที่น่าเบื่อที่สุดในโตเกียว ในห้องเรียนวิชาคณิตศาตร์ ของ
โรงเรียนชายล้วนแห่งหนึ่ง มีผมที่กำลังพยายาม มองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อที่จะ
ได้มอง "คนอีกคน" ที่กำลังลิงโลด เล่นซอพบอลอยู่กลางสนาม ในตอนที่ฝนกำลังตกอยู่
อย่างนี้ .... ผมจ้องมองเรียวอยู่ได้สักครู่ เจ้าโคเฮ ที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างคง
จะสงสัยผมว่า ผมมองอะไรนักหนานอกหน้าต่าง มันคงจะมองออกไป แล้วเห็นเรียว กำลัง
เล่นซอพบอลอยู่ในสนาม เลยเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดว่า ผมกำลังพยายามทำอะไร
อยู่ "nanda .." ว่าแล้ว.. มันพูดออกมาเบาๆ ยิ้มให้ผม เหมือนอยากจะบอกว่า ฉันจะ
แกล้งแก แล้วมันก็แกล้งผมจริงๆ ด้วยครับ ผมพอโยกตัวไปข้างหน้า เพื่อที่จะมองออก
ไปนอกหน้าต่างได้ง่ายๆ มันก็แกล้งยื่นตัวไปด้านหน้ามากๆ พอผมเคลื่อนตัวกลับมา
ข้างหลัง มันก็เคลื่นตัวตามลงมาข้างหลังเหมือนกัน ... พอผมทำหน้าไม่พอใจ มันก็
ทำเป็นยิ้มหน้าตาทะเล้น ล้อเลียนผม ...ไอ้โคเฮ !!..
.. ผมยังไม่เลิกที่จะสู้รบกับมัน ผมแกล้งทำเป็นไม่สนใจ กับเหตุการณ์นอกหน้าต่าง
แล้ว ผมแกล้งนั่งอยู่เฉยๆ ก้มหน้าดูสมุด ดูนั่นดูนี่ในห้องของผมไปเรื่อยๆ รอให้
โคเฮมันเผลอ ปกติมันเป็นเด็กขยันเรียน มันคงไม่อยากจะเล่นเสียเวลามากมาย เดี๋ยว
มันเหนื่อยแล้ว มันก็หยุดแกล้งผมไปเอง.. .. ผมนั่งแกล้งทำเฉยๆ ไปอย่างนั้นสักครู่ได้ผลครับ มันกลับไปสนใจบนกระดาน และ
โจทย์เลขยากๆ ต่อไป ผมเลยค่อยๆ แกล้งทำบิดตัวไปบิดตัวมา แล้วก็ค่อยเหล่ตาไปมอง
มันก่อน เห็นว่ามันกำลังนั่งเครียดอยู่กับ หนังสือเรียน ผมเลยหันหน้าออกไป มอง
ที่นอกหน้าต่างอีกครั้ง ผมหาเรียวอยู่ไม่นาน ก็เจอเรียวกำลังวิ่งเล่น อยู่กลาง
สนาม ตากฝนเล่นกีฬาอยู่อย่างนั้น ผมก็นั่งไม่สนใจเรียน มองเรียวที่นอกหน้าต่าง
ไปอย่างนั้น จนกระทั่ง ...
.. เสียงที่ผมรอคอยมาตลอด 60 นาทีเต็มดังขึ้น ผมแทบจะตะโกนออกมาดังๆ เพราะว่า
ดีใจมาก.. ผมเกลียดคณิตศาสตร์ที่สุด แล้วยิ่งดันต้องมาเรียนตอนเย็นๆ บ่ายๆ ด้วย
แล้ว มันทำให้อะไรที่น่าเบื่อยู่แล้ว น่าเบื่อเข้าไปอีก.. น่าเบื่อกว่าเรียนคัน
จิ สัก100 เท่า.. .. เลิกเรียนแล้ว ผมกำลังจะเก็บของเตรียมตัวลงไปข้างล่างเพื่อจะได้เดินไปหา
เรียว ที่สนาม แต่แล้ว ... "โบ้ท วันนี้เวรนายอยู่ทำความสะอาดห้องนะ" .. เสียงเพื่อนคนนึงในห้องพูดขึ้นมา เออจริงสิ..ลืมไปเลย เพราะต้องทำแค่เดือนละ
ครั้งเองละมั้ง ถึงได้ลืมถ้าอยู่เมืองไทย ทำอาทิตย์ละครั้ง เหมือนตอนเรียน ม.
ต้น ละก็คงไม่ลืม.. แต่ตอนเรียน ม.ต้น ก็ไม่เคยทำสักครั้งอยู่แล้ว ถึงแม้ว่า
บ้าน จะอยู่ใกล้โรงเรียนแค่ไหน ก็เดินไปตอนเค้าเข้าแถวกันแล้วทุกวัน "อือ อือ ขอบใจนะที่เตือน เราทำด้วยกันใช่มั้ยวันนี้" .. ผมขอบคุณเพื่อนคนนั้น ที่อุตส่าห์เตือนผมไม่ให้ลืม.. เดี๋ยวใครๆ จะมาว่าเอา
ได้ว่า เป็นนักเรียนต่างชาติ แล้วถือสิทธิพิเศษ หนีเวรทำความสะอาดห้องไม่ได้ๆ ต้องทำเต็มที่ ..
.. ผมเดินเอากระเป๋าไปวางไว้ที่หน้าห้อง แล้วกลับเข้ามาข้างใน ถามเพื่อนว่าจะ
แบ่งกันทำอะไรบ้าง ? "นายทำกระดานแล้วกัน" .. อ่อ ให้ผมเช็ดกระดาษ ก็ดีครับงานง่ายๆ ผมชอบ ผมเอาลูกกลิ้งผ้า ที่ชุบน้ำแล้ว
ก็ เช็ด เช็ด เช็ด ในขณะที่เพื่อนผมอีก คนสองคน กำลังเอาเก้าอี้ขึ้นมาวางใว้บน
โต๊ะ เพื่อที่จะทำความสะอาด พื้นได้ สะดวกๆ ผมเช็ดกระดานไปเรื่อยๆ จนเห็นว่า
สะอาดดีแล้ว ก็เอาลูกกลิ้งไปล้าง แล้วก็เก็บเข้าที่ ทำเวรนี่ง่ายกว่าที่คิดตั้ง
เยอะ ผมเดินเข้ามาในห้องถามว่า ผมต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกหรือป่าว ? มีอะไรให้
ช่วยอีกไหม ? "แปรงลบกระดานยังสกปรกอยู่เลยโบ้ท" .. อืม .. คงจะเรียกร้องให้ผม เอาแปรงลบกระดานไปเคาะสินะ ผมเดินไปหยิบแปรงลบ
กระดาน จากรางกะดานมาถือไว้ มือละอัน ยืนงงอยู่ว่า จะเอาไปเคาะที่ไหนดี(วะ) แล้ว ......
... ผมเปิดหน้าต่างกระจกบานใหญ่ออก อืม... ฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เที่ยงหยุดแล้ว ผม
ยื่น มือที่ถือ แปรงลบกระดานทั้งสองข้าง ออกไปนอกหน้าต่าง แล้วก็เอาแปรงนั้น เคาะ เคาะ ให้ผง ชอล์ค มันหลุด เพื่อที่มันจะได้สะอาดขึ้น ยิ่งเคาะ ยิ่งสนุก
ครับ.. ผงขาวๆ มันฟุ้งกระจาย ผมก็เลย เคาะใหญ่เลย พอดีลมมันผัดผงนั้นเข้ามาทาง
ผม ผงมันก็เลยเข้าตาผม เข้าจมูกผม ผมขยับตัวเข้ามาในห้อง แต่มือที่ถือแปรงลบ
กระดานเอาไว้นั้น ยังยื่นออกไปข้างนอก ผมจาม 2-3 ครั้ง ยืนนิ่งอยู่สักพัก กำลัง
จะ เคาะแปรงต่อ แต่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะมาจากสนาม.. .. ผมคุ้นกับเสียงนั้น รู้แล้วด้วยว่าเป็นใคร ผมมองลงไปที่สนาม เห็นเรียวกำลัง
มองมาทางนี้ หัวเราะชอบใจ "oi oi oi oi " มือข้างนึงสวมถุงมือเอาไว้ อีกข้างกำ
ลูกเบสบอลแล้ว ชูมือทักมาทางผม ผมยิ้มให้เขาทีนึง บอกว่าเดี๋ยวทำเวรเสร็จแล้วจะ
ลง ไปแล้วนะ เลิกได้แล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้า "un" ง่ายๆ สั้นๆ จากเรียวที่ตอบผมมา ผมปิดหน้าต่าง เอาแปรงไปเก็บเอาไว้ ที่รางกระดาน บอกลาทุกคน แล้วเดินลงไปที่
สนาม ..
