ผมตื่นนอนขึ้นมาอีกครั้งในตอนเช้าหลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็เดินลงไปชั้นล่างในชุดนอน พ่อของตานเดินถือหนังสือพิมพ์เข้ามาจากหน้าบ้าน ตานกับแม่ช่วยกันทำกับข้าวอยู่ในห้องครัวผมเห็นตานเปิดตู้เย็นดึงเอาผักออกมาล้าง ทุกคนในบ้านหลังนี้สวมชุดนอนแบบเดียวกันหมดต่างกันที่ลายและขนาดเท่านั้นพ่อของตานเรียกผมไปนั่งคุยที่โต๊ะหน้าโทรทัศน์ “ตื่นแต่เช้าเลย ถ้าง่วงก็ไปนอนต่อก็ได้นะสายๆค่อยตื่น” “หายง่วงแล้วครับ” “หลับสบายหรือเปล่า?” “พอหัวถึงหมอนก็หลับยาวเลยครับตื่นขึ้นมาก็เช้าพอดี” ผมหันมองไปรอบๆบ้านบรรยากาศในบ้านตอนเช้าที่มีแสงธรรมชาติดูต่างจากตอนกลางคืนเล็กน้อย “มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ?” “ไม่ต้องหรอก เข้าไปก็เกะกะเขาเปล่าๆสองคนนั่นมืออาชีพ ทำแป๊บเดียวก็เสร็จ” ตานกับแม่ทำแบบมืออาชีพตามที่อาผู้ชายบอกจริงๆตานเดินออกมารินกาแฟใส่แก้วให้ผม ข้างกันก็มีขนมปังปิ้งกับเนยและแยม อาผู้หญิงเดินออกมาสมทบพร้อมกับจานไส้กรอกไข่ดาว ข้าวต้มเครื่องและข้าวผัด “ไม่รู้ว่ามิทชอบกินอะไรตอนเช้าอาเลยทำมาซะสามอย่างเลย” แม่ของตานพูด “เกรงใจแย่เลยครับ” “อย่าเกรงใจเลย ปกติบ้านนี้เงียบพอมีคนเพิ่มก็ค่อยครึกครื้นหน่อย” ผมยิ้มรับ เมื่อนั่งกันครบทั้งสี่มุมรอบโต๊ะผมก็มองดูชุดนอนของบ้านด้วยความประหลาดใจ แม่ของตานดูจะรู้ตัวก่อนคนอื่นเลยชิงพูดขึ้นมา “ยายของตานตัดชุดนอนให้ทุกคนในบ้าน” “แล้วคุณยายอยู่ไหนล่ะครับ?” “ต่างจังหวัดนู้นแน่ะ เอาไว้ว่างๆก็ให้ตานพาไปสินั่งรถไฟไปสองชั่วโมงก็ถึง” พ่อของตานพูดขึ้นมาจากนั้นก็หันไปคุยกับลูกชายตัวเอง “สายๆ พ่อจะออกไปคลินิกตอนเย็นจะกินอะไรหรือเปล่า พ่อจะซื้อมาให้” ตานกำลังแลบลิ้นออกมาเลียแยมบนขนมปังพอดี “ลูกชิ้นปิ้งสองไม้ครับ” ตานตอบ “กินจนหัวจะกลมเป็นลูกชิ้นอยู่แล้ว” พ่อตอบผมเห็นคุณอาอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย มือขวาก็จิ้มไส้กรอกเข้าปาก แม่ของตานเลื่อนจานไข่ดาวให้ผมแล้วก็เลื่อนขวดซอสพริกตามมาให้ “กินเยอะๆนะ” “ครับ” ผมมองบรรยากาศของครอบครัวนี้ด้วยความสุขใจมันดูน่ารักโดยไม่มีการเสแสร้ง ผมนึกอิจฉาที่ตัวเองไม่เคยมีอารมณ์แบบนี้ ผมไม่มีพ่อคอยถามว่าอยากกินอะไรไม่มีแม่คอยเติมข้าวให้ในจาน ไม่มีบรรยากาศอบอุ่นบนโต๊ะกินข้าวเล็กๆ ผมนั่งกินข้าวอยู่คนเดียวบนโต๊ะกระจกยาว รอบตัวมีมีแค่พี่เลี้ยงที่ยืนอยู่ห่างๆทุกอย่างรอบตัวมันดูแห้งแล้งไปหมด ไม่เหมือนครอบครัวนี้ที่ดูมีชีวิตชีวา “ตอนเย็นไปเที่ยวบ้านป้าของพี่มั้ยครับคุณป้าพี่บอกว่าอยากเจอตาน” ผมพูดเรื่องป้าขึ้นมาพ่อของตานวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วก็ยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่ม “คุณโสรยาใช่มั้ยที่เป็นป้าของมิท?” คุณอาผู้ชายถาม “ใช่ครับ คุณอารู้จักด้วยเหรอครับ?” “เคยอ่านเจอในหนังสือป้าของมิทดูเป็นคนเรียบง่ายดีนะ ไม่ค่อยออกงานสังคม” “ครับ ป้าไม่ชอบวุ่นวายแต่อยู่กับบ้านแล้วก็ยังมีหนังสือตามมาขอสัมภาษณ์บอกว่าอยากรู้ประวัติของป้าตอนอยู่ที่วังเก่า” “เย็นนี้ก็ไปกับพี่เขาซะหน่อยผู้ใหญ่ท่านออกปากมาแล้ว เด็กอย่างเราก็อย่าให้เสียมารยาท” “ครับ” ตานรับคำง่ายๆ . . ผมชอบบ้านของตาน ชอบความเรียบง่ายและอบอุ่นผมเข้าใจแล้วว่าตานได้นิสัยนี้มาจากใคร ตานเป็นคนไม่เสแสร้ง เป็นคนง่ายๆที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ นของพี่มิทเป็นบ้านหลังใหญ่ทางเข้าจากหน้าประตูบ้านกว้างขวาง มีสวนหย่อมสีเขียวสดประดับไว้ก่อนถึงตัวบ้าน พี่มิทขับรถเข้ามาถึงหน้าบ้านใหญ่แล้วก็เรียกคนเข้ามารับกุญแจ เราสองคนไม่ได้เข้าไปในบ้านหลังใหญ่แต่เดินอ้อมมาทางด้านข้างผ่านสวนหิน เดินมาตามทางที่ปูด้วยศิลาแลง พี่มิทผลักประตูไม้ด้านข้างรั่วเข้าไปในนั้นมีบ้านอีกหลังตั้งอยู่ในมวลหมู่แมกไม้ พี่มิทแหวกม่านบาหลีเข้าไปผมสัมผัสได้ถึงอากาศเย็นๆบ้านหลังนี้ประหลาดกว่าบ้านหลังอื่นตรงที่ไม่ได้สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมของไทยหรือตะวันตก แต่สร้างด้วยแปลนบ้านผสม บางมุมก็เหมือนตำหนักบางมุมก็เหมือนปราสาทหินของเขมรบางมุมก็เหมือนบ้านทรงตะวันออกที่ผสมผสานทุกอย่างให้เข้ากันโดยไม่มีรอยต่อ “บ้านคุณป้าพี่เอง” พี่มิทหยุดยืนบนพื้นหญ้าขณะผมแหงนมองตุ๊กตาหินที่ประดับอยู่เหนือประตูใหญ่ “เกียรติมุขครับ” พี่มิททำหน้าที่เป็นไกด์ “เกียรติ มุข” ผมทวนช้าๆพลันสายตาผมละจากมันไม่ถึงเสี้ยววินาที ผมก็เห็นเหมือนเกียรติมุขเคลื่อนไหวได้ “เหมือนมันเคลื่อนไหวได้เลยนะครับเกียรติมุขเนี่ย” ผมขยี้ตา “พี่ก็ว่างั้นแหละแต่ก็ไม่มีอะไรหรอก พี่อยู่มาตั้งแต่เด็กก็ไม่เคยเจอมันวิ่งได้คุณป้าบอกว่าช่างแกะมันได้สวยจนเหมือนเคลื่อนไหวได้” พี่มิทดึงมือผมเข้าไปในตัวบ้านเมื่อเดินผ่านขั้นบันไดหินขึ้นไปสู่พื้นไม้ขัดเงา ผมเจอโถงกว้างๆไกลออกไปทางขวามีสวนกลางแจ้งที่อยู่ภายในตัวบ้านอีกที พี่มิทพาผมมานั่งเล่นอยู่ตรงเบาะผ้าหนานุ่มด้านข้างสวนติดกับบ่อปลา