สมาคมชาวแฟลต 1 (จุดเริ่มต้นสายสัมพันธุ์) จากแดนอีสานบ้านเกิดเมืองนอน มาเล่นละครบทชีวิตหนัก จากพ่อแม่มา........ ก๊อก ก๊อก บ่ายโมงกว่าๆ ของวันเสาร์ ผมกำลังเพลินกับเสียงเพลงจาก คอมอันแสนไพเราะก็ต้องสะดุดอารมณ์ด้วยเสียงเคาะประตูสองสามครั้ง ผมลุกจากที่นอนด้วยอาการเซ็งๆ เพราะวันหยุดทั้งทีจะได้นอนฟังเพลงสบาย ๆ บ้าง หลังจากที่ต้องทำงานจันทร์ถึงศุกร์ ผมเปิดประตูออกไปเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาซีดๆยืนอยู่ด้วยอาการกล้า ๆ กลัว ๆ คุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นหน้า “ขอโทษครับพี่ ผมอยู่ห้อง 415 ตรงโน้นนะครับ” “อืม...แล้ว” “ผมอยากจะรบกวนยืมเงินพี่สักร้อยนึงนะครับ ผมยังไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้ว แม่ยังไม่ส่งเงินมาให้จากต่างจังหวัดนะครับ” ผมสังเกตเห็นน้องเขามีอาการโรยๆ คงจะเกิดจากความหิวจริง ๆ “เฮ้ย....แล้วอยู่ได้ไง หิวมากหรอ” “ครับ...ผมจะเป็นลมอยู่แล้วครับพี่” น้องเขาพูดแล้วก็มีอาการเซๆ ผมรีบเข้าไปพยุง “เข้ามาในห้องพี่ก่อน” ผมพยุงน้องเข้ามาในห้องพามานั่งที่โต๊ะญี่ปุ่นกลางห้องที่ผมจัดไว้เป็นโต๊ะกินข้าว “ขอบคุณครับ ผมหิวจนไม่มีแรงจะยืนแล้ว” “งั้นเดี๋ยวพี่หาข้าวให้กิน” “ไม่เป็นไรครับ รบกวนเปล่า ๆ แค่พี่ให้ผมยืมเงินก็เป็นพระคุณแล้วครับเดี๋ยวผมไปซื้อกินเองได้” “เฮ้ย...ไม่รบกวนหรอก เรื่องเงินพี่ไม่มีปัญหาหรอก แต่ตอนนี้ท่าทางนายจะไม่มีแรงแม้แต่จะเดินลงไปซื้อข้าวแน่ ๆคงตกบันไดตายก่อน นี่ชั้น 4 เชียวนะ” ผมเปิดตู้เย็นขนาด5.5 คิว รินน้ำเย็น ๆ ให้น้องเขาดื่ม “ดื่มน้ำก่อน แต่ค่อย ๆจิบนะเดียวจะแสบกระเพาะ”น้องยกมือไหว้แล้วรับแก้วน้ำไปค่อย ๆ ดื่ม อืม ไอ้เด็กคนนี้ใช้ได้มือไม้อ่อนมีสัมมาคารวะด้วย ผมเปิดหม้อข้าวแล้วตักข้าวใส่จานแล้วเปิดฝาชีดูกับข้าวที่ผมเพิ่งกินไปเมื่อตอนเที่ยงยังเหลือกะว่าจะเก็บไว้กินตอนเย็น ผมลำเลียงผัดบวบใส่ไข่ แกงจืดวุ้นเส้น และพะแนงหมูมาวางไว้ที่โต๊ะญี่ปุ่น “กินตามสบาย รองท้องให้มีแรงก่อน แล้วค่อยไปซื้อหาไรกิน” “ขอบคุณครับ” น้องเขายกมือไหว้แล้วรีบตักแกงใส่กับข้าวก้มหน้าก้มตากินแบบตายอดตายอยากจริงๆ สงสัยจะหิวจริงๆ อย่างที่น้องเขาว่า ผมเขยิบออกมานั่งพิงมองอยู่ห่างๆ เพราะกลัวน้องเขาจะเขินไม่กล้ากิน แล้วมองไปที่เด็กหนุ่มคนนั้น เป็นหนุ่มผิวขาวเหลืองๆ ผิวพรรณดี รูปร่างสมส่วน ไม่อ้วนแต่ไม่ผอมจนแห้ง อายุไม่น่าเกิน 20 นุ่งกางเกงนักเรียนสีดำขาสั้นใส่เสื้อยืดสีเขียวเหมือนทหารตัดผมสั้นรองทรง ที่ข้อมือมีด้วยสีคล้ำๆผูกไว้สองสามเส้น ต้นคอขาวเนียนมีสายร่มคล้องไว้ “พี่ครับ เสร็จแล้วครับ” เสียงของน้องเขาทำให้ผมตื่นจากผวัง” “อ้าวอิ่มไวจัง” ผมพูดแก้เขินทันที “ผมกินของพี่หมดเลยครับ” “อิ่มมั้ยล่ะ” “อิ่มมากเลยครับ ขอบคุณพี่อีกครั้งหนึ่งครับ” น้องเขายกมือไว้อีกครั้ง “ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ไปไงมาไงถึงมาเคาะห้องพี่ล่ะ” ผมเริ่มถามประวัติ “ผมชื่อเต้ครับ เป็นคนสกลคร มาเรียนที่.................... ได้ปีกว่า ๆ แล้วครับผมเรียนสาขาอีเล็กทรอนิกส์” “คนอีสานเหมือนพี่เลย พี่คนโคราช” “นั่นแหละครับ ทำให้ผมกล้าที่จะเคาะห้องพี่เพราะผมได้ยินพี่เปิดเพลงไมค์ คิดว่าพี่ต้องเป็นคนอีสานเหมือนผมแน่ ๆ ” “อ๋อ.......” ผมถึงบางอ้อเลย “ผมเห็นพี่หลายครั้งแล้วครับ แต่ไม่คิดว่าพี่จะเป็นคนอีสาน คิดว่าพี่เป็นคนใต้” “อ้าว...ทำไมคิดว่าพี่เป็นคนใต้ล่ะ” “ก็จมูกพี่โด่ง ผิวก็ออกเข้มๆ และแฟลตนี้ก็มีแต่คนใต้อยู่เกือบทั้งนั้น”แฟลตที่ผมอยู่ย่านคลองตันส่วนใหญ่จะเป็นคนใต้ อยู่เป็นครอบครัวก็เยอะ เด็กมาเรียนรามก็ไม่ใช่น้อย เลยเหมือนเป็นย่านคนใต้ บางวันมีแต่ทองแดงเกลื่อนไปหมด “คนโคราชผิวก็แบบนี้แหละจะออกเข้ม ๆ” “ครับ...” “แล้วทำไมเราถึงหิวโซมาขนาดนี้ ไม่มีเงินติดตัวเลยหรอ” “ผมเอาเงินค่ากินไปซื้ออุปกรณ์การเรียนนะครับ แม่บอกว่าจะส่งเงินมาให้แต่ก็เงียบไปผมโทรไปหาแม่ก็ไม่มีสัญญาณ ผมเหลือเงินติดตัวอยู่ร้อยกว่าบาทหมดไปตั้งแต่วันพุธนะครับ แล้วผมก็ไม่ได้กินอะไรลงท้องอีกเลย” “เฮ่ย...หลายวันเชียวนะ แล้วทำไมไม่ยืมเพื่อน ๆ ละ” “ผมไม่กล้านะครับ เพราะดูเพื่อน ๆ ก็คงไม่ต่างจากผม” คงเป็นอย่างที่น้องเขาว่าเพราะสถานศึกษาแห่งนี้ก็ใช่ว่าจะมีลูกคนรวยมาเรียนก็คงเป็นประเภทหาเช้ากินค่ำเพื่อส่งลูกเรียน คงจะไม่มีใครให้ยืมแน่ ๆ “แล้วโทรกลับบ้านอีกตอนไหน” “ผมไม่มีเงินค่าโทรศัพท์นะครับ” “อ้าว เราไม่มีมือถือหรอ” “ไม่มีครับ ผมโทรสาธารณหาแม่ฝ่ายเดียว” “ งั้นเอาเบอร์มาเดี๋ยวพี่ลองโทรให้” น้องเขาควักกระเป๋าสตางค์ที่ไม่มีสตางค์มีแต่เศษกระดาษสี่ห้าแผ่นพับแน่นอยู่ในกระเป๋า ผมรับกระดาษที่มีเบอร์โทรมากดเบอร์แล้วโทรออก ตูด ตูด “สวัสดีครับ ใช่คุณแม่ของน้องเต้มั้ยครับ” “แม่นค่ะ มีอีหยังค๊ะ บักเต้ไปเฮ็ดอีหยังหรือค๊ะ” ปลายสายถามมาเป็นภาษาอีสานด้วยความตกใจ “ใจเย็นครับ ไม่มีอะไรหรอกครับ น้องเต้นั่งอยู่กับผมข้าง ๆ นี่แหละครับ เดี๋ยวคุยกับน้องเต้นะครับ” “ค่ะ” “แม่....ผมโทรหาแม่เมื่อสองวันก่อนมันคือบ่ติดแม่บ่เปิดโทรศัพท์ติ” “ไปนอนเถียงนามันบ่มีสัญญาณ เป็นจังใดคือมาอยู่กับเพิน” “คือผมบ่มี....”ผมรีบยกมือห้ามเพราะกลัวแม่น้องเต้จะเป็นห่วง ผมเอามือปิดโทรศัพท์ “ไม่ต้องบอกแม่หรอกว่ามาขอข้าวพี่กิน เดี๋ยวแม่จะเป็นห่วง” “ครับ” “ผมยืมโทรศัพท์เพินโทรมาหาแม่ แม่ส่งเงินให้ผมแล้วบ่” “โอ้ย....