.. ที่สนามดินชุ่มๆ ที่เต็มไปด้วยน้ำฝน ที่เพิ่งจะหยุดตกไปเมื่อสักครุ่นี้เอง ผมไม่เห็นเรียวที่สนาม สงสัยจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ชมรมแล้ว ผมเลยเดินไปทาง
ห้องชมรม แล้วก็จริงๆ ด้วย เรียวเดินออกมาจากชมรม พร้อมสะพายเป้พูม่าใบใหญ่ ขนาดคนลงไปนอนขดได้ออกมา ยิ้มให้ผม "วันนี้เป็นเด็กดีจังนะ อยู่เย็นทำความสะอาด" .. ผมยิ้มให้เขา แน่นอนอยู่แล้ว .. แต่วันนี้มีเด็กไม่ดีบางคน ลงไปเล่นซอพบ
อลกลางสนาม ตอนฝนตกล่ะเรียวเห็นหรือเปล่า "ไม่เห็นนี่ผมนั่งอยู่ในห้องตลอดเลย" พูดแล้วก็ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ กวนประสาท
ที่สุด.. .. ผมกับเรียวเดินออกมาจากชมรม ผ่านสนามกำลังจะเดินไปเปลี่ยนรองเท้า ระหว่างทาง
เรา ก็คุยกันว่า วันนี้เราจะไปไหนกันดี ไปนั่นไหมไปนี่มั้ย ... "กระเป่าล่ะโบ้ท" "กระเป๋า.. กระเป๋าหรอ.. อ้าวลืมไว้หน้าห้อง ตอนทำเวร" .. พูดเสร็จคนบางคนก็ทำหน้าเซ็งๆ ประมาณว่า ลืมอีกแล้ว.. ปกติผมจะเป็นคนขี้ลืม
น่ะครับ ผมบอกเรียวให้รอผมที่ห้องเปลี่ยนรองเท้า ผมขึ้นไปเอากระเป๋าแป๊บเดียว แล้วผมก็วิ่งขึ้นไป ที่ห้อง ..... แต่ว่า ..
.. ยังไม่ทันจะ วิ่งไปถึงห้อง ตรงหน้าของผม ชายคนนึงในชุด ยูนิฟอร์มปี 2 เดิน
ถือกระเป๋าเดินมาทางผม "ของนาย ..?" ภาษาญี่ปุ่นห้วนๆ และน้ำเสียงแบบนั้น ทำให้ผมเกลียดเค้าตั้งแต่
ครั้ง แรกที่เห็น "ก็ใช่ ..ขอบใจนะ" .. ผมดึงกระเป๋าออกมาจากมือคนๆ นั้น แล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะยืนอยู่ต่อ.. ผมกลับหลังหัน เดินออกมาจากจรงนั้นทันที "ไม่เห็นจะดีอย่างที่ใครๆ พูดกันเลย" .. เสียงห้วนๆ ที่ตามหลังผมมานั้น ยิ่งทำให้ผมเกลียด นายนี่มากขึ้นไปอีก.. ผม
รีบ เดินลงมา เจอเรียวที่กำลังยืนรอผมอยู่หน้าประตู "โทษนะที่ทำให้คอย" .. ผมรีบเข้าไปเปลี่ยนรองเท้า เดินออกมา เดินออกจากตึกไปทางประตูโรงเรียนกับ
เรียว ....
... ฝนที่เคยตกลงมาทุกวัน ... ทุกวัน ... ในโตเกียว เวลานี้ก็เริ่มที่จะขาดหาย
ไปบ้างแล้ว จากที่เราเคยต้องถือร่ม กางร่มกลับบ้านกันทุกวัน.. ผู้คนมากมายที่
เคยนำร่มหลากสีสันออกมา เดินถือในตอนที่ฝนตก.. ทุกอย่างกำลังจะจบลง และเปลี่ยน
แปลง เมื่อฤดูร้อนในเดือน 7 กำลังจะเข้ามาทักทาย.. .. เผลอไปแป๊บเดียว เกือบจะ 1 เทอมแล้วที่ผมมาเรียนที่ ญี่ปุ่น ... ตั้งแต่
อากาศ ที่อบอุ่น (แต่หนาวสำหรับคนไทย) ฝนที่ตกลงมาจนถึงหน้าร้อน เรื่องราวทั้ง
หมดที่ผ่านมา และเรื่องราว ที่กำลังจะเกิดขึ้น ในหน้าร้อนของญี่ปุ่น ....
"เทศกาล ขอพรจากดวงดาว หรอ?" ผมถาม เจ้าโคเฮ เพื่อนสนิทที่สุดของผมในห้อง หลัง
จากที่ผมและเพื่อน อีก 2-3 คนในห้อง นั่งสุมหัวทานข้าวกันอิ่มแล้ว ก็คุยกันถึง
เรื่อง ราวที่จะเกิดขึ้นต่อไป ในวันพรุ่งนี้ ... "วันทะนะบะตะ รู้จักป่าว" มีบางเสียงถามผมขึ้นมา ฮึฮึ.. รู้จักผมน้อยไปซะแล้ว "รู้จักดิ" ผมบอกไป "ก็วันที่ เจ้าชาย กับเจ้าหญิงบนทางช้างเผือกจะได้มาเจอกัน
ไง เด็กแผนกอนุบาล ยังตอบได้เลยคำถามนี้น่ะ" .. จริงๆ ไอ้วัน "ทะนะบะตะ" เนี่ย ผมรู้จักมาตั้งแต่อยู่เมื่องไทยแล้วครับ เพราะในการเรียน ภาษาญี่ปุ่นเนี่ย เค้าจะสอกแทรก วัฒนธรรม ประเพณีของชนชาติลงไป
ด้วย.. ผมรู้จักดีเลย วันนี้เนี่ย เพราะตอนผมเรียน ภาษาญี่ปุ่นที่เมืองไทย อาจารย์เคยมีกิจกรรม ที่เกียวกับวันนี้ให้ผมทำ แค่ผมไม่แม่นเท่านั้นเอง ว่ามัน
นี้วัน จัดวันที่เท่าไหร่ เดือนไหน ...
"พรุ่งนี้แล้วสินะ" เพื่อนผมคนนึงพูดขึ้นมาลอยๆ ... "พรุ่งนี้ทำไมหรอ" ผมถามไปเพราะความสงสัย เพราะผมไม่รู้จริงๆ ว่า พรุ่งนี้
ทำไม ..?? แล้วทุกคนก็มองหน้ากัน แบบแปลกๆ เหมือนมีอะไรผิดปกติ ... "นี่ๆ นายๆ พรุ่งนี้ เดือน 7 วันที่ 7 เป็นวันอะไร" อืมมม "ทำไมวันอะไรหรอ" ผมไม่รู้จริงๆ ว่าวันที่ 7 เดือน 7 มันวันอะไร ก็เลยย้อนถามไป
แบบนั้น "รู้จริงๆ หรือป่าวเนี่ย พรุ่งนี้ ทะนะบะตะ แล้วนะ" ผมฟังแล้ว งงนิดหน่อย ทำไม
มัน เร็วอย่างนี้นะ .. วันพรุ่งนี้แล้วหรอ แต่ผมก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากมายครับ เพราะโดยปกติแล้ว คนไทย เมืองไทย ก็มีเทศกาล ฉลองกันทั้งปีอยู่แล้ว เลยเฉยๆ ครับ "หรอ พรุ่งนี้แล้วหรอ ... มีอะไรน่าสนใจบ้าง" แล้วหัวข้อสนทนาใหม่ ก็เริ่มขึ้น
ครับ ...