ผู้หญิงวัยกลางคนเดินออกมาจากส่วนในของบ้านผ่านม่านไม้ฉลุลายออกมาผมลุกขึ้นยืนแล้วก็ยกมือไหว้ทันที “ไหว้พระเถอะลูก” “ตานครับป้า” พี่มิทพูดแล้วก็ดึงมือผมให้ลงนั่งเหมือนเดิมป้าของพี่มิทนั่งลงบนตั่งไม้ใหญ่ ซักพัก มีคนเข้ามายืนนิ่งป้าของพี่มิทหันไปสั่งบางอย่างกับคนในบ้านแล้วก็หันกลับมายิ้ม “หน้าตาน่ารักดีจริง” ป้าพูด “เห็นมั้ยครับมิทบอกแล้ว” สองป้าหลานพูดกันโดยที่ผมไม่รู้เรื่องระหว่างนั้นผมก็มองสำรวจรอบๆตัวบ้านด้วยความสนใจ “ชอบบ้านป้าหรือเปล่า?” “ชอบครับดูสวยแปลกตาดี ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน” “จำลองแบบมาจากวังในพระนครบางส่วนแต่ได้แค่หนึ่งในร้อยเท่านั้น” ผมจินตนาการไปถึงพระนครศรีอยุธยาก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าป้าของพี่มิทมีเชื้อสายมาจากทางอาณาจักรตะวันออก “แล้ววังยังอยู่มั้ยครับ?” “วังเก่าน่ะหรือ?” คุณป้าถาม “ครับ” “ยังอยู่ในสภาพดี” “ครับ” “วันนี้อยู่กินข้าวเย็นกับป้าข้าวของเตรียมไว้หมดแล้ว รอแค่ให้ถึงเวลาเท่านั้นระหว่างนี้จะให้พี่เขาพาไปเดินเที่ยวรอบๆบ้านก็ได้” “อยากคุยกับคุณป้ามากกว่าครับ” ผมตอบผมอยากคุยกับเจ้าของบ้านมากกว่า ไม่ใช่เพราะรักษามารยาทแต่เพราะสนใจประวัติที่ลึกลับของป้าพี่มิทมากกว่า ไว้กินข้าวเย็นเสร็จแล้ว จะออกไปเดินดูรอบๆก็ยังไม่สาย “ป้าถูกชะตากับตานถ้าไม่ว่าอะไร ช่วยเขียนวันเดือนปีเกิดมาให้ป้าหน่อยได้มั้ย ป้าจะดูดวงให้” “ได้ครับ” ผมรับคำพี่มิทลุกขึ้นไปหากระดาษกับดินสอมาได้อย่างรวดเร็วนี่คงอธิบายได้ชัดเจนว่าพี่มิทคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้ดีแค่ไหน คุณป้ารับเอากระดาษที่ผมเขียนข้อมูลส่วนตัวไปให้ผมเห็นคุณป้าเขียนช่องและเขียนอักขระพิเศษลงไปแล้วก็ทำท่าเหมือนกำลังคำนวนตัวเลข “เป็นคนวาสนาดีดวงชะตาเข้มแข็ง มีบุรุษคอยค้ำชู เป็นเหมือนเกราะทองปกป้องภัย” คุณป้าของพี่มิทอธิบาย “ตานดวงดีนะครับป้าไม่ค่อยเจอคนแบบนี้เลย” พี่มิทยิ้มเหมือนคนดีใจผมเห็นแววตาประหลาดของคุณป้าแวบนึงก่อนท่านจะยิ้ม “นั่นสิไม่ค่อยเจอคนดวงแข็ง มากด้วยกำลังอุ้มชูขนาดนี้” เราสามคนคุยกันมาจนถึงช่วงห้าโมงเย็นผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างทาง ผมเจอรูปปั้นหินนางอัปสรายืนร่ายรำอยู่มันเป็นรูปปั้นที่ดูคุ้นตามาก เหมือนกับผมเคยเห็นที่ไหนมาก่อน “มีอะไรเหรอลูก?” คุณป้าเดินตามมาข้างหลัง “เหมือนผมเคยเห็นรูปปั้นแบบนี้มาก่อนน่ะครับแต่ยังนึกไม่ออก” “เห็นตามที่เขาตกแต่งสวนกระมังของแบบนี้ก็มีคนเลียนแบบมาก