"เมื่อผมเจอพญาครุฑ!!!" copy งานของคุณ MAKI จากบอร์ดPalm-Plaza ครับ ตอนที่ 17
ผมตื่นนอนขึ้นมาอีกครั้งในตอนเช้าหลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็เดินลงไปชั้นล่างในชุดนอน พ่อของตานเดินถือหนังสือพิมพ์เข้ามาจากหน้าบ้านตานกับแม่ช่วยกันทำกับข้าวอยู่ในห้องครัวผมเห็นตานเปิดตู้เย็นดึงเอาผักออกมาล้างทุกคนในบ้านหลังนี้สวมชุดนอนแบบเดียวกันหมดต่างกันที่ลายและขนาดเท่านั้นพ่อของตานเรียกผมไปนั่งคุยที่โต๊ะหน้าโทรทัศน์ “ตื่นแต่เช้าเลย ถ้าง่วงก็ไปนอนต่อก็ได้นะสายๆค่อยตื่น”“หายง่วงแล้วครับ”“หลับสบายหรือเปล่า?”“พอหัวถึงหมอนก็หลับยาวเลยครับตื่นขึ้นมาก็เช้าพอดี” ผมหันมองไปรอบๆบ้านบรรยากาศในบ้านตอนเช้าที่มีแสงธรรมชาติดูต่างจากตอนกลางคืนเล็กน้อย“มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ?”“ไม่ต้องหรอก เข้าไปก็เกะกะเขาเปล่าๆสองคนนั่นมืออาชีพ ทำแป๊บเดียวก็เสร็จ” ตานกับแม่ทำแบบมืออาชีพตามที่อาผู้ชายบอกจริงๆตานเดินออกมารินกาแฟใส่แก้วให้ผม ข้างกันก็มีขนมปังปิ้งกับเนยและแยมอาผู้หญิงเดินออกมาสมทบพร้อมกับจานไส้กรอกไข่ดาว ข้าวต้มเครื่องและข้าวผัด “ไม่รู้ว่ามิทชอบกินอะไรตอนเช้าอาเลยทำมาซะสามอย่างเลย” แม่ของตานพูด“เกรงใจแย่เลยครับ”“อย่าเกรงใจเลย ปกติบ้านนี้เงียบพอมีคนเพิ่มก็ค่อยครึกครื้นหน่อย”ผมยิ้มรับ เมื่อนั่งกันครบทั้งสี่มุมรอบโต๊ะผมก็มองดูชุดนอนของบ้านด้วยความประหลาดใจ แม่ของตานดูจะรู้ตัวก่อนคนอื่นเลยชิงพูดขึ้นมา “ยายของตานตัดชุดนอนให้ทุกคนในบ้าน”“แล้วคุณยายอยู่ไหนล่ะครับ?”“ต่างจังหวัดนู้นแน่ะ เอาไว้ว่างๆก็ให้ตานพาไปสินั่งรถไฟไปสองชั่วโมงก็ถึง” พ่อของตานพูดขึ้นมาจากนั้นก็หันไปคุยกับลูกชายตัวเอง“สายๆ พ่อจะออกไปคลินิกตอนเย็นจะกินอะไรหรือเปล่า พ่อจะซื้อมาให้” ตานกำลังแลบลิ้นออกมาเลียแยมบนขนมปังพอดี“ลูกชิ้นปิ้งสองไม้ครับ” ตานตอบ“กินจนหัวจะกลมเป็นลูกชิ้นอยู่แล้ว” พ่อตอบผมเห็นคุณอาอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย มือขวาก็จิ้มไส้กรอกเข้าปากแม่ของตานเลื่อนจานไข่ดาวให้ผมแล้วก็เลื่อนขวดซอสพริกตามมาให้“กินเยอะๆนะ”“ครับ”ผมมองบรรยากาศของครอบครัวนี้ด้วยความสุขใจมันดูน่ารักโดยไม่มีการเสแสร้ง ผมนึกอิจฉาที่ตัวเองไม่เคยมีอารมณ์แบบนี้ผมไม่มีพ่อคอยถามว่าอยากกินอะไรไม่มีแม่คอยเติมข้าวให้ในจาน ไม่มีบรรยากาศอบอุ่นบนโต๊ะกินข้าวเล็กๆผมนั่งกินข้าวอยู่คนเดียวบนโต๊ะกระจกยาว รอบตัวมีมีแค่พี่เลี้ยงที่ยืนอยู่ห่างๆทุกอย่างรอบตัวมันดูแห้งแล้งไปหมด ไม่เหมือนครอบครัวนี้ที่ดูมีชีวิตชีวา “ตอนเย็นไปเที่ยวบ้านป้าของพี่มั้ยครับคุณป้าพี่บอกว่าอยากเจอตาน” ผมพูดเรื่องป้าขึ้นมาพ่อของตานวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วก็ยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่ม “คุณโสรยาใช่มั้ยที่เป็นป้าของมิท?” คุณอาผู้ชายถาม“ใช่ครับ คุณอารู้จักด้วยเหรอครับ?”