"ทะนะบะตะ" เท่าที่ผมเข้าใจ คืองานเทศกาลฉลอง ของดวงดาว ... โดยที่มีเรื่องเล่า
กันว่า บนท้องฟ้านั้น มีเจ้าหญิง กับเจ้าชาย หรือเทวดาอะไรสักอย่าง ที่ครั้งนึง
รักกัน และทำความผิดหรืออะไรสักอย่างเนี่ยแหละครับ ก็เลยทำให้ได้ไปอยู่กัน คนละ
ฟากฟ้า และใน 1 ปีนั้น จะได้เจอกันเพียง 1 ครั้ง.. ก็คือในวันที่ 7 เดือน 7 หรือ "ทะนะบะตะ" นี่ล่ะครับ..
.. ผู้คนก็จะออกมาเฉลิมฉลอง ให้กับเทศกาลในครั้งนี้ โดยที่จะนำเอาต้นไผ่ออกมา แล้วก็นำกระดาษเล็กๆ ที่เขียนคำอธิฐาน เอาไว้มาแขวนเอาไว้ เต็มต้นไผ่ไปหมด บ้าง
ก็อธิฐานให้กับตัวเอง คนรัก และอีกหลายๆ อย่าง.. .. ทุกๆ ปีถึงแม้ว่าโรงเรียนของผม จะไม่ได้จัด "ทะนะบะตะ" แบบใหญ่โตอะไรมากมาย แต่ทุกๆ ปีที่ห้องของแต่ละห้อง ทุกระดับชั้น ก็จะมี "กิ่งไผ่" ที่เขียนคำอธิฐาน
ของนักเรียน และอาจารย์ ของแต่ละห้องแต่ละชั้น วางเอาไว้ที่ระเบียงหน้าห้อง เป็นแบบนี้ประจำทุกปี .....
.. ผมเริ่มจะตื่นเต้นขึ้นมาบ้างนิดหน่อย มีเขียนคำอธิฐาน แขวนบนต้นไผ่ อืมมมม น่าสนุกๆ เราคุยกันไปเรื่อยๆ จนได้ความว่า.. เย็นนี้ ทางโรงเรียนจะมีต้นไผ่ให้ แต่ว่าต้องไปเลือกตัดกันเองที่โรงยิม ก็ไม่พ้นที่จะเป็นพวกผมหรอกครับ ที่จะรับ
อาสาทำหน้าที่นี้ แล้วพอดีวันนี้ เลิกเรียนกันเร็วด้วย ... .. พวกผมก็เลยตกลงกันตามนี้ล่ะครับ พอคุยกันเสร็จแล้ว ผมว่าจะเดินไปบอกเรียวที่
ห้องเค้าซะหน่อย แต่ว่าพวกผมคงนั่งคุยกันเพลิน และนานไปหน่อย มารู้สึกตัวอีกที ก็ต้องเรียน ตอนบ่ายซะแล้ว..
.. ระหว่างที่เรียนในช่วงบ่ายนั้น ผมก็คิดไปต่างๆ นาๆ .. จริงๆ แล้วผมบอกกับตัว
เองว่า ไม่เห็นจะตื่นเต้นเลย แค่เทศกาลหลอกเด็ก ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ... แต่ในใจ
กลับคิดไปต่างๆ นาๆ จะเขียนอะไรดี.. จะเขียนกี่แผ่นดี.. นึกไม่ออก เรื่องที่
อยากจะเขียนมันมีเยอะมาก ขอเขียนหลายๆ แผ่นได้หรือป่าว.. คิดไปคิดมา อยู่คน
เดียวไปอย่างนั้น.. .. ในขณะที่บนโต๊ะของทุกคน และบนกระดานเป็นโจทย์คณิตศาสตร์ แต่ในสมองของผม มี
แต่เรื่องจะเขียน คำอธิฐานและ เขาคนนั้น ......
.. การเรียนตอนบ่ายจบลง ผมและเพื่อนๆ พากันเดินลงจากตึกเรียน จะไปเอาต้นไผ่ที่
โรงยิม คงจะเป็นเพราะวันนี้ พวกผมเลือกเรียนกันเร็วกว่าห้องอื่นๆ ในขณะที่
หลายๆ ห้องกำลังเรียนกันอยู่นั้น.. .. ผมกับเพื่อนๆ ก็เดินกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงโรงยิม สิ่งที่ผมเห็นทำให้ผม
ตกใจมาก ต้นไผ่มากมายเหลือเกิน เต็มโรงยิมไปหมด.. นักเรียนที่มาเลือกต้นไผ่ ก็
ยัง มีไม่กี่คน ส่วนใหญ่จะเป็นพวก junior เด็กนี่น่ารักดี พวกเค้าคงจะตื่นเต้น กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ... หรือพวกเค้าจะไม่ตื่นเต้น หรือผมจะบ้าไป
คนเดียว .....
.. ผมเดินตามเพื่อนๆ เข้าไป ไปดูต้นไผ่ต้นนั้น ต้นนี้.. จริงๆแล้ว ทุกคนที่เดิน
มาด้วยกันนี่ ทุกคนไม่มีใครรู้หรอกครับว่า หลักในการเลือกต้นไผ่นั้น เป็นอย่าง
ไร.. ผมก็ไม่รู้หรอกว่าต้องเลือกหรือป่าว แต่ทุกคนก็ทำเหมือนตัวเองเก่งไปหมด ต้นนั้นล่ะ เป็นไงต้นนี้ดีหรือป่าว เหมือนทุกคนเก่งเหมือนกันหมด ตลกดี
ครับ ... .. แล้วเราก็ได้ต้นไผ่มา เป็นกิ่งไผ่มากกว่าคงจะไม่ใช่ต้นไผ่ .. ก้านยาวๆ จะได้
แขวนได้เยอะๆ พวกเราลง ความเห็นกันว่าอย่างนั้น เลือกต้นไผ่ได้แล้ว ก็กำลังจะพา
กันกลับห้องครับ แต่แล้ว .......
"ไง" ทำทักทายของ คนบางคนที่ยืนอยู่ที่ประตูโรงยิม และกำลังเดินเข้ามาทางผม มือ
ทั้ง 2 ข้างที่ล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ และตาตี่ๆ คู่นั้น ผมคุ้นดีครับ "มาเลือกต้นไผ่หรอเด็กน้อย" "อือ สงสัยจะโดนหลอกอีกแล้วล่ะ เด็กก็อย่างนี้แหละนะ" แล้วเรา 2 คนก็หัวเราะออก
มาเบาๆ "ไปแล้วนะไปที่ห้องก่อน" ผมโบกมือให้เบาๆ "เดี๋ยวไปรับนะ รอด้วยนะ" ตาตี่ๆ คู่นั้น ที่มองมาทางผม พร้อมรอยยิ้มที่ ดู
อย่างไรก็ไม่เบื่อ มันทำให้วันธรรมดาๆ ก่อนหน้าวัน "ทะนะบะตะ" ของผมดูมีอะไรๆ มากขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะน่ะครับ ....