แต่ยังไงก็ไม่เหมือนจริงเสียทีเดียว” “หมายความว่าตัวนี้ของจริงเหรอครับ?” ผมถามแล้วก็เพ่งมองดูหินนั้นอย่างละเอียด “ของจริงอายุร่วมพันปีได้แล้ว” คุณป้าตอบผมละสายตาจากนางอัปสราแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไป หลังเสร็จธุระผมล้างไม้ล้างมือเดินกลับออกมา คุณป้าบอกว่าพี่มิทออกไปเอาของที่บ้านใหญ่ผมเข้ามานั่งข้างๆ คุณป้า อากาศในบ้านกำลังเย็นสบายลมพัดกระดิ่งดังกรุ๋งกริ๋งสบายหู ช่วงค่ำแบบนี้ ที่บ้านหลังนี้ไม่มียุงมากวนเลย “สายสร้อยเส้นนี้แปลกตาจริง” คุณป้าพูดขึ้นมาผมหันมามองดูคอตัวเองแล้วก็ยิ้ม “มีคนให้มาครับ” ผมพูดแล้วก็ดึงสร้อยคอออกมาจี้รูปปีกนกสีทองส่องสว่างล้อกับแสงไฟสีเหลืองนวลในบ้านจนเป็นประกายสวยงาม ผมเห็นคุณป้านิ่งไปเมื่อเห็นจี้รูปปีกนก “สวยงามเหมือนของเนรมิตไม่มีช่างทองคนไหนจะทำได้งามขนาดนี้” คุณป้าพูดออกมาเบาๆ “ครับเป็นทองคำแท้ แต่สายเป็นโลหะอะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน พอดีคนให้ไม่ได้บอก” ผมพูดจบก็จับจี้ใส่กลับเข้าไปในอกเหมือนเดิม “ใครกันที่ให้ของสำคัญขนาดนี้มา?” “เอ่อ...คุณ” “บอกชื่อป้าได้มั้ยพอดีป้าก็มีของฝีมือคล้ายกันนี้อีกชิ้น เผื่อเจ้าของจะเป็นคนๆเดียวกัน” “เหรอครับน่าแปลกจริง คนที่ให้ผมมาชื่อคุณเวณวัฒน์ ทิชากรครับ” ผมตอบ“คุณป้ารู้จักมั้ยครับ?” คุณป้าของพี่มิทยิ้มแล้วส่ายหัวแทนคำตอบกลับมา “คนที่จะได้รับของสำคัญขนาดนี้คือคนที่เจ้าของมันรักมาก หรือเคยรักมาก” คุณป้าเหมือนจะรู้สึกเหนื่อยกับการพูดถึงของพวกนี้ “คุณป้าพอรู้มั้ยครับว่าช่างเขาทำเป็นรูปอะไร จะปีกนกก็ไม่ใช่ ปีกเทวดาก็ไม่เชิง” ผมถามแล้วก็ใช้นิ้วดุนจี้ในอกไปมา “ปีกครุฑกางปกป้องภัยทั้งผองมลายไป” คุณป้าตอบเป็นคำกลอน “ปีกครุฑ?” “ในบรรดาเหล่าสัตว์กึ่งเทพทั้งมวลครุฑเป็นสัตว์ที่ฉลาดที่สุด มีอำนาจมากที่สุด แข็งแรงมากที่สุด ครุฑเป็นอมตะแทบไม่มีสิ่งใดที่ทำลายครุฑได้เลย แม้แต่สายฟ้าของเจ้าแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ยังไม่อาจทำอันตรายครุฑได้แม้แต่น้อยครุฑนั้นมีอำนาจและฤทธิ์เทียบเท่าองค์วิษณุ” คุณป้าเล่าให้ผมฟังเหมือนผมกำลังฟังนิทานปรัมปราอยู่ในบ้านที่มีความสวยงามแปลกตา “แล้วนาคล่ะครับคุณป้า” “นาคก็เป็นสัตว์กึ่งเทพเช่นเดียวกันกับครุฑแต่อำนาจนั้นมิได้เทียบเคียงกัน มิติของนาคซ้อนทับกับของมนุษย์ มนุษย์อยู่บนดิน