“เคยอ่านเจอในหนังสือป้าของมิทดูเป็นคนเรียบง่ายดีนะ ไม่ค่อยออกงานสังคม”“ครับ ป้าไม่ชอบวุ่นวายแต่อยู่กับบ้านแล้วก็ยังมีหนังสือตามมาขอสัมภาษณ์บอกว่าอยากรู้ประวัติของป้าตอนอยู่ที่วังเก่า”“เย็นนี้ก็ไปกับพี่เขาซะหน่อยผู้ใหญ่ท่านออกปากมาแล้ว เด็กอย่างเราก็อย่าให้เสียมารยาท”“ครับ” ตานรับคำง่ายๆ. . ผมชอบบ้านของตาน ชอบความเรียบง่ายและอบอุ่นผมเข้าใจแล้วว่าตานได้นิสัยนี้มาจากใคร ตานเป็นคนไม่เสแสร้ง เป็นคนง่ายๆที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจนของพี่มิทเป็นบ้านหลังใหญ่ทางเข้าจากหน้าประตูบ้านกว้างขวาง มีสวนหย่อมสีเขียวสดประดับไว้ก่อนถึงตัวบ้านพี่มิทขับรถเข้ามาถึงหน้าบ้านใหญ่แล้วก็เรียกคนเข้ามารับกุญแจ เราสองคนไม่ได้เข้าไปในบ้านหลังใหญ่แต่เดินอ้อมมาทางด้านข้างผ่านสวนหิน เดินมาตามทางที่ปูด้วยศิลาแลง พี่มิทผลักประตูไม้ด้านข้างรั่วเข้าไปในนั้นมีบ้านอีกหลังตั้งอยู่ในมวลหมู่แมกไม้ พี่มิทแหวกม่านบาหลีเข้าไปผมสัมผัสได้ถึงอากาศเย็นๆบ้านหลังนี้ประหลาดกว่าบ้านหลังอื่นตรงที่ไม่ได้สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมของไทยหรือตะวันตกแต่สร้างด้วยแปลนบ้านผสม บางมุมก็เหมือนตำหนักบางมุมก็เหมือนปราสาทหินของเขมรบางมุมก็เหมือนบ้านทรงตะวันออกที่ผสมผสานทุกอย่างให้เข้ากันโดยไม่มีรอยต่อ “บ้านคุณป้าพี่เอง” พี่มิทหยุดยืนบนพื้นหญ้าขณะผมแหงนมองตุ๊กตาหินที่ประดับอยู่เหนือประตูใหญ่“เกียรติมุขครับ” พี่มิททำหน้าที่เป็นไกด์“เกียรติ มุข” ผมทวนช้าๆพลันสายตาผมละจากมันไม่ถึงเสี้ยววินาที ผมก็เห็นเหมือนเกียรติมุขเคลื่อนไหวได้“เหมือนมันเคลื่อนไหวได้เลยนะครับเกียรติมุขเนี่ย” ผมขยี้ตา“พี่ก็ว่างั้นแหละแต่ก็ไม่มีอะไรหรอก พี่อยู่มาตั้งแต่เด็กก็ไม่เคยเจอมันวิ่งได้คุณป้าบอกว่าช่างแกะมันได้สวยจนเหมือนเคลื่อนไหวได้” พี่มิทดึงมือผมเข้าไปในตัวบ้านเมื่อเดินผ่านขั้นบันไดหินขึ้นไปสู่พื้นไม้ขัดเงา ผมเจอโถงกว้างๆไกลออกไปทางขวามีสวนกลางแจ้งที่อยู่ภายในตัวบ้านอีกทีพี่มิทพาผมมานั่งเล่นอยู่ตรงเบาะผ้าหนานุ่มด้านข้างสวนติดกับบ่อปลาผู้หญิงวัยกลางคนเดินออกมาจากส่วนในของบ้านผ่านม่านไม้ฉลุลายออกมาผมลุกขึ้นยืนแล้วก็ยกมือไหว้ทันที “ไหว้พระเถอะลูก”“ตานครับป้า” พี่มิทพูดแล้วก็ดึงมือผมให้ลงนั่งเหมือนเดิมป้าของพี่มิทนั่งลงบนตั่งไม้ใหญ่ ซักพัก มีคนเข้ามายืนนิ่งป้าของพี่มิทหันไปสั่งบางอย่างกับคนในบ้านแล้วก็หันกลับมายิ้ม“หน้าตาน่ารักดีจริง” ป้าพูด“เห็นมั้ยครับมิทบอกแล้ว” สองป้าหลานพูดกันโดยที่ผมไม่รู้เรื่องระหว่างนั้นผมก็มองสำรวจรอบๆตัวบ้านด้วยความสนใจ “ชอบบ้านป้าหรือเปล่า?”“ชอบครับดูสวยแปลกตาดี ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน”“จำลองแบบมาจากวังในพระนครบางส่วนแต่ได้แค่หนึ่งในร้อยเท่านั้น” ผมจินตนาการไปถึงพระนครศรีอยุธยาก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าป้าของพี่มิทมีเชื้อสายมาจากทางอาณาจักรตะวันออก “แล้ววังยังอยู่มั้ยครับ?”“วังเก่าน่ะหรือ?” คุณป้าถาม“ครับ”“ยังอยู่ในสภาพดี”“ครับ”“วันนี้อยู่กินข้าวเย็นกับป้าข้าวของเตรียมไว้หมดแล้ว รอแค่ให้ถึงเวลาเท่านั้นระหว่างนี้จะให้พี่เขาพาไปเดินเที่ยวรอบๆบ้านก็ได้”“อยากคุยกับคุณป้ามากกว่าครับ” ผมตอบผมอยากคุยกับเจ้าของบ้านมากกว่า ไม่ใช่เพราะรักษามารยาทแต่เพราะสนใจประวัติที่ลึกลับของป้าพี่มิทมากกว่าไว้กินข้าวเย็นเสร็จแล้ว จะออกไปเดินดูรอบๆก็ยังไม่สาย “ป้าถูกชะตากับตานถ้าไม่ว่าอะไร ช่วยเขียนวันเดือนปีเกิดมาให้ป้าหน่อยได้มั้ย ป้าจะดูดวงให้”“ได้ครับ” ผมรับคำพี่มิทลุกขึ้นไปหากระดาษกับดินสอมาได้อย่างรวดเร็วนี่คงอธิบายได้ชัดเจนว่าพี่มิทคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้ดีแค่ไหนคุณป้ารับเอากระดาษที่ผมเขียนข้อมูลส่วนตัวไปให้ผมเห็นคุณป้าเขียนช่องและเขียนอักขระพิเศษลงไปแล้วก็ทำท่าเหมือนกำลังคำนวนตัวเลข “เป็นคนวาสนาดีดวงชะตาเข้มแข็ง มีบุรุษคอยค้ำชู เป็นเหมือนเกราะทองปกป้องภัย” คุณป้าของพี่มิทอธิบาย“ตานดวงดีนะครับป้าไม่ค่อยเจอคนแบบนี้เลย” พี่มิทยิ้มเหมือนคนดีใจผมเห็นแววตาประหลาดของคุณป้าแวบนึงก่อนท่านจะยิ้ม“นั่นสิไม่ค่อยเจอคนดวงแข็ง มากด้วยกำลังอุ้มชูขนาดนี้” เราสามคนคุยกันมาจนถึงช่วงห้าโมงเย็นผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างทาง ผมเจอรูปปั้นหินนางอัปสรายืนร่ายรำอยู่มันเป็นรูปปั้นที่ดูคุ้นตามาก เหมือนกับผมเคยเห็นที่ไหนมาก่อน “มีอะไรเหรอลูก?” คุณป้าเดินตามมาข้างหลัง“เหมือนผมเคยเห็นรูปปั้นแบบนี้มาก่อนน่ะครับแต่ยังนึกไม่ออก”“เห็นตามที่เขาตกแต่งสวนกระมังของแบบนี้ก็มีคนเลียนแบบมาก แต่ยังไงก็ไม่เหมือนจริงเสียทีเดียว”“หมายความว่าตัวนี้ของจริงเหรอครับ?” ผมถามแล้วก็เพ่งมองดูหินนั้นอย่างละเอียด“ของจริงอายุร่วมพันปีได้แล้ว” คุณป้าตอบผมละสายตาจากนางอัปสราแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไป หลังเสร็จธุระผมล้างไม้ล้างมือเดินกลับออกมา คุณป้าบอกว่าพี่มิทออกไปเอาของที่บ้านใหญ่ผมเข้ามานั่งข้างๆ คุณป้า อากาศในบ้านกำลังเย็นสบายลมพัดกระดิ่งดังกรุ๋งกริ๋งสบายหูช่วงค่ำแบบนี้ ที่บ้านหลังนี้ไม่มียุงมากวนเลย “สายสร้อยเส้นนี้แปลกตาจริง” คุณป้าพูดขึ้นมาผมหันมามองดูคอตัวเองแล้วก็ยิ้ม“มีคนให้มาครับ” ผมพูดแล้วก็ดึงสร้อยคอออกมาจี้รูปปีกนกสีทองส่องสว่างล้อกับแสงไฟสีเหลืองนวลในบ้านจนเป็นประกายสวยงามผมเห็นคุณป้านิ่งไปเมื่อเห็นจี้รูปปีกนก “สวยงามเหมือนของเนรมิตไม่มีช่างทองคนไหนจะทำได้งามขนาดนี้” คุณป้าพูดออกมาเบาๆ“ครับเป็นทองคำแท้ แต่สายเป็นโลหะอะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน พอดีคนให้ไม่ได้บอก” ผมพูดจบก็จับจี้ใส่กลับเข้าไปในอกเหมือนเดิม“ใครกันที่ให้ของสำคัญขนาดนี้มา?”“เอ่อ...คุณ”“บอกชื่อป้าได้มั้ยพอดีป้าก็มีของฝีมือคล้ายกันนี้อีกชิ้น เผื่อเจ้าของจะเป็นคนๆเดียวกัน”“เหรอครับน่าแปลกจริง คนที่ให้ผมมาชื่อคุณเวณวัฒน์ ทิชากรครับ” ผมตอบ“คุณป้ารู้จักมั้ยครับ?” คุณป้าของพี่มิทยิ้มแล้วส่ายหัวแทนคำตอบกลับมา “คนที่จะได้รับของสำคัญขนาดนี้คือคนที่เจ้าของมันรักมาก หรือเคยรักมาก” คุณป้าเหมือนจะรู้สึกเหนื่อยกับการพูดถึงของพวกนี้“คุณป้าพอรู้มั้ยครับว่าช่างเขาทำเป็นรูปอะไร จะปีกนกก็ไม่ใช่ ปีกเทวดาก็ไม่เชิง” ผมถามแล้วก็ใช้นิ้วดุนจี้ในอกไปมา “ปีกครุฑกางปกป้องภัยทั้งผองมลายไป” คุณป้าตอบเป็นคำกลอน“ปีกครุฑ?”“ในบรรดาเหล่าสัตว์กึ่งเทพทั้งมวลครุฑเป็นสัตว์ที่ฉลาดที่สุด มีอำนาจมากที่สุด แข็งแรงมากที่สุด ครุฑเป็นอมตะแทบไม่มีสิ่งใดที่ทำลายครุฑได้เลยแม้แต่สายฟ้าของเจ้าแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ยังไม่อาจทำอันตรายครุฑได้แม้แต่น้อยครุฑนั้นมีอำนาจและฤทธิ์เทียบเท่าองค์วิษณุ” คุณป้าเล่าให้ผมฟังเหมือนผมกำลังฟังนิทานปรัมปราอยู่ในบ้านที่มีความสวยงามแปลกตา “แล้วนาคล่ะครับคุณป้า”“นาคก็เป็นสัตว์กึ่งเทพเช่นเดียวกันกับครุฑแต่อำนาจนั้นมิได้เทียบเคียงกัน มิติของนาคซ้อนทับกับของมนุษย์ มนุษย์อยู่บนดิน นาคอยู่ใต้ดินบางครั้งก็ขึ้นมาสำราญบนโลกบ่อยครั้งที่มีจิตปฏิพัทธ์กับมนุษย์จนถึงขั้นใช้ชีวิตร่วมกัน” “งั้นแสดงว่านาคผูกพันกับมนุษย์มากกว่าครุฑสิครับคุณป้า” คุณป้ายิ้มแล้วก็พยักหน้า “มากกว่าเพราะนิสัยนาคเข้ากันได้ดีกับนิสัยคน นาคมีเล่ห์เหลี่ยมจัดไม่ต่างกับมนุษย์ส่วนครุฑนั้นต่างออกไป ครุฑอ่อนน้อมและรักษาสัตย์น้อยครั้งที่ครุฑจะลงมาจากวิมานมาสมสู่กับมนุษย์ถ้าไม่เกิดจากมีจิตปฏิพัทธ์ก็เกิดจากทำบุญร่วมกันมา” “คุณป้า...