.. ผมกับเพื่อนๆ นำต้นไผ่มาตั้งเอาไว้หน้าห้อง.. จริงๆ แล้วคิดว่ามันจะต้อง
วุ่นวาย แต่กลับไม่เลย แค่นำมาวางหน้าห้องแล้วทุกอย่างก็จบ ไม่เห็นจะต้อง
วุ่นวายอะไรมากมาย.. จริงๆ แล้วคือคิดว่ามันต้องสนุกกว่านี้น่ะครับ อาจจะ ตรง
นั้น ดีมั้ยตรงนี้ดีกว่า อะไรอย่างนี้ ปรากฏว่าพอจริงๆ แค่นำว่าวาง จบ ... .. เสร็จแล้วง่ายกว่าที่คิด เมื่องานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย บางคนก็จะขอตัวลงไป
เล่นกีฬา บางคนก็ว่าจะกลับบ้าน ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไป ก็คงมีแต่ผม ที่จะต้อง
นั่ง รอเรียวอยู่ที่ห้อง ... ผมนำเอาการบ้านขึ้นมานั่งดู (ไม่ได้ทำ) ไปเรื่อยๆ วงๆ เอาไว้ อะไรที่ยังไม่เข้าใจ อ่านไม่ออก ไม่รู้เรื่องก็จะถามเรียว.. รอนั่ง
อยู่สักพัก ประตูห้องก็ถูกเลื่อนออก รอยยิ้มที่เข้ามาให้ห้องพร้อมๆ กับเขา ความ
รู้สึก แบบนี้ อารมณ์แบบนี้ .... "กลับกันเถอะ" เรียวเอ่ยปากชวนผม .... ผมเก็บของลงกระเป๋ายังไม่ทันจะยื่นให้เค้า เค้าเองก็ฉวยเอาไปจากมือผมซะ
ก่อน พร้อมๆ กับรอยยิ้ม และต่ตี่ๆ คู่นั้น ..... ผมกับเรียว ....
.. เรา 2 คนเปลี่ยนรองเท้าเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็เดินออกมาจากตัวตึก เหมือนกับ
ทุกๆ วัน ทุ่งหน้าไปทางสถานี ระหว่างทางที่เจอคนรู้จัก เราก็จะทักคนเหล่านั้น
กันไปเรื่อยๆ ต่างคนต่างก็มีความสุข กับมิตรภาพ ที่ต่างคนต่างหยิบยื่นให้
กัน.. .. เรายังคงเดินไปเรื่อย จนกระทั้งผมถามเขาว่า "พรุ่งนี้เราจะเขียนคำ อธิฐานอะไรกันดีล่ะเรียว" เขียนแบบไหนดี อืมมมมมมม เขาทำ
หน้าตา ตลกๆ คิดไปคิดมา แล้วก็ไม่ยอมตอบผมมาซะที เหมือนจะแกล้งผม จนผมต้อง
รบเร้าให้เค้าตอบ "ว่าไงล่ะ ว่ายังไง จะเขียนอะไร" "อืมมม ขอให้คนบนฟ้าได้เจอกันทุกวัน เหมือนเรา 2 คนสิ" ผมเงียบหลังจากได้ยินคำ
ตอบนี้ ก้มหน้าลง แอบยิ้มกับตัวเอง เดินตามเรียวที่กำลังเดินช้าๆ อย่างนั้นไป
เรื่อยๆ .. ... เช้าของวัน "ทะนะบะตะ" เสียงระฆังเหล็กเล็กๆ ในนาฬิกาปลุก Super ของผมดัง
ขึ้น ทำให้ผมต้องค่อยๆคลานออกจากฝูกที่นอน ไปปิดมัน เพราะ ถ้าวางเอาไว้ใก้ลๆมือ
แล้วล่ะก็ มันก็จะสะดวกแก่การปิด ปิดแล้วก็จะนอนใหม่..... แล้วก็จะไม่
ตื่น ...... ผมก็เลยต้องเอานาฬิกาปลุกไปวางเอาไว้ไกลๆ เวลาทนฟังมันดังนานๆ ไม่
ได้ก็จะได้ คลานไปปิด หุตาจะได้สว่างขึ้นมาบ้าง [ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงแล้วจะ
ไม่เลยก็ตาม]
.. ผมลุกขึ้นไปส่องกระจก ตาปรืบๆ ที่ยังไม่เปิดเต็มที่ของผม ดูแล้วน่ากลัวดี
จริงๆ ผมค่อยๆ เก็บฝูกที่นอนเข้าไปในตู้ เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง ด้วยความที่ยัง
ง่วงอยู่ ห้องก็แค่ 6 เสื่อ เดินไปเดินมา อยู่พักนึงผมก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ ว่า
ต้องอาบน้ำ .. แล้วก็หยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ [ที่แสนจะแคบ] ปฏิบัติ
ภาระกิจตอนเช้า ....
.. ผม แปรงฟัน อาบน้ำ ... เช็ดตัว ใส่เสื้อผ้า เตรียมตัวจะไปโรงเรียน ผมเดินออก
มาจากห้องน้ำ.. ผ้าเช็ดตัวที่ยังคง วางแหมะอยู่บนหัวเปียกๆ ของผมของผมนั้น มัน
ทำให้ผมไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ถนัดนัก ผมกำลังจะเช็ดหัวให้แห้ง อยู่ดีๆก็มีใคร
บางคน เอาแย่งผ้าเช็ดตัวจากหัวของผมไป "เอ้ย !!" ผมหันหลังตามมือนั้นไป ก็เจอ
กับสุนัขจิ้งจอก ยืนถือผ้าเช็ดตัวของผมยิ้มตาตี่ๆ อยู่ ... เข้ามาตั้งแต่เมื่อ
ไหร่ไม่ยักจะได้ยินเสียง ..
... ตั้งแต่ที่ผมเริ่มตื่นสายขึ้นทุกวันๆ มันทำให้อะไรๆ ก็ช้าไปหมด ผมไม่อยาก
ให้เรียวต้อง ยืนคอยผมอยู่ที่หน้าสถานี หรือ ข้างล่างหอผมนานๆ ก็เลยเอา กุญแจ
ให้เขาไป เช้าๆ ถ้าจะมารอก็เข้ามาได้เลย เช้าบางวันเข้ามาถึงในห้อง ทำตัว โวยวาย ปลุกผมแทนนาฬิกาปลุกด้วยซ้ำไป ...
"ส่งมาเช็ดตัวคืนมาเร็วๆ จะได้รีบๆไป" ผมพูดแกมดุๆ แล้วหันไปทางเค้า ยืนมือออก
ไป ขอผ้าเช็ดตัวคืน แต่สิ่งที่ผมได้รับ คือเรียวทำมือของเขามาตีมือของผม บอกให้
ผมหันกลับไปมองกระจก แล้วเขาก็ เอาผ้าเปียกๆนั้น ค่อยๆซับเส้นผมของผมที่เปียก
ไม่แพ้ผ้า ผมจึงทำได้มากที่สุดก็แค่ ยืนอยู่เฉยๆ แล้วกลายเป้นของเล่นของใคร บาง
คน จนกระทั่งผมดูว่ามันสายแล้ว ไม่ใช่เวลาที่จะมายืนเล่นอะไรกันอยู่ ก็เลยดึง
ผ้าเช็ดตัวมาเช็ดเอง จัดแจงแต่งตัวเตรียมกระเป๋าหนังสือจะไปโรงเรียน ..
.. ผมจัดแจงดูนั้นดูนี่ในห้อง check ความเรียบร้อย แล้วก็ชวนเรียวเดินออกจากหอ
ไปที่ สถานีรถไฟ ผมกับเขาเดินกันไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าสถานี แล้วก็เหมือนกับทุก
วัน กลุ่มตู้ขายของอัตโนมัติ .. สถานที่ฝากท้อง ตอนเช้าของผมกับเรียว.. ..แค่นม 2 กล่องจากตู้นี้ และขนมบังที่ขายอยู่แถวๆ สถานี ก็พอสำหรับมื้อ
เช้า ...ความจริงตอนอยู่เมืองไทย ผมก้ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับ อาหารเช้ามาก
นัก จะมีก็เพียง แม่กับพ่อ ที่คะยั้นคะยอ ใหเผมกินข้าวเช้า พอมาญี่ปุ่นก็กลับ
ต้องเจอกับ ใครอีกคน ที่พยาพยาม คะยั้นคะยอ ให้ผมกินข้าวเช้าอีกเหมือนกัน ... เฮ้อ ...