นาคอยู่ใต้ดินบางครั้งก็ขึ้นมาสำราญบนโลกบ่อยครั้งที่มีจิตปฏิพัทธ์กับมนุษย์จนถึงขั้นใช้ชีวิตร่วมกัน” “งั้นแสดงว่านาคผูกพันกับมนุษย์มากกว่าครุฑสิครับคุณป้า” คุณป้ายิ้มแล้วก็พยักหน้า “มากกว่าเพราะนิสัยนาคเข้ากันได้ดีกับนิสัยคน นาคมีเล่ห์เหลี่ยมจัดไม่ต่างกับมนุษย์ส่วนครุฑนั้นต่างออกไป ครุฑอ่อนน้อมและรักษาสัตย์ น้อยครั้งที่ครุฑจะลงมาจากวิมานมาสมสู่กับมนุษย์ถ้าไม่เกิดจากมีจิตปฏิพัทธ์ก็เกิดจากทำบุญร่วมกันมา” “คุณป้า...เคยเจอครุฑมั้ยครับ?” ไม่รู้อะไรมาดลใจให้ผมถามออกไปคุณป้านิ่งและเงียบเหมือนจมลงไปในห้วงของความคิด นานหลายนาทีกว่าคุณป้าจะกลับมายิ้มและพูดเหมือนเดิม “มากกว่าเคยเจอ...ทั้งสัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่เมื่อจากไปแล้วก็ทิ้งไว้เพียงรอยแผลที่กรีดลึกลงในใจ” นัยน์ตาของคุณป้าดูหม่นหมอง ไม่สดใสเหมือนก่อนเริ่มคุยกันเรื่องครุฑ “มนุษย์นั้นแม้รูปรสสวยงามเพียงใด ก็หาได้ฝืนกฎของธรรมชาติไปได้มนุษย์มีแก่ไปตามวัยที่เปลี่ยนผ่าน จากวันสู่เดือน เดือนสู่ปี ปีแล้วปีเล่ารูปรสที่เคยสวยงามนั้นก็โรยราลงเหมือนดอกไม้เหี่ยวเฉาส่วนครุฑนั้นยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ความแตกต่างปรากฏขึ้นเรื่อยๆจนเกิดช่องว่างขึ้น” “ครุฑทำยังไงครับถ้าคนที่รักแก่ตัวลง?” ผมพลอยรู้สึกเศร้าไปกับคุณป้าด้วย “บินจากไปทิ้งไว้เพียงความทรงจำกับของให้ดูต่างหน้า กฎของธรรมชาติที่ไม่มีใครฝืนไปได้คือมนุษย์กับครุฑไม่มีทางอยู่ด้วยกันได้ตลอด สังขารและความตายจะพรากทุกอย่างไป” ผมรู้สึกเหมือนคุณป้าเคยประสบพบเจอเหตุการณ์ที่น่าเศร้านี้ซะเองดูคุณป้าเสียใจกับมันมากๆ “เป็นนิทานเรื่องอะไรเหรอครับผมจะหามาอ่าน?” “เป็นเรื่องเล่าของคนแก่คนหนึ่งไม่มีค่าพอให้จดจำหรอกลูก แล้วนี่สนใจเรื่องครุฑมากขนาดนี้ ไปเคยเห็นครุฑที่ไหนมาหรือเปล่า?” “อ่ะเอ้อ” ผมได้แต่ยิ้ม“เราจะแยกครุฑออกจากคนทั่วไปได้ยังไงครับหมายความว่า ถ้าเจอคนกับครุฑอยู่รวมกัน เราจะมองยังไงว่าใครคือคน ใครคือครุฑ” คุณป้าลูบหัวของผมแล้วก็ยิ้ม “ครุฑในร่างคนนั้นต่างกับคนปกติอยู่มากครุฑเป็นสัตว์กึ่งเทพ ไม่มีมลทินกลิ่นคาวไคลเหมือนคน ไม่มีกลิ่นเหม็น สิ่งสกปรกของโลกมนุษย์ที่เกาะติดครุฑจะหลุดออกไปเอง ครุฑมีรูปลักษณ์สวยงามน่ามองเพราะเป็นกึ่งเทพคล้ายกับเทวดาที่มีแต่สิ่งสวยงามน่าสรรเสริญ ครุฑมีรูปกายกำยำแข็งแรงมีพละกำลังมากกว่าช้างสาร ครุฑมีเสียงเสนาะหู พูดจาไพเราะนุ่มนวล ครุฑมีนิสัยอ่อนน้อมและฉลาดรู้ทันคน