เคยเจอครุฑมั้ยครับ?” ไม่รู้อะไรมาดลใจให้ผมถามออกไปคุณป้านิ่งและเงียบเหมือนจมลงไปในห้วงของความคิดนานหลายนาทีกว่าคุณป้าจะกลับมายิ้มและพูดเหมือนเดิม “มากกว่าเคยเจอ...ทั้งสัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่เมื่อจากไปแล้วก็ทิ้งไว้เพียงรอยแผลที่กรีดลึกลงในใจ”นัยน์ตาของคุณป้าดูหม่นหมอง ไม่สดใสเหมือนก่อนเริ่มคุยกันเรื่องครุฑ “มนุษย์นั้นแม้รูปรสสวยงามเพียงใด ก็หาได้ฝืนกฎของธรรมชาติไปได้มนุษย์มีแก่ไปตามวัยที่เปลี่ยนผ่าน จากวันสู่เดือน เดือนสู่ปีปีแล้วปีเล่ารูปรสที่เคยสวยงามนั้นก็โรยราลงเหมือนดอกไม้เหี่ยวเฉาส่วนครุฑนั้นยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ความแตกต่างปรากฏขึ้นเรื่อยๆจนเกิดช่องว่างขึ้น” “ครุฑทำยังไงครับถ้าคนที่รักแก่ตัวลง?” ผมพลอยรู้สึกเศร้าไปกับคุณป้าด้วย“บินจากไปทิ้งไว้เพียงความทรงจำกับของให้ดูต่างหน้ากฎของธรรมชาติที่ไม่มีใครฝืนไปได้คือมนุษย์กับครุฑไม่มีทางอยู่ด้วยกันได้ตลอดสังขารและความตายจะพรากทุกอย่างไป” ผมรู้สึกเหมือนคุณป้าเคยประสบพบเจอเหตุการณ์ที่น่าเศร้านี้ซะเองดูคุณป้าเสียใจกับมันมากๆ “เป็นนิทานเรื่องอะไรเหรอครับผมจะหามาอ่าน?”“เป็นเรื่องเล่าของคนแก่คนหนึ่งไม่มีค่าพอให้จดจำหรอกลูก แล้วนี่สนใจเรื่องครุฑมากขนาดนี้ ไปเคยเห็นครุฑที่ไหนมาหรือเปล่า?”“อ่ะเอ้อ” ผมได้แต่ยิ้ม“เราจะแยกครุฑออกจากคนทั่วไปได้ยังไงครับหมายความว่า ถ้าเจอคนกับครุฑอยู่รวมกัน เราจะมองยังไงว่าใครคือคน ใครคือครุฑ” คุณป้าลูบหัวของผมแล้วก็ยิ้ม “ครุฑในร่างคนนั้นต่างกับคนปกติอยู่มากครุฑเป็นสัตว์กึ่งเทพ ไม่มีมลทินกลิ่นคาวไคลเหมือนคน ไม่มีกลิ่นเหม็น สิ่งสกปรกของโลกมนุษย์ที่เกาะติดครุฑจะหลุดออกไปเอง ครุฑมีรูปลักษณ์สวยงามน่ามองเพราะเป็นกึ่งเทพคล้ายกับเทวดาที่มีแต่สิ่งสวยงามน่าสรรเสริญครุฑมีรูปกายกำยำแข็งแรงมีพละกำลังมากกว่าช้างสารครุฑมีเสียงเสนาะหู พูดจาไพเราะนุ่มนวลครุฑมีนิสัยอ่อนน้อมและฉลาดรู้ทันคนครุฑมีกำหนัดสูงสามารถร่วมรักได้ย่ำค่ำถึงย่ำรุ่ง” ผมกำลังจะนึกชมคุณเวณวัฒน์อยู่ในใจติดอยู่ตรงข้อสุดท้ายที่คุณป้าพูด“กำหนัดสูง?” ผมทวนคำช้าๆ“มีความต้องการทางเพศสูงหากอยากร่วมเพศก็จะเข้ามาคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ คู่รัก” คุณป้าอธิบายเพิ่ม ผมนึกไปถึงเจ้าเงินแมวของผมที่ชอบเข้ามาคลอเคลียแต่เจ้าเงินมาคลอเคลียเพราะรักเจ้านายไม่ใช่เพราะกำหนัดเหมือนครุฑ “แล้วนาคกำหนัดเหมือนครุฑมั้ยครับ?” ผมถามต่อ“ป้าก็ไม่รู้เหมือนกันแต่ถ้าเรื่องกามคุณ คงไม่มีใครสู้ครุฑได้” ผมพยักหน้าและทำความเข้าใจมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจและผมก็ทำความเข้าใจกับมันได้ดีเพราะสามารถจินตนาการไปถึงครุฑจริงๆได้ ครุฑที่ผมจินตนาการถึงก็คือคุณเวณวัฒน์นั่นเอง “คุณป้าครับถ้าครุฑถูกไฟเผาจะมีวิธีแก้ยังไงครับ?”“ไฟที่ไหนจะเผาครุฑได้?”“พระอาทิตย์ครับเผาซะเกรียมเหมือนกุ้งเผาเลย”ผมยิ้ม“ไปอ่านในหนังสือที่ไหนมาล่ะ” คุณป้าถาม“คงจะจำเรื่องของสัมพาทีมากระมัง?”“อืม...ครับ” ผมก้มหน้าแล้วก็รับคำอันที่จริงผมหมายถึงครุฑจริงที่บินขึ้นไปที่พระอาทิตย์มากกว่า “พระอาทิตย์คือสุริยเทพมีพลังงานความร้อนสูงจนเผาไหม้ปีกและขนของสัมพาทีได้วิธีแก้คือต้องรอให้ทหารพระรามยกทัพผ่านมา สัมพาทีจึงจะกลับมามีขนดังเดิม”“สัมพาทีที่เป็นลูกชายของครุฑน่ะเหรอครับ?” ผมถามคุณป้าพยักหน้าแล้วก็มองตาผม ผมยิ่งสงสัยขึ้นไปอีกว่าสัมพาทีมีเลือดครุฑแค่ครึ่งเดียวแล้วถ้าครุฑขึ้นไปเองแล้วโดนเผาจะมีวิธีแก้ยังไง “สงสัยอะไรหรือลูก?”“เปล่าครับผมคิดว่าในโลกนี้มีอะไรแปลกๆ มากมาย” “ทั้งแปลกทั้งพิสดารเล่าไปก็ไม่มีใครเชื่อ ในมุมๆนึงของชีวิตป้า ก็เคยเจอเรื่องแปลกมาแล้ว” เสียงพี่มิทเรียกผมมาจากประตูหน้าพี่มิทดูดีใจที่ผมกับคุณป้าสนิทกันเร็วจนเข้ามานั่งคุยกันคุณป้าเลื่อนฝ่ามือออกจากหลังของผมแล้วก็ลุกขึ้นยืน “หายไปซะนานเชียวป้าจะให้น้องนอนรอแล้ว” คุณป้าล้อพี่มิท“ก็คนของคุณแม่น่ะสิครับเข้าไปจัดห้องนอนของมิทแล้วก็ย้ายที่ มิทหาตั้งนานกว่าจะเจอ” พี่มิทยื่นถุงสีแดงสดให้ผมแล้วก็ขยั้นขยอให้ผมเปิดดู ช่วงจังหวะที่ผมกำลังเปิดและชะโงกหน้าเข้าไปดูในถุงพี่มิทก็ทำตัวแปลกไป “พี่มิท...เป็นอะไรไปครับ”“ตานว่าอะไรนะครับ?”“ผมถามว่าพี่มิทเป็นอะไรหรือเปล่าเห็นแปลกๆไป”“พี่นึกว่าตานกระซิบอะไรข้างๆหูพี่ซะอีก”“เปล่าครับไม่ได้ทำอะไรเลย”ผมตอบปฏิเสธ คุณป้าดูจะสังเกตอาการได้ท่านลุกขึ้นมายืนแล้วก็เปิดหนังตาของพี่มิทดู . .
ไม่อยากให้จบเร็วเลย ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ อ่านแล้วได้ทั้งความรู้ ทั้งสนุก คนแต่งคงค้นคว้าหาข้อมูลมากมากนะครับ ตื่นเต้นจัง ติดตามมาหลายตอย ชอบครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณคับ
ขอบคุณครับ ชอบมาก ขอบคุณครับ ขอบใจมากนะครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ เยี่ยม บ้านดูหลอนๆ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ สนุกจริงๆ
หน้า:
[1]
2