เช้า ของวัน "ทะนะบะตะ" ที่มีผมกับเรียวเดินไป โรงเรียนด้วยกัน 2คนเหมือนทุกวัน ระหว่างทางจากสถานีรถไฟ ไปโรงเรียนผู้คนมากมายที่ถนนสายนั้น คนมากมายที่ ตื่น
เช้าขึ้นมา รับกับวันใหม่ เพื่อนที่ทักทายกันอย่างสนุกสนาน ด้วยรอยยิ้มและเสียง
หัวเราะ รวมไปทั้งเพื่อนที่แซวเราเล่นอย่างสนุกสนาน จนบางครั้งทำให้ ผมกับเรียว
ต้องอายกันเอง มองหน้ากันเองเขินกันเอง อยู่บ่อยๆ แต่ก็ดีครับ ตาตี่ๆ ที่อยู่บน
แก้มแดงๆ พร้อมกับคำพูดประหลาดๆ ที่ พูดออกมาเพื่อแก้เขินของเขา มันดู.. น่ารัก
ดีครับ ผมกับเรียว .. รวมทั้งเพื่อนๆ ที่เจอกันและเก็บตกกันมาจากทางเดิน เดินมา
ด้วยกันจนถึงโรงเรียน อีกแค่ไม่ถึง 10 นาที ก็จะเข้าเรียนแล้ว นานเท่าไหร่แล้ว
นะที่ผมกับเขาไม่ได้ มาโรงเรียนกันเช้าๆ นั่งคุยกันตอนเช้าๆ แอบหอมแก้มกันตอน
เช้าๆ ... ก็คงจะตั้งแต่ที่ผมทำตัวขี้เซานอนจริงๆจังๆ แบบแมว นั่นแหละ
ครับ ....
... เรียวเดินมาส่งผมที่ห้องเรายืนคุยกันอยู่ที่ประตูสักพัก เขายื่นกระเป๋าให้
ผม "ขอบใจนะ" กับคำว่าขอบคุณที่ผมบอกกับเขาทุกวันๆ คำขอบคุณธรรมดาๆ ที่เขาเคย
บอกผมว่า สั้นๆแค่นี้ แต่พอได้ยินก็จะรู้สึกดีมากๆ ... ผมยิ้มแล้วหยิบกระเป๋าขอ
วตัวเองจากมือเค้ามา ท่ามกลางเสียงแซวเล่นหยอกล้อจากเพื่อนๆ เรียวยกมือทักทาย
กับเพื่อนๆในห้อง หยอกล้อกันตาม ประสา นักเรียนชาย แต่ก่อนที่เขาจะเดินกลับไป
ที่ห้องเขานั้น
"อย่าลืมเขียนคำอธิฐาน ไปแขวนต้นไผ่นะ" แล้วตาตี่ๆ คู่นั้นที่ ปกติก็ตี่อยู่
แล้ว ก็ตี่ลงไปอีก ก่อนที่จะเดินห่างจากผมไป เออ .. จริงสินะ วันนี้วันที่ 7 เดือน 7 วัน "ทะนะบะตะ" อืมม เขียนอะไรดีนะ ที่จริงวันนี้ น่าจะเป้นวันที่น่า
ตื่นเต้น สำหรับเด็กอนุบาลและเด็กประถม มากกว่า ที่จะเป้นวันที่น่าตื่นเต้น สำหรับเด็กมัธยมปลาย หรือถึงจะมัธยมปลายก็เถอะ ความน่าตื่นเต้นมันก็น่าจะไปตก
อยู่ที่ แผนกนักเรียนหญิงมากกว่า จะมาอยู่ที่แผนกนักเรียนชาย อืมมม ผมคิดอะไร
อยู่คนเดียวได้ไม่นาน สัญญานนรก ของการเริ่มเรียนของวันใหม่ก็เริ่มขึ้น ...... เฮ้อ ...... เรียน ......
.. ในตอนพักกลางวัน ของวันนั้น เพื่อนคนนึงนำ กระดาษสีต่างๆ มาให้ผมเขียน แล้ว
บอกผมว่า คนอื่นเค้าเขียนเสร็จกันไปตั้งแต่เช้าแล้ว เหลือแต่ผมคนเดียวที่ยังไม่
ได้เขียน อ้าว .. แล้วไม่บอกละ ปล่อยให้นั่งอยู่ทำไม คนญี่ปุ่นนี่ ไม่ได้เหมือน
กันทุกคนจริงๆแหะ .... ผมรับกระดาษนั้นมา เลือกสีที่ผมชอบมากที่สุด "สีฟ้า" .. .. แล้วก็คิด คิด คิด ว่าจะเขียนอะไรลงไปดี ผมถือกระดาษ แผ่นเล็กๆนั้น เดินไป
เดินมารอบๆห้อง ถามคนนั้น ถามคนนี้ ว่าผมจะเขียนอะไรดี พวกนายเขียนอะไรกัน ? ก็
ไม่พ้นเรื่องความรุก ผู้หญิง แล้ว ก็สอบ วัยรุ่นนี่เหมือนกันทั้งโลก ผมเดินไป
รอบๆห้องจนเหนื่อย ไม่มีใคร ให้ความคิดที่ดีๆ กับผมได้เลย ผมนั่งคิดอยู่พักนึง ก็เขียนคำ อธอฐานลงไปเป็น ภาษาไทย ...
.. ในตอนเย็น วันนั้น .... เรียวยังคงมารับผมที่ห้องเหมือนเดิม เขาไม่ลืมที่จะ
ขอดุ คำอธิฐานของผม บอกผมว่าอยากรู้จังเลยๆ ว่านายเขียนอะไร ..ผมพาเรียวไปที่
ระเบียงหน้าห้อง ต้นไผ่ต้นนั้น .... ผมห่กระดาษของตัวเอง อยู่สักครู่ ก็ชี้ให้
เค้าดู "ara ... taigo !" อ้าว ภาษาไทยหรอ .. อิอิ ก็เอออ่ะเด่ะ แล้วเสียง
รบเร้า ให้ผมแปลให้ฟังว่ามันแปลว่าอะไรกันแน่ก็เริ่มขึ้น.. ..จริงๆ แล้วผมไม่อยากจะแปลเท่าไหร่ เพราะอยากจะเก็บเอาไว้คนเดียว เพื่อนในห้อง
ก้ให้ผมแปลให้ฟังตั้งหลายคน ผมก็ไม่ได้แปล ยกเว้นเด็กไทยบางคนในโรงเรียน ที่
บังเอิญเดินผ่านมาอ่านเข้า เท่านั้นที่จะเข้าใจ แต่ครั้งนี้ ผมก็ต้องผอมเหมือน
ทุก ครั้งที่ผ่านมา แปลให้เขาฟัง .... แล้วเรา 2คนก็กลับบ้าน ด้วยกัน .... ... เกือบจะ 1 เทอมแล้ว ที่ผมได้มาเรียนที่ โตเกียว.. ญี่ปุ่น.. วิชาต่างๆ ที่
ไม่ สามารถหาเรียนได้จากเมืองไทย ผมสามารถเรียนรู้ได้จากที่นี่ นอกจากเลขยากๆ และวิทยาศาสตร์แปลกๆ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน ไหนจะภาษาเกาหลี สังคมโลก ประวัติ
ศาสตร์โลก สงคราม และอีกหลายๆ วิชาที่ไม่มีสอนในห้องเรียน เช่น การใช้ชีวิต
เมื่อเกิดแผ่นดินไหว การใช้ชีวิตในเวลาเร่งด่วน และการขึ้นรถไฟ วิชานักเรียนที่
นี่ กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น..
.. จะว่าไปแล้วจะยากก็ยาก แต่เมื่อมองอีกทีนึงแล้ว จะว่าง่าย แสนง่ายก็คงไม่ผิด
นัก บางวันที่ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่สดชื่น อยากจะออกไปใช้ชีวิต อะไรๆ ก็
ดูดีไปซะหมด ต่อให้รถไฟแน่นแค่ไหน คลื่นคนมากมายที่เดินสวนเข้ามา ก็สามารถจะ
ผ่าน ไปได้อย่าง่ายดาย แต่วันไหนที่ตื่นขึ้นมา ด้วยอารมณ์เบื่อ แค่เดินจากหอไป สถานีก็ไกลแสนไกลเหลือเกิน ยิ่งเวลาไปเจอคนเยอะๆ ก็อยากจะขว้างกระเป๋าทิ้ง นั่ง
รถไฟไป นาริตะ ซื้อตั๋วกลับ กรุงเทพ ซะตอนนั้นเลย ก็เคยมี
.. มันเป็นช่วงเวลานึง ในเดือน 7 สำหรับผมแล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดของ
ผม ตลอดระยะเวลาที่ผมได้มาเรียนที่นี่ รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง การบ้าน
ที่ทำส่งคุณอาจารย์ไป ก็ผิดบ้างถูกบ้าง มีแต่ภาษาอังกฤษวิชาเดียวเท่านั้น ที่พอ
จะได้เรียนรู้เรื่อง กับคนอื่นๆ เขาบ้าง นอกนั้นก็ ถ้าไม่นั่งแอบดูการ์ตูนใน
ห้อง หลับในห้อง ก็นังเหม่อลอย ให้เวลามันผ่านไปเรื่อยๆ และจบไปเพียงวันๆ ไม่มี
อะไร มากมายไปกว่านี้ รอแค่ว่าเมื่อไหร่จะ วันเสาร์-อาทิตย์ จะได้ออกไปเที่ยว หรือไม่ก็นอนอยู่บ้านทั้งวัน เวลาทั้งหมดของผม ผ่านไปอย่างไร้ค่า และไม่ค่อยจะ
ได้สาระ จนกระทั่ง..ถึงเวลาแล้วที่จะต้อง สอบปลายภาค .....
.. เช้าวันหนึ่ง ผมกับเรียวที่กำลังเดินไปโรงเรียนด้วยกันในตอนเช้า เหมือนกับ
ทุกวัน.. แต่ในเช้าวันนี้ ผมไม่ค่อยได้คุยกับเรียวสักเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่ที่
เราสองคน เดินจากหอผมมาสถานีรถไฟ ต่อรถไฟ บนรถไฟ ลงจากรถไฟ เดินจากสถานีมา
โรงเรียน เรียวคนที่มือข้างนึงกำลังถือกระเป๋าสองใบ คือทั้งของเขาและของผมนั้น อีกมือนึง กำลังถือหนังสือ เล่มหนาพอประมาณ อ่านอย่างเอาจริงเอาจัง ชนิดยืนไปบน
รถไฟก็อ่าน อ่าน อ่าน ผมถามอะไรก็ ได้แต่ อือ ... ฮือ... หรอ ... งั้นหรอ ... ก็ดีนี่ ... ดีจังนะ ... อยู่อย่างนี้..
.. ผมแทบจะอดใจตัวเองเอาไว้ไม่ไหว อยากจะดึงเอาคอนเทคเลนส์ออกมาจากตาเขา จะได้
มองอะไรไม่เห็น ไม่ต้องอ่านหนังสือเดินอย่างเดียว ทำไมต้องขยันขนาดนั้นด้วย อาจ
เป็นเพราะแต่ไหนแต่ไร ผมเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ ต้องจวนเจียนจะสอบจริงๆ ถึงจะ
อ่าน.. อะไรที่ไม่ได้ ทำไม่ได้ ก็จะปล่อยไปแบบนั้น ไม่สน ... เวลาใครมาอ่าน
หนังสือหรือ ทำขยันใกล้ๆ ก็จะดูขวางหูขวางตาไปหมด ซึ่งก็รวมไปถึงเรียว ผู้ซึ่ง
กลายเป็นเรียวคนขยันไปซะแล้ว ....
... ผมก็ยังเดินไปเรื่อยๆ ในขณะที่เรียวก็ยังเดินไปเรื่อยๆ ข้างๆ ผม แต่เราสอง
คน ก็ไม่ได้คุยอะไรกันเลยแม้แต่นิดเดียว จากที่ผมเดินข้างๆ เขา ผมค่อยๆ ก้าวช้า
ขึ้นๆ กลายเป็นว่า ตอนนี้ผมเดินตามหลังเขาอยู่ เขาก็คงจะยังไม่รู้สึกว่า ตอนนี้
ผม กำลังเดินตามเขาอยู่ข้างหลัง ก็ยังก้มหน้าก้มตา อ่านหนังสือต่อไปอย่างนั้น.. ผมก็เลยแกล้งหยุดเดิน ยืนอยู่กับที่ แล้วปล่อยให้คนที่กำลังขยัน กับการอ่าน
หนังสือเดินต่อไปอย่างนั้น.. ท่าทางเขาก็คงจะไม่รู้จริงๆ ว่า ผมหยุดอยู่กับที่ แต่แล้ว ...
.. คนที่มักจะทำให้เราประหลาดใจ ก็มักจะทำให้เราประหลาดใจอยู่อย่างนั้นเสมอๆ ผม
ยืนมองเรียว ที่กำลังเดินอ่านหนังสือไปอย่างนั้น ได้แค่พักเดียวเขาก็หยุด เรียว
ที่ กำลังก้มตาที่ยังมองหนังสืออยู่ แต่กลับพูดออกมาว่า "เล่นอะไรอยู่น่ะ สนุกหรอ ไม่น่ารักเลย เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนไม่ทันหรอก ช้าแล้วจะ
มาว่าผมไม่ได้นะ" พูบจบก็เงยหน้าขึ้นมา เหลือบตามามองผม แล้วก็หันหน้ากลับไป ก้มหน้าก้มตาอ่าน
หนังสือเดินต่อไป ผมก็เลยตกเป็นผู้แพ้ ต้องเดินตามเขาไปอย่างนั้นจนถึง
โรงเรียน ....
.. ที่หน้าห้องผมวันนั้น เรียวก็ยังเดินมาส่งผมเหมือนเดิม แต่สายตาของเขา ก็ยัง
ไม่ ละจากหนังสือที่เขาถืออยู่ นอกจากตอนที่จะส่งกระเป๋าให้ผม แล้วบอกว่า "พยายามเข้านะ แล้วเจอกัน" .. ยังคงมีแต่รอยยิ้มแบบนั้น ที่เหมือนเดิมเสมอๆ มันคงจะทำให้เช้าที่ปราศจาก บท
สนทนาของผมกับเรียว ดีขึ้นมาบ้าง.. แล้วเรียวก็เดินกลับห้องของเขาไป ตลอดวันที่
ผมนั่งเรียนอยู่ในห้องวันนั้น ผมรู้สึกได้ถึงความเครียด ไม่ใช่เฉพาะเรียวคน
เดียวเท่านั้นที่เอาจริงเอาจังกับการเรียนซะจนคนรอบข้างซึ่งในที่นี้ผมหมายถึง
ผม รู้สึกได้ แต่เพื่อนผมในห้อง ขนาดคนที่ผมคิดว่า ไม่เอาไหนที่สุดแล้วก็ตั้ง
หน้าตั้งตาเรียน อ่านหนังสือกันหมด .. อะไรกันเนี่ย ....
.. การสอบใหญ่ ครั้งแรงของผมในญี่ปุ่น แทบจะทำผมบ้า เพราะผมเป็นคนที่ขยันไม่ได้
เหมือนคนอื่นๆ แค่เอาตำราคันจิขึ้นมาท่องกะว่าน่าจะท่องได้สัก 20 ตัว พอท่องได้
สัก 5ตัว ความเบื่อ บวกกับ ความเกลียดที่เป็นทุนเดิม ก็ทำให้ตำราคันจินั้นคง
ต้องกลับไปนอนในตู้หนังสือหนังห้องเหมือนเดิม และมันคงต้องอยู่ในนั้นไปอีกนานจน
กว่า ผมจะหยิบอออกมาอ่านอีก ในตอนพักกลางวัน หลังจากทานข้าวกับเพื่อนๆเสร็จแล้ว ก็กลับมานั่งคุยกันที่ห้อง เหมือนกับทุกๆวัน แต่วันนี้ บางคนก็เอาหนังสือมานั่ง
อ่าน บางคนที่คุยกันเรื่องสอบ ทำให้ผมคิดว่า นี่สอบมันเข้ามาใก้ลตัวผมขนาดนี้
แล้วหรอเนี่ย แต่ก็ได้แต่คิดไปอย่างนั้น เพราะผมขี้เกียจ ...
