เรื่องเล่าเหมียวเหมียว ตอน เทพีแห่งแมว
เรื่องเล่าเหมียวเหมียว ตอน เทพีแห่งแมวhttp://hilightad.kapook.com/img_cms2/varity/catsocute01.jpg
เทพีแห่งแมว (Cat magazine)
คอลัมน์ Cat Secret เรื่องโดย : แมวอ้วนชอบทำหูทวนลม
หลังจากมาส่งข่าวสารและแถลงการณ์เรื่อง "แมวหมื่นปี" ไปเมื่อคราวก่อน ไอ้ตุ๊บป่องนักข่าวตัวแสบประจำหมู่บ้านก็หายเงียบไปนานอีกครั้ง แมวซอยข้าง ๆ ซุบซิบกันว่า ไอ้ตุ๊บป่อง ไปทำสาวท้อง ป่านนี้คงกลายเป็นพ่อลูกอ่อนอยู่ ทำเอาพี่เสือเซ็ง เพราะรอให้ไอ้ตุ๊บป่องมาเล่าประวัติแมวยุคโบราณ ต่อจากที่ค้างไว้ แต่ด้วยความโชคดีของพี่เสือให้บังเอิญตอนกระโดดขึ้นไปนอนบนชั้น หนังสือโชคร้ายเล่มหนึ่งก็หล่นตุ้บลงมาแผ่หลาอยู่ตรงหน้าที่เล่าเกี่ยวกับ "แมว-สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในสมัยอียิปต์โบราณ" อย่างได้จังหวะพอดิบพอดี
...ภาพประกอบภาพหนึ่งเป็นรูปหญิงสาวมีหัวเป็นแมว แต่งตัวประหลาดอย่างที่พี่เสือไม่เคยเห็นมาก่อน...พี่เสือรีบเข้าไปนอนเอาขาก่ายทับหน้านั้นไว้ทันที "ไหนลองอ่านดูหน่อยซิ ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน"...ใจความสำคัญในหนังสือนั้น เล่าว่า...
ในยุคสมัยอาณาจักรอียิปต์โบราณ สัตว์แทบทุกชนิดล้วนมีความเกี่ยวพันกับเทพเจ้าหรือเทพีในฐานะสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า มีการใช้สัตว์บวงสรวงเพื่อให้เทพเจ้าคุ้มครองมนุษย์จากภูตผีปีศาจและสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ สัตว์บางชนิดได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังทางธรรมชาติ ในขณะที่สัตว์บางชนิดได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของปีศาจที่ชั่วร้าย วิหารเทวีไอซิสที่ฟิเล นักบวชประจำวิหารได้เลี้ยงแมวไว้เป็นจำนวนมาก เพราะแมวถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเทวีไอซิส (มเหสีของเทพเจ้าโอซิริส-เทพเจ้าที่ชาวอียิปต์ให้ความเคารพบูชามากที่สุด)
เทพีของอียิปต์ที่มีความเกี่ยวข้องกับแมวโดยตรง คือ เทพีบาสเซ็ท (BASTET) เทพประจำนครบูบาสติส เมืองเก่าแก่ตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง ความปิติยินดี นอกจากนี้ยังเป็นเทพผู้พิทักษ์ของสตรี มารดา รวมถึงแมวอีกด้วย เทพีบาสเซ็ทมักปรากฏบนภาพเขียนฝาผนังเป็นรูปสตรีที่มีศีรษะเป็นหัวแมวมือข้างหนึ่งถือซีสทรัม เครื่องดนตรีโบราณชนิดหนึ่งของอียิปต์ที่ใช้ในการประกอบพิธี หรืออาจปรากฏในรูปแมวเต็มตัวก็ได้ ความสำคัญของเทพีบาสเซ็ทได้มาถึงจุดสูงสุดเมื่อราว 945 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อนครบูบาสติสได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรอียิปต์ ทำให้เทพีบาสเซ็ทซึ่งเป็นเทพประจำนครมาแต่เดิมมีสถานะกลายเป็นเทพสูงสุดของทั้งอาณาจักรไปด้วย