ครุฑมีกำหนัดสูงสามารถร่วมรักได้ย่ำค่ำถึงย่ำรุ่ง” ผมกำลังจะนึกชมคุณเวณวัฒน์อยู่ในใจติดอยู่ตรงข้อสุดท้ายที่คุณป้าพูด “กำหนัดสูง?” ผมทวนคำช้าๆ “มีความต้องการทางเพศสูงหากอยากร่วมเพศก็จะเข้ามาคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ คู่รัก” คุณป้าอธิบายเพิ่ม ผมนึกไปถึงเจ้าเงินแมวของผมที่ชอบเข้ามาคลอเคลียแต่เจ้าเงินมาคลอเคลียเพราะรักเจ้านายไม่ใช่เพราะกำหนัดเหมือนครุฑ “แล้วนาคกำหนัดเหมือนครุฑมั้ยครับ?” ผมถามต่อ “ป้าก็ไม่รู้เหมือนกันแต่ถ้าเรื่องกามคุณ คงไม่มีใครสู้ครุฑได้” ผมพยักหน้าและทำความเข้าใจมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจและผมก็ทำความเข้าใจกับมันได้ดีเพราะสามารถจินตนาการไปถึงครุฑจริงๆได้ ครุฑที่ผมจินตนาการถึงก็คือคุณเวณวัฒน์นั่นเอง “คุณป้าครับถ้าครุฑถูกไฟเผาจะมีวิธีแก้ยังไงครับ?” “ไฟที่ไหนจะเผาครุฑได้?” “พระอาทิตย์ครับเผาซะเกรียมเหมือนกุ้งเผาเลย”ผมยิ้ม “ไปอ่านในหนังสือที่ไหนมาล่ะ” คุณป้าถาม“คงจะจำเรื่องของสัมพาทีมากระมัง?” “อืม...ครับ” ผมก้มหน้าแล้วก็รับคำอันที่จริงผมหมายถึงครุฑจริงที่บินขึ้นไปที่พระอาทิตย์มากกว่า “พระอาทิตย์คือสุริยเทพมีพลังงานความร้อนสูงจนเผาไหม้ปีกและขนของสัมพาทีได้วิธีแก้คือต้องรอให้ทหารพระรามยกทัพผ่านมา สัมพาทีจึงจะกลับมามีขนดังเดิม” “สัมพาทีที่เป็นลูกชายของครุฑน่ะเหรอครับ?” ผมถามคุณป้าพยักหน้าแล้วก็มองตาผม ผมยิ่งสงสัยขึ้นไปอีกว่าสัมพาทีมีเลือดครุฑแค่ครึ่งเดียว แล้วถ้าครุฑขึ้นไปเองแล้วโดนเผาจะมีวิธีแก้ยังไง “สงสัยอะไรหรือลูก?” “เปล่าครับผมคิดว่าในโลกนี้มีอะไรแปลกๆ มากมาย” “ทั้งแปลกทั้งพิสดารเล่าไปก็ไม่มีใครเชื่อ ในมุมๆนึงของชีวิตป้า ก็เคยเจอเรื่องแปลกมาแล้ว” เสียงพี่มิทเรียกผมมาจากประตูหน้าพี่มิทดูดีใจที่ผมกับคุณป้าสนิทกันเร็วจนเข้ามานั่งคุยกันคุณป้าเลื่อนฝ่ามือออกจากหลังของผมแล้วก็ลุกขึ้นยืน “หายไปซะนานเชียวป้าจะให้น้องนอนรอแล้ว” คุณป้าล้อพี่มิท “ก็คนของคุณแม่น่ะสิครับเข้าไปจัดห้องนอนของมิทแล้วก็ย้ายที่ มิทหาตั้งนานกว่าจะเจอ” พี่มิทยื่นถุงสีแดงสดให้ผมแล้วก็ขยั้นขยอให้ผมเปิดดู ช่วงจังหวะที่ผมกำลังเปิดและชะโงกหน้าเข้าไปดูในถุง พี่มิทก็ทำตัวแปลกไป “พี่มิท...เป็นอะไรไปครับ” “ตานว่าอะไรนะครับ?” “ผมถามว่าพี่มิทเป็นอะไรหรือเปล่าเห็นแปลกๆไป” “พี่นึกว่าตานกระซิบอะไรข้างๆหูพี่ซะอีก” “เปล่าครับไม่ได้ทำอะไรเลย” ผมตอบปฏิเสธ คุณป้าดูจะสังเกตอาการได้ท่านลุกขึ้นมายืนแล้วก็เปิดหนังตาของพี่มิทดู . .
|