..หลังจากเรียนวิชาสุดท้ายเสร็จแล้ว ผมนั่งให้เพื่อนๆในห้องสอนการบ้านไปเรื่อยๆ
จนกว่าเรียวจะซ้อมกีฬาเสร็จแล้วก็มารับผมกลับบ้านที่ห้อง แต่วันนี้เรียวมาถึง
ห้อง ผมเร็วกว่าปกติ ทำลาย ทุกสถิติตั้งแต่เปิดเทอมมา เพราะว่าเลิกซ้อมเร็ว เนื่องจากใก้ลสอบ ... เฮ้อ สอบอีกแล้ว ผมเก็บของใส่กระเป๋าเดินตามเรียวออกไปนอก
ห้อง เราเดินกันไปสองคนตามทางเดินหน้าห้อง ระหว่างทางเรียว ถามผมว่าหิวหรือ
ยัง ... ด้วยความรู้สึกตอนนั้นผมตอบไปว่า "ยังไม่หิว" เพราะว่า ก็... มันยังไม่
หิวจริงๆ เรียวได้ยินคำตอบจากผม ก็ยิ้มให้ผม "ก็ดีแล้ว ไป !!....." ผมเดินตาม
เรียวไป คำว่า ไป ของเรียว นี่มันคือไปไหนกัน มันไม่ใช่ ห้องล็อกเกอร์ ผมเดิน
เรียวไป จนกระทั้งเดินมาจนถึงห้องๆนึงในโรงเรียน ที่ๆใครก็ใครก็เรียกว่า "ห้อง
สมุด" ฮืออออ ... "ยังไม่หิวก็มาอ่านหนังสือก่อนนะ ปกติเวลานี้ก็ยังไม่ได้กลับบ้านกันอยู่แล้ว ผม
จะ ได้สอนนายด้วย" ผมไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ห้องสมุด ผม และ เรียว ... ผมเดินตามเรียวเข้าไปในห้องสมุด แต่ว่า ไม่มีที่ว่าง
เลยแม้แต่ที่เดียว ทางไหนทางไหน โต๊ะไหนโต๊ไหน ก็มีแต่คนมานั่งอ่านหนังสือเต็ม
ไปหมด "อ่านไม่ได้แล้วเรียว" ผมพูดออกไปอย่างนั้นกะว่าจะทำให้ คนบางคนล้มเลิก
ความตั้งใจ โหนรถไฟ ไปเดินเล่นกับผมดีกว่า "ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ทางนี้" แต่
กลับไม่เป็นผล เรียวเดินนำผมไป ข้างในห้องสมุด ผมเดินตามเข้าไป ระหว่างที่เดิน
เข้าไปผมสังเกตุเพื่อน ผมในห้องหลายคนก็นั่งอ่านหนังสืออยู่ด้วย ผมเดินตามเรียว
ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาหยุด แล้วเดินเข้าไปใน ซอกระหว่างตู้หนังสือ "ยืนอ่านได้
ไหม? ไม่นานหรอก" ผมไม่อยากจะเชื่อ อะไรกันวะ ไม่มีที่จะให้นั่งก็ยังจะยืนอ่าน
หรอ เกินไปแล้วมั้ง ผมไม่ตอบ ... เขาก็คงรู้ว่าผมไม่พอใจ....
... เรียวยืนนิ่งอยู่พักนึง จูงมือผมไปที่หน้าต่าง บอกผมว่าไม่ อยากยืนก็นั่งรอ
บนขอบหน้าต่างก่อนก็ได้ เนี่ยตรงเนี่ย ใครๆก็นั่งกันเวงลาเก้าอี้เต็ม ... ผมคง
เปลี่ยนความคิดเรียวไม่ได้แล้ว "ก็ยืนอ่านกันสองคนก็ได้เรียว" ผมตัดสินใจเริ่ม
อ่านหนังสือในเย็นวันนั้น พร้อมๆไปกับเรียว ผมรู้สึกได้ว่าเรียวดีใจแค่ไหนที่ผม
ยอม ยืนอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดกับเขา เรายืนอ่านกันได้ไม่นาน ก็มีที่ว่าง แล้วผมกับเรียว ก็นั่งอ่าน หนังสือกันอยู่ในห้องสมุด ทำการบ้านในห้องสมุดกันใน
เย็นวันนั้น มันทำให้ผมได้รู้สึกว่าสถานที่ที่ น่าอยู่ในโรงเรียนของผมอีกที่นึง
ก็คือห้องสมุดนั่นเอง ....
... แสงแดดจ้าๆ ส่องผ่านม่านเข้ามาในห้องที่แคบๆ รกๆ ซึ่งในห้องนั้นเอง เด็ก
ผู้ชาย 2 คนที่กำลังนอนกันอยู่ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะตื่น.. ต่างคนต่างก็แย่งผ้า
ห่ม ดึงผ้าห่มเอาไว้ เพื่อจะได้ปิดบังตัวเองจากแสงแดด ที่กำลังส่องแสงจ้าเข้า
มา ... .. แต่การละเล่นยื้อผ้าห่มนั้น ดำเนินไปได้ไม่นาน สุนัขจิ้งจอกผู้แพ้ก็เดิน
ค่อกๆ แค่กๆ ไปที่หน้าต่าง ปิดม่านทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน แล้วก็ค่อยๆ เดินมา
ล้มตัวลงบนฝูกที่นอนอีกครั้ง จนเกือบล้มทับแมว ที่กำลังขดตัวนอนอยู่ในผ้าห่ม
ด้วยเหมือนกัน และหลังจากนั้น สงครามที่หายไปจากเกาะ ญี่ปุ่นหลายปีก็ได้เริ่ม
ขึ้นในห้องเล็กๆ นั้นเอง ......
.. ผมพยายามค่อยๆ ลืมตาขึ้น ด้วยเพราะรู้สึกว่ามีอะไรที่หนักๆ (มาก) มาขวางทับ
ผมเอาไว้ ตั้งแต่ปิดเทอมหน้าร้อนมานี่ เรียวแทบจะมาใช้ชีวิตอยู่ที่ห้องผม จะ
กลับไปบ้านบ้าง ก็เท่านั้น แล้วก็มานอนอยู่หอผม เป็นอย่างนี้มา จะ 1 อาทิตย์
แล้ว แต่ก็ดีเหมือนกัน ที่ผมจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว ไม่คิดเลยว่า ปิดเทอมจะเลว
ร้ายขนาดนี้..
.. ตอนแรกคิดว่า จะต้องได้กลับเมืองไทยแน่ๆ แต่ทางบ้านที่กรุงเทพ กลับไม่
อนุมัติการกลับบ้านของผมครั้งนี้ ผมก็เลยต้องใช้ชีวิตเหลวแหลกต่อไป ที่
โตเกียว .. "ตื่นได้แล้วเรียว!!" เอาพูดเสียงดัง พร้อมเอามือค่อยๆ ดันหัวของเรียวที่นอน
หนุน ตัวผมอยู่ ไปวางเอาไปบนหมอนแทน แล้วก็เขย่าๆ เฮ้ยๆ ตื่นๆ หิว หิว หิว... .. ไม่นานนัก ตาตี่ๆ คู่นั้น ก็ค่อยๆเปิดขึ้น ถึงแม้ว่าผมจะไม่สามารถมองเห็นได้
ว่า มีเงาของผมอยู่ที่นัยตาของเรียว แต่ผมก็มั่นใจว่า ตอนนั้นเรียวกำลังมองผม
อยู่ ..