http://hilightad.kapook.com/img_cms2/varity/catsocute02.jpg
งานฉลองเพื่อบูชาเทพีบาสเซ็ทในยุคนั้นจัดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ ถือเป็นงานฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดางานบูชาเทพเจ้ามีบันทึกกล่าวไว้ว่า ผู้คนต่างหลั่งไหลจากทั่วอียิปต์นับเจ็ดแสนคน เพื่อมาร่วมงานที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและจัดขึ้นอย่างฟุ่มเฟือย ความเลื่อมใสศรัทธาในเทพีบาสเซ็ทนี้ได้แผ่นกระจายออกไปอย่างกว้างขวางผ่านยุคสมัยกรีก โรมัน ไปยังดินแดนหลายแห่งในยุโรป พิธีนี้เป็นที่นิยมอยู่ราวสองพันปี จนกระทั่งถูกห้าม อย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 390 ซึ่งเป็นช่วงที่พิธีได้เสื่อม ความนิยมไปมากแล้ว ปัจจุบันอียิปต์ได้ประกาศให้วันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปีเป็นวันเฉลิมฉลองเทพีบาสเซ็ท
วิหารของเทพีบาสเซ็ทตั้งอยู่ที่เมืองบูบาสติส ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า เทล-บาสตา ก่อสร้างด้วยหินแกรนิตสีแดงตั้งอยู่ภายในหุบเขา ปัจจุบันเหลือเพียงสภาพปรักหักฟังเท่านั้น ในสมัยอียิปต์โบราณนั้นให้ความสำคัญกับแมวมากจนเรียกได้ว่ามีสถานะกึ่งเทพเลยทีเดียว หากใครทำร้ายแมวไม่ว่าจงใจหรือด้วยอุบัติเหตุจะถูกลงโทษถึงตาย และหากบ้านใดมีแมวตาย สมาชิกทุกคนในบ้านจะต้องไว้ทุกข์ด้วยการโกนคิ้วของตัวเองออก นำซากของแมวไปทำมัมมี่แล้วนำไปฝังไว้ในสุสานใกล้วิหารเทพีบาสเซ็ทที่เมืองบูบาสติส การขุดค้นทางโบราณคดีพบว่าที่นี่เป็นสุสานแมวที่ใหญ่ที่สุด มีกองกระดูกแมวทับถมเป็นภูเขาและกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ ปะปนอยู่กับหน้ากากแมวที่ใช้สำหรับตกแต่งมัมมี่เศษผ้าลินิน รวมถึงเทวรูปแมวที่ชำรุดจำนวนมาก
ชาวอียิปต์โบราณนั้นเรียกแมวว่า "มิว" หรือ "เมียว" ซึ่งเลียนมาจากเสียงร้องของแมว ความนิยมในการเลี้ยงแมวอย่างแพร่หลายของชาวอียิปต์น่าจะมาจากความสามารถในการกำจัดหนูและสัตว์รบกวนที่คอยทำลายพืชผลทางการเกษตร แมวช่วยควบคุมปริมาณหนู ช่วยลดการแพร่เชื้อกาฬโรคซึ่งเป็นโรคระบาดสำคัญในยุคนั้น นับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อียิปต์ สามารถแผ่ขยายอาณาจักรออกไปได้กว้างใหญ่นับเป็นเวลาหลายพันปี
พี่เสืออ่านถึงตอนนี้ก็ยิ้มกริ่มด้วยความภูมิใจ "บรรพบุรุษแมวของเรา มีความสามารถยิ่งใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือ ช่วยให้อียิปต์ขยายอาณาจักรได้ด้วย ไม่เบาเลยแฮะ"
http://hilightad.kapook.com/img_cms2/varity/catsocute03.jpg