แม่ลืม คาแต่ยุ่งเรื่องนั่นยุ่งเรื่องนี่ แม่บักโตนมันถืกรถชนตาย คาแต่ซอยงานศพเพิน” “ตายมือใด” “วันพุธตอนคำ มันออกไปใสดุ ถืกอีแต็นชนตายคาทางแยกเข้าหมู่บ้าน” “เสร็จงานศพแล้วบ่” “ยังดอก รอบักโตนมันกลับมาก่อน เดี๋ยวแม่ไปส่งเงินให้เด้อ แค่นี้ก่อน เขามาตามไปงาน” “ครับ ๆ” เต้วางสายคุยกับแม่แล้วยื่นโทรศัพท์ให้ผม ด้วยอาการหงอย ๆ “อ้าวไม่ดีใจหรอติดต่อกับแม่ได้แล้ว” “แม่ยังไม่ส่งเงินมาเลยนะซิรับ” “เอาน่า แค่นี้เอง เดี๋ยวเอากับพี่ไปก่อนแม่ส่งมาแล้วค่อยเอามาให้พี่” ผมพูดเสร็จก็หยิบกระเป๋าสตางค์เปิดออกหยิบใบร้อยยื่นให้เต้ไป5 ใบ “ผมเกรงใจพี่นะครับ” “ไม่ต้องเกรงใจหรอก กว่าเงินจะมาถึงคงอีกหลายวัน ถ้าไม่พอก็มาบอกพี่นะ” “ขอบพระคุณมากครับพี่” “เรียกพี่ว่าต๊ะก็ได้” “ครับพี่ต๊ะ” “ว่าแต่เมื่อกี้เห็นบอกว่าแม่โตนตาย พอเราได้ยินทำไมถึงตกใจ” “แม่โตนคือญาติห่าง ๆ ของผมนะครับ เจ้าโตนก็เหมือนลูกพี่ลูกน้อง อายุเท่าผมเรียนมาด้วยกันเล่นมาด้วยกัน พอจบ ม.3 มันไม่ยอมเรียนต่อ มันอยากทำงาน มากกว่า ชวนมันมาเรียนที่กรุงเทพด้วยมันก็ไม่มา ผมเลยมาเรียนคนเดียว” “อ้าวแล้วนี่เรามาอยู่คนเดียวหรอ” “ผมอยู่กับอาพรครับ” อาพรที่เต้พูดถึงคือน้องพ่อที่มาทำงานที่กรุงเทพอาชีพพนักงานขายเครื่องสำอางค์ “แต่อาพรเป็นน้องพ่อครับ แกเช่าห้องไว้แต่ไม่ค่อยอยู่ห้อง บางทีหายไปทีสองเดือน แกก็เลยชวนผมให้มาอยู่กับแกเพื่อเฝ้าห้องให้อาพรด้วยและก็เรียนไปด้วยครั้งนี้แกไปได้ เดือนกว่าแล้วครับ เห็นบอกว่าไปเปิดบูธที่สุราษ” ผมสังเกตหน่วยก้านท่าทางจะเป็นเด็กรักดีจากเมื่อสักครู่ก่อนเข้ามาหน้าตาอิดโรย แต่ตอนนี้หน้าและแววตาสดใส ยิ้มเก่งอัธยาศัยดี ผมมองหน้าชัดๆ จัดได้ว่าหน้าตาดีทีเดียว จมูกโด่ง แต่ไม่ถึงกับโด่งมาก ปากได้รูป หน้าเรียว คิ้วหนาเป็นแผงเลย มีไรหนวดอ่อน ๆ ขึ้นริมฝีปาก “ผมรบกวนพี่มากเลยกินไปหรือเปล่าครับ เดี๋ยวผมขอกลับห้องก่อน” “เฮ้ย...ไม่เป็นไร รบกวนที่ไหนล่ะ พี่ก็อยู่คนเดียวมีเต้มาเป็นเพื่อนคุยแก้เซ็ง จะรีบไปทำธุระที่ไหนหรือเปล่าล่ะ” “ไม่มีครับ” “งั้นดีเลย อยู่เป็นเพื่อนพี่ก่อน เดี๋ยวกินข้าวเย็นแล้วค่อยไป” “จะเป็นการรบกวนพี่มากเกินไปนะซิครับ” “ไม่หรอกพี่จะได้มีเพื่อนกินข้าวด้วย” “งั้นเดี๋ยวผมกลับไปห้องก่อนนะครับเดี๋ยวมาใหม่” “ตามสบาย” น้องเต้ลุกออกจากห้องผมเดินไปปิดประตูมองตามหลังน้องเต้เห็นน้องเต้หันมายิ้มแล้วเปิดประตูเข้าไปในห้อง 415 ********************** ก๊อก ก๊อก “พี่ต๊ะครับ ผมเต้คราปปปป” “ได้ยินแล้ว” ผมพูดพร้อมกับลุกไปเปิดประตูให้เจ้าเต้เขามาในห้อง ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องในช่วงสี่เดือนที่ผ่านมาของเราสองคนสนิทกันขึ้นทุกวันเริ่มมีการหยอกเอิน แซวกลับบ้าง บางครังเต้ก็มานอนค้างเพื่อดูหนังแผ่นที่ห้องผม “ไปกันหรือยังครับ ผมพร้อมแล้ว”
4 g' }) Q/ L: e5 L( d3 n3 \ |