.. ผมค่อยๆ พูดช้าๆ กับตาตี่ๆ หน้าตาซึมๆ เหมือนสุนัขจิ้งจอกง่วงว่า.. ตื่น-
ได้-แล้ว-หิว- ข้าว-แล้ว แต่พอพูดจบตาตี่ๆ คู่นั้นก็ปิดลงอีกที .. .. อ้าว? เฮ้ยๆ ตื่นๆ ผมพยายามจะปลุกอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผม
คิดอยู่นานเหมือนกันว่าจะเอาไงดี เอาน้ำมาสาดดีมั้ย ? อืมม ไม่ดีกว่า ยืนคิดไป
คิดมา ผมก็เริ่มปฎิบัติการ ผมดึงผ้าห่มที่ห่มตัวเรียวออก พับแล้ววางไว้อีกด้าน
หนึ่ง ...
.. จากนั้นดึงหมอนที่เขาหนุนอยู่ออก โยนไปทางผ้าห่มที่พับไว้ ในอีกมุมนึงของ
ห้อง นั้น อิอิอิ ผมค่อยดึงฝูกที่นอน ที่เรียวนอนทับอยู่ ออกมาจากตัวเขา ดึง .. ดึง.. ดีง แล้วเรียวก็นอนอยู่ที่พื้นโดย ที่ในมือของผมนั้น ถือฝูกเอาไว้เรียบ
ร้อยแล้ว ไม่นานนักเรียวก็ลุกขึ้น "รู้แล้วน่า รู้แล้วน่า" แล้วก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ .... ถือเป็นการประกาศ
ยอมแพ้สงคราม สำหรับเช้าวันนั้น ...
.. เรียวอาบน้ำ ผมอาบน้ำ แต่งตัวเสร็จแล้วก็ได้แต่มองหน้ากันว่า ... เออ .. จะ
ไปที่ไหนดี ปิดเทอมนี่มันไม่มีอะไรทำถึงขนาดนี้เลยหรอ จริงๆ แล้ว คือ ผมต้องการ
จะไปหาอะไรกินมากกว่า แต่ว่าถ้าไปกินแถวๆ หอ กินเสร็จแล้วก็กลับมาที่หอ แบบนี้
ผม คงไม่เอา เพราะว่าปิดเทอมชีวิตมีแต่หอ แต่ถ้าจะออกไปข้างนอก ก็ไม่พ้น ชิบุยะ ชินจุกุ แค่นั้น.. .. ถ้าตอนนั้น โอไดบะ มีแล้วก็คงไป โอไดบะ ด้วย เฮ้อ .. "TOKYODOME ก็ไปไม่แล้วนะเรียว พอแล้วไม่เอาแล้ว" อืมมม เรียวไม่ได้ตอบ อะไรผม เขาคิดไปอย่างนั้นแล้วก็ ...
"ไปบ้านผมกันมั้ยล่ะ?" นั่นเป็นครั้งที่ 2 ที่เรียวเอ่ยปากชวนผมไปบ้าน.. ครั้ง
แรกคือเมื่อนานมาแล้ว ที่ผมกับพวกที่ห้อง ออกไปดื่มกันตามปกติ แล้วเพลินกันมาก
ไปหน่อย เวลามันเลยมานานมาก กลัวว่ารถไฟจะหมด เรียวจึงบอกผมว่า ถ้ารถไฟหมดก็ให้
ไปค้างที่บ้านของเขา แต่พอดีวันนั้นรถไฟยังมี เรียวกับผมก็เลยกลับมานอนที่หอผม
กันตามเดิม "จะดีหรอ ไปโดยที่ไม่บอกก่อน" ผมถามไปก็เพราะว่าเกรงใจ
.. ผมรู้ดีว่าตามมารยาทแล้ว การไปบ้านของคนญี่ปุ่นนั้น ใช่ว่าจะไปกันได้ง่ายๆ ในแง่ของวัฒนธรรมแล้ว ยิ่งคิด ก็ยิ่งปวดหัว ผมก็เลยถามออกไปแบบนั้น "อยากไปหรือเปล่าล่ะ บอกมาว่า ไป หรือ ไม่ไป" ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม กับ
เรื่องแค่นี้ต้องดุผมถึงขนาดนี้ด้วย แค่ตัดสินใจไปบ้าน แค่เนี่ย ทำอย่างกับว่า อเมริกา มันจะกลับมาทิ้งระเบิดอีกรอบนึงเลย .. ผมรู้ว่าถ้าตอบแบบไหนจะโดนโกรธ ก็เลยตอบออกไปว่า "อือ ไปสิ" เรียวยิ้มตาตี่ๆ ให้ผมแล้วก็เดินไปที่โทรศัพท์ในห้องผม บอกว่าจะโทร
หาที่บ้าน .....
... เรียวเคยเล่าให้ผมฟังอยู่บ่อยๆ แล้วว่า เค้าเล่าเรื่องผมให้ที่บ้านฟัง
เสมอๆ แม่เรียวก็รู้จักผมแล้ว บ่อยครั้งที่ผมโทรไปที่บ้าน แล้วแม่เป็นคนรับจนจำ
เสียงผมได้ แต่ไม่เคยเจอหน้ากันเท่านั้นเอง และก็บ่อยครั้งอีกเช่นกัน ที่แม่มัก
จะ ทำข้าวกล่องอร่อยๆ มาให้ผมกิน พร้อมกับฝากเรียวมาเอ่ยปากชวนไปเที่ยวที่บ้าน แต่เนื่องจากไม่มีโอกาศซะที ก็เลยไม่เคยที่จะได้ไป .. สงสัยจะได้ไปก็วันนี้
แน่ๆ ..
.. เรียววางโทรศัพท์ลง ผมไม่สามารถ จับใจความภาษาที่เรียวพูดกับแม่เขาได้ มัน
เร็วเกินไปที่ผมจะฟังออก และก็เป็นภาษาพูดมากเกินไปด้วย.. แต่ถ้าเรียวบอกว่าไม่
เป็นไร โทรไปบอกเรียบร้อยแล้ว ก็ ok ไม่เป็นไร ก็ไม่เป็นไร ผมกับเรียว เดินออก
มาจากหอไปทางสถานีรถไฟ ตลอดทางเขาก็ได้แต่บอกผมว่า ทนหน่อยนะ เดี๋ยวไปกินข้าว
ที่บ้านผมกันนะ อย่างนี้ตลอด แต่เขาไม่รู้หรอกว่าในใจผมกำลังคิดอะไรอยู่ ...
.. ถึงแม้ว่าที่บ้านของเรียว จะไม่รู้ว่าผมกับเรียว คบกันในฐานะอะไร แต่ผมก็ยัง
อด กังวลไม่ได้ ตายล่ะ .. ไปบ้านคนญี่ปุ่น จะต้องพูดอะไรบ้าง ใช้ภาษาระดับไหน ยกย่อง ถ่มตัว โอ้ยมากมาย.. ต้องพูดสำนวนอะไรบ้าง ทำอะไรได้บ้าง ทำอะไรไม่ได้
บ้าง.. พูดอะไรได้บ้าง พูดอะไรไม่ได้บ้าง.. ถามอะไรได้บ้าง ถามอะไรไม่ได้
บ้าง.. เยอะแยะมากมายไปหมด ที่เข้ามาอยู่ในหัวสมองผม..
.. สงสัยง่าผมจะเงียบไปจน ผิดปกติจนเขาต้องถามผมว่าเป็นอะไร "ไม่รู้ .. กังวลน่ะ" ผมตอบไปแบบนั้น เพราะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ จะว่าไปแล้ว
ตั้งแต่มาอยู่ญี่ปุ่นครั้งนี้ ยังไม่เคยไปบ้านคนญี่ปุ่นแบบจริงๆ จังๆ หรือบ้าน
ของคนญี่ปุ่นที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย ยกเว้นบ้านเพื่อนของพ่อและแม่ ซึ่งก็สนิท
สนมกันดีอยู่แล้ว "ไม่ต้องกลัวหรอก คุณคนใจดี แล้วผมก็อยู่ด้วยนะ" เรียวคงจะคิดว่าคำพูดของเขา คง
จะสามารถช่วยผมได้ แต่กลับไม่เลย ใจดีน่ะ แบบไหนกันนะ.. ผมจึงฝืนยิ้มออกไป อย่างนั้นเอง แหะ แหะ ... เฮ้อ ...