หลักฐานความสัมพันธ์ระหว่างแมวในฐานะสัตว์เลี้ยงของชาวอียิปต์ยุคโบราณปรากฎในภาพเขียน ภาพแกะสลักบนผนังกำแพงวิหาร รวมถึงภาพเขียนบนกระดาษปาปิรุส ในลักษณะภาพแมวที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้เลี้ยงหรือเจ้านายในลักษณะคอยรับใช้บางภาพเป็นแมวที่กำลังคาบนกที่ถูกยิงด้วยธนู เห็นได้ว่าอาจมีการฝึกแมวเพื่อใช้งานในยุคสมัยนั้น และยังเชื่อกันว่ามีแมวบางชนิดสามารถจับงู ฆ่างูพิษอย่างงูเห่าได้อีกด้วย เพราะเหตุนี้ชาวอียิปต์โบราณซึ่งเห็นงูเป็นสัญลักษณ์ของปีศาจ จึงถือว่าแมวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าราหรือสุริยเทพ (เทพผู้เป็นบิดาของมนุษย์และสัตว์รวมถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลก)
ในยุคอาณาจักรสมัยใหม่มีความเชื่อว่าแมวตัวผู้เป็นร่างจำแลงของเทพเจ้ารา ส่วนแมวตัวเมียเป็นพระเนตรของพระองค์มีตำนานหนึ่งเล่าว่าเทพเจ้าราและเหล่าเทพเจ้าบริวารจะเดินทางข้ามขอบฟ้าในทุกค่ำคืน โดยเทพีบาสเซ็ทจะเก็บแสงอาทิตย์ไว้ในดวงตาเพื่อช่วยส่องทางให้ (สอดคล้องกับความเชื่อของชาวอียิปต์ในยุคนั้น ที่เชื่อว่าตาแมวเปลี่ยนสีไปตามการโคจรของดวงอาทิตย์ เมื่อแสงแดดจ้าตาแมวจะสีคล้ายทองคำมากที่สุด พอตกกลางคืนตาจะเปิดกว้างเป็นสีดำ) การเดินทางแต่ละครั้งเทพเจ้าราและบริวารต้องต่อสู้กับงูยักษ์อะโปฟีสที่มาขัดวาง ครั้งหนึ่งทรงเนรมิตร่างเป็นแมวเพื่อปราบงูยักษ์อะโปฟีสจนราบคาบ การต่อสู้นั้น หากฝ่ายราชนะก็จะนำแสงสว่างมาสู้โลกในวันรุ่งขึ้น ส่วนอะโปฟีสจะบาดเจ็บแต่ก็จะหายสนิทและกลับมาสู้กันอีกในราตรีถัดไป แต่หากอะโปฟีสเป็นฝ่ายชนะวันรุ่งขึ้นจะไม่มีแสงสว่าง ซึ่งหมายถึงการเกิดสุริยคราสนั่นเอง ผู้คนยุคนั้นจะส่งเสียงให้งูตกใจปล่อยเรา และแสงอาทิตย์จะกลับมาส่องสว่างอีกครั้ง
http://hilightad.kapook.com/img_cms2/varity/catsocute04.jpg
อ่านมาถึงตอนนี้ พี่เสือก็เริ่มงง "ตำนานเทพเจ้าของอียิปต์นี่สนุกจังแฮะ แต่ว่าเรื่องตาแมวเปลี่ยนสีนี่ พี่เสือจะไม่เปิดแถลงข่าวชี้แจงกับสื่อมวลชนหรอกว่า ที่ตาแมวเปลี่ยนสีไม่ใช่ที่สีตา แต่เป็นความกว้างของรูม่านตาต่างหากที่สามารถหดยืดได้ตามปริมาณแสง เวลากลางวันแสงจ้าเลยต้องหรี่รูม่านตาลงเพื่อให้แสงเข้าได้น้อยลงจะได้มองชัดขึ้น เวลากลางคืนแสงน้อยก็จะขยายกว้าง เพื่อให้เห็นเหยื่อได้ชัดในที่สลัวยังไงล่ะ...แมวไม่ได้เก็บแสงไว้ในดวงตาได้ซะหน่อย
แหม! นี่ถ้าชาวอียิปต์รู้เรื่องแมวแบบนักวิทยาศาสตร์สมัยนี้ล่ะก็ แมวอาจจะอดมีส่วนในตำนานเทพที่มีคนนับถือมากมายก็ได้นะ...ใครจะรู้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://img.kapook.com/image/Logo/Cat%20magazine.jpg
หน้า:
[1]